ซุนเจ้าเฟิงมองหญิงสาวก้าวเดินจากไป เขายกมือขึ้นกอดอก นางมาจากทางใดกัน เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่นางเพียงใด นางไม่เหมือนคนมีวรยุทธ์ แต่ท่าทีสงบนิ่งนั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน ไอสังหารในตัวเขาทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นางกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว และยังคงมีสติต่อปากต่อคำกับเขาได้อีก ปกติเขาไม่ชอบสตรีพูดมากน่ารำคาญ แต่น้ำเสียงนางราบรื่นดุจสายน้ำและพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาให้องครักษ์เงาสืบเรื่องของนาง แต่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ความเป็นปกตินั้นมากเกินไป เหมือนซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้
แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หวังว่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายสหายเขาจะไม่ใช่คนที่นางส่งหลอกลวงหานหรงเหยา เขามีสหายรักเพียงคนเดียว เกรงว่าจะถูกความไร้เดียงสานั้นทำให้ปวดใจอีกครา
หญิงงามในชุดกระโปรงสีแดงสดใส วิ่งไปมาในจวนแม่ทัพจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในจวน แม้กระทั่งในค่ายทหาร นางก็ติดตามหานหรงเหยาไปด้วย โดยที่แม่ทัพใหญ่เห็นดีเห็นงามให้เหตุผลเรื่องสุขภาพของที่ปรึกษาหานต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่กุมขมับไม่คิดว่าสหายจริงจังถึงเพียงนี้
หลิวเข่อซิงประคองกล่องใส่ใบชาไว้ในอ้อมแขน วิ่งเร็วๆ ราวกับมีวิชาตัวเบารีบกลับมาหานหรงเหยาที่ยังนั่งทำงานอยู่ในเรือนของตน
“นายท่าน! ข้าได้ใบชามาแล้ว” หลิวเข่อซิงไม่สนใจว่าเบื้องหน้าจะมีรายงานใดวางอยู่ แต่นางกวาดพวกมันไปไว้ด้านข้างแล้ววางกล่องชาลงตรงหน้าหานหรงเหยา
“อืม” เขารับคำในลำคอ แต่มือยังคงตวัดขีดเขียนตัวอักษรอย่างแน่วแน่ไม่วอกแวก ราวกับคัดคัมภีร์พระไตรปิฎก
“ชาไป๋หาวหยินเจินมาแล้ว” นางพูดเสียงดังขึ้นอีกนิดแล้วเปิดกล่องออก ใช้มือโบกเบาๆให้กลิ่นใบชาชั้นเลิศส่งกลิ่นยั่วยวนอีกฝ่าย “พ่อบ้านจูเส้ากันบอกว่า เป็นชาดีหายากส่งมาจากเมืองหลวง ชานี้จัดเป็นชาขาว ฮ่องเต้ทรงเสวยน้ำชานี้ทรงติดใจมาก บรรดาพ่อค้ารู้ข่าวจึงรีบนำเข้ามาขาย”
“ไป๋หาวหยินเจิน...พ่อบ้านจูให้เจ้าถือกล่องใบชามาด้วยตนเองเชียวหรือ?” เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางเบา แม้จะดูอิดโรยแต่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเช่นทุกวัน
หญิงสาวพยักหน้ารับ “ข้าบอกว่านายท่านต้องการ พ่อบ้านก็ไปเบิกใบชามาให้ข้า”
หานหรงเหยายอมวางพู่กันลง หลิวเข่อซิงรีบเดินไปหยิบผ้าเปียกส่งให้เขาเช็ดมือ ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย หลายวันที่อยู่รวมกัน ดูเหมือนนางจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าที่คิด แม้ยังติดนิสัยซุกซนไปสักหน่อย เขาสอนนางอย่างไร นางก็ทำตาม แต่ช่างซักถามไปบ้าง จนบางคราวเขาก็จนปัญญาจะหาคำตอบ
“เจ้ากล้าแอบอ้างใช้ชื่อข้าเบิกของในคลังแล้วหรือ?” เขาถามไม่จริงจังนัก
“แอบอ้างอันใดกัน นายท่านต้องการใบชาจริงๆ ข้าแค่ระบุว่าต้องการชาไป๋หาวหยินเจินเท่านั้นเอง”
เป็นจิ้งจอกแดงที่กะล่อนจริงๆ
หานหรงเหยาโคลงศีรษะไปมา เอาเถิด นางเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
“ไป๋หาวหยินเจินจัดเป็นชาขาว มีลักษณะเหมือนเข็มเย็บผ้า มีกลิ่นหอม หวาน ชุ่มคอ น้ำชาที่อยู่ในถ้วยสดใสสวยสด ประเดี๋ยวข้าชงชาเจ้าลองสังเกตดูให้ดี”
“ให้ข้าชงเอง”
“เจ้าใช้ใบชาธรรมดาหัดชงไม่ดีกว่ารึ” เขาแอบเสียดายใบชาเลิศรสที่ถูกนางทำเสียหายไปหลายครั้ง
นางทำหน้างอแต่ยอมพยักหน้าอย่างจำนน อย่างไรเสีย นายท่านของนางชงชาได้น่ามองและยังเลิศรสอีกด้วย เช่นนั้น นางแค่นั่งนิ่งๆ ได้ชิมชาเลิศรสไม่เปลืองแรงจะดีกว่า อยู่ด้วยกันมาครึ่งเดือน เขาสอนนางหลายอย่าง แม้นางไม่ใช่คน เอ๊ย!ปีศาจที่ฉลาดนัก แต่ก็ไม่โง่ที่จะไม่เข้าใจ เขามักพูดอยู่บ่อยๆ ว่า ‘ในวันที่ข้าไม่อยู่ เจ้าจะได้ทำเป็น’ นางไม่รู้ว่า ทำไมต้องปวดใจเมื่อได้ยินเขาพูดประโยคนี้ ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่า เขาอยู่บนโลกนี้ไม่นาน มนุษย์ก็มีชีวิตอันแสนสั้นอยู่แล้ว แต่เขา...เขาอายุแค่ยี่สิบปีเอง นอกจากใบหน้าหล่อเหลาแล้ว ยังเป็นคนที่เปี่ยมความรู้ความสามารถ ถ้าเขาตายไปก็น่าเสียดายไม่น้อย
“เข่อซิง” หานหรงเหยาเรียกเมื่อเห็นนางเงียบไป แต่ทุกครั้งที่เขามองใบหน้านั้น นางจะยิ้มให้เสมอ ราวกับชีวิตไม่เคยพานพบเรื่องเลวร้ายใด หากไม่นับที่นางกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเพื่อรบกวนสมาธิการทำงานของเขา นางก็ไม่เหมือนปีศาจเลยสักนิด
“อื้ม!” นางตื่นจากภวังค์แล้วเดินเร็วๆ ไปหาเขาที่ชงชาเสร็จแล้ว ไม่เพียงรสชาที่แสนวิเศษ แต่ท่วงท่าการชงชางามสง่าชวนมอง นางจำได้ว่าที่หอชมบุหลันก็สอนหญิงงามให้ชงชา แต่นางโง่เขลาเกินกว่าจะเรียนรู้ได้
“มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าควรฝึกฝนเรียนรู้ไว้ ยามที่ข้าไม่อยู่ เจ้าจะได้ทำได้เอง” เขาพูดเหมือนสอน แต่เดิมเขาไม่เคยใส่ใจว่าตนจะจากโลกนี้ไปเมื่อใด แต่เมื่อมีเจ้าจิ้งจอกแดงน้อยตัวนี้เข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ ทำให้เป็นห่วงและกังวลว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อไม่มีเขา
“ทำไมล่ะ นายท่านคิดจะฆ่าตัวตายอีกแล้วรึ” ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้น “คิดออกแล้วหรือว่าจะตายอย่างไร ครั้งที่แล้วจะกระโดดน้ำที่สะพาน ครั้งนี้จะทำอะไรดี ผูกคอตายหรือว่ากลั้นหายใจหรือกินยาพิษหรือว่า...”
หานหรงเหยาหลุดหัวเราะออกมา “เจ้าอดใจรอข้าตายไม่ได้หรือ?”
“ไม่ใช่เสียหน่อย” นางย่นจมูกใส่ “ข้าก็สงสัยมาตลอดว่านายท่านจะฆ่าตัวตายทำไม ในเมื่อยังไงก็ต้องตายอยู่ดี”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับทั้งที่ยังหัวเราะอยู่ ในโลกนี้จะหาใครทำให้เขาหัวเราะได้อย่างนางอีกนะ
“ก็จริงอย่างที่เจ้ากล่าว”
“คนฉลาดน้อยอย่างข้ายังเข้าใจเลย เพราะฉะนั้นท่านก็เลิกคิดฆ่าตัวตายได้แล้ว” นางพูดแล้วยื่นมือไปจับบ่าของเขา “รู้เช่นนี้แล้ว ท่านจะหักโหมทำงานเพื่ออะไร ท่านน่าจะเอาเวลามาทำอะไรที่อยากทำก่อนตาย”
“ก็เพราะรู้ว่าเวลาเหลือน้อย ข้าจึงอยากทำอะไรที่ค้างคาให้เสร็จสิ้น”
“งานพวกนั้นนะหรือ?” นางเบิกตากว้าง “นั้นมิใช่แผนที่หุบเขาจื่อ เซ่อหรอกหรือ?”
“ถูกต้อง” เขายิ้มให้นางแล้วยื่นถ้วยชาส่งให้ “ข้ามาอยู่ที่นี่ไม่นาน แต่พอรู้ว่ามีปัญหาเรื่องเส้นทางถอยทัพ หากใช้เส้นทางผ่านหุบเขานี้ได้ ย่อมเป็นผลดีต่อทหาร ทั้งการสุ่มโจมตีและตั้งรับ”
“แต่หุบเขาจื่อเซ่ออันตรายมาก มนุษย์เข้าไปไม่ได้” “ข้ารู้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่ต้องใช้เส้นทางลัดเลาะรอบนอก แต่เราจำเป็นต้องรู้ภูมิประเทศ อีกอย่าง ข้าได้อ่านบันทึกของเมืองนี้ เคยเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ทั้งเสบียงอาหารยารักษาโรค กว่าจะใช้เส้นทางได้ก็นานนับเดือน” “ข้าจำได้ ข้าเคยเห็น” “นั้นมั้นตั้งยี่สิบปีมาแล้ว” “ก็ข้าอายุหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว ก็ต้องเคยเห็นสิ” นางแยกเขี้ยวใส่ “ข้าอายุมากกว่านายท่านนะ อย่าลืมสิ” คราวนี้เขาหลุดหัวเราะมาอีกครั้ง “เป็นข้าที่ผิดเอง” นางผงกศีรษะรับคำขอโทษ แล้วจิบน้ำชา รสชาติดีชุ่มคอเหลือเกิน “ความจริงเส้นทางในหุบเขาไม่ใช่ความลับอะไร ท่านแม่บอกว่าห้ามคนนอกรู้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เส้นทางเหล่านี้ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับเข้าใจคำพูดของนาง ที่นั้นเสมือนบ้านของนางหากให้ผู้อื่นรู้เส้นทางเข้าออกบ้านย่อมไม่ปลอดภัย “จริงสิ” หลิวเข่อซิงร้องขึ้นอย่างนึกได้ “ท่านก็เป็นคนในครอบครัวข้าสิ ข้าจะได้บอกเส้นทางให้ท่านรู
“นายท่าน! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าเห็นจิ้ง...จอก...” จูอี้ซินวิ่งตามจิ้กจอกแดง เห็นชัดเต็มสองตาว่ามันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง นางจึงรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้รายงานก่อน ทว่าสิ่งที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน และที่สำคัญ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่ “กรี๊ดดดด” เสียงหวีดร้องของจูอี้ซินทำให้หลิวเข่อซิงได้สติ หานหรงเหยายอมถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อออกจากอ่างน้ำแต่เขาโอบกอดนางมาแนบชิดและยกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะนางให้ซบลงซอกคอของเขา พลางส่งเสียงกระซิบ “อย่าเพิ่งขยับ เจ้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า” เข่อซิงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จะว่าไปนางเปลือยกายต่อหน้าของเขาหลายครั้ง เมื่อนางกลายร่างจากจิ้งจอกแดงมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย นางจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาสั่ง “เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงที่ฝึกเพลงกระบี่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงหวีดร้องจึงรีบทะยานเข้ามาดู เห็นจูอี้ซินยกมือขึ้นปิดหน้า เขามองเลยไปด้านหล
“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?” “ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า” เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร “ข้าลืมตาได้หรือยัง” “ยัง” “อา...” นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า” ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” “นานเพียงนั้นเชียว” “เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน” “ดี ห้ามเข
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย “เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้ “อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียง
หานหรงเหยารับเสื้อคลุมมาห่มร่างที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางมักยิ้มเสมอ “นางน่ารักดี” ซุนเจ้าเฟิงเอ่ยชมอย่างจริงใจ แรกทีเดียวเขาก็หวั่นเกรงว่านางจะมาหลอกลวงสหายรัก แต่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน นางเป็นคนจริงใจใสซื่อ เขาไม่เคยมีสหายเป็นสตรี และสตรีที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครนิสัยเช่นนี้ ทำให้เขาอดเอ็นดูนางไม่ได้จริงๆ “ถึงอำเภอข้างหน้า ข้าจะขี่ม้าแยกไปก่อน ส่วนเจ้าก็นั่งรถม้าชมทิวทัศน์กับเข่อซิงกันเอง ข้าแบ่งองครักษ์ไว้ให้เจ้าแล้ว” “เหตุใดแยกเดินทางเล่ามีเรื่องร้ายรึ” “มี” ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าจริงจังแล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะตัวเตี้ยที่วางหนังสือรายงานต่างๆ “ภาพเจ้ากับเข่อซิงรบกวนสายตาข้า ข้าขี่ม้าไปเองปลอดภัยกว่า” “ไร้สาระ” หานหรงเหยายิ้มมุมปาก คร้านจะต่อปากต่อคำกับสหายจึงก้มหน้าอ่านรายงานต่อไป แต่ในขณะที่มือหนึ่งวางบนศีรษะของหญิงสาวแล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หลิวเข่อซิงถูกปลุกเมื่อรถม้าหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง นางงัวเงียขึ้นยกมือขึ้นขยี้ตาราวเด็กน้อย แต่หานหรง
“เข่อซิง” เขาพยายามบังคับสายตาให้หันไปทางอื่น แต่พบว่าไม่อาจละสายตาจากใบหน้างามที่ระบายยิ้ม รวมถึงผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส และบัวคู่งามที่ปริ่มน้ำ “ข้าอยากแช่น้ำกับท่าน” นางรีบร้อนกลัวเขาหนีไปก่อนจึงกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเพื่อลดเวลาเปลื้องเสื้อผ้า แต่นางลืมไปว่าเมื่อนางคืนร่างมนุษย์ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า “เข่อซิง” นางจะรู้หรือไม่ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดไม่ให้ตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรทำ “หากเข้าเมืองหลวงแล้ว อย่าทำเช่นนี้อีก ผู้อื่นจะมองเจ้าไม่ดี” “ไม่ดีอย่างไร ท่านเป็นนายของข้า ข้าต้องปรนนิบัติดูแลท่าน อ๊ะ!” นางร้องอย่างนึกได้ “มีเรื่องใด” “รอประเดี๋ยวนะ” นางว่ายน้ำกลับไปที่กองเสื้อผ้า หยิบขวดสุรายาที่ซุนเจ้าเฟิงให้ไว้แล้วกลับมาหาเขา เห็นขวดก็รู้ว่าเป็นสุรา แต่นางไปได้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเอามาจากหอชมบุหลันเหมือนยาบำรุงเลือดลมอะไรนั้นอีก นั้นทำให้หานหรงเหยาผงะหนี แต่เข่อซิงกลับคิดว่าเขาคงกลัวกินยาเช่นที่ผ่านมา นางจึงรีบยกสุราขึ้นจิบหมายใช้ปากป้อนสุราให้หานหรงเหยา แต่เพราะรสสุราแผด
เสียงแหบพร่าของเขาเรียกสตินาง นั้น...นั้นเสียงของเขาหรือ? เขาเรียกชื่อนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้นางตาพร่าไปชั่วขณะ “ข้าต้องการเจ้า” “แต่...” เขารวบนางมากอดไว้ นานเหลือเกินที่หัวใจเขาไม่เคยเปิดรับใคร เขาโกรธหลัวซู่เหมยไม่ได้ สภาพร่างกายเขาไม่ว่าหมอกี่คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี หากนางแต่งงานกับเขาก็กลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เป็นเขาที่ชิงชังตนเองในสภาพนี้ กระทั้งวันนั้นที่สะพานข้ามคลอง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนวิ่งมาสวมกอดจากด้านหลัง ไออุ่นของนางขับไล่ความหมองหม่นในใจ แววตาสุกใสราวกับฉุดเขาขึ้นจากบ่อน้ำลึกที่พยายามปีนป่ายขึ้นมาหลายปี แม้รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ นางไม่เหมือนปีศาจอย่างที่เคยได้ยินหรืออ่านจากหนังสือทั่วไป นางใสซื่อและไร้เดียงสา เขาไม่เคยรู้เลยว่าการมีชีวิตแต่ละวันจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อมานางเข้ามา ชีวิตที่มีนางอยู่ใกล้ มันช่างดีเหลือเกิน “หรือเจ้า...ไม่ต้องการข้า..” “ข้าต้องการท่าน!” นางส่ายหน้าไปมา “มีเพียงท่าน...ที่ข้าต้องการ...” ริมฝีปาก
องครักษ์ที่ซุนเจ้าเฟิงให้อารักขารถม้าของหานรถเหยานำหน้ามาก่อน ทหารสองนายลงจากหลังม้าประสานมือคารวะหานกั๋วกงแล้วตามด้วยคุณชายทั้งสอง แล้วหันกลับไปรอรถม้าที่เคลื่อนมาอย่างช้าๆ จนหยุดที่ประตูจวนสกุลหานชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้าลง ใบหน้าอ่อนโยนคลี่ยิ้มละมุนแล้วคารวะบิดา“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ น้องเล็ก”“พี่รอง!” หานหลี่เจี๋ยปราดเข้าไปรับพี่ชาย “ในที่สุดพี่รองก็กลับมาเสียที”“ท่านแม่เล่า” หานหรงเหยาอดถามถึงมารดาไม่ได้“ท่านแม่ไม่ค่อยสบาย รอเจ้าอยู่ด้านใน” หานลี่จูยื่นมือไปตบไหล่น้องชาย พลันรู้สึกว่าแขนของหานหรงเหยาเต็มไปด้วยความเนื้อจนอดบีบแรงๆไม่ได้“พี่ใหญ่” หานหรงเหยาประหลาดใจที่หานลี่จูบีบต้นแขนตน แต่เพียงครู่เดียวมือข้างนั้นก็ปล่อยออกแล้วเปลี่ยนมาจับชีพจรของเขาแทน“มีอะไรรึพี่ใหญ่” หานหลี่เจี๋ยรู้ดีว่าพี่รองสุขภาพไม่ดีนักแต่เห็นพี่ใหญ่จับชีพจรหน้าบ้านเช่นนี้ก็อดเป็นกังวลไม่ได้“ไม่มีอะไร” หานลี่จูยิ้มกว้าง “อยู่ชายแดนคงลำบากไม่น้อย”“ไม่เลย หากไม่นับเรื่องการศึกแล้ว นับว่าเงียบสงบและงดงามไม่น้อย”“รู้อย่างนี้ข้าตามพี่รองไปด้วยก็ดี” หานหลี่เจี๋ยยิ้มทะเล้น“พอแล้วๆ เข้าไปคุยในบ้านเถิด แม่เ