เรื่องพวกนี้หากเขาไม่ตอบสนอง ในสักวันคงเลิกราไปเอง
“อื้ม” นางพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ถึงปลายนิ้วของเขาที่รวบผมนางแล้วปักปิ่นให้ “ยามข้ากินเศษพลังชีวิตที่ศิษย์หลงเหลือไว้ให้ ก็ได้เสพรสชาติเหล่านี้ด้วย ไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ก็ต้องกินไม่เช่นนั้นข้าก็จะทรมานมาก”
“อย่างนั้นหรือ”
“ข้าเป็นปีศาจอย่างไรเสียก็ต้องกลืนกินความรู้สึกเหล่านี้อยู่แล้ว” นางเบ้ปากแต่เมื่อหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขาแล้ว แล้วก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่เจ้ามีวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรถ้าเจ้าตายแล้วยกให้ข้านะ”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”
“เพราะข้าไม่กล้าฆ่ามนุษย์ ซ้ำยังยั่วยวนมนุษย์ไม่เป็นอีก หากรอกินเพียงเศษพลังชีวิตที่ศิษย์พี่เหลือให้เกรงว่าต้องกลายเป็นปีศาจพิกลพิการไม่สมบูรณ์ ท่านแม่จึงให้ข้ามาหาศิษย์พี่ที่หอชมบุหลัน ให้สั่งสอนการเสพพลังชีวิตมนุษย์และพลังหยางด้วย”
“หอชมบุหลัน เจ้าหมายถึงหอนางโลม...” ยังพูดไม่จบประโยคดีนางก็พยักหน้ารับ มิน่าเล่าถึงได้พบกันที่สะพานข้ามคลอง เพราะนางกำลังจะไปที่หอชมบุหลัน
“แล้วเจ้าล่ะ ทำไมอยากฆ่าตัวตาย หรือเพราะหัวใจอ่อนแอจึงอยากตาย” นางถามทั้งที่ดวงตาพราวระยับด้วยความหวัง
หานหรงเหยากลั้นหัวเราะ นางยังเข้าใจผิดว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ท่าทางไร้อาวรณ์ในชีวิตของเขาคงเหมือนคนอยากตายกระมัง แต่คนที่อายุสั้นเช่นเขาคงไม่ต้องเร่งร้อนพาตัวเองไปสู่ความตายเร็วนัก
แต่นางกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หัวใจของเขายังไม่แข็งแรงจริงๆ เมื่อครู่ยังเผลอคิดถึงหลัวซู่เหมยอยู่เลย นางกลายเป็นพี่สะใภ้ของเขาแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่เขาจะเลิกคิดถึงนางเสียที
“เอาเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอบใจเจ้ามาก” นางพูดแล้วยืดแผ่นหลังขึ้นเลียนแบบท่าทางสูงส่งของท่านแม่ ท่านแม่เป็นปีศาจจิ้งจอกแดงอายุหลายพันปี ท่วงท่างามสง่าน่าเคารพยำเกรงเป็นที่สุด นางวาดฝันไว้ว่าสักวันต้องเป็นให้ได้เช่นท่านแม่
แต่การวางท่าของนางกลับเรียกเสียงหัวเราะพรืดจากบุรุษตรงหน้า หลิวเข่อซิงทำปากยู่ใส่ แถมด้วยถลึงตาแต่หานหรงเหยากลับมองว่าช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
“ช่างเถอะ” นางอ่อนใจที่ไม่สามารถทำให้มนุษย์ผู้หนึ่งยำเกรงนางได้ เอาเถิด สักวัน นางต้องเป็นปีศาจที่เพียงแค่เอ่ยชื่อผู้คนก็ต่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก
“เจ้าจะไปที่หอชมบุหลัน”
“อืม” นางพยักหน้ารับ ร่างกายกลับมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีก
“ข้าช่วยเจ้า เจ้าไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณข้าบ้างหรือ”
“ตอบแทนบุญคุณ?” นางทำเป็นไม่เข้าใจ จะว่าไปเขาก็พูดถูก พลังชีวิตของเขาช่วยให้นางคืนร่างมนุษย์ จากที่บรรดาศิษย์พี่เล่าให้ฟัง แต่พวกมนุษย์หาดีไม่ได้สักคน หรือว่าเขาเห็นนางในร่างจิ้งจอกแดงแล้วอยากได้หนังของนาง!
หานหรงเหยาเลิกคิ้วประหลาดใจ จู่ๆ จิ้งจอกตัวน้อยก็หน้าซีดกอดห่อผ้าแน่น กลายเป็นนางที่แสดงท่าทีหวาดกลัวเขา
“แม่นาง...เอ่อ เข่อซิง...เจ้า...”
“เจ้า...เจ้าเห็นตัวตนของข้าแล้ว” นางกอดห่อผ้าแน่นขึ้นข่มกายไม่ให้สั่นเทา
ชายหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่า เป็นตนเองที่เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของนาง หากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ต้องเป็นเขาที่รับผิดชอบต่อนาง
“เจ้าคงไม่คิดจะถลกหนังข้าหรอกนะ”
“ถลงหนัง?”
เพียงเขาพูดทวนคำของนาง หลิวเข่อซิงก็ดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมห่อผ้า หานหรงเหยาลุกขึ้นตามหมายจะอธิบายเรื่องที่นางเข้าใจผิด แต่นางกลับวิ่งไปที่ประตูทันที เป็นจังหวะที่ประตูเปิดออกพอดี ร่างนางปะทะกับร่างแข็งแกร่งดุจกำแพงหินจนผงะไปด้านหลัง หากไม่มีมือแกร่งของหานหรงเหยาประคองไว้ทันเวลา นางคงหงายหลังศีรษะกระแทกพื้นไปแล้ว
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงถามอย่างงุนงง ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรมาชนร่างตนเลยสักนิด สหายรักกลับจากหอนางโลมทั้งที่ดื่มสุราไปไม่กี่จอก และเมื่อเขากลับมาถึงจวน ก็ได้ยินบ่าวไพร่พูดกันว่าหานหรงเหยามีซ่อนสตรีในห้องนอน เขาแปลกใจกับเรื่องที่ได้ยินจึงมาดูด้วยตนเอง
“เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย” หานหรงเหยาประคองร่างนุ่มนิ่มที่ยกมือลูบปลายจมูกป้อยๆ ดวงตางดงามมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ นางคงเจ็บไม่น้อยที่ไปกระแทกกับกำแพงหินอย่างซุนเจ้าเฟิงเข้าให้
“เข้าใจผิด” นางถลึงตาใส่ “เจ้าจะบอกว่า เจ้าเห็นเนื้อหนังของข้าแล้วไม่คิดอะไรจริงๆ”
“เห็นเนื้อหนัง...” คราวนี้ซุนเจ้าเฟิงอ้าปากค้าง เอาล่ะ เขารู้ว่าหานหรงเหยาไม่ใช่นักพรตรักษาพรหมจรรย์ แต่สหายรักก็ไม่ใช่บุรุษที่เที่ยวเด็ดดอกไม้มาเชยชม ที่เขามั่นใจคือหานหรงเหยายังตัดใจจากคนรักเก่าไม่ได้
“ถือว่าข้ากับเจ้าไม่มีอะไรติดค้างกัน” นางสะบัดตัวออกจากมือที่อ่อนโยนคู่นั้นแล้วรีบวิ่งออกไปทันที ซุนเจ้าเฟิงเกรงนางจะชนเขาอีกจึงหลบทางให้ เขายืนมองร่างเล็กวิ่งจากไปแล้ว เขามองสหายที่ยังยืนเหม่ออยู่จึงโบกมือไปมาเรียกสติอีกฝ่าย
“หรงเหยา”
“ไม่มีอะไร แค่เรื่องเข้าใจผิด”
“อย่างนั้นรึ” เขาอยากถามแต่รู้ดีว่าคนอย่างหานหรงเหยาถ้าไม่อยากเล่าเรื่องใดต่อให้เค้นคอถามก็ไม่ยอมพูดแน่นอน “เจ้านี่ก็เหลือเกินจริงๆ ทิ้งข้าไว้ที่หอชมบุหลันผู้เดียว”
“หอชมบุหลัน...”
“เสียดายที่ไม่ได้พบแม่นางหลิวชิงเซียงเลย ได้ยินว่านางเล่นเพลงพิณได้ไพเราะยิ่งนัก”
หานหรงเหยาพึมพำนึกถึงเรื่องที่สนทนากับเจ้าจิ้งกจอกแดงตัวน้อย นางคงจะไปหาศิษย์พี่ของนางสินะ เขายื่นมือไปเตะไหล่ของซุนเจ้าเฟิงแล้วเอ่ยด้วยขึ้น
“เอาไว้ครั้งหน้า ข้าขอติดตามเจ้าไปหอชมบุหลันแล้ว”
ซุนเจ้าเฟิงประหลาดใจกับประโยคที่ได้ยิน นี่สหายของเขาถึงกับเอ่ยปากต้องการไปหอนางโลมด้วยตนเองเชียวหรือ? และที่เห็นคือใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยนที่เขาไม่ได้มานานแล้ว
อ่า...นางเป็นใครกันที่ทำให้หานหรงเหยากลับมายิ้มได้อีกครา.
หญิงงามอันดับหนึ่งอันดับหนึ่งแห่งหอชมบุหลันนามหลิวชิงเซียงกำลังยืนข่มโทสะอยู่หน้าประตูทางเข้าหอนางโลม แม้หลิวชิงเซียงครอบครองความงามเกินคำบรรยาย แต่เวลานี้ทุกคนย่อมรู้ว่านางเปี่ยมไปด้วยไฟโทสะ จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ มือเรียวกอดอกนิ่งงันแต่ปลายนิ้วเคาะที่แขนของตนด้วยความหงุดหงิด ‘ข้าส่งเข่อซิงไปให้เจ้าอบรมสั่งสอน ในฐานะศิษย์พี่เจ้าก็เมตตาเอ็นดูนางสักนิดเถิด’ ‘ทำไมท่านแม่ให้ข้าดูแลจิ้งจอกปัญญาอ่อนนั่น!’ ‘ชิงเซียง...เจ้าเองก็เคยถูกผู้อื่นตราหน้าเป็นปีศาจชั้นต่ำมาก่อน เจ้าควรเข้าใจนาง’ ‘ท่านแม่...’ ‘วาจาเรียกข้าท่านแม่ ยังมีความเชื่อฟังหรือไม่’ ‘ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว’ นั้นเป็นเรื่องที่นางสนทนากับ ‘ท่านแม่’ ผ่านทูตอีกาสื่อสารที่ท่านแม่ส่งมา ความจริงเข่อซิงไม่ใช่ปีศาจตนแรกที่ท่านแม่ส่งมา ในหอชมบุหลันนี้เป็นที่อาศัยของเหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิว แม้มิใช่พี่น้องแต่ก็นับเป็นพี่น้อง ในหุบเขาจื่อเซ่อจะเรียกกันตามอายุหรือพลังปีศาจของแต่ละตน ส่วนนางนั้นทุกตนเรียกศิษย์พี่ใหญ่ ได้รับมอบหมายใ
“ไม่ได้ ท่านแม่ให้ข้าฝึกฝนเจ้า เจ้าก็ต้องออกรับแขกด้วยตนเอง”“แต่มันน่ากลัวนี่น่า ไหนจะเสียงร้องสยอดสยองนั้นอีก ข้า...ข้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้”“เสียงร้องสยอดสยองอันใด นั้นเรียกเสียงครวญกระเส่าต่างหาก!” หลิวชิงเซียงถลึงตาใส่อีกครั้ง สวรรค์! นางทำผิดอันใดถึงต้องมาสั่งสอนเข่อซิง พลังชีวิตที่สะสมมาต้องสิ้นเปลืองไปเพราะเจ้าตัวโง่งมตนนี้แล้ว นางสูดลมหายใจอีกเฮือกใหญ่แล้วกัดฟันคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา“เอาเป็นว่า เจ้าทำตามที่ข้าสอน ต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าที่เคยทำมา ไม่เช่นนั้นจะเสียชื่อเสียงข้าหมด เจ้าเข้าใจหรือไม่”“อื้ม! ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามสุดความสามารถ จะต้องเก่งกาจให้เหมือนผู้ดูแลหลิวให้ได้!”“ได้แค่ปลายเล็บของข้าก่อนค่อยคุยโม้โอ้อวดตน” หลิวชิงเซียงส่ายหน้าระอาใจ “เจ้าเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำ พลังก็น้อยนิด หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จะกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดง อยู่ที่นี่แม้พวกเราเป็นปีศาจแต่ด้านนอกก็มีนักล่าปีศาจและนักพรตปราบมารอยู่มากมายที่จ้องสังหารพวกเรา เจ้าต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้กลิ่นไอปีศาจจากตัวเจ้า”หลิวชิงเซียงกล่าวเป็นการเป็นงานไม่ได้ตวาดอีก ทำให้หลิวเข่อซิงฟังด้ว
ซุนเจ้าเฟิงเป่าลมออกทางปากทำหน้าบูดบึงแล้วเอ่ยขึ้น “เพราะเหตุนี้เจ้าจึงเป็นห่วงนางใช่หรือไม่” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ย “เจ้าคงนึกหัวเราะเยาะข้าอยู่ในใจสินะ พบกันเพียงครู่เดียวกลับเป็นกังวลเช่นนี้” “ไม่ๆ เหตุใดข้าต้องหัวเราะเจ้าด้วย” ซุนเจ้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พบกันล้วนเกิดจากวาสนา เจ้าเป็นห่วงนางก็เป็นเรื่องดี เอาอย่างนี้ ลองแวะไปเยี่ยมนางดูสักครา หากนางต้องการให้ช่วยเหลือก็ทำตามสมควรเถิด” “ถ้าเช่นนั้น...” “ไป ไปกัน” “ไปไหน?” “ไปหอชมบุหลันอย่างไรเล่า” “ไปกลางวันแสกๆ อย่างนี้รึ” “วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้วนี่” เขาเองก็กลับมาที่จวนเพราะสั่งงานที่ค่ายทหารเรียบร้อยดีแล้ว “ยาเจ้าก็กินแล้วไปกันตอนนี้เลย” หานหรงเหยากระดากใจเล็กน้อย มิใช่ว่าไม่เคยย่างเท้าเข้าหอนางโลม แต่ทุกครั้งที่ไปก็พาเหล่าทหารไปผ่อนหลังทำภารกิจสำคัญลุล่วง แต่ครั้งนี้.... ซุนเจ้าเฟิงไม่รอให้หานหรงเหยาคิดนาน คว้าข้อมือของสหายได้ก็แทบลากตัวปลิวมุ่งหน้าไปหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองทันที ปลายนิ
“เข่อซิง” หญิงสาวได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นางลุกขึ้นจากเตียงแต่ไร้เรี่ยวแรงและนึกได้ว่าหูกับหางจิ้งจอกแดงโผล่ออกมาแล้ว นางอยากขยับตัวหาที่ซ่อนแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงยกมือขึ้นปิดหูของตน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” หลิวชิงเซียงและหานหรงเหยาเอ่ยออกมาแทบพร้อมกัน หลิวชิงเซียงปรายตามองทางชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ดูท่าทางเขาห่วงใยเจ้าตัวโง่งมนั้นจริงจัง เอ๊ะ? เขารู้หรือไม่ว่านางเป็น.... หานหรงเหยาไม่ได้สนใจใครอื่น ในสายตาของเขามีเพียงเจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่นั่งบนเตียงและยกมือขึ้นปิดหู เขาสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วไม่สนใจท่าทีตื่นตะลึงของซุนเจ้าเฟิง รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกคลี่คลุมศีรษะของนาง แล้วโน้มหน้าลงประกบริมฝีปากกับหญิงสาวที่เบิกตากว้าง ลมหายใจอุ่นร้อนไหลเวียนเข้ามาในกายพร้อมกับพลังชีวิตทำให้หลิวเข่อซิงที่แทบหมดแรงสูดลมหายใจของเขาไปเฮือกใหญ่ นางหิวโหยและละโมบจนต้องยกมือขึ้นประกบใบหน้าของเขาไว้ไม่ยอมให้ถอยหนี ก็นางหิวนี่...หิวมากๆ ซุนเจ้าเฟิงอ้าปากค้าง เขาไม่เคยเห็นสหายจู่โจมสตรีเช่นนี้มาก่อน อย่าว
“สาวใช้?” หลิวเข่อซิงทวนคำแล้วก็เห็นว่าตำแหน่งนี้นางน่าจะทำได้ดี จากที่นาง ‘พยายาม’ เรียรรู้จากพี่เลี้ยงที่หลิวชิงเซียงส่งมาอบรมสั่งสอนแล้ว นางมั่นใจว่าตนเองเหมาะที่จะรับใช้ผู้อื่นเพื่อแลกกับการกินเศษพลังชีวิตเล็กๆ น้อยๆ เหมือนที่เคยอยู่ในหุบเขา“ได้ๆ ข้าเป็นสาวใช้ให้เจ้าเอง” นางรีบเสนอตัวแล้วหันไปถามหลิวชิงเซียง “ข้าไปเป็นสาวใช้ของเขาได้ไหม”“สาวใช้อะไรกัน ยังเรียกเจ้านายว่าเจ้านั้นเจ้านี้ ไร้มารยาทเสียจริง”“ได้ๆ ข้าจะพยายาม” นางไม่ถือสาที่ซุนเจ้าเฟิงตำหนินาง “ข้าต้องเรียกเจ้าว่าอะไร”“ใต้เท้า นายท่าน หรือที่ปรึกษาหาน ห้ามเรียกเจ้าๆ อย่างที่ผ่านมาอีก” ซุนเจ้าเฟิงทำตาดุใส่ ทำไมนางโง่งมขนาดนี้ เขาฝึกทหารเป็นหมื่นเป็นแสนยังไม่ยากเท่ากับคุยกับนางเลย“ได้ เช่นนั้น ข้าเรียกเจ้าว่านายท่าน”หานหรงเหยายิ้มและพยักหน้าให้ “ตามใจเจ้าเถิด”“จะพานางไปก็จ่ายค่าไถ่ตัวนางเสียก่อน” หลิวชิงเซียงยังคงยิ้มอ่อนหวานแต่แววตามีความรื่นเริง แน่นอนว่านางหาวิธีกำจัดเจ้าตัวโง่งม ออกไปพ้นหูพ้นตา และอีกทาง นางยังสามารถหาเหตุผลไปเยี่ยมเยือนเข่อซิงที่จวนแม่ทัพซุนได้ คนผู้นี้มีพลังชีวิตกล้าแกร่ง หากได้กลืนกินย
“ข้าจำได้ว่า ผู้ดูแลหลิวบอกว่า ข้ามีวิญญาณพิสุทธิ์ นั้นหมายความว่าข้าเป็นคนดีหรือ?” “ถูกต้อง” นางพยักหน้ายืนยัน “เหล่าภูตผีปีศาจชอบวิญญาณพิสุทธิ์ หากได้กลืนกินจะเพิ่มพลังให้แก่ตนเอง” “เช่นนั้น เป็นคนดีย่อมไม่ปลอดภัยสินะ” เขายิ้มขำ คนอย่างเขานะหรือ?ที่เรียกว่า “คนดี” หากเรียกว่า “เจ้าเล่ห์เพทุบาย” น่าจะได้อยู่ “ไม่ๆ” นางส่ายหน้าไปมา “เพราะเป็นคนดี สวรรค์จึงคุ้มครอง ไม่ให้มารปีศาจตนใดจะแตะต้องได้ง่ายๆ” “แล้วเจ้าเล่า ไม่ใช่ปีศาจหรือไร” “ข้า... “ นางยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “เพราะร่างเดิมข้าคือจิ้งจอกแดง ท่านแม่ข้าเป็นจอมปีศาจชุบเลี้ยงข้าด้วยปราณปีศาจ ข้าจึงเป็นปีศาจ แต่ข้ายังไม่กล้าแกร่ง ไอปีศาจเบาบาง เจ้าเลยไม่รู้ว่าข้าเป็นปีศาจอย่างไรเล่า” “เช่นนั้น ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของเจ้าสร้างขึ้น” “ถูกต้อง ข้าถึงเรียกนางว่าท่านแม่อย่างไร” นาวพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกว่า จริงๆ พวกเราต้องเรียกท่านแม่ว่าอาจารย์ แต่ท่านแม่ไม่ชอบ ท่านแม่แสดงให้เห็นว่ารักทุกตนเท่าเทียมกันจึงให้เรีย
อยู่ชายแดนมานาน ต่างรู้กันว่าที่ปรึกษาหานเป็นผู้รักสันโดษ น้อยครั้งที่จะพบเขาเดินซื้อของในตลาดเช่นวันนี้ และยิ่งต้องแปลกใจเมื่อข้างกายมีสตรีงดงามเดินเคียง ท่าทางอยากรู้อยากเห็นไปทุกสิ่งทำให้ใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เป็นนิตย์ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น หากไม่นับเรื่องสุขภาพแล้ว หานหรงเหยานับเป็นบัณฑิตรูปงาม รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาแฝงความอ่อนโยนที่ชวนให้สตรีเฝ้าถวิลหา แต่เพราะใช้ชีวิตนับถอยหลังรอวันตายทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ใครเล่าจะอยากเป็นม่ายแต่เยาว์วัย แต่ยามนี้ข้างกายบุรุษใกล้ตายผู้นั้นมีสตรีเกาะแขนกึ่งลากกึ่งจูงดูข้าวของสองข้างทาง เดิมทีคิดแค่ซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้หลิวเข่อซิง แต่นางเหมือนเด็กที่เห็นสิ่งใดก็ใคร่รู้ไปเสียหมด นอกจากนางมาจากหุบเขาจื่อ เซ่อแล้ว นางยังเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่แทบไม่เคยรู้จักมนุษย์ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าตลาดเบื้องหน้านาง “เข่อซิง เดินดีๆ ประเดี๋ยวหกล้ม” “ข้าไม่ล้มๆ” นางหันมายิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “เจ้า เอ๊ย ท่าน เอ่อ นายท่าน เดินเร็วๆสิ” “ข้าวของไม่หนีเจ้าไปไหน ไม่ต้องรีบ
“แต่บริเวณรอบนอกมีหมู่บ้านคน” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆ ก็รู้ หานหรงเหยาไม่อยากให้ปีศาจสาวลำบากใจจึงชิงอธิบายก่อน “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมากินข้าวเที่ยงในเมืองได้” “อาวุธตัวอย่างถูกส่งมาแล้ว ข้าให้ส่งไปที่จวนเลยจะกลับไปดู” ซุนเจ้าเฟิงคลั่งไคล้อาวุธทุกชนิด เขาเสียเงินทองไปมากมายเกินกว่าจะนับได้หวาดไหว เพื่อซื้ออาวุธชั้นเลิศมาไว้ในครอบครอง “เช่นนั้นข้าจะกลับไปดูพร้อมเจ้า” ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้าม “วันนี้เจ้าหยุดนี่ พาเข่อซิงเที่ยวเล่นเถิด” “ข้าไม่ได้เที่ยวเล่นนะ” เข่อซิงรีบพูดแก้ไขไม่ให้ซุนเจ้าเฟิงเข้าใจผิด ผู้อื่นเกรงกลัวชายผู้นี้ แต่นางไม่ เพราะเขาไม่เป็น ‘เจ้านาย’ของนางเสียหน่อย ‘ขนาดนี้แล้วไม่เรียกเที่ยวเล่นจะให้เรียกว่าอะไร’ เป็นอีกครั้งที่ซุนเจ้าเฟิงต้องกลั้นหัวเราะ เขารู้ว่าสหายหน้าบางเรื่องสตรี ตั้งแต่มีเรื่องหลัวซู่เหมยกลายเป็นพี่สะใภ้ เขาก็ไม่เคยเห็นหานหรงเหยายิ้มกับใครอีก โดยเฉพาะกับสตรี แต่พอมีหลิวเข่อซิงเข้ามาในชีวิต หานหรงเหยาก็ทำราวกับเก็บสัตว์เลี้ยงเล็กๆ มาดูแล ช่างเถอะ นางจะเป็นอ