“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย”
“พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!”
“อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า”
“ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา
“เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ”
เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็นปีศาจก็ยินดีให้นางอยู่ข้างกาย
นักพรตซีห่าวซัดฝ่ามือเข้าใส่หน้าอกของปีศาจสาว ร่างของหลิวชิงเซียงกระเด็นลอยออกมาตกกระแทกพื้นแล้วกระอักโลหิตออกมา นางยันกายขึ้นแต่ไม่มีแรงทำให้ทรุดลงไปที่เดิม ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นยันต์แผ่นหนึ่งพุ่งเข้าใส่ นางผงะถอยหลังให้ให้ยันต์ที่คลี่ขยายกลายเป็นผ้าแผ่นใหญ่ที่พร้อมคลุมร่างนาง ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งฟาดลงมาทำให้ยันต์ขาด หลิวชิงเซียงเบิกตากว้างไม่คิดว่าซุนเจ้าเฟิงจะเข้ามาช่วย
“นักพรตนี่ก็คนใช่ไหม” เขาถามพลางกระตุกยิ้มที่มุมปาก “คงไม่ได้หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้าหรอกนะ”
“ข้าจะไปช่วยเข่อซิง” นางพยายามลุกขึ้นแต่ร่างไร้เรี่ยวแรงทรุดลงกับพื้น บัดซบ! ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา นางไม่ได้กินพลังหยางจากบุรุษ มาบัดนี้ใช้พลังที่มีต่อสู้กับนักพรตจนแทบหมดสิ้น
“ไม่ต้องห่วงข้า...หนี...หนีไป” เสียงของหลิวเข่อซิงอ่อนระโหยโรยแรง นางมองหานหรงเหยาที่ยังฝ่าม่านอาคมเข้ามาหานาง “ท่านจะเข้ามาไม่ได้”
“เข่อซิง!” ราวกับกำลังเดินฝ่าพายุทะเลทรายทั้งที่ตรงหน้าเป็นเพียงผ้าม่านโปร่งพลิ้วไหวไปมา แต่ม่านโปร่งนี้ราวกับมีชีวิต ขัดขวางไม่ให้เขาเข้าใกล้นาง
“ไม่ได้นะ ท่านจะตายเพราะข้าไม่ได้” นางส่ายหน้าไปมา “ข้ามีชีวิตอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปี นับว่ามากพอแล้ว ท่าน...ท่านเพิ่งอายุยี่สิบปี ท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตที่ดีและมีความสุข”
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย! เจ้าก็ห้ามตาย” เขาพูดรู้สึกปวดร้าวแผ่นอกไปหมด
‘แต่ข้าทนเห็นท่านตายไม่ได้’
หลิวเข่อซิงดึงปิ่นเงินที่ปักผมออก เส้นผมยาวสลายคลี่คลุมร่างบอบบาง นางดึงสลักออก ปิ่นเงินกลายเป็นมีดแหลมคมอันเล็ก ปิ่นนี้ศิษย์พี่มอบให้นางไว้ป้องกันตัว นางก้มมองปลายแหลมคมของมีด ยิ่งเขาเข้าใกล้นางมากเท่าไหร่ พลังชีวิตของเขาจะเหลือน้อยลง หากเขาได้กินหัวใจจิ้งจอกแดงของนาง เขาจะ..จะรอด
“เข่อซิง! เจ้าคิดจะทำอะไร หยุดนะ!”
หลิวชิงเซียงตะโกนสุดเสียง หานหรงเหยารวบรวมเรี่ยวแรงพุ่งฝ่าแรงกดดันทั้งปวงเข้าไปหา คว้าข้อมือของเข่อซิงที่ง้างขึ้นสูงก่อนที่จะจ้วงแทงหน้าอกตนเอง
“หรงเหยา...”
“ชีวิตข้าจะมีความสุขได้อย่างไร” เขาจับมือนางไว้แน่น “เจ้าคือความสุขของข้า จะเป็นหรือตายข้าก็ขออยู่เคียงข้างเจ้า!”
ฉับพลัน! อากาศในห้องหมุนเปลี่ยน เกิดลมพายุบ้าคลั่งพัดเอาทุกสิ่งกระจัดกระจายไปทั่วทิศ กระชากร่างของนักพรตซีห่าวกระเด็นไปกระแทกกระถางธูปขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ม่านโปร่งที่ขยับไหวเมื่อครู่หยุดนิ่งไม่ไหวติง และเพียงพริบตา พวกมันก็ร่วงลงมากองบนพื้นกลายเป็นเพียงผืนผ้าธรรมดา
ร่างหญิงงามในอาภรณ์สีม่วงปรากฏเบื้องหน้า ใบหน้างดงามหยาดเยิ้มทำเอาผู้ที่เผลอสบตาถึงกับตะลึงงันไปทันที นางเยื้องย่างไปนั่งที่เก้าอี้ราวกับเป็นเจ้าของอารามแห่งนี้ เพียงแค่ตวัดปลายนิ้วก็ลากเอาร่างของนักพรตซี่ห่าวมากองเบื้องหน้า
“ท่านแม่” หลิวชิงเซียงพูดเสียงสั่น ไม่คิดว่าท่านแม่จะมาด้วยตนเอง
“แปลกใจอะไรกัน” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยปนหัวเราะน้อย “ลูกสาวข้าจะออกเรือน ข้าก็ต้องมาอยู่แล้ว”
นางเอ่ยแล้วใช้ปลายเท้าเชยคางของนักพรตหนุ่มขึ้น “เจ้าลูกเต่านี่ไม่เลิกราเสียที เห็นทีคราวนี้ข้าจะต้องลงมือเอง”
“นางปีศาจ เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ข้าเป็นปีศาจแล้วอย่างไร นักพรตอย่างเจ้าดีกว่าข้าตรงไหน” นางเอียงคอมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีขบขัน “ข้าก็อยู่ของข้าดีๆ เจ้าแส่มาหาเรื่องคนในสกุลหลิวของข้าเอง”
“พูดดีให้ตัวเองอย่างนั้นรึ” นักพรตหนุ่มพยายามยันกายขึ้นแต่แผ่นหลังเหมือนถูกกดทับจนต้องนอนหมอบกับพื้นอย่างเสียไม่ได้
“ถ้าชิงเซียงของข้าไม่เมตตา เจ้าจะมีชีวิตมาทำร้ายนางในวันนี้อีกเรอะ” นางหัวเราะเยาะ แล้วปรายตามองหลิวชิงเซียงที่ค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นยืน
“จะฆ่าก็ฆ่าอย่ามัวพูดจาทวงบุญคุณอยู่เลย!”
“ฆ่าทำไม ให้เจ้าอยู่มิสู้ตายไม่ดีกว่ารึ” นางยิ้มแล้วหงายฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นค่อยๆ กำเข้าหากัน เสียงกระดูกของนักพรตซีห่าวลั่นกร๊อบพร้อมเสียงร้องโหยหวน ร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูปน่าเวทนา ดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลนออกมาจากเบ้าตา
หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจลึก เมื่อเห็น ‘ท่านแม่’ ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาใกล้ร่างของนักพรตซีห่าว หางสีแดงสดเก้าหางสะบัดไปมา ท่านแม่โน้มหน้าลงแล้วสูดเอาพลังวิญญาณของนักพรตหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์แต่แท้จริงแล้วอายุแปดสิบ เขาไม่อาจขยับตัวต่อต้านปีศาจจิ้งจอกแดงอายุกว่าพันปีได้ สภาพเขาตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กสิบขวบด้วยซ้ำ
เคยผ่านสนามรบมานับไม่ถ้วน ซากศพคนตายมีรูปแบบใดที่ไม่เคยพบเห็น การทรมานเพื่อเค้นคำตอบที่ต้องการจากข้าศึก แต่ซุนเจ้าเฟิงเพิ่งเคยเห็นสิ่งพิสดารเช่นนี้เป็นครั้งแรก หญิงงามเย้ายวนในอาภรณ์สีม่วงดุจอัญมณีเงยตัวขึ้นสบตากับเขา ทว่าหลิวชิงเซียงขยับเท้าใช้ตัวเองบังร่างเขาไว้
“ท่านแม่...”
“ชิงเซียง” นางหัวเราะเสียงกังวานใส “เจ้าคิดว่าแม่จะทำอะไรแม่ทัพซุนรึ”
“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ” ทั้งที่พูดไปเช่นนั้นแต่ในใจคิดตรงข้าม
ซุนเจ้าเฟิงที่ไม่เคยปกป้องผู้อื่นมาตลอดทั้งชีวิต แต่วันนี้กลับมีสตรีนางหนึ่งกำลังปกป้องเขาอยู่ หัวใจที่เย็นชาของเขาอุ่นซ่านและวูบไหวแปลกพิกล
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
ว่ากันว่า...เหล่าปีศาจจะกิน ‘พลังชีวิต’ จากมนุษย์เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าได้เสพ ‘พลังหยาง’ จากบุรุษจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้ตน แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอายุไขสั้นลงหรือตายได้ ในขณะเดียวกัน ‘หัวใจ’ของปีศาจจิ้งจอกแดงเป็นตัวยาหายากชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรคปีศาจจิ้งจอกแดงจึงเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าเช่นกันแนะนำตัวละครหลิวเข่อซิง-เข่อซิง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายหนึ่งร้อยสิบหกปีหานหรงเหยา : ที่ปรึกษา(กุนซือ)ของกองทัพ มาทำงานร่วมกับซุนเจ้าเฟิง แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดนหลิวชิงเซียง -ชิงเซียง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี เป็นศิษย์พี่ของหลิวเข่อซิงซุนเจ้าเฟิง : องค์ชายสามและเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน เป็นสหายรักของหานหรงเหยา พิธีแต่งงานจัดอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานมงคลของตระกูลหานและเจ้าสาวแสนงามดุจบุปผาสวรรค์ เสียงดนตรี คำอวยพร ของขวัญ วิจิตรตระการตาราวกับงานรื่นเริงของเหล่าปวงเทพ งานมงคลยิ่งใหญ่นี้คงกลายเป็นที่กล่าวถึงไปอีกนานแสนนาน ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวในชุดสีแดงสวยงดงาม ขณะที่เจ้า
พ่อบ้านจูส่ายหน้าไปมา เขาอับอายกับหลานสาวห่างๆ คนนี้นัก แต่จะทำอย่างไรได้ ภรรยาของเขาบังคับขู่เข็ญให้รับนางมาทำงานในจวน หากวันหน้าได้ดี ทั้งสองก็พลอยได้ดีไปด้วย แต่นางมาอยู่ที่นี่ครึ่งปีแล้ว ทั้งพยายามปีนป่ายขึ้นเตียงองค์ชายสามนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ถูกองค์ชายสามขับไล่ก็นับว่าบุญแล้ว“พ่อบ้านจู ให้คนเตรียมสุราอาหารไว้ที่ห้องตำรา ข้ากับที่ปรึกษาหานจะไปที่นั้น”“ขอรับท่านแม่ทัพซุน” เนื่องจากซุนเจ้าเฟิงไม่ชอบให้ใครเรียกเขาว่าองค์ชาย แต่ยินดีให้เรียก ‘ท่านแม่ทัพซุน’ ซุนเจ้าเฟิงประจำการที่ชายแดนมาสามปี ทุกคนจึงคุ้นชินกับคำเรียกขานนี้“ตัวข้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ข้าจะไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยกินข้าวดื่มสุราและคุยงานกันต่อที่ห้องตำรา” ซุนเจ้าเฟิงตบบ่าหานหรงเหยา“ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับแล้วเดินไปที่เรือนของตนซุนเจ้าเฟิงมองแผ่นหลังของสหายรักเผลอถอนหายใจอีกครั้ง คุณชายรองแห่งตระกูลหานแม้ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมดุจไข่ในหิน แต่ในวัยเด็ก ทั้งสองเป็นเด็กจึงซุกซนและเข้ากันได้เป็นอย่างดีจึงกลายเป็นสหายรักกัน แต่เดิมหานหรงเหยามิใช่คนเย็นชาเช่นนี้ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่
นางพยายามแล้วจริงๆ แอบดูบรรดาศิษย์จัดการกับมนุษย์ที่จับมาเป็นอาหาร แต่เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้นางหวาดกลัวจนต้องปิดตาทุกครั้งไป ก็มันน่ากลัวจริงๆนี่ ให้มนุษย์ผู้ชายมานอนทับบนร่างแบบนั้น ไหนจะเสียงครวญครางเจ็บปวดนั้นอีก แค่คิดนางก็ยกมือปิดหูแล้ว “แต่ข้าก็พยายามแล้วนะ” นางยังอดเถียงไม่ได้ แม้น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงยุง “พยายามแล้ว? เจ้าช่างกล้าพูดคำนี้” หญิงสาวหน้าหงายเพราะถูกนิ้วเรียวจิ้มหน้าผากอย่างแรง นางเสียหลักถอยหลังแล้วล้มลงก้นกระแทกพื้น ดวงหน้าเล็กทำหน้าเศร้าพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าสบตากับศิษย์พี่ที่ยืนจ้องมองนางเหมือนนางเป็นยิ่งกว่าหนูสกปรกเสียอีก “ขืนเจ้าทำตัวเช่นนี้ต้องอดตายแน่” “ไม่หรอก ถ้าพวกศิษย์แบ่งเศษพลังชีวิตของมนุษย์ให้ข้ากินบ้าง” นางฉีกยิ้มกว้าง “อีกอย่าง...ข้ากินไม่จุหรอก” “ไม่ได้!!” เหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย ซ้ำยังถลึงตาใส่อย่างไร้เมตตา ถูกตวาดเสียงดังหลิวเข่อซิงได้แต่หดคอเหมือนเต่า แต่นางไม่มีกระดองให้หลบ“แล้ว...แล้วข้าต้องทำอย
หานหรงเหยานั่งลงข้างเตียง เฝ้ามองจิ้งจอกแดงแสนสวยหลับอย่างสบายบนเตียงนอนของเขา คนทั่วไปอาจหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก แต่เขาผู้ได้ยินและได้เห็นเรื่องราวมากมายในใต้หล้ากลับเห็นเป็นธรรมดาสามัญหญิงสาวแปลกหน้าหมดสติในอ้อมแขนของเขา ด้วยเกรงว่าจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงใช้เสื้อคลุมของตนคลุมร่างของนางแล้วอุ้มขึ้นหลังม้า ทว่าระหว่างที่เดินทางกลับมาที่จวนแม่ทัพซุน ร่างที่เขาโอบเอวไว้กันนางหล่นกลับค่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ เสื้อคลุมยวบลงไปตามขนาดของเจ้าของร่างก่อนจะประตูจวน เขาก้มมองด้วยแววตาประหลาดใจ แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของผู้อื่นจึงอุ้มร่างน้อยเข้ามาในห้องตัวเองและปล่อยให้นาง เอ่อ... จิ้งจอกแดงตัวน้อยหลับใหลบนเตียงของเขาถูกแล้ว หญิงสาวผู้นั้นกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงหรือจิ้งจอกแดงกลายร่างเป็นหญิงสาวกันล่ะเขายื่นปลายนิ้วเขี่ยปลายจมูกของจิ้งจอกน้อย เขาเองก็ไม่คิดว่าคืนนี้จะต้องแบ่งปันเตียงนอนให้ผู้อื่นจึงไม่ได้เตรียมที่นอนสำรองไว้ หรือคืนนี้เขาต้องนอนกับเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้แล้ว เพราะสัมผัสอ่อนโยนทำให้หลิวเข่อซิงรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง จนเมื่อดวงตาปรับกับสิ่งรอบตัว จึงเห็นว่ามีดวงต
“ข้าควรกลัวเจ้าหรือ?” เขาหัวเราะในลำคอหันหลังให้นาง แต่กระนั้นประสาทหูรับรู้ว่านางกำลังสวมใส่อาภรณ์อยู่“ข้าไม่น่ากลัวเลยหรือ?” นางถามกลับใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะความหิว นางสาวเท้าเร็วๆ เดินมาที่โต๊ะกลม มีอาหารหลายจานส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนน้ำลายสอ“ก็น่ากลัวอยู่” เขายิ้มขบขัน “นั่งเถิด”“อื้ม” นางรีบนั่งลงและรับตะเกียบจากเขา ไม่รอให้เจ้าของบ้านเชื้อเชิญนางรีบกินข้าวอย่างหิวโหย แม้จะได้พลังชีวิตมาเติมเต็มแต่ร่างกายนางยังต้องการอาหารบำรุงตัวเองเหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นกัน“ค่อยๆ กินไม่ต้องรีบ” เขาเตือนนางแล้วหยิบตะเกียบคอยคีบอาหารใส่ชามข้าวให้นาง นางผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณและยังมีการบุ้ยปากบอกใบ้ให้เขาคีบเนื้อปลาให้นางอีก ชายหนุ่มทำให้อย่างไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังรับใช้นาง“อิ่มหรือไม่ อยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม” เขาถามหลิวเข่อซิงกินอิ่มท้องและยังได้พลังชีวิตจากเขาจึงมีสติคิดวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้น นางกวาดตามองชายหนุ่มแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย“มีอะไรรึ”“เจ้าเป็นใครกัน”“ข้าแซ่หานชื่อหรงเหยา” เขายิ้มแล้วส่งน้ำให้นางดื่ม รอจนนางดื่มน้ำหมดจอกแล้วจึงยื่นผ้าเปียกให้ แต่นางทำหน้างุนงง เขาจึงจั