“แต่หุบเขาจื่อเซ่ออันตรายมาก มนุษย์เข้าไปไม่ได้”
“ข้ารู้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่ต้องใช้เส้นทางลัดเลาะรอบนอก แต่เราจำเป็นต้องรู้ภูมิประเทศ อีกอย่าง ข้าได้อ่านบันทึกของเมืองนี้ เคยเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ทั้งเสบียง
อาหารยารักษาโรค กว่าจะใช้เส้นทางได้ก็นานนับเดือน”
“ข้าจำได้ ข้าเคยเห็น”
“นั้นมั้นตั้งยี่สิบปีมาแล้ว”
“ก็ข้าอายุหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว ก็ต้องเคยเห็นสิ” นางแยกเขี้ยวใส่ “ข้าอายุมากกว่านายท่านนะ อย่าลืมสิ”
คราวนี้เขาหลุดหัวเราะมาอีกครั้ง “เป็นข้าที่ผิดเอง”
นางผงกศีรษะรับคำขอโทษ แล้วจิบน้ำชา รสชาติดีชุ่มคอเหลือเกิน
“ความจริงเส้นทางในหุบเขาไม่ใช่ความลับอะไร ท่านแม่บอกว่าห้ามคนนอกรู้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เส้นทางเหล่านี้ได้”
หานหรงเหยาพยักหน้ารับเข้าใจคำพูดของนาง ที่นั้นเสมือนบ้านของนางหากให้ผู้อื่นรู้เส้นทางเข้าออกบ้านย่อมไม่ปลอดภัย
“จริงสิ” หลิวเข่อซิงร้องขึ้นอย่างนึกได้ “ท่านก็เป็นคนในครอบครัวข้าสิ ข้าจะได้บอกเส้นทางให้ท่านรู้ได้”
“ข้าจะเป็นคนในครอบครัวเจ้าได้อย่างไร” เขายิ้มเอ็นดูนางพลางจิบชาในถ้วยของตน
“แต่งงานกับข้า มาเป็นเขยสกุลหลิว แค่นี้ท่านก็สามารถล่วงรู้เส้นทางในหุบเขาจื่อเซ่อได้แล้ว”
“แค่กๆ”
“นายท่าน เป็นอะไรไป โรคเก่ากำเริบรึ”
“ไม่...ไม่มีอะไร” เขาวางถ้วยชาแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปาก “เรื่องเมื่อครู่...เจ้าอย่าเอาไปพูดกับผู้อื่น”
หลิงเข่อซิงอ้าปากจะถามแต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะเห็นนายท่านไอหนักๆ สองสามที เอาเถิด เขาไม่อยากให้นางพูด นางก็ไม่พูด แต่น้ำชานี้เลิศรสจริงๆ
แต่ไม่มีอะไรเลิศรสไปกว่า ยามได้กลืนกินพลังชีวิตจากริมฝีปากของเขาอีกแล้ว.
ณ เรือนคนรับใช้
“ข้าไม่ชอบนาง นางต้องเป็นมารปีศาจทำคุณไสยใส่ที่ปรึกษาหานและท่านแม่ทัพให้ลุ่มหลงเป็นแน่”
“พูดจาอะไรให้ระวังหน่อยอี้ซิน” พ่อบ้านจูเส้ากันตำหนิหลานสาวพรางยกน้ำชาขึ้นดื่ม “มาถึงเวลานี้แล้ว เจ้าล้มเลิกความคิดปีนขึ้นเตียงนายท่านเถิด”
“ท่านลุง!” จูอี้ซินแทบหวีดร้องด้วยความไม่พอใจ “ข้าลงทุนขนาดนี้ ท่านก็ช่วยสงเสริมข้าอีกหน่อยเถิด”
“ท่านแม่ทัพไม่พูดก็ใช่ว่าจะไม่รำคาญ หากเขาหมดความอดทนเมื่อใด ทั้งข้าและเจ้าไร้ที่ซุกหัวนอนเป็นแน่”
“ข้าไม่เชื่อว่าตนเองไร้เสน่ห์จนท่านแม่ทัพและที่ปรึกษาหานไม่ชายตามอง” นางกัดริมฝีปากด้วยความโมโห “ดูเข่อซิงนั้นอย่างไร จู่ๆ ก็เข้ามาเป็นสาวใช้ข้างกายที่ปรึกษาหาน”
“พอทีจูอี้ ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เข่อซิงเป็นสตรีของนายท่านหานหรงเหยา หากเจ้ากล้าพูดจาไม่ดีถึงนางอีก ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านทันที”
“ท่านลุง”
“กลับไปห้องของเจ้าได้แล้ว ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าอีก”
จูอี้ซินจะโต้เถียงกลับแต่เปลี่ยนใจ นางไม่อยากมีปัญหามากไปกว่านี้ กว่าจะได้มาอยู่จวนแม่ทัพก็มิใช่เรื่องง่าย นางไม่อยากถูกส่งตัวกลับไปอยู่บ้านยากจนที่เคยจากมา อย่างน้อยอยู่ที่นี่ก็ได้กินอิ่มมีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ มีที่ซุกหัวนอนไม่ต้องกลัวแดดและฝน จูเส้ากันเบือนหน้าไปทางอื่นแสร้งหยิบสมุดบัญชีมาเปิดออก จูอี้ซินจึงขอตัวเดินออกมาอย่างเงียบๆ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความริษยา เพียงแค่คิดถึงสาวใช้ข้างกายหานหรงเหยา หัวใจนางก็ร้อนรุ่มราวมีกองเพลิงโหมไหม้ นางเดินวนไปวนมาในสวนดอกไม้ยามค่ำคืนที่ไร้ผู้คน หลิวเข่อซิงเป็นใครกัน ท่าทางโง่งมและฉีกยิ้มตลอดเวลานั้นรบกวนสายตาของนางยิ่งนัก
“แสร้งทำเป็นไร้เดียงสา ที่แท้ก็นางปีศาจยั่วยวนบุรุษ!”
นางสู้ทำทุกวิถีทางเพื่อให้บุรุษทั้งสองหันมามอง แต่พวกเขาก็ไม่เคยเหลียวแล จูอี้ซินกระทืบอย่างไม่พอใจ หางตาเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างจึงหันไปมองแล้วก็พบจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งกระโจนผ่านหน้า จูอี้ซินเบิกตากว้าง เจ้าจิ้งจอกแดงก็ทำเช่นกันแต่ในปากของมันเหมือนคาบบางสิ่งอยู่ ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่งแต่เป็นจิ้งจอกแดงที่ได้สติรีบกระโดดออกไปทันที
“นะ...นั้น...นั้นมัน...จิ้งจอก... จิ้งจอกแดง...” จูอี้ซินขยี้ตาแม้เบื้องหน้าไร้ไม่มีเงาร่างนั้นแล้ว นางรีบมองตามทิศทางที่จิ้งจอกแดงกระโดดไปและพบว่า มันวิ่งไปทางเรือนของที่ปรึกษาหาน นางนิ่งงันไปอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนได้สติแล้วรีบยกชายกระโปรงขึ้นวิ่งตามไปทันที
หลังฉากกั้นมีบุรุษเปลือยกายในอ่างน้ำอุ่น หานหรงเหยาผ่อนลมหายใจแล้วเอนหลังผิงขอบอ่างไม้ ตั้งแต่หลิวเข่อซิงเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ก็หาเวลาเป็นส่วนตัวได้ยากยิ่ง นางพยายามทำตัวเป็นสาวใช้ที่ดีจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ แต่ก็อดหัวเราะกับความไร้เดียงสาไม่ได้ ป่านนี้นางคงหาของกินอยู่ในครัว เขาจึงรีบฉวยโอกาสนี้แช่กายในน้ำอุ่นให้สบายตัว
ทว่าเพียงหลับตาลงได้เพียงชั่วครู่ หานหรงเหยาก็รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวพุ่งตรงมา เขาวาดฝ่ามือตวัดน้ำจากในอ่างสาดใส่ผู้มาเยือน แต่สิ่งนั้นก็ยังกระโจนใส่อ่างอาบน้ำใบเดียวกับเขา
“เข่อซิง!”
หานหรงเหยาตกใจที่เผลอซัดฝ่ามือใส่ เจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่โผล่ขึ้นจากผิวน้ำ สองมือ เอ่อ ขาหน้าตะกายๆ พยุงตัวขึ้น เขาจึงรีบยื่นมือไปช้อนร่างนางขึ้นมา แต่นางกลับกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วยื่นขาหน้า เอ่อ มือสองข้างมาประคองใบหน้าของเขา ตามด้วยประกบริมฝีปากที่เผยอขึ้นอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวป้อนยาเม็ดลูกกลอนใส่ปากของเขา ด้วยเกรงว่าเขาจะคายยาออก นางจึงใช้ลิ้นดุนดันยาเม็ดนั้นเข้าปากเขาไป
หานหรงเหยาถูกลิ้นของนางบังคับให้ต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงคอ ดวงตาคมปลาบจ้องมองนางที่ยังประกบปากของเขาอยู่ แววตากระจ่างใสคู่นั้นก็จ้องมองเขาไม่เบือนหน้าหนี ร่างอิ่มเอิบเย้ายวนนั่งคร่อมตักของชายหนุ่ม อะไรที่ควรสงบนิ่งกลับตื่นฟื้น เข่อซิงกะพริบตาปริบๆ นางมั่นใจว่ายาลูกกลอนเม็ดนั้นลงคอเขาแล้ว จึงคิดจะผละออก แต่ฝ่ามือใหญ่โอบรัดแผ่นหลังของนางไม่ให้ถอยหนี และคราวนี้เป็นลิ้นของเขาที่แทรกเข้ามาในโพรงปากกวาดชิมความหวาน ทำเอาเข่อซิงตัวสั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“นายท่าน! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าเห็นจิ้ง...จอก...” จูอี้ซินวิ่งตามจิ้กจอกแดง เห็นชัดเต็มสองตาว่ามันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง นางจึงรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้รายงานก่อน ทว่าสิ่งที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน และที่สำคัญ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่ “กรี๊ดดดด” เสียงหวีดร้องของจูอี้ซินทำให้หลิวเข่อซิงได้สติ หานหรงเหยายอมถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อออกจากอ่างน้ำแต่เขาโอบกอดนางมาแนบชิดและยกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะนางให้ซบลงซอกคอของเขา พลางส่งเสียงกระซิบ “อย่าเพิ่งขยับ เจ้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า” เข่อซิงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จะว่าไปนางเปลือยกายต่อหน้าของเขาหลายครั้ง เมื่อนางกลายร่างจากจิ้งจอกแดงมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย นางจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาสั่ง “เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงที่ฝึกเพลงกระบี่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงหวีดร้องจึงรีบทะยานเข้ามาดู เห็นจูอี้ซินยกมือขึ้นปิดหน้า เขามองเลยไปด้านหล
“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?” “ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า” เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร “ข้าลืมตาได้หรือยัง” “ยัง” “อา...” นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า” ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” “นานเพียงนั้นเชียว” “เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน” “ดี ห้ามเข
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย “เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้ “อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียง
หานหรงเหยารับเสื้อคลุมมาห่มร่างที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางมักยิ้มเสมอ “นางน่ารักดี” ซุนเจ้าเฟิงเอ่ยชมอย่างจริงใจ แรกทีเดียวเขาก็หวั่นเกรงว่านางจะมาหลอกลวงสหายรัก แต่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน นางเป็นคนจริงใจใสซื่อ เขาไม่เคยมีสหายเป็นสตรี และสตรีที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครนิสัยเช่นนี้ ทำให้เขาอดเอ็นดูนางไม่ได้จริงๆ “ถึงอำเภอข้างหน้า ข้าจะขี่ม้าแยกไปก่อน ส่วนเจ้าก็นั่งรถม้าชมทิวทัศน์กับเข่อซิงกันเอง ข้าแบ่งองครักษ์ไว้ให้เจ้าแล้ว” “เหตุใดแยกเดินทางเล่ามีเรื่องร้ายรึ” “มี” ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าจริงจังแล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะตัวเตี้ยที่วางหนังสือรายงานต่างๆ “ภาพเจ้ากับเข่อซิงรบกวนสายตาข้า ข้าขี่ม้าไปเองปลอดภัยกว่า” “ไร้สาระ” หานหรงเหยายิ้มมุมปาก คร้านจะต่อปากต่อคำกับสหายจึงก้มหน้าอ่านรายงานต่อไป แต่ในขณะที่มือหนึ่งวางบนศีรษะของหญิงสาวแล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หลิวเข่อซิงถูกปลุกเมื่อรถม้าหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง นางงัวเงียขึ้นยกมือขึ้นขยี้ตาราวเด็กน้อย แต่หานหรง
“เข่อซิง” เขาพยายามบังคับสายตาให้หันไปทางอื่น แต่พบว่าไม่อาจละสายตาจากใบหน้างามที่ระบายยิ้ม รวมถึงผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส และบัวคู่งามที่ปริ่มน้ำ “ข้าอยากแช่น้ำกับท่าน” นางรีบร้อนกลัวเขาหนีไปก่อนจึงกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเพื่อลดเวลาเปลื้องเสื้อผ้า แต่นางลืมไปว่าเมื่อนางคืนร่างมนุษย์ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า “เข่อซิง” นางจะรู้หรือไม่ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดไม่ให้ตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรทำ “หากเข้าเมืองหลวงแล้ว อย่าทำเช่นนี้อีก ผู้อื่นจะมองเจ้าไม่ดี” “ไม่ดีอย่างไร ท่านเป็นนายของข้า ข้าต้องปรนนิบัติดูแลท่าน อ๊ะ!” นางร้องอย่างนึกได้ “มีเรื่องใด” “รอประเดี๋ยวนะ” นางว่ายน้ำกลับไปที่กองเสื้อผ้า หยิบขวดสุรายาที่ซุนเจ้าเฟิงให้ไว้แล้วกลับมาหาเขา เห็นขวดก็รู้ว่าเป็นสุรา แต่นางไปได้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเอามาจากหอชมบุหลันเหมือนยาบำรุงเลือดลมอะไรนั้นอีก นั้นทำให้หานหรงเหยาผงะหนี แต่เข่อซิงกลับคิดว่าเขาคงกลัวกินยาเช่นที่ผ่านมา นางจึงรีบยกสุราขึ้นจิบหมายใช้ปากป้อนสุราให้หานหรงเหยา แต่เพราะรสสุราแผด
เสียงแหบพร่าของเขาเรียกสตินาง นั้น...นั้นเสียงของเขาหรือ? เขาเรียกชื่อนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้นางตาพร่าไปชั่วขณะ “ข้าต้องการเจ้า” “แต่...” เขารวบนางมากอดไว้ นานเหลือเกินที่หัวใจเขาไม่เคยเปิดรับใคร เขาโกรธหลัวซู่เหมยไม่ได้ สภาพร่างกายเขาไม่ว่าหมอกี่คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี หากนางแต่งงานกับเขาก็กลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เป็นเขาที่ชิงชังตนเองในสภาพนี้ กระทั้งวันนั้นที่สะพานข้ามคลอง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนวิ่งมาสวมกอดจากด้านหลัง ไออุ่นของนางขับไล่ความหมองหม่นในใจ แววตาสุกใสราวกับฉุดเขาขึ้นจากบ่อน้ำลึกที่พยายามปีนป่ายขึ้นมาหลายปี แม้รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ นางไม่เหมือนปีศาจอย่างที่เคยได้ยินหรืออ่านจากหนังสือทั่วไป นางใสซื่อและไร้เดียงสา เขาไม่เคยรู้เลยว่าการมีชีวิตแต่ละวันจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อมานางเข้ามา ชีวิตที่มีนางอยู่ใกล้ มันช่างดีเหลือเกิน “หรือเจ้า...ไม่ต้องการข้า..” “ข้าต้องการท่าน!” นางส่ายหน้าไปมา “มีเพียงท่าน...ที่ข้าต้องการ...” ริมฝีปาก
องครักษ์ที่ซุนเจ้าเฟิงให้อารักขารถม้าของหานรถเหยานำหน้ามาก่อน ทหารสองนายลงจากหลังม้าประสานมือคารวะหานกั๋วกงแล้วตามด้วยคุณชายทั้งสอง แล้วหันกลับไปรอรถม้าที่เคลื่อนมาอย่างช้าๆ จนหยุดที่ประตูจวนสกุลหานชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้าลง ใบหน้าอ่อนโยนคลี่ยิ้มละมุนแล้วคารวะบิดา“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ น้องเล็ก”“พี่รอง!” หานหลี่เจี๋ยปราดเข้าไปรับพี่ชาย “ในที่สุดพี่รองก็กลับมาเสียที”“ท่านแม่เล่า” หานหรงเหยาอดถามถึงมารดาไม่ได้“ท่านแม่ไม่ค่อยสบาย รอเจ้าอยู่ด้านใน” หานลี่จูยื่นมือไปตบไหล่น้องชาย พลันรู้สึกว่าแขนของหานหรงเหยาเต็มไปด้วยความเนื้อจนอดบีบแรงๆไม่ได้“พี่ใหญ่” หานหรงเหยาประหลาดใจที่หานลี่จูบีบต้นแขนตน แต่เพียงครู่เดียวมือข้างนั้นก็ปล่อยออกแล้วเปลี่ยนมาจับชีพจรของเขาแทน“มีอะไรรึพี่ใหญ่” หานหลี่เจี๋ยรู้ดีว่าพี่รองสุขภาพไม่ดีนักแต่เห็นพี่ใหญ่จับชีพจรหน้าบ้านเช่นนี้ก็อดเป็นกังวลไม่ได้“ไม่มีอะไร” หานลี่จูยิ้มกว้าง “อยู่ชายแดนคงลำบากไม่น้อย”“ไม่เลย หากไม่นับเรื่องการศึกแล้ว นับว่าเงียบสงบและงดงามไม่น้อย”“รู้อย่างนี้ข้าตามพี่รองไปด้วยก็ดี” หานหลี่เจี๋ยยิ้มทะเล้น“พอแล้วๆ เข้าไปคุยในบ้านเถิด แม่เ
มารดาเห็นสายตาของลูกชายและลูกสะใภ้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าพาใครมาด้วยรึ”“ท่านแม่ นางคือ...”“ข้าหลัวเข่อซิง เป็นสาวใช้ของนายท่านเจ้าค่ะ ข้ามาจากชายแดน หากทำกิริยาไม่เหมาะสมขอได้โปรดลงโทษเบาๆ นะเจ้าคะ ข้าเป็นคนเรียนรู้ไว้ จะพยายามไม่ทำผิดเป็นครั้งที่สองสามสี่ห้า”นางพูดรวดเร็วเกรงว่าหานหรงเหยาจะแย่งนางพูดอีก นางจะทำตัวเป็นภาระไม่ได้ แต่ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา“นางตลกดี” หานหลี่เจี๋ยหัวเราะเสียงดัง“หลี่เจี๋ยอย่าเสียมารยาท อย่างไรนางก็เป็นคนของหรงเหยา” หานลี่จูเอ่ยปรามน้องเล็ก แต่สายตายังคงมองที่ภรรยา ราวกับประโยคนี้เขาพูดกับนางมารดาแปลกใจที่เห็นบุตรชายคนรองพาสตรีเข้าบ้าน แม้ปากพูดว่าเป็นหญิงรับใช้ กิริยามารยาทไร้ความเรียบร้อย แต่รูปร่างอรชรและใบหน้างดงามยิ่งนัก ซ้ำยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ไหมสีแดงสวยสดไม่ใช่ชุดของสาวใช้เลยสักนิด เอาเถิด ถ้าปรนนิบัติดูแลลูกชายของนางได้ดี นางก็ไม่คิดก้าวก่าย“เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด สักประเดี๋ยวมากินข้าวด้วยกัน” คนเป็นพ่อพูดขึ้น เขาเป็นบุรุษการเห็นบุตรชายมีสตรีข้างกายก็ไม่นับว่าแปลกอันใด บ้านไหนก็มีสตรีอุ่นเตียงกัน