“ข้าจำได้ว่า ผู้ดูแลหลิวบอกว่า ข้ามีวิญญาณพิสุทธิ์ นั้นหมายความว่าข้าเป็นคนดีหรือ?”
“ถูกต้อง” นางพยักหน้ายืนยัน “เหล่าภูตผีปีศาจชอบวิญญาณพิสุทธิ์ หากได้กลืนกินจะเพิ่มพลังให้แก่ตนเอง”
“เช่นนั้น เป็นคนดีย่อมไม่ปลอดภัยสินะ” เขายิ้มขำ คนอย่างเขานะหรือ?ที่เรียกว่า “คนดี” หากเรียกว่า “เจ้าเล่ห์เพทุบาย” น่าจะได้อยู่
“ไม่ๆ” นางส่ายหน้าไปมา “เพราะเป็นคนดี สวรรค์จึงคุ้มครอง ไม่ให้มารปีศาจตนใดจะแตะต้องได้ง่ายๆ”
“แล้วเจ้าเล่า ไม่ใช่ปีศาจหรือไร”
“ข้า... “ นางยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “เพราะร่างเดิมข้าคือจิ้งจอกแดง ท่านแม่ข้าเป็นจอมปีศาจชุบเลี้ยงข้าด้วยปราณปีศาจ ข้าจึงเป็นปีศาจ แต่ข้ายังไม่กล้าแกร่ง ไอปีศาจเบาบาง เจ้าเลยไม่รู้ว่าข้าเป็นปีศาจอย่างไรเล่า”
“เช่นนั้น ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของเจ้าสร้างขึ้น”
“ถูกต้อง ข้าถึงเรียกนางว่าท่านแม่อย่างไร” นาวพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกว่า จริงๆ พวกเราต้องเรียกท่านแม่ว่าอาจารย์ แต่ท่านแม่ไม่ชอบ ท่านแม่แสดงให้เห็นว่ารักทุกตนเท่าเทียมกันจึงให้เรียกนางว่าท่านแม่ และปีศาจจิ้งจอกแดงในหุบเขาก็แซ่เดียกันหมดคือแซ่หลิว เท่ากับว่าเราทุกตนเป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรต้องช่วยเหลือพึ่งพากันและกัน”
เขาอดกวาดตามองนางอีกครั้งไม่ได้ ใบหน้าเรียวรูปไข่ จมูกเชิดรั้น ดวงตากลมโตเป็นประกาย ริมฝีปากดุจผลอิงเถา ผิวขาวราวหิมะ เรือนร่างอรชร นางถูกสรรค์สร้างมาอย่างงดงาม ‘ท่านแม่’ ที่นางเรียกขานคงตั้งใจสร้างนางเพื่อยั่วยวนบุรุษเพศ ทว่ากลับมีนิสัยไร้เดียงดุจเด็กน้อย
และเพราะกวาดตามองทำให้สะดุดกับเสื้อผ้าที่นางสวม มันช่างบางเบาจนแทบปกปิดอะไรไม่ได้ หานหรงเหยากระแอมไอแล้วพูดกับนาง
“หากเจ้าเป็นสาวใช้ จะแต่งกายเช่นนี้ไม่ได้”
“ไม่ได้รึ?” นางก้มมองตัวแล้วเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเศร้าหมอง “ศิษย์พี่มอบให้ ข้าคิดว่ามันสวยงามมาก เกิดมาข้าไม่เคยมีเสื้อผ้างดงามเช่นนี้มาก่อน เจ้าดูสิ ตรงนี้ปักลายดอกไม้เล็กๆ ด้วยนะ มันช่างน่ารักเหลือเกิน”
นางตัดใจจากเสื้อผ้าชุดงามนี้ไม่ลงจริงๆ ยังชี้ให้เขาดูที่ลายปักดอกไม้ที่หน้าอกอวบอิ่มของตน แต่เขากลับเบือนหน้าหนี นางจึงลุกขึ้นเดินไปเบื้องหน้า กางแขนแล้วหมุนตัว
“เจ้าทำอะไร” เขาดุนางแต่ก็อดยิ้มขำไม่ได้
“ก็...ข้าอยากให้เจ้าเห็นว่าชุดนี้มันสวยจริงๆ”
“ข้ารู้ แต่ไม่เหมาะกับสาวใช้”
หลิวเข่อซิงหยุดหมุนตัวแล้วจ้องหน้าเขา ดวงตางามกะพริบตาปริบๆ “แต่ข้ามีเสื้อผ้าแค่สามชุด ชุดที่สวมนี้ ชุดที่ท่านแม่ให้มาก่อนออกเดินทางและอีกชุดที่ท่านให้ข้า”
“เช่นนั้น เจ้าไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้มัน...เอ่อ...มิดชิดกว่านี้หน่อย เวลาทำงานจะได้สะดวก”
“เข้าใจแล้ว” ชุดงามก็จริงแต่ไม่เหมาะกับงานสาวใช้ นางเคยซักผ้ากองเท่าภูเขาย่อมๆ มาแล้ว ชุดงามที่สวมนี้ไม่เหมาะจริงๆ “แต่ข้าเสกใบไม้เป็นเงินไม่ได้”
“เอ่อ...ข้ามีเงินให้เจ้าซื้อเสื้อผ้า เจ้าเลือกมาหลายๆ ชุดหน่อย และเนื้อผ้าหนากว่านี้”
“แต่ข้าไม่เคยซื้อเสื้อผ้าเองเลย”
“ได้ พรุ่งนี้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า หากมีของใช้อะไรที่เจ้าต้องการก็ซื้อมาพร้อมกัน”
“อื้ม ตกลงตามนี้ แล้วข้านอนที่ไหน” นางมองไปด้านใน
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะกลายร่างให้ผู้อื่นเห็น เอาอย่างนี้ เจ้านอนเตียงใหญ่ของข้า ข้าจะไปนอนตั่งเอง”
หลิวเข่อซิงหันมามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้เขานั่งอยู่ก็เห็นได้ชัดว่ารูปร่างสูงใหญ่ “ท่านตัวโตขนาดนี้ไปนอนที่ตั่งก็ปวดเมื่อยแย่ แต่เตียงท่านก็ใหญ่ นอนสองคนไม่เบียดกันเท่าไหร่หรอก”
“แค่กๆ”
“เป็นอะไรไป” นางเห็นเขาไอหนักจึงเข้าไปลูบหลังให้ “อาการกำเริบรึ ท่านไม่ได้กินยาหรอกหรือ?”
“กะ...กิน...กินแล้ว” เขาโบกมือไปมาให้นางรู้ว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว
“กินแล้วยังสภาพเช่นนี้ สู้ไม่กินจะดีกว่า” นางเบ้ปากใส่เขา “ยานั้นขมจะตาย ตัวเจ้าก็มีแต่กลิ่นยา ยามข้ากลืนพลังชีวิตเจ้าก็ได้กลิ่นยามาด้วย”
“นั้นสินะ กินมาเป็นสิบปีไม่เห็นดีขึ้น ไม่กินน่าจะดีกว่า” เขาคิดตามที่นางพูดก็คล้อยตามไปด้วย ท่านพ่อท่านแม่เสียเงินทองไปมหาศาลแต่ไม่อาจทำให้หัวใจของเขาดีขึ้นมาได้ ในเมื่อหนีความตายไม่พ้นก็ไม่รู้จะทรมานตัวเองไปเพื่อสิ่งใดอีก
“เชื่อฟังข้าแบบนี้ดียิ่ง” หลิวเข่อซิงยิ้มกว้างแล้วยื่นมือมาทาบที่หน้าอกซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจของเขา “หัวใจเจ้าเต้นแผ่วช้ามาก แบบนี้อยู่ได้ไม่นานจริงๆ อย่างไรก็ถนอมตัวเองด้วย ข้าไม่อยากให้เจ้าตายเร็วนัก ข้ามีความคิดว่าจะค่อยๆ กลืนกินพลังชีวิตของเจ้า ระหว่างนี้จะได้รู้จักมนุษย์อย่างพวกเจ้าไปด้วย”
คุยกันมาตั้งนาน เพิ่งเห็นว่านางมีความคิดอยู่เหมือนกัน หานหรงเหยาพยักหน้าเข้าใจแต่ยังยืนยันให้นางนอนที่เตียงและเขาไปนอนที่ตั่ง แม้เตียงจะกว้าง แต่ให้นอนกันสองคนนั้น เห็นที่ว่า...เขาทำไม่ได้แน่นอน
“ถ้าไม่นอนด้วยกัน ข้าไปนอนตั่งแล้วเจ้าเอ๊ยท่านไปนอนเตียง” นางพูดเหมือนตัดรำคาญ อยู่ในหุบเขาจื่อเซ่อนางถูกผู้อื่นชี้นิ้วสั่ง อยู่กับบุรุษผู้นี้ เขากลับเชื่อฟังนาง ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีอะไรเช่นนี้นะ!
หานหรงเหยาไม่รู้ความคิดของหญิงสาว เอ่อ...ปีศาจจิ้งจอกแดง ขอแค่ไม่ต้องนอนร่วมเตียงกับนาง เขายอมรับทุกข้อเสนอ
“ตกลงตามนี้ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนยกเครื่องนอนมาให้ และสำรับอาหาร เจ้ากินข้าพร้อมข้าก็แล้วกัน”
“ได้”
“แล้วเวลาที่เจ้าต้องการกินพลังชีวิตของข้า ต้องไม่มีผู้อื่นเห็น”
“ได้” นางพยักหน้ารับ
หานหรงเหยาถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็ตกลงกับนางได้สำเร็จเสียที เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้หมายจะเดินไปสั่งการให้บ่าวไพร่ของจวนแม่ทัพจัดการยกเครื่องนอนมา แต่มือเรียวเล็กคว้าแขนเขาไว้ก่อน
“ข้าไม่ได้ไปไหนไกล แค่จะไปสั่งบ่าวคนอื่นเตรียมที่นอนให้เจ้า”
“เรื่องนั้นข้ารู้ ข้าจะไปเอาเองได้อย่างไร ข้าไม่รู้ที่เก็บเสียหน่อย” นางทำหน้าเหมือนตนเองฉลาดเหลือเกิน “ข้าแค่จะบอกว่า ครั้งหน้าถ้าข้ากินพลังชีวิต ห้ามสอดลิ้นเข้ามาในปากของข้า”
“เรื่องนั้น...”
เขาทำเรื่องน่าอายอย่างนั้นด้วยหรือ? เป็นไปไม่ได้น่า
“ความผิดครั้งแรกข้าอภัยให้ได้ ครั้งหน้าอย่าทำอีก”
นางอายุหนึ่งร้อยสิบหกปี นับว่าอายุมากกว่าเขา เรื่องแค่นี้ต้องทำใจกว้าง แต่นางไม่กล้าบอกความจริงว่า ยามลิ้นของเขาแตะลิ้นของนาง มันนำพาความรู้สึกแปลกประหลาดที่นางไม่เคยรู้จัก นางไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองรู้สึกมันคืออะไร รู้เพียงแค่นางต้องการอย่างไม่มีที่สิ่งสุด
แต่ต้องการสิ่งใดนั้นคืออะไร นางก็ไม่อาจเข้าใจตนเองได้.
อยู่ชายแดนมานาน ต่างรู้กันว่าที่ปรึกษาหานเป็นผู้รักสันโดษ น้อยครั้งที่จะพบเขาเดินซื้อของในตลาดเช่นวันนี้ และยิ่งต้องแปลกใจเมื่อข้างกายมีสตรีงดงามเดินเคียง ท่าทางอยากรู้อยากเห็นไปทุกสิ่งทำให้ใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เป็นนิตย์ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น หากไม่นับเรื่องสุขภาพแล้ว หานหรงเหยานับเป็นบัณฑิตรูปงาม รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาแฝงความอ่อนโยนที่ชวนให้สตรีเฝ้าถวิลหา แต่เพราะใช้ชีวิตนับถอยหลังรอวันตายทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ใครเล่าจะอยากเป็นม่ายแต่เยาว์วัย แต่ยามนี้ข้างกายบุรุษใกล้ตายผู้นั้นมีสตรีเกาะแขนกึ่งลากกึ่งจูงดูข้าวของสองข้างทาง เดิมทีคิดแค่ซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้หลิวเข่อซิง แต่นางเหมือนเด็กที่เห็นสิ่งใดก็ใคร่รู้ไปเสียหมด นอกจากนางมาจากหุบเขาจื่อ เซ่อแล้ว นางยังเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่แทบไม่เคยรู้จักมนุษย์ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าตลาดเบื้องหน้านาง “เข่อซิง เดินดีๆ ประเดี๋ยวหกล้ม” “ข้าไม่ล้มๆ” นางหันมายิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “เจ้า เอ๊ย ท่าน เอ่อ นายท่าน เดินเร็วๆสิ” “ข้าวของไม่หนีเจ้าไปไหน ไม่ต้องรีบ
“แต่บริเวณรอบนอกมีหมู่บ้านคน” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆ ก็รู้ หานหรงเหยาไม่อยากให้ปีศาจสาวลำบากใจจึงชิงอธิบายก่อน “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมากินข้าวเที่ยงในเมืองได้” “อาวุธตัวอย่างถูกส่งมาแล้ว ข้าให้ส่งไปที่จวนเลยจะกลับไปดู” ซุนเจ้าเฟิงคลั่งไคล้อาวุธทุกชนิด เขาเสียเงินทองไปมากมายเกินกว่าจะนับได้หวาดไหว เพื่อซื้ออาวุธชั้นเลิศมาไว้ในครอบครอง “เช่นนั้นข้าจะกลับไปดูพร้อมเจ้า” ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้าม “วันนี้เจ้าหยุดนี่ พาเข่อซิงเที่ยวเล่นเถิด” “ข้าไม่ได้เที่ยวเล่นนะ” เข่อซิงรีบพูดแก้ไขไม่ให้ซุนเจ้าเฟิงเข้าใจผิด ผู้อื่นเกรงกลัวชายผู้นี้ แต่นางไม่ เพราะเขาไม่เป็น ‘เจ้านาย’ของนางเสียหน่อย ‘ขนาดนี้แล้วไม่เรียกเที่ยวเล่นจะให้เรียกว่าอะไร’ เป็นอีกครั้งที่ซุนเจ้าเฟิงต้องกลั้นหัวเราะ เขารู้ว่าสหายหน้าบางเรื่องสตรี ตั้งแต่มีเรื่องหลัวซู่เหมยกลายเป็นพี่สะใภ้ เขาก็ไม่เคยเห็นหานหรงเหยายิ้มกับใครอีก โดยเฉพาะกับสตรี แต่พอมีหลิวเข่อซิงเข้ามาในชีวิต หานหรงเหยาก็ทำราวกับเก็บสัตว์เลี้ยงเล็กๆ มาดูแล ช่างเถอะ นางจะเป็นอ
ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแค่...น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น “เขาคิดอะไรอยู่” หลิวชิงเซียงพึมพำกับตนเองแล้วยึดกายขึ้นยืนบนกิ่งไม้ หานหรงเหยามิใช่นักพรตและมิใช่นักปราบมาร เขาเป็นเพียงบัณฑิตอมโรคที่รอวันตายเพราะหัวใจอ่อนแอ ทว่ากลับเอ็นดูปีศาจอย่างเข่อซิง ยอมให้กินพลังชีวิตของตนเอง แต่แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสุข คนแบบไหนกันที่ยอมบั่นทอนอายุตนเองให้ปีศาจตนหนึ่ง ‘รัก?’ ไม่มีทาง ปีศาจกับมนุษย์นี้นะจะรักกัน ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และนางอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตานั้น ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ดวงตาคมหรี่ตามองที่หนึ่งคนและหนึ่งปีศาจจิ้งจอกแดงที่อยู่ร่วมกันในเรือนหลังนั้น มุมปากยกยิ้มหยามเหยียดแล้วพลิ้วกายในความมืดมุ่งหมายกลับไปที่หอชมบุหลัน ทว่าเมื่อผ่านมาถึงลานกว้าง ดวงตางามมองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่กำลังร่ายรำเพลงทวน ปลายทวนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์ การเคลื่อนไหวสอดประสานกับลำทวน ทุกท่วงท่าทรงพลัง หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจได้กลิ่นอายบุรุษเพศผสนกับกลิ่นความทะเยอทะยานและกระหายเลือด นางเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว
ซุนเจ้าเฟิงมองหญิงสาวก้าวเดินจากไป เขายกมือขึ้นกอดอก นางมาจากทางใดกัน เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่นางเพียงใด นางไม่เหมือนคนมีวรยุทธ์ แต่ท่าทีสงบนิ่งนั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน ไอสังหารในตัวเขาทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นางกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว และยังคงมีสติต่อปากต่อคำกับเขาได้อีก ปกติเขาไม่ชอบสตรีพูดมากน่ารำคาญ แต่น้ำเสียงนางราบรื่นดุจสายน้ำและพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาให้องครักษ์เงาสืบเรื่องของนาง แต่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ความเป็นปกตินั้นมากเกินไป เหมือนซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หวังว่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายสหายเขาจะไม่ใช่คนที่นางส่งหลอกลวงหานหรงเหยา เขามีสหายรักเพียงคนเดียว เกรงว่าจะถูกความไร้เดียงสานั้นทำให้ปวดใจอีกครา หญิงงามในชุดกระโปรงสีแดงสดใส วิ่งไปมาในจวนแม่ทัพจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในจวน แม้กระทั่งในค่ายทหาร นางก็ติดตามหานหรงเหยาไปด้วย โดยที่แม่ทัพใหญ่เห็นดีเห็นงามให้เหตุผลเรื่องสุขภาพของที่ปรึกษาหานต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่กุมขมับไม่คิดว่าสหายจริงจังถึงเพียงนี้
“แต่หุบเขาจื่อเซ่ออันตรายมาก มนุษย์เข้าไปไม่ได้” “ข้ารู้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่ต้องใช้เส้นทางลัดเลาะรอบนอก แต่เราจำเป็นต้องรู้ภูมิประเทศ อีกอย่าง ข้าได้อ่านบันทึกของเมืองนี้ เคยเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ทั้งเสบียงอาหารยารักษาโรค กว่าจะใช้เส้นทางได้ก็นานนับเดือน” “ข้าจำได้ ข้าเคยเห็น” “นั้นมั้นตั้งยี่สิบปีมาแล้ว” “ก็ข้าอายุหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว ก็ต้องเคยเห็นสิ” นางแยกเขี้ยวใส่ “ข้าอายุมากกว่านายท่านนะ อย่าลืมสิ” คราวนี้เขาหลุดหัวเราะมาอีกครั้ง “เป็นข้าที่ผิดเอง” นางผงกศีรษะรับคำขอโทษ แล้วจิบน้ำชา รสชาติดีชุ่มคอเหลือเกิน “ความจริงเส้นทางในหุบเขาไม่ใช่ความลับอะไร ท่านแม่บอกว่าห้ามคนนอกรู้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เส้นทางเหล่านี้ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับเข้าใจคำพูดของนาง ที่นั้นเสมือนบ้านของนางหากให้ผู้อื่นรู้เส้นทางเข้าออกบ้านย่อมไม่ปลอดภัย “จริงสิ” หลิวเข่อซิงร้องขึ้นอย่างนึกได้ “ท่านก็เป็นคนในครอบครัวข้าสิ ข้าจะได้บอกเส้นทางให้ท่านรู
“นายท่าน! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าเห็นจิ้ง...จอก...” จูอี้ซินวิ่งตามจิ้กจอกแดง เห็นชัดเต็มสองตาว่ามันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง นางจึงรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้รายงานก่อน ทว่าสิ่งที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน และที่สำคัญ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่ “กรี๊ดดดด” เสียงหวีดร้องของจูอี้ซินทำให้หลิวเข่อซิงได้สติ หานหรงเหยายอมถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อออกจากอ่างน้ำแต่เขาโอบกอดนางมาแนบชิดและยกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะนางให้ซบลงซอกคอของเขา พลางส่งเสียงกระซิบ “อย่าเพิ่งขยับ เจ้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า” เข่อซิงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จะว่าไปนางเปลือยกายต่อหน้าของเขาหลายครั้ง เมื่อนางกลายร่างจากจิ้งจอกแดงมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย นางจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาสั่ง “เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงที่ฝึกเพลงกระบี่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงหวีดร้องจึงรีบทะยานเข้ามาดู เห็นจูอี้ซินยกมือขึ้นปิดหน้า เขามองเลยไปด้านหล
“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?” “ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า” เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร “ข้าลืมตาได้หรือยัง” “ยัง” “อา...” นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า” ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” “นานเพียงนั้นเชียว” “เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน” “ดี ห้ามเข
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย “เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้ “อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียง