หากทั้งหมดนั้น มันเกิดเมื่อสิบกว่าวันก่อน ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนรู้สึกในเวลานี้
ปิ่นลดาเดินทอดฝีเท้าเดินจากบ้านหลังเล็กสีฟ้าเรื่อยๆ จนมาถึงเขตสวนดอกไม้ด้านข้างคฤหาสน์ คะเนด้วยสายตาเฉพาะสวนดอกไม้แห่งนี้ก็น่าจะกินพื้นที่กว่าสองไร่ ทุกอย่างช่างงดงามและสมบูรณ์แบบ หากเธอรู้ว่ามันจะสร้างความประทับใจแต่แรกเห็นเท่านั้น แต่หลังจากนั้นมันคือความเงียบสงัด เย็นชาและมืดมิด ไร้อิสระโดยสิ้นเชิง ลูกจ้างที่ไหนกันถึงห้ามออกพ้นเขตรั้วบ้าน เราไม่ใช่นักโทษสักหน่อย ถึงจะจ้างด้วยค่าจ้างสูงลิบ แต่สิทธิพื้นฐานของลูกจ้างยังต้องมีเหมือนกัน ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเจออย่างนี้ ไม่มีทางมาหรอก คนหน้าหวานมุ่ยหน้าลง เมื่อประจักษ์กับความจริงในข้อนี้ เธอกำลังจะหันกายกลับเมื่อรับรู้ว่าได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ด้านหน้าแล้ว เพราะศจีสาวใหญ่ร่างผอมบางที่เธอพูดคุยอยู่ทุกวันได้บอกเป็นเชิงห้ามเอาไว้ หากว่าความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้เธอต้องชะงักพลัน คนร่างสูงใหญ่ในเครื่องแต่งกายกางเกงยีนส์กระชับตัวกับเสื้อทีเชิ้ตสีน้ำเงินไว้ข้างใน สวมทับด้วยแจ๊กเกตสีน้ำตาลเนื้อหนาที่ดูน่าจะเหมาะสำหรับการบุกงานอยู่กลางแจ้งหรือลุยเข้าป่ามากกว่าเดินอยู่ในคฤหาสน์หรูหรา เขากำลังย่างเท้าออกมาแล้วตรงไปยังรถยนต์คันใหญ่ที่มีดินโคลนเกาะแห้งกรัง จังหวะชายคนนั้นเปิดประตูรถ เขาก็หันขวับมาทางเธอ ปิ่นลดาเบิกตาโต หลบเลี่ยงไม่ทัน รู้ว่าตนช่างเสียมารยาทที่แอบมองและยืนจ้องเขาอยู่อย่างนั้น พักเดียวที่เธอเห็นแววตาของเขาทอความสงสัยก่อนจะจางหายในไม่กี่วินาที เขาก้มหน้าทักทายให้เธออย่างสุภาพ...ยิ่งทำให้ปิ่นลดาเงอะงะหนักกว่าเดิม เธอได้แต่ยิ้มตอบ แต่คงทั้งแหยและจืดเจื่อนอย่างน่าตลก เพราะเห็นประกายพริบพราวในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น ชายคนนั้นขับรถออกไปแล้ว ปิ่นลดาจึงหันกายกลับ เร่งฝีเท้าไปยังที่ของตัวเองโดยไม่คิดจะเหลือบแลไปทางอื่นด้วยความอยากรู้อีก ภาพการพบเจอของเธอกับผู้ชายร่างใหญ่หนวดเครารุงรังอยู่ในสายตาผู้ชายอีกคน ดวงตาคมเข้มสีสนิมเหล็กทอดมองจากหน้าต่างห้องทำงาน เขาหรี่ตามองเธออย่างประเมิน ก่อนจะปรายตามองตามรถยนต์คันที่แล่นห่างออกไป“เมื่อกี้คุณไปไหนมา ฉันเอามื้อเที่ยงมาให้ วางอยู่บนโต๊ะ ใกล้จะเย็นชืดแล้ว รีบกินซะนะ”
คำพูดแรกจากคนเดียวที่แวะเวียนมาให้เธอได้พูดคุยอยู่ทุกวันนับจากย่างกรายมาดังขึ้น แต่บ่อยครั้งก็ทำให้ขัดใจเพราะศจีไม่ใช่เพื่อนคุยที่น่าเพลินใจนักหรอก...สารพัดคำห้าม ข้อควรปฏิบัติและบางทีก็เป็นคำถามเข้มงวดที่มาจากเจ้าตัว จนทำให้ปิ่นลดาคิดว่าเธอมีผู้คุมมากกว่าคนร่วมงาน หรือแม้แต่จะเป็นใครที่มาพูดคุยให้หายเหงา “ออกไปเดินเล่น อุดอู้อยู่ในบ้านทั้งวัน ฉันเบื่อ” ปิ่นลดาบ่น ถึงอย่างไรศจีก็เป็นคนเดียวที่เธอบอกความรู้สึกได้ “ฉันจะได้ทำงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะ พักอยู่อย่างนี้รู้สึกกินแรงนายจ้างชะมัด” เจ้าหล่อนบ่นพึม โดยไม่ได้มองคนวัยสูงกว่าที่เบือนไปทางอื่นพร้อมสีหน้าแปลกเปลี่ยนไป ปิ่นลดานั่งประจำเก้าอี้ตรงโต๊ะทานอาหารในห้องครัว เปิดสำรับที่จัดมาอย่างประณีตและตั้งใจ หล่อนหันมองสาวใหญ่ที่เดินอย่างเงียบกริบเป็นเชิงขอบคุณ หากไม่วายทิ้งท้ายด้วยคำบ่น “ไม่นานฉันคงอ้วนตัวกลม นั่งๆ นอนๆ ทุกวัน อาหารที่ศจีเอามาให้ก็อร่อยทั้งนั้น” “คุณอ้วนอีกนิดก็ยังสวยค่ะ” “จริงเหรอศจี พูดอย่างนี้รู้หรือเปล่าว่าฉันบ้ายอ ถือเอาจริงจังเลยนะ” ปิ่นลดาล้อคนหน้านิ่ง ขนาดนี้แล้วเจ้าตัวแค่ยกมุมปากยิ้มตอบนิดเดียว “ฉันกลับแล้วนะ เย็นจะมาใหม่ คุณอยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า” ปิ่นลดาชะงักมือที่กำลังตักอาหาร นิ่งเป็นครู่ ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ สุดท้ายก็อยู่ตามลำพัง ศจีคงไม่ใช่เพื่อนคุยของเธอจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่แค่มาส่งข้าวปลาวันละสามครั้งแล้วจากไปเมื่อหมดหน้าที่อย่างนี้หรอกในบ้านหลังกะทัดรัดที่ปลูกสร้างมาหลายสิบปีตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ สภาพภายนอกเก่าคร่ำคร่าเพราะขาดการดูแล แต่ด้านในยังคงสะอาดสะอ้าน เครื่องใช้เครื่องเรือนแม้จะเป็นของเก่าแต่ดูมีราคา เห็นกลิ่นไอความหรูหราครั้งอดีต
“เด็กบอกว่าคุณให้รื้อของในห้องยายลดาทิ้ง หมายความว่ายังไง เด็กคนนั้นแค่ไปทำงานไม่ใช่หรือ กลับมาแล้วจะพักห้องไหน” “กว่าจะกลับมา บ้านก็เปลี่ยนมือไปแล้ว ทยอยเคลียร์ของในบ้านตอนนี้แหละดีแล้ว” “คุณ...” คู่ชีวิตอุทาน มองชายวัยกลางคนอย่างคาดไม่ถึง สีหน้าและแววตานั้นดูเรียบเฉย ไร้ความรู้สึกอย่างที่เธอว่าดูแปลกตา “ผมตัดสินใจแล้วว่าเราควรย้ายออกจากบ้าน ไปอยู่ใกล้ลูกของเรา หรือว่าคุณไม่อยากไป” “อยากสิคะ ฉันบอกคุณให้ขายตั้งนานแล้ว คุณมัวแต่เสียดายสมบัติเก่าของพ่อแม่คุณ ที่ดินแถบนี้ใครๆ ก็ต้องการ ขายกันตารางวาละตั้งหลายแสน ยิ่งของเรากินเนื้อที่ตั้งสองไร่กว่า ขายตอนนี้เราก็เป็นเศรษฐีกันแล้วนะคุณ” นายวัฒนะพยักหน้า มองสีหน้าดีใจของภรรยาแล้วมีกำลังใจว่าตนได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สำหรับเด็กคนนั้น เขาก็ได้ทำตามคำขอของลูกน้องเก่าเหมือนกัน เลี้ยงดูลูกสาวกำพร้าของเจ้าตัวก่อนจะสิ้นใจให้มีการศึกษา ส่งเสียให้เรียนจบปริญญา...คำสัญญาที่เขายึดถือมีเพียงเท่านี้ และมันสิ้นสุดเมื่อหลายเดือนก่อน นับจากนี้ปิ่นลดาจะมีชีวิตเป็นอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับเขา “แล้วยายลดารู้เรื่องที่เราจะย้ายกันหรือยังคะ”“ช่างเถอะ แกจะรู้หรือไม่รู้มีค่าเท่ากัน” นายวัฒนะบอกปัด ภรรยาก็ไม่เซ้าซี้ถาม ในเมื่อเธอได้ในสิ่งที่ต้องการและหมายตามานาน เรื่องอื่นก็ไม่น่าสนใจอีก…แต่ยังมีอีกอย่างที่สงสัยอยู่“แล้วเงินล่ะคะ เงินที่เราเอาของคุณรัชภาคย์มา ป่านนี้รวมดอกเบี้ยตั้งเท่าไหร่แล้ว จะคืนเขายังไง”“ไม่ต้องคืน เราล้างหนี้ไปแล้ว”“เมื่อไหร่คะ คุณเอาเงินที่ไหนไปคืน ฉันจำได้ว่าที่หยิบยืมเขาส่งให้ยายแหววเรียนต่อตั้งแต่มัธยมจนจบปริญญาที่ต่างประเทศมันก้อนใหญ่มาก ไหนเงินที่คุณเอาไปไถ่ถอนบ้านจากธนาคารเมื่อ 2-3 ปีก่อนอีก คุณเอาเงินตั้งมากมายมาจากไหน” “ไม่ต้องสงสัยหรอก คุณรู้แค่ว่าผมหาเงินพวกนั้นมาได้ ไม่ได้คดโกงจี้ปล้นใครก็พอ เจ้าของเงินเต็มใจให้เรา แลกกับของที่ผมส่งไป จากนี้ไปบ้านหลังนี้เป็นสิทธิ์ของผมกับคุณ หนี้ที่ส่งเสียยายแหววก็เคลียร์แล้วเหมือนกัน”“ค่ะ ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันรู้ ฉันก็ไม่ต้องการรู้ ฉันไว้ใจคุณ ส่วนบ้าน ฉันจะเริ่มเคลียร์ของออกตั้งแต่พรุ่งนี้” ดวงหน้าอูมอิ่มของหญิงวัยกลางคนดูเบิกบาน หากเป็นครู่ก็เปลี่ยนเป็นระแวงขึ้นอีก “แล้วแน่ใจนะว่าคุณรัชภาคย์ไม่ตามมาทวงหนี้คุณ พูดก็พูดเถอะ ฉันกลัวเขาจริงๆ ดูป่าเถื่อนช
ปิ่นลดาครางกับตัวเอง นอกจากหลงมาอยู่ในที่แปลกประหลาด แต่ละคนที่หล่อนเจอก็เหมือนหลุดจากโลกที่เธอไม่คุ้นเคยด้วยศจีไม่ต่อล้อต่อเถียง หิ้วปิ่นโตเดินไปในห้องครัว คงจะจัดอาหารให้เธออย่างที่เคยทำนี่เป็นหน้าที่ของศจีใช่ไหม ใครเป็นคนสั่งมา หรือจะเป็นคุณใหญ่คนนั้น“ฉันอยากพบคุณใหญ่ค่ะ” ปิ่นลดาต้องพูดซ้ำถึงสามครั้งกับคนสามคนในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเดินมายังคฤหาสน์ใหญ่ คนแรกที่เจอเมื่อเข้ามาถึงเขตต้องห้ามตามที่ศจีเคยบอก เธอเห็นผู้ชายที่คงเป็นคนสวนง่วนอยู่กับการดูแลสวนดอกไม้ที่เคยเผลอเดินเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งพอสังเกตใกล้ ปิ่นลดาก็นึกทึ่งว่าแท้จริงนอกจากไม้ดอกและไม้ประดับที่พอคุ้นตาแล้ว ยังมีพืชผักต่างๆ ปลูกเป็นแปลงยาว ดูเป็นระเบียบ สวยงามไม่ต่างกันหากว่ารายแรกนั้น เมื่อเธอถามก็ต้องอารมณ์เสียสุดฤทธิ์ นอกจากเธอจะถูกมองเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด แล้วถูกเดินหนีอีกต่างหากมันน่าหงุดหงิดนักเชียว หญิงสาวถึงฮึดมาถึงหน้าระเบียงคฤหาสน์ คราวนี้เป็นผู้หญิงรุ่นเดียวกัน เห็นเธอแล้วทำหน้างุนงง ก่อนเดินมาถามอย่างลังเล และปิ่นลดาก็ต้องพูดประโยคนั้นเป็นครั้งที่สองผลที่ได้นั่นหรือ...เลวร้ายไม่ต่างกับรายแรก...จะด
พวงทิพย์เดินกลับเข้าโถงคฤหาสน์ด้วยอาการคอแข็งจัด เธอไม่สบอารมณ์กับเหตุการณ์เมื่อครู่ แม่คนที่คุณใหญ่เลือกมาดูจะหัวแข็งไม่น้อย เธอหวั่นว่าสิ่งที่คิดว่าจะควบคุมได้ง่าย มันอาจไม่ใช่เสียแล้ว“เป็นอะไรคุณทิพย์ ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือ” เสียงห้าวทุ้มดังจากคนร่างสูงตรงในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสแล็กสีดำทำให้เจ้าตัวยิ่งดูแข็งแกร่งเคร่งขรึมขึ้นไปอีก พี่เลี้ยงเก่าแก่ที่พ่วงตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ถึงกับสะดุ้ง ดูน่าตลกในสายตาคนมอง หากใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มด้วยการผสมอย่างลงตัวของเลือดตะวันตกและตะวันออกนั้นแค่แย้มขบขันนิดเดียว ก่อนเลือนหาย กลายเป็นสีหน้าแห่งความเรียบเฉยเหมือนเดิม“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร คุณใหญ่บอกเรียกดิฉัน ต้องการอะไรหรือคะ”“ไม่มีหรอก แต่คุณทิพย์เดินหน้าเครียดเข้าบ้าน คิดว่าจะมีปัญหาแก้ไม่ตก ฉันจะได้ช่วย” เจ้าของคำพูดหยอกเล่นอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็นเดินนำไปทางระเบียงด้านข้างของคฤหาสน์ซึ่งดูเป็นสัดส่วนพอควร ทรุดกายนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะที่จัดไว้สำหรับรับประทานอาหาร“อุ๊ย! คุณใหญ่ไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ ดิฉันจะไม่มีปัญหาอะไร ที่คิดๆ อยู่ก็เป็นเรื่องคุณใหญ่ทั้งนั้น”“คิดเรื่องของฉัน...บอก
“ไม่...ไม่มี ฉันกลับละ”“งั้นเชิญ กลับไปเลย ไม่ต้องมาอีกยิ่งดี ฉันเบื่อหน้าคนขี้ขลาด ไม่มีหัวใจอย่างศจีเต็มทีแล้ว” คนไล่สะบัดหน้าพรืดเข้าบ้าน ท้ายเสียงเครืออย่างระงับไม่อยู่สองเท้าพาร่างบางเข้าห้องนอน แทนที่จะตรงไปยังห้องครัว เพราะความหิวมันหายไปหมดแล้ว กระแทกกายนั่งบนเตียง แล้วพ่นถ้อยคำระบายอารมณ์“เหมือนกันทั้งเจ้านายลูกน้อง ลึกลับ ทึมทื่อ เป็นผีดิบกันทั้งบ้าน ถามอะไรไม่รู้เรื่องสักคน”ใกล้ค่ำ รัชตะกลับมาถึงคฤหาสน์ราชเกียรติกูร บ้านที่สร้างไว้เพื่อระลึกถึงมารดาชาวแคนาดาที่จากโลกนี้ไปเมื่อห้าปีก่อน เขามีความทรงจำดีๆ กับมารดา แถมด้วยญาติสนิททางนั้น และยิ่งมากขึ้นเป็นทวีเมื่อเทียบกับญาติทางฝั่งบิดา บิดาถือกำเนิดในราชสกุลชั้นสูงของเมืองไทย แต่ถูกขับไล่ทั้งครอบครัวเพราะเลือกแต่งงานกับมารดาที่เป็นชาวต่างชาติ แทนที่จะเป็นคนสายสกุลใกล้ชิดกันที่ถูกวางตัวไว้เพื่อจะหนุนงานด้านการทูต มันคือความผิดที่รัชตะไม่ต้องการรับรู้ ไม่อยากเข้าไปยุ่ง อีกทั้งยิ่งหาข้อมูลหลายด้านก็ทำให้มั่นใจว่าอยู่ห่างกันไว้เป็นดีที่สุด เพราะไม่มีทางเลยที่เขาหรือคนอื่นจะรับรู้ถึงความจริงจากเหตุการณ์ซับซ้อนพวกนั้น แม้ ‘พ่
คนร่างอรชรนอนคว่ำหน้า สายตาไล่ตามตัวหนังสือที่เธออ่านซ้ำ เป็นรอบที่สาม จนเกินชั่วโมงจึงพลิกกายหงาย แล้วทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่าย“เบื่อจนเครียด ใกล้จะบ้าแล้วนะ รับรองเถอะ ฉันบ้าเมื่อไหร่ ลุงได้สังเวยความบ้าของฉันเป็นคนแรกแน่ ลุงคุณใหญ่แห่งบ้านผีดิบ!”ท้ายเสียงกระแทกขุ่นมัว นึกภาพชายชราผมขาวโพลนทั้งหัว หากเรือนกายยังกำยำล่ำสัน มีรัศมีสีเทาแผ่ออกมา...และเมื่อภาพนั้นชัดขึ้นปิ่นลดากลับนึกขันปนสมเพช“คงมีเมียเด็กซุกไว้ในคฤหาสน์ พอมีลูก เลยต้องซุกต่อ จะจ้างพี่เลี้ยงยังต้องทำลับๆ ล่อๆ แก่แล้วไม่เจียมตัว ทำเราเดือดร้อนไปด้วย” หล่อนว่าใส่อารมณ์ พยายามสูดลมหายใจลึก บรรเทาอารมณ์เดือดพล่าน แต่เมื่อไม่เป็นผลจึงต่อว่าฝากฟ้าลม “ถ้าลุงอยู่ส่วนลุง ฉันก็ไม่สนใจหรอก ชีวิตใครชีวิตมัน แต่ตอนนี้ฉันอยากฉีกอกลุง ตัณหาหน้ามืดของลุงทำฉันเดือดร้อน ลุงกำลังคุกคามชีวิตอันสงบสุขของฉันอยู่ เข้าใจไหม”เจ้าหล่อนทุบกำปั้นลงกับที่นอน พ่นลมหายใจฟืดฟาดอย่างเคืองแค้น การถูกกักขังให้อยู่ในบ้านหลังเล็ก โดยมีคนคุมคอยส่งอาหารเช้าเที่ยงเย็น จะติดต่อใครก็ไม่ได้ การจะออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก เป็นอันไม่ต้องคิดฝันถึงขนาดนี้ ใครจะ
คนร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งบนระเบียงขบกรามแน่น สายตาคมกริบจ้องไปยังหญิงสาวอย่างประเมินและครุ่นคิด ขณะที่นายปั้นกับนายแสงถึงกับตัวสั่น กล้าๆ กลัวๆ ที่จะห้ามเธอ “กลับไปได้แล้ว แล้วคืนนี้ไม่ต้องมาอีก” เสียงดุกร้าวดังแทรกความเงียบ ปิ่นลดาทำท่าจะค้าน แต่พอเห็นว่าสองคนข้างหลังขยับตัว พากันเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เธอเลยถึงบางอ้อคิดว่าจะถูกไล่ซ้ำไล่ซ้อนซะอีก เฮ้อ!เมื่อสองคนนั้นหายไปแล้ว ปิ่นลดาจึงหันมายังชายคนที่หมายตาว่าจะทำให้เธอพบกับตาเฒ่าตัณหากลับที่ทำให้เธออยู่ในสภาพนี้ให้ได้ แต่พอเห็นว่าร่างนั้นกำลังก้าวลงจากบันไดที่ทอดเลื้อย เธอก็ขยับตัว บอกตัวเองไม่ได้ว่าควรดีใจหรือวิ่งหนีกันแน่ร่างใหญ่ทะมึนหากเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ดูประเปรียว ทำให้เธอรู้สึกไม่ต่างกับการเผชิญกับเสือดำ!“ฉัน...ฉันไม่อยากคุยกับคุณ แต่อยากให้เรียกคุณใหญ่มาคุยกับฉัน” ปิ่นลดายอมเสียฟอร์ม เมื่อสัมผัสถึงรังสีอันตรายจากผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้า แต่คะเนจากขนาดร่างกายและความคล่องตัวของเขา หล่อนฉลาดพอที่จะไม่ต่อกร“มีอะไรบอกกับฉันได้”“ไม่ได้หรอก ฉันมีเรื่องสำคัญ คนนอกไม่เกี่ยว”“อ๋อ เรื่องระหว่างเธอกับเขา เรื่องลั
โรงแรมใหญ่ที่สุดในเชียงราชซึ่งเป็นพื้นที่ประตูการค้าเปิดใหม่ สามารถเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านและเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าที่สำคัญ ส่งผลให้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่นักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศต่างจับตามอง เข้ามาแสวงหาโอกาส จนสร้างความร่ำรวยและยิ่งใหญ่ให้กับหลายราย ไม่ต่างกับเจ้าของโรงแรมหนุ่มเลือดผสมที่เดินเข้ามาในโถงล็อบบีอย่างสง่าและมั่นคง รัชตะ ราชเกียรติกูรกลับมาเมืองไทยเมื่อเจ็ดปีก่อน ในตอนนั้นเขาเป็นคนหนุ่มเลือดร้อนวัยเบญจเพส ความใจถึง กล้าได้กล้าเสีย รวมถึงเงินทุนมหาศาลที่ได้จากแม่ชาวแคนาดาที่เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุเรือสำราญล่มพร้อมกับพ่อชาวไทย จึงส่งผลให้แค่ไม่กี่ปี ชื่อของเขาก็ผงาดขึ้นเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าที่ใครๆ ก็อยากเข้าถึงแต่ดูว่าสิ่งที่หลายคนต้องการไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ รัชตะเก็บเนื้อเก็บตัวยามอยู่เมืองไทย แต่ถ้ามีเวลาว่างพอ สิ่งแรกที่มักทำคือเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นการพักผ่อนในตัวด้วยเครื่องบินส่วนตัว โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่ประเทศแคนาดา บ้านเกิดและสถานที่ที่เขาเติบโตมา แม้ว่าตอนนี้จะไม่เหลือทั้งพ่อและแม่อยู่แล้วก็ตาม แต่ที่แห่งนั้นก็ยังเป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรั
รัชตะหงุดหงิดทั้งวันเมื่อต้องทำงานอยู่ในโรงแรม ช่วงบ่ายเขามีนัดกับนักธุรกิจจีนที่จะมาคุยรายละเอียดในกิจการประกอบรถยนต์ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างเขาและผู้ร่วมหุ้นอีกสองคนถ้าจะเลื่อนนัด รัชตะสามารถทำได้ เพราะความที่ค่อนข้างสนิทสนมและยังรู้ว่านักธุรกิจคนนี้จะพักอยู่ในโรงแรมอีกสามวันกับครอบครัว แต่เขาไม่ต้องการทำ ไม่อยากทำในสิ่งที่ตอกย้ำว่าปิ่นลดามาอยู่เหนือความคิดเขาไปแล้ว“คุณดูใจลอย” คำพูดดังแว่วของมิสเตอร์จางทำให้รัชตะรู้สึกตัว เขายังสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้สะดุ้งจนขายหน้า ชายหนุ่มมองชายร่างใหญ่หากจะเทียบกับเชื้อชาติพันธุ์ของเขา แล้วตีหน้าจริงจัง หลังจากเรียกสติคืน“คุณพร้อมดูโรงงานเมื่อไหร่ บอกผมล่วงหน้าสักวัน แล้วจะจัดการให้”“ผมต้องดูแน่ แต่เพื่อศึกษานะ ไม่ใช่ตรวจสอบเพราะไม่วางใจ ผมรู้รายละเอียดคนที่คุณดึงมาร่วมงานในฝ่ายการผลิตแล้ว ยังทึ่งว่าคุณทำได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าพวกมีฝีมือ องค์กรเดิมดึงตัวไว้เหนียวหนึบ แกะไม่หลุดเชียว”“แค่เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้แล้วครับ”รัชตะตอบอย่างมีเชิง มิสเตอร์จางหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ เขาพอใจที่ได้ร่วมธุรกิจกับสิงห์หนุ่
“คุณจะไปไหนคะ”“อย่าบอกนะว่าคิดถึงฉันจนไม่อยากให้ห่างตัว”“ไม่ใช่สักหน่อย แค่จะบอกว่าฉันเปลี่ยนใจ” หล่อนอุบอิบบอกชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เจ้าหล่อนช้อนตามอง กลั้นใจพูดต่อ “ที่บอกว่าอิ่มผลไม้จนตื้อน่ะ ตอนนี้มันย่อยหมดแล้ว ฉันหิวมากเลย”พอรู้ปัญหาของเธอ รัชตะก็หัวเราะอย่างกลั้นไว้ไม่ไหว ผู้หญิงคนนี้หลากหลายอารมณ์จนตามไม่ทันจริงๆ“เอาสิ ลงไปด้วยกัน อยากกินอะไรเดี๋ยวให้คนหามาให้ รับรองอร่อยไม่แพ้แม่ครัวในโรงแรม”“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นค่ะ ฉันไม่ใช่คนกินยากสักหน่อย แค่กับข้าวพื้นๆ สองอย่างก็พอแล้ว”หล่อนออกตัวได้อย่างน่ารักในความรู้สึกของคนฟัง!แล้วนายใหญ่แห่งคฤหาสน์ราชเกียรติกูรถึงกับงุนงง ไปไม่เป็นเอาเสียเลยเมื่อเจอกับปัญหาที่คาดไม่ถึงบนโต๊ะอาหารที่พาหญิงสาวลงมารับประทานในมื้อเที่ยงของวันนั้นแค่เห็นอาหารเมนคอร์สที่จัดไว้อย่างน่ารับประทาน เจ้าหล่อนก็โผเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง!“บอกแล้วว่าอยากกินกับข้าวพื้นๆ สองอย่าง”
“แอบฟังไม่พอ ยังจับไปตีความผิดๆ อีก”“หาว่าฉันเป็นพวกฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดหรือไง”“ใช่เลย คำนี้เลย ฉันคิดไม่ทัน”รัชตะดีดนิ้วเปาะ รับสมอ้างไปเสียอย่างนั้น อยากรู้ว่าแม่คุณจะโพล่งอะไรออกมาให้เขารู้อีก“ฉันเกลียดคุณ”ถ้อยคำหลุดมาแผ่วเบาจากคนที่นั่งเบี่ยงกายหันหลังให้ เธอไม่รู้หรอกว่าทำให้คนตัวใหญ่แทบเสียหลัก แม้จะพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าเพียงเป็นคำพูดของผู้หญิงที่กำลังน้อยใจ ไม่ได้มีความจริงสักเท่าไหร่เลยก็ตามรัชตะพาหญิงสาวมายังโรงแรมหรูระดับห้าดาว สถานที่เขานั่งทำงานประจำเกือบทุกวัน หลังจากพาเธอไปยังห้องรับรองส่วนตัวชั้นบนสุด แล้วสั่งให้เลขานุการดูแลอย่างดี แบบไม่ให้คลาดสายตา ก่อนจะลงมาพบลูกค้าคนสำคัญที่นัดไว้ในห้องด้านล่างที่จัดไว้โดยเฉพาะปิ่นลดาเหลียวมองรอบตัว สัมผัสถึงความโอ่อ่าหรูหรา มันน่าทึ่งไม่ต่างจากหลายสถานที่ที่หล่อนเห็นมาในวันนี้ แต่ตอนนี้เธอหมดอารมณ์จะชื่นชมมันแล้วมือบางยกมาวางบนหน้าท้องแบนราบ หัวใจอุ่นวาบขึ้นมา ก่อนนี้มีแต่ความสับสนเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งท
“ไม่ต้องการหรอก”“ฉันต้องการเธอฝ่ายเดียวก็ได้ ไม่เป็นไร”เขาพูดกำกวม ทำเหมือนใจป้ำ แต่ดวงตาคมแวววามนั้นปิดความคิดไม่มิด หรืออาจตั้งใจให้หล่อนรู้ปิ่นลดาหน้าร้อนวูบ อย่างไรเสียเธอก็ไม่มีทางชินกับเรื่องทำนองนี้กับเขา และดูว่าสองสามวันมานี้ รัชตะเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน เปิดเผยตัวตน เปลี่ยนท่าทีกับหล่อนแต่สำหรับหญิงสาวนอกจากความน่ากลัวของเขาจะไม่ลดลงจากเดิม แต่เธอกลับต้องกลัวใจตัวเองเพิ่มขึ้นรถแล่นบนถนนเลียบเขตเมืองเพื่อไปสู่เป้าหมายอันเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดของเมือง เมื่อมาถึงปิ่นลดาก็นึกทึ่งอีกหน ตึกใหญ่ที่ทันสมัยแทรกอยู่ในความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ รายล้อมด้วยผืนป่าได้อย่างกลมกลืนรัชตะจับมือหญิงสาว หลังจากสองคนก้าวลงจากตอนหลังของรถเมื่อแล่นมาจอดเทียบหน้าตึก ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในนั้น พยาบาลสองคนที่มายืนรอรับก็เดินนำไปขึ้นลิฟต์ แล้วตรงไปยังห้องหนึ่งที่มองยังไงก็เหมือนห้องรับรองในโรงแรมห้าดาวมากกว่าห้องตรวจในโรงพยาบาลไม่ถึงนาทีที่รอคอย ประตูห้องนั้นก็เปิดออก ร่างสูงเพรียวในเสื้อกาวน์สีขาวก็เข้ามา ปิ่นล
ปิ่นลดาได้ออกจากบ้านเป็นครั้งแรก นับจากย่างเข้ามาในเขตคฤหาสน์ราชเกียรติกูร หากการออกไปในครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยความตั้งใจเหมือนสองครั้งแรกที่เธอพยายามหนี แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่าหญิงสาวทอดสายตาออกนอกรถที่แล่นบนถนนลาดยาง นานๆ ถึงจะมีรถแล่นสวนมาสักคัน ทิวทัศน์นั้นช่างดูงดงาม ปิ่นลดาเคยค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเมืองนี้ทันทีที่รู้ว่าจะต้องเดินทางมา และสิ่งที่เห็นก็ไม่ต่างจากที่เคยรู้จริงๆ“ชอบหรือเปล่า”“สวยดีค่ะ”“แถวนี้ยังเป็นนอกเมือง บ้านที่เราอยู่เรียกว่าเนินคุ้มหมอก มีหมอกคลุมหนาตาเพราะภูเขาล้อมรอบ เห็นชัดในช่วงหน้าหนาว ตอนนี้เป็นปลายฝนต้นหนาวพอดี ไม่นานเธอจะได้เห็นมัน แล้วจะรู้ว่าที่ฉันบอกไม่ไกลเกินจริง”ปิ่นลดาเหลือบมองคนพูด เห็นสีหน้ายิ้มๆ เหมือนคนกำลังอวดของถูกใจก็อดรู้สึกแปลกในท่าทีเขาไม่ได้ หากปนไปด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าแต่ก่อนจนรถแล่นเข้าเขตเมือง เห็นตึกสูงปลูกเป็นแนวกลืนกับทิวเขา รัชตะเบนสายตาตามคนที่เกาะหน้าต่างมองอย่างให้ความสนใจ“สวยจังเลยค่ะ เหมือนไม่ใช่เมืองไทย”“เชีย
“แล้วจะทำอะไร นี่ยังเช้ามืดอยู่”“คุณไม่ต้องมายุ่งหรอก ฉันมีอะไรให้ทำเยอะแยะ”“เช่น...” เขาถาม เห็นท่าทางเหลียวมองรอบกายแล้วกลับมาทำท่าอ้ำอึ้งของเธอก็หัวเราะขึ้น ความอ่อนโยนกำลังเกาะหนึบในหัวใจเขารัชตะจูงมือหญิงสาวพาไปยังมุมหนึ่งของห้องที่หล่อนเพิ่งเห็นว่าเป็นมุมพักผ่อนอย่างดี มีทั้งทีวีและตู้หนังสือติดผนังขนาดย่อม“อยู่ในนี้แล้วกัน เบื่อหรือง่วงเมื่อไหร่ก็ตามมา”จัดการให้เธอเสร็จ ชายหนุ่มก็กลับไปยังเตียงนอนนุ่มกว้าง ปล่อยคนร่างบางให้มองตามด้วยความรู้สึกหลากหลาย สุดท้ายทั้งทีวีและหนังสือที่คิดว่าจะสนใจกลับไม่สามารถจูงใจเธอได้เลย เมื่ออยู่ตามลำพัง ความเงียบก็ทำให้ความรู้สึกเธอเปลี่ยนไปปิ่นลดาซุกตัวบนโซฟา เหลือบมองคนที่นอนบนเตียงเหมือนไม่สนใจเธอ ยกมือปาดน้ำตาแล้วนอนขดตัวบนโซฟาบ้างหญิงสาวหลับตา เธอไม่เข้าใจตัวเอง หงุดหงิดกับอาการที่กำลังเป็น บางทีเหมือนเรียกร้องความสนใจจากเขา หล่อนรู้สึกตัวดี แต่ถ้าไม่ทำ เธอก็ถูกความโหยหาโถมเข้าใส่ ปิ่นลดาไม่อยากจมอยู่กับความรู้สึกว่าทุกคนในโลกใบนี้หันหลัง
คนตัวใหญ่ปลอบด้วยสีหน้าร้อนรนเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ยากจะรับมือ ก่อนลุกจากเตียง เดินลิ่วไปทางประตู จากนั้นปิ่นลดาก็ได้ยินเขาสั่งคนรับใช้เสียงเข้มอย่างที่เธอต้องหยุดฟังแล้วประเมินค่ำคืนนั้นปิ่นลดาเจอสถานการณ์ที่เดาไว้ก่อนแล้ว การจะขยับตัวไปทางไหน โดยไม่มีสายตาเขาจับมอง เป็นอันว่าเป็นไปได้ยากเหลือเกิน“ในไร่ยังมีผลไม้อีกหลายอย่าง นอกจากลูกพลับ”รัชตะบอก ย้ำเสียงในตอนท้ายเหมือนยังติดใจที่กว่าหล่อนจะยอมกินก็วุ่นกันทั้งบ้าน‘ฉันจะกินที่เก็บใหม่จากต้น แต่ในจานนี้ไม่ใช่ ฉันรู้ว่าไม่ใช่’ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนรู้ได้อย่างไร แม้แต่รัชตะ แต่เมื่อมันเป็นจริงตามหล่อนว่า ผลไม้เหล่านี้ถูกเก็บมาไว้ในครัวตั้งแต่เมื่อวาน สำหรับคนปกติถือว่ายังเป็นผลไม้สดใหม่ แต่ไม่นับรวมถึงคนท้องคนนี้‘ไปบอกนายปั้นให้ไปเก็บมาใหม่’รัชตะสั่งเด็กทันทีอย่างต้องการเอาใจเธอ แต่แล้วกลับต้องอึ้ง‘ฉันไม่ไว้ใจนายปั้น ฉันอยากให้คุณไปเก็บเอง’‘อะไรนะ เธอจะให้ฉันไปเก็บลูกพลับในไร่มาให้เธอกินหรือ’‘ใช่ ถ้าคุ
งุนงงแป๊บเดียว แฟรงค์ก็ไหวไหล่ ทำท่าเหมือนศาสดาผู้หยั่งรู้ทุกสิ่งในโลก ไม่ใช่หมอที่เชี่ยวชาญจากการเรียนรู้และฝึกฝน“นายจะว่าอะไรไหม ถ้าฉันคิดว่าเธอแค่อ้างเพื่อไม่ให้นายแตะต้องตัวเธอ”“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง ทำไมเธอต้องอ้างอย่างนั้นด้วย นายเป็นคนนอก อย่าอวดรู้ไปหน่อยเลย” รัชตะกัดฟันกรอด ไม่ชอบหน้าเพื่อนที่คบกันมาเกือบยี่สิบก็คราวนี้ละ“นายนอนกับเธอบ่อยแค่ไหน”“บ่อย เกือบทุกคืน” ไม่อยากตอบ แต่ก็ต้องตอบ เพราะสำนึกอีกส่วนบอกว่าเพื่อนที่รั้งตำแหน่งหมอประจำตัวของปิ่นลดากำลังทำหน้าที่อยู่“นานแค่ไหน”“น่าจะสองเดือน”“ก่อนนี้เธอมีประจำเดือนไหม หมายถึงนายต้องงดเว้นการหลับนอนกับเธอเพราะสาเหตุนี้บ้างหรือเปล่า”“ไม่นะ ไม่มี” รัชตะตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด แล้วก็เบิกตาโต “นาย...นายหมายความว่า…”“ก็ตรงกัน ความเข้าใจฉันไม่ผิด เมื่อวานตรวจร่างกายคุณปิ่นลดา ฉันสงสัยบางอย่าง แต่วันนี้มั่นใจมากขึ้นหลังจากคุยกับเธอและตรวจปัสสาวะ&rdquo
ภาพของหมอหนุ่มต่างจากภาพในความคิดของปิ่นลดาโดยสิ้นเชิง ผู้ชายวัยกลางคนใส่แว่นตาท่าทางอ่อนโยนไม่มีให้เห็นในตัวของคนตรงหน้าที่ยืนยิ้มอย่างพร้อมทำความรู้จัก“ปิ่นลดา นี่หมอแฟรงค์ เพื่อนของฉัน”“ค่ะ สวัสดีค่ะ”ปิ่นลดายกมือไหว้แทบไม่ทัน เมื่อได้ยินคำแนะนำและเพิ่งรู้สึกตัวว่ามองคนมาใหม่มากไป แล้วเหลือบเห็นเจ้าของเสียงที่ปลุกเธอตื่นจากความสงสัยและประหลาดใจ เขาตีสีหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจอยู่ จะด้วยสาเหตุใดเธอก็ไม่รู้ หรือติดพันจากการเถียงกันเมื่อครู่ก็สุดจะเดา“เป็นยังไงบ้างครับ ได้ข่าวว่าแข็งแรง ดีขึ้นมากแล้ว”“ฉันสบายดีค่ะคุณหมอ ไม่ได้ป่วยไข้อะไร”“ได้ยินอย่างนี้หมอก็สบายใจครับ”ปิ่นลดายิ้มโล่งอก เหมือนหมอจะไม่ติดใจอาการของเธอแล้ว แต่เสี้ยววินาที รอยยิ้มเธอก็หายวับ“ใหญ่ นายออกไปก่อน ฉันขออยู่กับคุณปิ่นลดาตามลำพัง”“ได้ยังไง นายจะตรวจก็ตรวจไปสิ ห้องตั้งกว้าง ฉันเกะกะนายตรงไหน”“หวงมากหรือ งั้นไปเรียกเด็กมาอยู่ในห้องสักคน แล้วเชิญนายออกไป&
“งั้นเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วออกมาทานข้าว ฉันจะให้คนยกมาในห้อง ส่วนเสื้อผ้าเธอ ให้ศจีขนมาให้ทั้งหมดนั่นละ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็บอก”“ตกลงว่าฉันกลายเป็นนักโทษขังเดี่ยวไปแล้วใช่ไหมคะ”“ขังเดี่ยวที่ไหน ขังคู่กับฉันต่างหาก”รัชตะว่าเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึม ไร้ร่องรอยล้อเลียน แต่ปิ่นลดารู้หรอกว่าเขาแสร้งทำ เพราะดวงตาสีสนิมเหล็กนั่นพราวระยับทั้งวันรัชตะคอยป้วนเปี้ยนใกล้ปิ่นลดา โดยเธอคิดว่าเป็นเพราะเขาว่างจากงาน จึงลงทุนเฝ้าเธอด้วยตัวเอง คงกลัวว่าจะหนีพอตกบ่ายหญิงสาวผล็อยหลับ ด้วยสาเหตุที่เจ้าตัวรู้ดี...อาการจากความเปลี่ยนแปลงของร่างกายคงปรากฏแล้วแต่พอตื่นในเวลาใกล้เย็น เธอกลับเห็นชายหนุ่มนั่งทำงานง่วนอยู่กับโต๊ะทำงานชั่วคราวที่จำได้ว่าเมื่อเช้าไม่มีมันอยู่ตรงนี้“ตื่นแล้วหรือ หิวไหม จะกินอะไรหรือเปล่า” เขาวางปากกา เงยหน้ามองเธอ เพราะอาจรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาอยู่“คนเพิ่งตื่นนอน จะหิวได้ยังไง ทำยังกับไปวิ่งข้ามเขามาอย่างนั้นละ” คนถูกถามตี