“นี่ท่านไม่รู้รึ เดิมที่หัวใจก็อ่อนแออยู่แล้ว แต่ร่างกายกลับได้รับพิษทำให้ร่างกายเย็นกว่าคนปกติทั่วไป ข้าเองไม่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษา แต่เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้น หากบำรุงตัวเองให้ดีอีกครึ่งปีท่านก็จะหายเป็นปกติ” หลิวชิงเซียงหัวเราะน้อยๆ แล้วรินน้ำชาให้ตนเอง
“ขอพูดตามตรง ปีศาจอย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะชอบมีเรื่องกับมนุษย์ พวกเรากินพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้ถึงตาย ก็เหมือนที่มนุษย์เลี้ยงสัตว์เล็กๆ ไว้เป็นอาหาร ปีศาจอย่างพวกเราก็สามารถเลี้ยงมนุษย์ไว้ค่อยๆ กินพลังชีวิตของพวกเขาไปเรื่อยๆ หากเข่อซิงกินพลังชีวิตของท่านอย่างพอเหมาะ ข้ารับรองได้ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีกห้าสิบปี แต่ถ้าท่านเที่ยวเอาชีวิตไปเสี่ยงคมหอกคมดาบเหมือนสหายของท่าน ไม่ต้องพึ่งหมอดูที่ไหนข้าก็ทำนายได้ว่าไม่ได้แก่ตายอย่างแน่นอน”
“ศิษย์พี่หมายความว่า...เขาจะไม่ตายเพราะข้าใช่ไหม”
“มีผู้ใดหนีความตายได้บ้างเล่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้า สักวันก็ต้องตายแต่ข้าอยู่มาห้าร้อยห้าสิบปี เจ้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปี อย่างไรก็มีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์อยู่แล้ว”
“เรื่องดีจริงๆ ขอบคุณผู้ดูแลหลิวที่ให้ความกระจ่างแก่ข้ากับเข่อซิง”
“หากอยากขอบคุณข้าหรือท่านแม่ ก็แค่ดูแลนางให้ดีไม่ว่าท่านจะซื้อนางไป หรือแต่งนางเข้าสกุลหานแล้ว อย่างไรสำหรับพวกเรานางก็ยังถือเป็นคนปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิว หากเกิดเรื่องใดกับนาง พวกเราไม่นิ่งนอนใจอย่างแน่นอน” หลิวชิงเซียงเอ่ยเสียงเรียบ “อีกสองวันข้าจะนำเทียบดวงชะตาของเข่อซิงไปมอบให้ท่านเอง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมาหาข้าถึงที่นี่ด้วยตนเอง หากมีเรื่องใดให้เด็กรับใช้ส่งจดหมายมา ข้าจะไปพบเอง”
“ข้าส่งเสียงหอนก็ได้นะ”
“ไม่ได้!” หลิวชิงเซียงยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากนาง “สอนไม่รู้จักจำ ในเมืองหลวงมีปีศาจหลายสาย แค่จิ้งจอกแดงยังมีหลายสกุล ไหนจะนักพรตและพวกรับจ้างล่าปีศาจอีก เจ้าคิดว่าเมืองหลวงอยู่ง่ายนักหรือไง”
หลิวเข่อซิงลูบหน้าผากตนเองแล้วหดคอลง
“นักล่าปีศาจคืออะไร” ความจริงเขาเคยได้ยินมาบ้างแต่คิดว่าเป็นพวกปาหี่หลอกเงินชาวบ้าน จึงไม่ได้ใส่ใจนัก
“เห็นแก่ที่ท่านรักมั่นและจริงใจกับเข่อซิง ข้าจะบอกให้รู้ พวกเราเองก็ถูกมนุษย์ที่เรียกตัวเองว่านักล่าปีศาจไล่ล่าเอาชีวิตเหมือนกัน เพราะหัวใจของจิ้งจอกแดงอย่างพวกเราใช้เป็นกระษัยยา ข้าจึงไม่อยากให้เข่อซิงแปลงกายเป็นจิ้งจอกแดงให้ผู้อื่นเห็น เข้าใจหรือไม่”
หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับน้อยๆ เรื่องนี้นางรู้อยู่เต็มอก แต่เพื่ออุ่นเตียงให้หานหรงเหยา นางจึงยอมคืนร่างเป็นจิ้งจอกแดง
“เดิมทีข้าคิดว่าสะสางเรื่องวุ่นวายที่เมืองหลวงแล้วจะเดินกลับไปชายแดนพร้อมซุนเจ้าเฟิง แต่ท่านพ่อท่านแม่อนุญาตให้แต่งงานกับเข่อซิงได้ แต่ข้าต้องอยู่ช่วยงานของตระกูลอาจจะยังไม่ได้เดินทางไปง่ายนัก”
“อยู่ที่ใดก็ล้วนมีปัญหาได้ทั้งสิ้น อย่างไรข้าจะอยู่เมืองหลวงจนกว่าเข่อซิงจะเข้าพิธีวิวาห์ หลังจากนี้ค่อยว่ากันอีกที”
“รบกวนผู้ดูแลหลิวแล้ว”
“รบกวนอันใด อีกหน่อยก็ถือว่าเป็นคนกันเองแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราขอตัวลา”
“ไม่ส่งนะ”
หลิวชิงเซียงยิ้มให้ แต่เมื่อทั้งสองเดินออกไปพ้นสายตาแล้ว รอยยิ้มก็หายไปทันที แม้จะเห็นว่าหานหรงเหยาจริงใจกับเข่อซิง แต่นางไม่เคยเชื่อใจบุรุษ อยู่มาห้าร้อยห้าสิบปีนางยังไม่เคยพบบุรุษที่มั่นรักในปีศาจจิ้งจอกได้อย่างจริงใจสักคน
เดิมพันครั้งนี้สูงนัก มิน่าเล่า ‘ท่านแม่’ จึงได้ส่งนางมาค่อยดูเข่อซิงด้วยตนเองอย่างนี้.
ณ ห้องนอนหานลี่จู
หลัวซู่เหมยเข้าในห้องแล้วพบว่าหานลี่จูนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง นางโบกมือไล่สาวใช้ให้ออกไปแล้วเข้าไปปรนนิบัติสามี ชายหนุ่มพลิกมือหญิงสาวมากุมไว้แล้วดึงให้นางมานั่งเคียงข้าง นางตัวเกร็งเล็กน้อยแต่ฝืนยิ้มออกมา
“ท่านแม่ไม่ค่อยแข็งแรง เจ้าเป็นสะใภ้ต้องดูแลเรื่องในจวนแทนท่านแม่ ลำบากเจ้ามากจริงๆ”
“แบ่งเบาภาระของท่านแม่ เป็นหน้าที่ของข้า ข้าไม่ลำบากอะไรเจ้าค่ะ”
มือใหญ่ที่กุมมือเรียวเล็กไว้บีบแน่นขึ้นจนนางนิ่วหน้าแต่ไม่กล้าส่งเสียงร้อง เขาใช้มือที่ว่างอีกข้างเชยคางนางขึ้น แม้ปากจะยกยิ้มแต่ดวงตาไร้ความอ่อนโยน
“หรงเหยาจะแต่งภรรยาแล้ว เจ้าคงปวดใจไม่น้อยสินะ”
“ทะ...ท่านพี่...”
“เดิมทีข้าคิดว่าหรงเหยาจะกลับมาเพียงลำพัง เจ้ากับน้องรองจะได้มีเวลาใกล้ชิดกัน แต่เขาจากเจ้าไปสามปีกลับลืมเจ้าไปเสียสิ้น ซ้ำยังพาหญิงงามกลับมาด้วย เสียแรงที่เจ้ามีใจมั่นรักต่อเขา”
“เหตุใดท่านยังกล้าพูดเรื่องนี้อยู่อีก ข้าแต่งงานกับท่านพี่แล้ว อย่างไรฐานะของข้าก็เป็นพี่สะใภ้ของเขาเท่านั้น”
“แต่หัวใจของเจ้าก็ยังมีเพียงเขาไม่ใช่หรือไร” หานลี่จูผลักร่างบางลงบนที่นอน หลัวซู่เหมยผวาเฮือกแต่ไม่อาจหลบมือใหญ่ที่เอื้อมมา กระชากเสื้อนางจนขาด เผยเนิ่นอกอวบอัดที่ดันเอี๊ยมบังทรงสีขาวปักลายดอกไม้สีแดงสดตัดเย้ายวนตา เขาหรี่ตามองแล้วยิ้มชั่วร้าย
“เพื่อน้องรองแล้ว เจ้าแต่งตัวยั่วยวนเพื่อเขาขนาดนี้เชียว”
“ข้าเปล่า” นางส่ายหน้ารัวๆ แล้วก็ได้แต่กัดริมฝีปากแน่นเมื่อถูกมือใหญ่กระชากเสื้อผ้าออกจนหมดเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่าที่มีรอยช้ำจ้ำเลือด
หานลี่จูไล้รอยช้ำด้วยปลายนิ้วแต่ทำให้หญิงสาวตัวเกร็ง เขาหัวเราะในลำคอแล้วก้มหน้าลงใช้ปากดูดดึงที่ยอดอกสีหวาน
หลัวซู่เหมยกลั้นเสียงร้องที่น่าอับอายด้วยการกัดผ้าห่มแน่น ยิ่งนางทำเช่นนั้นหานลี่จูก็รุนแรงมากขึ้น นางบิดกายหนีแต่ถูกตรึงไว้ด้วยร่างกายใหญ่โตของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี
จากที่เคยรักใคร่ทะนุถนอมในอุ้งมือ แต่รู้ดีว่าไม่ว่าจะทำอย่างไร หัวใจของนางก็มีเพียงน้องชายของตน ความโกรธเกลียดชิงชังก็ครอบงำจนเขาครอบครองนางด้วยความรุนแรง ยิ่งนางต่อต้านเขาก็ยิ่งหนักมือมากขึ้น กลับกลายเป็นการนำพาความสุขสมที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อน หลัวซู่เหมยไม่อาจหลบหลีกได้ นางเป็นภรรยาหากไม่ทำหน้าที่ปรนนิบัติสามีให้ดีก็จะกลายที่ครหาได้ และส่วนลึกในใจนางยินยอมให้เขาทำร้ายด้วยรู้สึกผิดต่อสามี ใจของนางยังคะนึงหาหานหรงเหยาอยู่ ยิ่งเห็นเขากลับมาครั้งนี้ ผิวคล้ำแดดไปบ้างแต่กำยำองอาจ ร่างกายสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ นางปวดใจเมื่อรู้ว่าเขาทรยศต่อคำสัญญาที่จะรักนางตลอดไปด้วยการคว้าผู้หญิงชั้นต่ำมาเป็นภรรยา!”
นิ้วเรียวยาวแยกกลีบดอกไม้ที่คล้ำไปเล็กน้อยแต่ภายในยังคงคับแน่นดึงดูดผีเสื้อหนุ่ม ฟันคมขบกัดที่ยอดอกจนเปียกชุ่มและบวมขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่สองนิ้วแทรกในร่องรักที่บีบรัด เร่งเร้าให้คายน้ำหวานออกมา หานลี่จูถอนริมฝีปากจากเต้าคู่งามที่ช้ำเป็นจ้ำเลือดเพราะริมฝีปากของเขา แล้วยื่นหน้าไปกระซิบเสียงพร่า “เจ้าคิดถึงหรงเหยาอยู่สินะ แต่ร่างกายเจ้าเป็นของข้า ต่อให้เจ้าตายก็ยังเป็นคนของข้า” หลัวซู่เหมยได้แต่ครางสะอื้นร่างกายเกร็งกระตุกด้วยนิ้วร้ายของเขา หานลี่จูดึงนิ้วออกจากร่องรักแล้วดึงผ้าออกจากปากนาง ส่งนิ้วที่เปื้อนคาวรักส่งเข้าในไปโพรงปากที่น้ำลายเปื้อนเปรอะมุมปาก หยดน้ำตาใสหลั่งริน เขาขยับนิ้วเข้าออกในโพรงปากสวยหรี่ตามองราวกับปีศาจร้ายไม่เหลือเค้าบุรุษผู้อ่อนโยนที่ใครต่อใครกล่าวถึง มือข้างหนึ่งกระตุกสายรัดเอวแล้วปลดกางเกงให้เลื่อนลงเผยแก่นกายที่แข็งขัน เขาจับมือนุ่มมากุมลำเอ็นของตนแล้วกุมมือนางอีกทีเพื่อชักนำให้นางขยับมือสาวแก่นกายที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ หานหลี่จูครางเสียงต่ำในลำคออย่างพอใจ กวาดนิ้วในโพรงปากของนางและเย้าแย่ลิ้นน้อยๆ นางครางปนสะอื้นแล้วเ
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ทำให้หานลี่จูตื่นจากภวังค์ เขาหมุนตัวกลับไปก็พบหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินจับมือกันเข้ามาทางเขาพอดี “พี่ใหญ่” หานหรงเหยาเอ่ยทักทาย หลังจากพบหลิวชิงเซียงแล้ว เขาก็พาเข่อซิงเที่ยวเล่นในเมืองจึงกลับเข้าจวนค่ำมืดไปหน่อย “พวกเจ้าเพิ่งกลับมากันรึ” “ขอรับ” หานหรงเหยายิ้มแล้วก้มมองเข่อซิงที่มือข้างหนึ่งยังถือขนมถังหูลู่อยู่ “นางติดตามข้าเข้าเมืองหลวงมาเกือบเดือนแล้ว ข้าไม่มีเวลาพานางไปเที่ยวชมเมืองหลวงเลย วันนี้พอมีเวลาจึงพานางเดินชมตลาด” หานลี่จูยิ้มให้น้องชายแล้วเดินเข้าใกล้ ภายใต้แสงสลัวคือใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นพี่ ทว่าหลิวเข่อซิงกลับตัวเกร็งขึ้นมาแล้วค่อยๆ ขยับตัวใช้ร่างของหานหรงเหยาบังตนเองไว้ “เข่อซิง เจ้าทำอะไร” หานหรงเหยาหัวเราะน้อยๆ เข้าใจว่านางคงกลัวพี่ใหญ่จะตำหนินาง “เข่อซิง” หานลี่จูเรียกนางปนหัวเราะ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มาเป็นน้องสะใภ้ของข้าแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรือซู่เหมยเลย หรือแม้แต่หลี่เจี๋ยก็ด้วย พวกเราแม้เกิดในตระกูลหานอันเป็นตระกูลเก
“เข่อซิง...” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้กลัวนาง แต่...ร่างกายตื่นตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สะโพกกลมกลึงบดเบียดแท่งหยกที่ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน หางยาวปัดป่ายบนตัวเขายิ่งทำให้กระสับกระส่าย คาดหวังและรอคอยให้นางทำมากกว่านี้ นางรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวนางในร่างนี้ แววตาและท่าทางของเขาประกาศชัดว่าปรารถนานางมากเพียงใด เรียวลิ้นตวัดหยอกล้อพันเกี่ยวหาความหวานอันหวามไหว สะโพกงามยกขึ้นเพื่อครอบครองแก่นกายที่ร้อนระอุ นางเปล่งเสียงครางชิดริมฝีปากเมื่อยินยอมให้ตัวตนของบุรุษที่นางรักเข้าไปในร่างจนสุดลำ สวรรค์! หานหรงเหยาคำรามออกมา นางปล่อยข้อมือของเขาแล้วหยัดกายขึ้น ทรวงอกงดงามกระเพื่อมตามแรงหายใจ ปลายถันสีหวานชูชันท้าท้ายสายตา นางเริ่มขยับสะโพกเคลื่อนไหวราวร่ายรำนำเสียวซ่านรัญจวนมาสู่ทั้งนางและเขา มือแกร่งลูบไล้บั้นเอวไปสัมผัสหางฟูสีแดงที่ส่ายไปมา “เร็วอีกซิงเอ๋อร์” เขาแทบสำลักความสุขแล้ว เป็นฝ่ายอ้อนวอนให้นางควบขี่เขาเร็วขึ้นพร้อมกับหยัดสะโพกรับจังหวะกดลงของนาง คาวรักอาบไล้แก่นกายจนเป็นมันวาวทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ถี่กระชั้น เ
หลัวซู่เหมยรับน้ำชามาดื่ม ชามะลิแสนธรรมดาแต่ส่งกลิ่นหอมอวลในปาก จนนางเอ่ยชม “เป็นเพียงชาธรรมดา แต่ที่ฮูหยินน้อยรู้สึกรสชาติดีเพราะจิตใจสงบ ก่อนหน้านี้คงมีเรื่องให้ใจขุ่นมัว ไม่ทราบว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรให้ข้าพอช่วยเหลือได้หรือไม่” “ประเสริฐนัก ราวกับมีญาณทิพย์เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ระวังกิริยาด้วย” หลัวซู่เหมยแสร้งดุสาวใช้ แต่นางก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรเรื่องปัญหาของนาง “ฮูหยินน้อยประสงค์จะมีลูก และลูกของฮูหยินก็รอมาเกิดแล้ว แต่ว่า...” “แต่อะไรเจ้าคะ” ยังคงเป็นสาวใช้ที่รีบพูดขึ้นทันที “ต้องขออภัยที่ต้องพูดตามตรง บนกายฮูหยินมีกลิ่นอายปีศาจ ในบ้านของฮูหยินรับเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามา บุตรที่รอมาสู่ครรภ์ของฮูหยินจึงไม่อาจถือกำเนิดในครรภ์ได้” “ปะ...ปี...ปีศาจ...ปีศาจอันใดกัน” ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งตกตะลึง หลัวซู่เหมยหน้าไร้สีเลือด นางคิดถึงเงาดำในห้องของหานหรงเหยาที่นางเห็นวันก่อน...หรือว่าจะเป็น... “จะทำอย่างไรถึงขับไล่มันไปได้” เสี่ยวจิ้งเอ่ยถามทันที ‘ใช่! เข่อซิงเป็นนาง
“ชุดเจ้าสาวของข้า...” หลิวเข่อซิงเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง สองวันมานี่หานหรงเหยามีงานลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยให้นางรู้ กว่าจะกลับถึงจวนก็ค่ำมืด เขาไม่เล่านางก็ไม่ถาม ด้วยรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องงานแล้ว หานหรงเหยาทุ่มเทแรงกายและใจอย่างสุดกำลัง นางจึงไม่เคยเซ้าซี้ถามเอาเรื่องราวใด เขาให้นางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมและเรียนรู้กฎระเบียบในบ้านกับหลัวซู่เหมย นางก็ยินดีทำตามที่เขาสั่ง วันนี้ก็เช่นกัน หลัวซู่เหมยกับสาวใช้ชื่อเสี่ยวจิ้งเข้ามาหาหลิวเข่อซิง พูดคุยเรื่องชุดเจ้าสาว นางยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะศิษย์พี่หลิวชิงเซียงบอกว่าจะจัดการให้ “ขอพูดตามตรง ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นกำพร้า เกรงว่าจะเตรียมชุดวิวาห์ไม่ทันจึงถือวิสาสะเข้ามาสอบถามเจ้า” “วันวิวาห์ยังไม่ได้กำหนด ข้าเลยคิดว่าจะรอก่อนเจ้าค่ะ” หลิว เข่อซิงตอบไปตามตรง ใบหน้าระบายยิ้มจนดวงตาหยี่เล็ก “เรื่องแบบนี้รอได้ที่ไหนกัน” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้น “ฮูหยินน้อยกว้างขวางในเมืองหลวง รู้จักร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ชุดเจ้าสาวจะเร่งรีบเกินไปก็ไม่ดี ฮูหยินน้อยจึง
หานหรงเหยาไม่เคยเล่าความหลังของเขากับหญิงในดวงใจ นางรู้ว่าเขามีบางเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ แต่เมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่เคยฝืนค้นสิ่งที่ซ่อนไว้ใน หรือเพราะนางได้กินพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอและยังได้เสพพลังหยางเพิ่มความสมดุลให้ตนเอง นางจึง ‘สัมผัส’ ความลับในใจของผู้คนได้มากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้ต้องการรู้มันเลย “น้ำชากับของว่างมาแล้ว” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้นแล้วรับถาดของว่างมาจากเด็กรับใช้ของร้าน เมื่อวางของบนโต๊ะแล้ว เสี่ยวจิ้งก็หันพูดให้เด็กรับใช้ของร้านออกไป “มีขนมด้วย” เข่อซิงเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “อื้ม ก็ฮูหยินน้อยเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้และที่สำคัญ พวกเราเป็นคนของจวนหานกั๋วกง เถ้าแก่ก็ย่อมให้ความสำคัญมากกว่าลูกค้าทั่วไปอยู่แล้ว” “เป็นเช่นนี้เอง พี่เสี่ยวจิ้งนี่รอบรู้จริงๆ” “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้” เสี่ยวจิ้งรินน้ำชาส่งให้หลัวซู่เหมยและเข่อซิง ฐานะของหลิวเข่อซิงยังไม่ชัดเจน นางไม่อยากก้มหัวให้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ “ดื่มซิ” เสี่ยวจิ้งคะยั้นคะยอให้หลิวเข่อซิงดื่มชา ใบหน้าของหลัว
หานลี่จูนั่งมองห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ว หานหรงเหยาเอ่ยปากบอกคนเป็นพี่อย่างเขาว่า ใกล้จะแต่งงาน อยากบำรุงร่างกายเพื่อว่าที่เจ้าสาวจึงมาขอรับยาจากเขา ทั้งที่ไม่ได้กินยามานาน น้องชายคนรองจะแต่งงาน กำลังจะสร้างครอบครัวของตนเอง น้องชายคนเล็กกำลังจะเข้ากองทัพ ท่านพ่อท่านแม่อายุก็มาก เวลานี้เขาคือคนเดียวที่ดูแลทุกอย่างในจวน บอกตัวเองให้ทำใจปล่อยวาง แต่หลายปีผ่านมาเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จนวันนี้ที่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว นานเพียงใดแล้วที่ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ยิ่งเห็นหานหรงเหยามีความสุขกับหลิวเข่อซิง ก็ยิ่งรู้ว่าคนที่ปวดใจก็คือเขากับหลัวซู่เหมย เป็นเช่นนี้แล้ว จะต่างอะไรจากการหันคมมีดเข้าหาตนเอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บก็คือเขา เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี หานหรงเหยาเข้ามาอย่างเงียบๆ หานลี่จูที่เหม่อลอยอยู่ไม่รู้ว่าน้องชายเข้ามา จนกระทั่งหานหรงเหยาเอื้อมมือไปหยิบห่อยาเบื้องหน้าขึ้นมา “ดีจริง พี่ใหญ่เตรียมยาให้ข้าแล้วหรือ”
“ข้า...” ราวกับมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ หานลี่จูพูดอะไรไม่ออก หรือบางที อาจไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เพราะยามนี้แค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้หมดสิ้นแล้ว เสียงโวยวายด้านนอก เรียกความสนใจจากหานลี่จูและหานหรงเหยา บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างของหานหลี่เจี๋ยที่ประคองหลัวซู่เหมยเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาอยู่นี่เอง!” หานลี่จูสาวเท้าเข้าไปประคองหลัวซู่เหมยทันที เขาพาร่างสั่นเทามานั่งที่เก้าอี้แล้วตวัดสายตามองเสี่ยวจิ้งที่วิ่งตามมา “เกิดอะไรขึ้นฮูหยินน้อย!” หานลี่จูตวาดเสียงดังทำให้เสี่ยวจิ้งถึงกับเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าเบื้องหน้า “เข่อซิง...” หลัวซู่เหมยรีบพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” หานหรงเหยาหายใจไม่ทั่วท้อง “เข่อซิงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยา “บังอาจ! ใครกล้าแตะต้องคนสกุลหานของเรา!” หานลี่จูจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ้ง “ทุกครั้งที่ออกไปนอกจวนก็ให้มีผู้ติดตามไปมิใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” “ข้าเพิ่งกลับจากตลาดม้า พบพี่สะใภ้เกิดเรื่องที