บิดามารดาลอบสบตากันแล้วถอนหายใจ บุตรชายคนรองนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับหญิงสาวที่บุตรชายประกาศว่าจะแต่งเป็นภรรยา ที่ผ่านมาสองภรรยาหวังใจให้ลูกชายได้แต่งงานมีครอบครัวเฉกเช่นผู้อื่น แต่เพราะหัวใจที่อ่อนแอแต่กำเนิด คอยประคับประคองชีวิตให้ผ่านแต่ละวันได้ก็แสนยากเข็น ที่สำคัญ พวกเขาก็เคยทำร้ายจิตใจหานหรงเหยามาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งที่รู้ว่าหานหรงเหยามั่นรักกับหลัวซู่เหมย แต่สองตระกูลก็ลงความเห็นว่า ควรให้นางเข้าสกุลหานด้วยการแต่งงานกับหานลี่จู ครั้งนั้นหานหรงเหยาถึงกับไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีก แม้ปากเอ่ยแสดงความยินดีแต่ในใจย่อมเจ็บปวด ประจวบกับองค์ชายสามเปรยว่าต้องการกุนซือช่วยวางแผนการรบที่ชายแดน หานหรงเหยาฝืนคำห้ามปรามของบิดาเดินทางเข้ากองทัพในฐานะที่ปรึกษา แรกทีเดียวคิดว่าหานหรงเหยาจะอยู่เพียงไม่กี่เดือน แต่กลายเป็นสามปีไม่กลับบ้าน มีเพียงจดหมายโต้ตอบและคอยส่งยาให้ต้มดื่มเป็นประจำ
คนเป็นพ่อแม่ย่อมดีใจที่รู้ว่าลูกชายจะแต่งงาน ทว่าหากหญิงสาวที่ลูกเลือกสมฐานะกันสักหน่อยคงไม่มีปัญหาอันใด แต่หญิงสาวที่หานหรงเหยาต้องการให้เป็นภรรยา เป็นหญิงกำพร้าที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า มีเพียงใบหน้างดงามและรูปร่างอรชน กิริยามารยาทก็หยาบกระด้าง ไม่มีความรู้ด้านโคลงกลอนหรือดนตรีก็ไม่มี นางเป็นเพียงสาวใช้ขั้นต่ำใช้แรงงานเท่านั้น มอบฐานะอนุให้นางก็นับว่ามากแล้ว แต่หานหรงเหยาต้องการให้นางเป็นภรรยาและเป็นภรรยาเอกเท่านั้น
“อย่างไรลูกกับนางก็มีความสัมพันธ์กันแล้ว ขอท่านพ่อท่านแม่สนับสนุนลูกกับเข่อซิงด้วย”
หานกั๋วกงระบายลมหายใจหนักหน่วง “เจ้าคิดแต่งงานย่อมเป็นเรื่องดี แต่นาง...นางเป็นแค่สาวใช้ เจ้ารับนางเป็นอนุก็มากพอแล้ว หากจะยกนางเป็นภรรยาเอก พ่อเกรงว่าไม่เหมาะสม”
“ก่อนหน้านี้ลูกสุขภาพไม่สู้ดี คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้ดี ไม่มีใครอยากแต่งงานกับคนใกล้ตายอย่างลูก แต่เข่อซิงไม่เคยรังเกียจคนใกล้ตายอย่างลูก นางดูแลลูกอย่างดี ท่านแม่ท่านพ่อก็เห็น เวลานี้ร่างกายลูกแข็งแรงกว่าแต่เดิมมากนั้นก็เพราะนาง”
“เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าลองทบทวนดูก่อนดีหรือไม่” มารดาหาทางประนีประนอม “ตั้งแต่เจ้ากลับมาครั้งนี้ก็ไม่เหมือนครั้งก่อน เจ้าดูสิ แม่สื่อมาจวนเราเยอะแค่ไหน สตรีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างปรารถนาจะเป็นสะใภ้สกุลหาน”
“ถ้าไม่ใช่เข่อซิง ลูกก็ไม่แต่งงาน” หานหรงเหยายืนกรานและบีบมือเข่อซิงแน่น
หลิวเข่อซิงกลัวว่าตนเองจะทำให้หานหรงเหยาต้องผิดใจกับบิดามารดาของเขา นางอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง นางไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งใดก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ข้างกายเขาก็พอ
“จะว่าไปครอบครัวเราเป็นหนี้บุญคุณหลิวเข่อซิงด้วยซ้ำไป” หานลี่จูเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้าพูดอะไรออกมา” มารดาส่งเสียงดุอย่างไม่พอใจนัก
“ท่านแม่ก็เห็น น้องรองแข็งแรงขึ้นมาก หัวใจก็ดีขึ้น ท่านหมอหลวงมาตรวจยังประหลาดใจ เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็ว่าได้ นั้นก็เพราะมีหลิวเข่อซิงมาอยู่ข้างกายน้องรอง นางอาจมีดวงชะตาเกื้อหนุนให้หรงเหยาของเรากลับมาเป็นปกติก็ได้ ถ้าคิดเช่นนี้แล้ว เราควรตอบแทนนางถึงจะถูกต้อง”
“จริงด้วย” หานหลี่เจี๋ยส่งเสียงสนับสนุน “ท่านพ่อท่านแม่ก็เห็น พี่รองใบหน้าผ่องใส สุขภาพแข็งแรงใช้ชีวิตปกติทั้งที่ไม่ได้ดื่มยาบำรุงใด หากท่านพ่อท่านแม่พรากพวกเขาสองคน พี่รองอาจกลับมาเจ็บป่วยอีกก็เป็นได้ มิสู้เราส่งเสริมให้ทั้งคู่ได้สมหวัง สืบสกุลหานของเราดีกว่าขอรับ”
“หลี่เจี๋ยพูดมีเหตุผล” หานลี่จูยิ้ม “มิใช่ว่าเจ้ากลัวมารดาจะบังคับให้แต่งงานหรอกหรือ”
“พี่ใหญ่! ข้าอายุแค่สิบเจ็ดจะรีบแต่งงานไปทำไมกันเล่า” หลี่เจี๋ยยิ้มทะเล้นที่ถูกจับได้
หานกั๋วกงและฮูหยินมองหน้ากันอีกครั้ง ที่ลูกชายคนโตพูดมาก็ถูก ทั้งสองทำทุกวิถีทางเพื่อให้หานหรงเหยาแข็งแรง ไม่ว่าหมอเทวดาที่ไหนก็เชิญมาตรวจรักษา ให้ขึ้นเขาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ทำกันมาแล้ว หรือแม้แต่แต่งงานสะเดาะเคราะห์ แต่ครั้งนั้นหานหรงเหยาไม่ยินยอม
“ถ้าเช่นนั้น คงต้องให้ซู่เหมยช่วยจัดการเรื่องนี้แทนแม่แล้ว” นางหานเจียอีหันไปมองลูกสะใภ้ที่ใบหน้าแย้มยิ้ม แต่หากรู้ไม่ว่า หลัวซู่เหมยกำมือแน่นจนเล็บจิกที่กลางฝ่ามือ หานลี่จูรู้จักภรรยาของตนเองดี หลัวซู่เหม่ยไม่เอ่ยปากรับ เขาจึงยื่นมือไปแต่หลังมือของนางเบาๆ แล้วกุมหลังมือนาง
“ลำบากเจ้าแล้ว ซู่เหม่ย”
หลัวซู่เหมยสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยตอบ “ข้าเป็นสะใภ้สกุลหานต้องทำเต็มที่อยู่แล้ว แม้นางเป็นกำพร้าก็จะจัดงานให้ดี เรื่องานพิธีจะให้ขาดตกบกพร่องไม่ได้ ผู้ใดรู้เข้าจะมาดูแคลนตระกูลหานได้”
“ดี เช่นนั้นแม่ต้องฝากเจ้าแล้ว”
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะๆ ลุกขึ้นได้แล้ว” หานกั๋วกงพูดขึ้น หากฟ้าลิขิตชะตามาเป็นเช่นนี้ก็คงไม่อาจขัดขวางได้ “พวกเจ้าก็ช่วยกันแผ่กิ่งก้านให้สกุลหานกันได้แล้ว”
หลัวซู่เหมยตัวเกร็งขึ้นมาทันที แต่หานลี่จูชิงพูดขึ้นมาก่อน
“กำลังจะมีเรื่องมงคลในบ้าน ก็พักเรื่องหาอนุให้ข้าก่อนเถิด อย่างไรเวลานี้เร่งรีบจัดงานมงคลให้น้องรองก่อนจะดีกว่า”
“คงต้องเป็นเช่นนั้น” มารดาพยักหน้ารับแล้วสบตากับหลิวเข่อซิง จะว่าไปเด็กคนนี้ก็ดูไม่เลวร้ายอะไรนัก “ขัดเกลาเรื่องมารยาทเสียหน่อยยามเข้าสังคมพบเจอบรรดาฮูหยินตระกูลอื่นจะได้ไม่อับอาย”
“ท่านพ่อท่านแม่ ลูกคิดว่าหลังแต่งงานแล้วลูกกับเข่อซิงจะกลับไปช่วยงานองค์ชายสามที่ชายแดนขอรับ”
“อะไรกัน! เจ้าจะไปอยู่ไกลแม่อีกแล้วรึ!” มารดาทำท่าจะเป็นลม
“ท่านแม่โปรดระงับอารมณ์ก่อน” หานลี่จูรีบไกล่เกลี่ย “น้องรอง ท่านแม่ยังไม่แข็งแรง เรื่องนี้ค่อยคุยกันเถิด”
“แต่...”
“ท่านแม่สำคัญที่สุด ท่านรีบไปดูท่านแม่เถิด” หลิวเข่อซิงรีบกระตุกแขนเสื้อของหานหรงเหยาไว้ไม่ให้พูดอะไรอีก แค่อนุญาตให้นางอยู่กับหานหรงเหยาได้ นางก็ดีใจมากแล้ว
หานหรงเหยาประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืน กำลังก้าวเข้าไปดูมารดา แต่นางโบกมือห้ามไว้
“แม่ไม่เป็นอะไร พักสักเดี๋ยวก็ดีขึ้น พวกเจ้าก็...มีอะไรก็ไปทำเถอะ”
หานลี่จูจึงประคองหลัวซู่เหมยขึ้นเพื่อเดินออกไปด้านอก หานหรงเหยาจับมือหลิวเข่อซิง ส่วนหานหลี่เจี๋ยยังทำคงทำหน้าทะเล้นแล้วเดินตามพี่ๆ ออกไป
“ดูสิ พวกเขาโตขึ้นมากแล้วนะ” คนเป็นพ่อพูดพลางส่ายหน้าไปมา “เหมือนไม่นานมานี้ ข้ายังเห็นพวกเขาแย่งชิงของเล่นกันอยู่เลย”
“นั้นสินะ ตอนนั้นหลี่เจี๋ยยังอ้อนวอนขอขี่คอลี่จูเพื่อไปเก็บว่าวที่ติดอยู่บนกิ่งไม้อยู่เลย” มารดาหัวเราะออกมา “วันนี้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว” “เสียดายก็แต่ซู่เหมย แต่งมาสามปียังไม่มีบุตร แต่นางก็ไม่เคยบกพร่องเรื่องใดเลย ข้าเองก็เห็นใจนางที่ต้องหาอนุให้ลี่จู” “หรงเหยาสุขภาพดีวันดีคืน ให้เขากลับมาช่วยดูแลเรื่องในจวน ลี่จูจะได้มีเวลาเอาใจซู่เหมย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็คงต้องครรภ์” “นั้นสินะ”“เจ้าก็ต้องรักษาตัวให้แข็งแรง จะได้มีแรงอุ้มหลาน”สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างมีความหวัง คนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากเห็นลูกๆ มีความสุข และจะดียิ่งถ้าได้มีชีวิตอยู่เลี้ยงดูหลานๆหลัวซู่เหมยชักมือกลับจากมือสามีที่เกาะกุมอย่างหลวมๆ นางยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามีธุระเล็กน้อย จะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมขอพรเรื่องมีลูกเจ้าค่ะ”“เจ้าไปเถิด” เขายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบผมของนางอย่างรักใคร่พลางก้มหน้ากระซิบได้ยินเพียงสองคน “คงปวดใจมากสินะที่เห็นหรงเหยาแต่งงาน”“ท่าน!” หลัวซูเหมยขึงตาใส่ หานลี่จูยังคงยิ้มอ่อนโยนแต่ดวงตามีแววเยาะเย้ย“ลำบากเจ้าแล้ว”หานหรงเหยาและเข่อซิงที่เดินตามออก
“ยินดีด้วยๆ ข่าวมงคลเช่นนี้ ข้าขอแสดงความยินดีจากใจจริง”หานหรงเหยาเพียงแค่ยิ้มรับ ยังไม่ทันเอ่ยเล่าสิ่งใด บานประตูก็เปิดออก ร่างอรชรของหลิวชิงเซียงก็ก้าวเข้ามา นางคารวะซุนเจ้าเฟิงอย่างเต็มพิธีแล้วจึงย่อกายคารวะหานหรงเหยา“คารวะองค์ชายสามเพคะ ที่ปรึกษาหาน”ซุนเจ้าเฟิงสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจที่นางวางตัวเหินห่างแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากโบกมือไปมา “เพิ่งรู้ว่าผู้ดูแลหลิวเล่นเพลงพิณได้ไพเราะยิ่งนัก เห็นทีโอกาสหน้าข้าต้องขอมาฟังเจ้าบรรเลงพิณที่นี่อีก”“หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ที่นี่ก็มีนักดนตรีเล่นพิณได้ไพเราะหลายคน องค์ชายสามชอบก็เชิญมาฟังได้ทุกเวลาเพคะ”หลิวเข่อซิงกระตุกแขนเสื้อหาหานหรงเหยาแล้วเอ่ยถาม “ข้าต้องพูดกับเจ้าคนนิสัยไม่ดีเหมือนศิษย์พี่หรือไม่”“ไม่ต้อง! ข้าไม่ชอบ!” ซุนเจ้าเฟิงรีบตอบทันที “แต่ห้ามเรียกข้าว่า ‘เจ้าคนนิสัยไม่ดี’อีก ถ้าข้านิสัยไม่ดีจริง เจ้าไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอก”“ความจริงเรียกคนนิสัยไม่ดีก็ถูกแล้ว คนนิสัยดีที่ไหนมาทวงบุญคุณผู้อื่นกันเล่า” หลิวเข่อซิงบ่นพึมพำ“นี่เจ้ากล้าว่าข้ารึ ถ้าไม่ใช่เพราะร้อยตำลึงของข้า นางก็คงอยู่ในหอนางโลมที่ชายแดนนั้น”“ถ้า
“นี่ท่านไม่รู้รึ เดิมที่หัวใจก็อ่อนแออยู่แล้ว แต่ร่างกายกลับได้รับพิษทำให้ร่างกายเย็นกว่าคนปกติทั่วไป ข้าเองไม่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษา แต่เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้น หากบำรุงตัวเองให้ดีอีกครึ่งปีท่านก็จะหายเป็นปกติ” หลิวชิงเซียงหัวเราะน้อยๆ แล้วรินน้ำชาให้ตนเอง“ขอพูดตามตรง ปีศาจอย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะชอบมีเรื่องกับมนุษย์ พวกเรากินพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้ถึงตาย ก็เหมือนที่มนุษย์เลี้ยงสัตว์เล็กๆ ไว้เป็นอาหาร ปีศาจอย่างพวกเราก็สามารถเลี้ยงมนุษย์ไว้ค่อยๆ กินพลังชีวิตของพวกเขาไปเรื่อยๆ หากเข่อซิงกินพลังชีวิตของท่านอย่างพอเหมาะ ข้ารับรองได้ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีกห้าสิบปี แต่ถ้าท่านเที่ยวเอาชีวิตไปเสี่ยงคมหอกคมดาบเหมือนสหายของท่าน ไม่ต้องพึ่งหมอดูที่ไหนข้าก็ทำนายได้ว่าไม่ได้แก่ตายอย่างแน่นอน”“ศิษย์พี่หมายความว่า...เขาจะไม่ตายเพราะข้าใช่ไหม”“มีผู้ใดหนีความตายได้บ้างเล่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้า สักวันก็ต้องตายแต่ข้าอยู่มาห้าร้อยห้าสิบปี เจ้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปี อย่างไรก็มีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์อยู่แล้ว”“เรื่องดีจริงๆ ขอบคุณผู้ดูแลหลิวที่ให้ความกระจ่างแก่ข้ากับเข่อซิง”“หา
นิ้วเรียวยาวแยกกลีบดอกไม้ที่คล้ำไปเล็กน้อยแต่ภายในยังคงคับแน่นดึงดูดผีเสื้อหนุ่ม ฟันคมขบกัดที่ยอดอกจนเปียกชุ่มและบวมขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่สองนิ้วแทรกในร่องรักที่บีบรัด เร่งเร้าให้คายน้ำหวานออกมา หานลี่จูถอนริมฝีปากจากเต้าคู่งามที่ช้ำเป็นจ้ำเลือดเพราะริมฝีปากของเขา แล้วยื่นหน้าไปกระซิบเสียงพร่า “เจ้าคิดถึงหรงเหยาอยู่สินะ แต่ร่างกายเจ้าเป็นของข้า ต่อให้เจ้าตายก็ยังเป็นคนของข้า” หลัวซู่เหมยได้แต่ครางสะอื้นร่างกายเกร็งกระตุกด้วยนิ้วร้ายของเขา หานลี่จูดึงนิ้วออกจากร่องรักแล้วดึงผ้าออกจากปากนาง ส่งนิ้วที่เปื้อนคาวรักส่งเข้าในไปโพรงปากที่น้ำลายเปื้อนเปรอะมุมปาก หยดน้ำตาใสหลั่งริน เขาขยับนิ้วเข้าออกในโพรงปากสวยหรี่ตามองราวกับปีศาจร้ายไม่เหลือเค้าบุรุษผู้อ่อนโยนที่ใครต่อใครกล่าวถึง มือข้างหนึ่งกระตุกสายรัดเอวแล้วปลดกางเกงให้เลื่อนลงเผยแก่นกายที่แข็งขัน เขาจับมือนุ่มมากุมลำเอ็นของตนแล้วกุมมือนางอีกทีเพื่อชักนำให้นางขยับมือสาวแก่นกายที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ หานหลี่จูครางเสียงต่ำในลำคออย่างพอใจ กวาดนิ้วในโพรงปากของนางและเย้าแย่ลิ้นน้อยๆ นางครางปนสะอื้นแล้วเ
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ทำให้หานลี่จูตื่นจากภวังค์ เขาหมุนตัวกลับไปก็พบหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินจับมือกันเข้ามาทางเขาพอดี “พี่ใหญ่” หานหรงเหยาเอ่ยทักทาย หลังจากพบหลิวชิงเซียงแล้ว เขาก็พาเข่อซิงเที่ยวเล่นในเมืองจึงกลับเข้าจวนค่ำมืดไปหน่อย “พวกเจ้าเพิ่งกลับมากันรึ” “ขอรับ” หานหรงเหยายิ้มแล้วก้มมองเข่อซิงที่มือข้างหนึ่งยังถือขนมถังหูลู่อยู่ “นางติดตามข้าเข้าเมืองหลวงมาเกือบเดือนแล้ว ข้าไม่มีเวลาพานางไปเที่ยวชมเมืองหลวงเลย วันนี้พอมีเวลาจึงพานางเดินชมตลาด” หานลี่จูยิ้มให้น้องชายแล้วเดินเข้าใกล้ ภายใต้แสงสลัวคือใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นพี่ ทว่าหลิวเข่อซิงกลับตัวเกร็งขึ้นมาแล้วค่อยๆ ขยับตัวใช้ร่างของหานหรงเหยาบังตนเองไว้ “เข่อซิง เจ้าทำอะไร” หานหรงเหยาหัวเราะน้อยๆ เข้าใจว่านางคงกลัวพี่ใหญ่จะตำหนินาง “เข่อซิง” หานลี่จูเรียกนางปนหัวเราะ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มาเป็นน้องสะใภ้ของข้าแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรือซู่เหมยเลย หรือแม้แต่หลี่เจี๋ยก็ด้วย พวกเราแม้เกิดในตระกูลหานอันเป็นตระกูลเก
“เข่อซิง...” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้กลัวนาง แต่...ร่างกายตื่นตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สะโพกกลมกลึงบดเบียดแท่งหยกที่ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน หางยาวปัดป่ายบนตัวเขายิ่งทำให้กระสับกระส่าย คาดหวังและรอคอยให้นางทำมากกว่านี้ นางรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวนางในร่างนี้ แววตาและท่าทางของเขาประกาศชัดว่าปรารถนานางมากเพียงใด เรียวลิ้นตวัดหยอกล้อพันเกี่ยวหาความหวานอันหวามไหว สะโพกงามยกขึ้นเพื่อครอบครองแก่นกายที่ร้อนระอุ นางเปล่งเสียงครางชิดริมฝีปากเมื่อยินยอมให้ตัวตนของบุรุษที่นางรักเข้าไปในร่างจนสุดลำ สวรรค์! หานหรงเหยาคำรามออกมา นางปล่อยข้อมือของเขาแล้วหยัดกายขึ้น ทรวงอกงดงามกระเพื่อมตามแรงหายใจ ปลายถันสีหวานชูชันท้าท้ายสายตา นางเริ่มขยับสะโพกเคลื่อนไหวราวร่ายรำนำเสียวซ่านรัญจวนมาสู่ทั้งนางและเขา มือแกร่งลูบไล้บั้นเอวไปสัมผัสหางฟูสีแดงที่ส่ายไปมา “เร็วอีกซิงเอ๋อร์” เขาแทบสำลักความสุขแล้ว เป็นฝ่ายอ้อนวอนให้นางควบขี่เขาเร็วขึ้นพร้อมกับหยัดสะโพกรับจังหวะกดลงของนาง คาวรักอาบไล้แก่นกายจนเป็นมันวาวทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ถี่กระชั้น เ
หลัวซู่เหมยรับน้ำชามาดื่ม ชามะลิแสนธรรมดาแต่ส่งกลิ่นหอมอวลในปาก จนนางเอ่ยชม “เป็นเพียงชาธรรมดา แต่ที่ฮูหยินน้อยรู้สึกรสชาติดีเพราะจิตใจสงบ ก่อนหน้านี้คงมีเรื่องให้ใจขุ่นมัว ไม่ทราบว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรให้ข้าพอช่วยเหลือได้หรือไม่” “ประเสริฐนัก ราวกับมีญาณทิพย์เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ระวังกิริยาด้วย” หลัวซู่เหมยแสร้งดุสาวใช้ แต่นางก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรเรื่องปัญหาของนาง “ฮูหยินน้อยประสงค์จะมีลูก และลูกของฮูหยินก็รอมาเกิดแล้ว แต่ว่า...” “แต่อะไรเจ้าคะ” ยังคงเป็นสาวใช้ที่รีบพูดขึ้นทันที “ต้องขออภัยที่ต้องพูดตามตรง บนกายฮูหยินมีกลิ่นอายปีศาจ ในบ้านของฮูหยินรับเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามา บุตรที่รอมาสู่ครรภ์ของฮูหยินจึงไม่อาจถือกำเนิดในครรภ์ได้” “ปะ...ปี...ปีศาจ...ปีศาจอันใดกัน” ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งตกตะลึง หลัวซู่เหมยหน้าไร้สีเลือด นางคิดถึงเงาดำในห้องของหานหรงเหยาที่นางเห็นวันก่อน...หรือว่าจะเป็น... “จะทำอย่างไรถึงขับไล่มันไปได้” เสี่ยวจิ้งเอ่ยถามทันที ‘ใช่! เข่อซิงเป็นนาง
“ชุดเจ้าสาวของข้า...” หลิวเข่อซิงเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง สองวันมานี่หานหรงเหยามีงานลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยให้นางรู้ กว่าจะกลับถึงจวนก็ค่ำมืด เขาไม่เล่านางก็ไม่ถาม ด้วยรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องงานแล้ว หานหรงเหยาทุ่มเทแรงกายและใจอย่างสุดกำลัง นางจึงไม่เคยเซ้าซี้ถามเอาเรื่องราวใด เขาให้นางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมและเรียนรู้กฎระเบียบในบ้านกับหลัวซู่เหมย นางก็ยินดีทำตามที่เขาสั่ง วันนี้ก็เช่นกัน หลัวซู่เหมยกับสาวใช้ชื่อเสี่ยวจิ้งเข้ามาหาหลิวเข่อซิง พูดคุยเรื่องชุดเจ้าสาว นางยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะศิษย์พี่หลิวชิงเซียงบอกว่าจะจัดการให้ “ขอพูดตามตรง ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นกำพร้า เกรงว่าจะเตรียมชุดวิวาห์ไม่ทันจึงถือวิสาสะเข้ามาสอบถามเจ้า” “วันวิวาห์ยังไม่ได้กำหนด ข้าเลยคิดว่าจะรอก่อนเจ้าค่ะ” หลิว เข่อซิงตอบไปตามตรง ใบหน้าระบายยิ้มจนดวงตาหยี่เล็ก “เรื่องแบบนี้รอได้ที่ไหนกัน” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้น “ฮูหยินน้อยกว้างขวางในเมืองหลวง รู้จักร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ชุดเจ้าสาวจะเร่งรีบเกินไปก็ไม่ดี ฮูหยินน้อยจึง