“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก
“อุ้มนางลงมา”
หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม
“ท่าน...ท่านแม่...”
“เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา
“นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที
“นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว”
“อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา
“ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
“เช่นนั้นเจ้าเอาชีวิตของเจ้ากลับไป เข่อซิงเจ้าต้องมีชีวิตอยู่ เจ้าเป็นภรรยาของข้า เจ้าจะทอดทิ้งข้าอย่างนั้นรึ”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้ ร่างกายแทบไม่ไหวแล้ว” นางถอนหายใจเบาๆ ใช้ปลายนิ้วแตะกึ่งกลางหน้าผากของเข่อซิง ไออุ่นไหลเวียนในร่าง เลือดที่ไหลก็หยุดทันทีและบาดแผลค่อยๆ สมานกันช้าๆ
“ข้าทำได้แค่ประคองร่างนี้ไว้ไม่ให้แตกสลาย นางต้องกลับหุบเขาจื่อเซ่อ หมอกสีม่วงที่นั้นจะช่วยฟื้นฟูให้นางกลับคืนร่างมนุษย์ได้อีกครั้ง”
“ได้...ข้าจะพานางกลับชายแดนไปหุบเขาจื่อเซ่อ” หานหรงเหยาก้มมองหญิงสาวที่หลับตาพริ้มราวกับนางแค่หลับไป
“ให้ข้าพาเข่อซิงกลับไปเถิด” หลิวชิงเซียงเข้ามาหมายจะประคองร่างที่อ่อนยวบราวไร้กระดูกของเข่อซิง แต่หานหรงเหยากลับกอดนางแน่นขึ้นไม่ให้ผู้ใดแตะต้อง
“นางเป็นภรรยาข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าจะดูแลนางเอง”
“คนที่จะเข้าไปหุบเขานั้นต้องเป็นคนในสกุลหลิวเท่านั้น...” หลิวชิงเซียงสบตากับหานหรงเหยา
“หมายความว่าอย่างไร” ซุนเจ้าเฟิงพูดแทรก “เจ้าจะให้หรงเหยาแต่งเข้าสกุลหลิวอย่างนั้นรึ”
หานหรงเหยานิ่งงันไป เขาก้มมองใบหน้าของเข่อซิง ทุกครั้งที่เขามองมาจะเห็นนางยิ้มให้เสมอ เสียงหัวเราะกังวานใสยังคงก้องอยู่ในหู และทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำเพื่อเขา รวมทั้งยอมมอบหัวใจของตนให้เขา ชายหนุ่มจับมือน้อยของนางมาวางบนตำแหน่งหัวใจของเขา
“ได้ ข้าหานหรงเหยายินดีแต่งงานเข้าสกุลหลิว”.
หุบเขาจื่อเซ่อ
แม้เดินทางอย่างเร่งรีบ แต่เพราะเป็นรถม้าก็ใช้เวลากว่าสิบวันจึงมาถึงหุบเขาจื่อเซ่อ ระหว่างทางหานหรงเหยาคอยดูแลเข่อซิงที่หลับใหลไม่ได้สติอย่างดียิ่ง คอยหยดน้ำใส่ปากให้อย่างใจเย็น เช็ดเนื้อตัวและโอบกอดยามค่ำคืน
เสียงเคาะข้างรถม้าดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่คนด้านนอกจะส่งเสียงพูด
“คุณชายหาน มาถึงหุบเขาจื่อเซ่อแล้ว จากนี้ข้าจะเป็นสารถีบังคับรถม้าเข้าไปในหุบเขาเอง” เป็นเสียงของหลิวชิงเซียงเอ่ยขึ้น ผ้าม่านหน้าต่างถูกตลบเปิดออก ปรากฏใบหน้าอ่อนโยนของชายหนุ่ม
“รบกวนผู้ดูแลหลิวแล้ว”
หลิวชิงเซียงไม่เอ่ยอะไรอีก นางรอจนสารถีคนเดิมลงจากรถแล้วจึงกระโดดขึ้นไปนั่งแทน จากจุดนี้ไป นอกจากคน เอ่อ ปีศาจสกุลหลิวแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เส้นทาง นางเดินล่วงหน้ามาก่อนแล้วเพื่อตระเตรียมที่พักสำหรับทั้งสองคน รถม้าเคลื่อนไปอย่างช้าๆ หลิวชิงเซียงบังคับม้าพลางคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ใครจะเลยจะคิดว่าคุณชายรองสกุลหานจะรักมั่นในตัวเข่อซิงมากถึงกับยอมเป็นฝ่ายแต่งงานเข้าสกุลหลิว
ชายหนุ่มประคองร่างบอบบางไว้ในอ้อมอก นางเพียงหลับใหลไปเท่านั้น ลมหายใจยังสม่ำเสมอและมุมปากยังคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วมองไปด้านนอกที่ปกคลุมด้วยหมอกสีม่วง
“เจ้าจิ้งจอกแดงขี้เซ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่นะ” เขาพูดกับนางแม้รู้ดีว่านางไม่สามารถโต้ตอบเขาได้ “นี่นะหรือ ที่ๆ เจ้าเติบโต”
หานหรงเหยาพึมพำเบาๆ แล้วอดคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาคุกเข่าต่อหน้าบิดามารดาเพื่อขอแต่งงานเข้าสกุลหลิว มารดาถึงกับเป็นลมไปรอบหนึ่ง แต่เป็นหานลี่จูและหลัวซู่เหมยที่พูดกล่อมให้มารดาบิดาของเขายอมรับ โดยพี่ใหญ่อ้างเรื่องที่เขาเจ็บป่วยมาตั้งแต่กำเนิด การแต่งงานเข้าสกุลหลิวช่วยแก้เคล็ดเสริมดวงให้เขา ทั้งสองไม่พูดเรื่องที่หลิวเข่อซิงเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงเลยสักนิด ซ้ำยังสนับสนุนให้เขาได้แต่งงานกับนาง ทำให้เขาซาบซึ้งใจมาก หานหลี่เจี๋ยแม้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่เพื่อให้พี่รองได้สมหวังก็ยอมคุกเข่าขอร้องด้วย ทำให้บิดามารดายินยอมให้ลูกชายคนรองแต่งงานเข้าสกุลหลิว
‘พี่สะใภ้เจ้าตั้งครรภ์อ่อนๆ ข้าจะให้บ่าวไพร่ในจวนดูแลเรื่องงานวิวาห์ให้’
‘พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ช่วยเหลือข้ากับเข่อซิงในครั้งนี้ นับว่าข้าเป็นหนี้พวกท่านแล้ว’
‘หนี้อะไรกัน เราพี่น้องกัน ที่ผ่านมา...’
‘ที่ผ่านมาพี่ใหญ่ดูแลข้าอย่างดี ข้าต้องไม่ลืมบุญคุณอย่างแน่นอน ข้ารีบแต่งงานและต้องพาเข่อซิงกลับไปรักษาชายแดน’
‘วางใจเถิด เรื่องที่นี่ข้าจัดการเอง’
‘หลี่เจี๋ย...เจ้าต้องช่วยพี่ใหญ่ดูแลเรื่องในจวนให้ดี’
‘ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ’ หานหลี่เจี๋ยยกมือขึ้นกอดอกแล้วพูด แต่เรียกเสียงหัวเราะให้คนเป็นพี่ทั้งสอง
‘พี่รอง ท่านแค่ไปชายแดน ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้วมิใช่หรือ?’ คราวนี้หานหลี่เจี๋ยทำเสียงอ่อนลง หานหรงเหยากลับมาบ้านได้แค่เดือนเศษๆ ก็จะกลับไปอีกแล้ว
หานหรงเหยาสบตากับหานลี่จู มีบางเรื่องที่เพียงมองตาก็เข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดอีก
‘แน่นอน ถ้าเข่อซิงแข็งแรงดีเมื่อไหร่ พี่จะพานางกลับมาเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่และเจ้า’ เขายื่นมือไปแตะไหล่น้องชาย ‘เจ้าโตแล้ว เป็นท่านอาแล้วต้องดูแลคนในจวนให้ดี’
‘ข้าทราบแล้ว’
เพื่อรักษา ‘ร่างกาย’ ของหลิวเข่อซิง นางจึงหลับใหลตลอดเวลา หลิวชิงเซียงและคนสกุลหลิวเข้ามาช่วยจัดพิธีแต่งงานเร่งด่วนนี้ หานหรงเหยาไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทาของผู้อื่น เขาเองก็เพิ่งรู้ว่า ในเมืองหลวงแห่งนี้ ปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิวมิได้อยู่แค่ในหอนางโลม แต่เบื้องหน้าที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วว่าเป็นตระกูลวานิชและได้เป็นถึงวานิชหลวงที่ทำการค้าขายกับทางการได้อย่างเปิดเผย ฐานะของหลิวเข่อซิงแม้ได้ชื่อว่าเป็นบุตรบุญธรรมแต่ไม่ด้อยไปกว่าลูกสาวสกุลเก่าแก่ เขาแต่งงานเข้าตระกูลหลิว พิธีจัดได้ยิ่งใหญ่สมฐานะแม้จะใช้เวลาเตรียมงานแค่สามวัน
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
ว่ากันว่า...เหล่าปีศาจจะกิน ‘พลังชีวิต’ จากมนุษย์เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าได้เสพ ‘พลังหยาง’ จากบุรุษจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้ตน แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอายุไขสั้นลงหรือตายได้ ในขณะเดียวกัน ‘หัวใจ’ของปีศาจจิ้งจอกแดงเป็นตัวยาหายากชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรคปีศาจจิ้งจอกแดงจึงเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าเช่นกันแนะนำตัวละครหลิวเข่อซิง-เข่อซิง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายหนึ่งร้อยสิบหกปีหานหรงเหยา : ที่ปรึกษา(กุนซือ)ของกองทัพ มาทำงานร่วมกับซุนเจ้าเฟิง แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดนหลิวชิงเซียง -ชิงเซียง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี เป็นศิษย์พี่ของหลิวเข่อซิงซุนเจ้าเฟิง : องค์ชายสามและเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน เป็นสหายรักของหานหรงเหยา พิธีแต่งงานจัดอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานมงคลของตระกูลหานและเจ้าสาวแสนงามดุจบุปผาสวรรค์ เสียงดนตรี คำอวยพร ของขวัญ วิจิตรตระการตาราวกับงานรื่นเริงของเหล่าปวงเทพ งานมงคลยิ่งใหญ่นี้คงกลายเป็นที่กล่าวถึงไปอีกนานแสนนาน ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวในชุดสีแดงสวยงดงาม ขณะที่เจ้า
พ่อบ้านจูส่ายหน้าไปมา เขาอับอายกับหลานสาวห่างๆ คนนี้นัก แต่จะทำอย่างไรได้ ภรรยาของเขาบังคับขู่เข็ญให้รับนางมาทำงานในจวน หากวันหน้าได้ดี ทั้งสองก็พลอยได้ดีไปด้วย แต่นางมาอยู่ที่นี่ครึ่งปีแล้ว ทั้งพยายามปีนป่ายขึ้นเตียงองค์ชายสามนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ถูกองค์ชายสามขับไล่ก็นับว่าบุญแล้ว“พ่อบ้านจู ให้คนเตรียมสุราอาหารไว้ที่ห้องตำรา ข้ากับที่ปรึกษาหานจะไปที่นั้น”“ขอรับท่านแม่ทัพซุน” เนื่องจากซุนเจ้าเฟิงไม่ชอบให้ใครเรียกเขาว่าองค์ชาย แต่ยินดีให้เรียก ‘ท่านแม่ทัพซุน’ ซุนเจ้าเฟิงประจำการที่ชายแดนมาสามปี ทุกคนจึงคุ้นชินกับคำเรียกขานนี้“ตัวข้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ข้าจะไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยกินข้าวดื่มสุราและคุยงานกันต่อที่ห้องตำรา” ซุนเจ้าเฟิงตบบ่าหานหรงเหยา“ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับแล้วเดินไปที่เรือนของตนซุนเจ้าเฟิงมองแผ่นหลังของสหายรักเผลอถอนหายใจอีกครั้ง คุณชายรองแห่งตระกูลหานแม้ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมดุจไข่ในหิน แต่ในวัยเด็ก ทั้งสองเป็นเด็กจึงซุกซนและเข้ากันได้เป็นอย่างดีจึงกลายเป็นสหายรักกัน แต่เดิมหานหรงเหยามิใช่คนเย็นชาเช่นนี้ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่
นางพยายามแล้วจริงๆ แอบดูบรรดาศิษย์จัดการกับมนุษย์ที่จับมาเป็นอาหาร แต่เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้นางหวาดกลัวจนต้องปิดตาทุกครั้งไป ก็มันน่ากลัวจริงๆนี่ ให้มนุษย์ผู้ชายมานอนทับบนร่างแบบนั้น ไหนจะเสียงครวญครางเจ็บปวดนั้นอีก แค่คิดนางก็ยกมือปิดหูแล้ว “แต่ข้าก็พยายามแล้วนะ” นางยังอดเถียงไม่ได้ แม้น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงยุง “พยายามแล้ว? เจ้าช่างกล้าพูดคำนี้” หญิงสาวหน้าหงายเพราะถูกนิ้วเรียวจิ้มหน้าผากอย่างแรง นางเสียหลักถอยหลังแล้วล้มลงก้นกระแทกพื้น ดวงหน้าเล็กทำหน้าเศร้าพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าสบตากับศิษย์พี่ที่ยืนจ้องมองนางเหมือนนางเป็นยิ่งกว่าหนูสกปรกเสียอีก “ขืนเจ้าทำตัวเช่นนี้ต้องอดตายแน่” “ไม่หรอก ถ้าพวกศิษย์แบ่งเศษพลังชีวิตของมนุษย์ให้ข้ากินบ้าง” นางฉีกยิ้มกว้าง “อีกอย่าง...ข้ากินไม่จุหรอก” “ไม่ได้!!” เหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย ซ้ำยังถลึงตาใส่อย่างไร้เมตตา ถูกตวาดเสียงดังหลิวเข่อซิงได้แต่หดคอเหมือนเต่า แต่นางไม่มีกระดองให้หลบ“แล้ว...แล้วข้าต้องทำอย
หานหรงเหยานั่งลงข้างเตียง เฝ้ามองจิ้งจอกแดงแสนสวยหลับอย่างสบายบนเตียงนอนของเขา คนทั่วไปอาจหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก แต่เขาผู้ได้ยินและได้เห็นเรื่องราวมากมายในใต้หล้ากลับเห็นเป็นธรรมดาสามัญหญิงสาวแปลกหน้าหมดสติในอ้อมแขนของเขา ด้วยเกรงว่าจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงใช้เสื้อคลุมของตนคลุมร่างของนางแล้วอุ้มขึ้นหลังม้า ทว่าระหว่างที่เดินทางกลับมาที่จวนแม่ทัพซุน ร่างที่เขาโอบเอวไว้กันนางหล่นกลับค่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ เสื้อคลุมยวบลงไปตามขนาดของเจ้าของร่างก่อนจะประตูจวน เขาก้มมองด้วยแววตาประหลาดใจ แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของผู้อื่นจึงอุ้มร่างน้อยเข้ามาในห้องตัวเองและปล่อยให้นาง เอ่อ... จิ้งจอกแดงตัวน้อยหลับใหลบนเตียงของเขาถูกแล้ว หญิงสาวผู้นั้นกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงหรือจิ้งจอกแดงกลายร่างเป็นหญิงสาวกันล่ะเขายื่นปลายนิ้วเขี่ยปลายจมูกของจิ้งจอกน้อย เขาเองก็ไม่คิดว่าคืนนี้จะต้องแบ่งปันเตียงนอนให้ผู้อื่นจึงไม่ได้เตรียมที่นอนสำรองไว้ หรือคืนนี้เขาต้องนอนกับเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้แล้ว เพราะสัมผัสอ่อนโยนทำให้หลิวเข่อซิงรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง จนเมื่อดวงตาปรับกับสิ่งรอบตัว จึงเห็นว่ามีดวงต
“ข้าควรกลัวเจ้าหรือ?” เขาหัวเราะในลำคอหันหลังให้นาง แต่กระนั้นประสาทหูรับรู้ว่านางกำลังสวมใส่อาภรณ์อยู่“ข้าไม่น่ากลัวเลยหรือ?” นางถามกลับใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะความหิว นางสาวเท้าเร็วๆ เดินมาที่โต๊ะกลม มีอาหารหลายจานส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนน้ำลายสอ“ก็น่ากลัวอยู่” เขายิ้มขบขัน “นั่งเถิด”“อื้ม” นางรีบนั่งลงและรับตะเกียบจากเขา ไม่รอให้เจ้าของบ้านเชื้อเชิญนางรีบกินข้าวอย่างหิวโหย แม้จะได้พลังชีวิตมาเติมเต็มแต่ร่างกายนางยังต้องการอาหารบำรุงตัวเองเหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นกัน“ค่อยๆ กินไม่ต้องรีบ” เขาเตือนนางแล้วหยิบตะเกียบคอยคีบอาหารใส่ชามข้าวให้นาง นางผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณและยังมีการบุ้ยปากบอกใบ้ให้เขาคีบเนื้อปลาให้นางอีก ชายหนุ่มทำให้อย่างไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังรับใช้นาง“อิ่มหรือไม่ อยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม” เขาถามหลิวเข่อซิงกินอิ่มท้องและยังได้พลังชีวิตจากเขาจึงมีสติคิดวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้น นางกวาดตามองชายหนุ่มแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย“มีอะไรรึ”“เจ้าเป็นใครกัน”“ข้าแซ่หานชื่อหรงเหยา” เขายิ้มแล้วส่งน้ำให้นางดื่ม รอจนนางดื่มน้ำหมดจอกแล้วจึงยื่นผ้าเปียกให้ แต่นางทำหน้างุนงง เขาจึงจั
เรื่องพวกนี้หากเขาไม่ตอบสนอง ในสักวันคงเลิกราไปเอง “อื้ม” นางพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ถึงปลายนิ้วของเขาที่รวบผมนางแล้วปักปิ่นให้ “ยามข้ากินเศษพลังชีวิตที่ศิษย์หลงเหลือไว้ให้ ก็ได้เสพรสชาติเหล่านี้ด้วย ไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ก็ต้องกินไม่เช่นนั้นข้าก็จะทรมานมาก” “อย่างนั้นหรือ” “ข้าเป็นปีศาจอย่างไรเสียก็ต้องกลืนกินความรู้สึกเหล่านี้อยู่แล้ว” นางเบ้ปากแต่เมื่อหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขาแล้ว แล้วก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่เจ้ามีวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรถ้าเจ้าตายแล้วยกให้ข้านะ” “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” “เพราะข้าไม่กล้าฆ่ามนุษย์ ซ้ำยังยั่วยวนมนุษย์ไม่เป็นอีก หากรอกินเพียงเศษพลังชีวิตที่ศิษย์พี่เหลือให้เกรงว่าต้องกลายเป็นปีศาจพิกลพิการไม่สมบูรณ์ ท่านแม่จึงให้ข้ามาหาศิษย์พี่ที่หอชมบุหลัน ให้สั่งสอนการเสพพลังชีวิตมนุษย์และพลังหยางด้วย” “หอชมบุหลัน เจ้าหมายถึงหอนางโลม...” ยังพูดไม่จบประโยคดีนางก็พยักหน้ารับ มิน่าเล่าถึงได้พบกันที่สะพานข้ามคลอง เพราะนางกำลังจะไปที่หอชมบุหลัน “แล้วเจ้าล่ะ ทำไมอยากฆ่าตัวตาย หรือเพราะหัวใจอ่อ