Share

Chapter 19. เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆหรอกหรือ?

            “เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?”

            “ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า”

            เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา

            เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร

            “ข้าลืมตาได้หรือยัง”

            “ยัง”

            “อา...”  นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง

            ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ

“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่”

            “ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า”

            ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก  “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน”

            “นานเพียงนั้นเชียว”

            “เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ”

            หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน”

            “ดี ห้ามเข้าไปด้านในเด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามเข้าไป”

            “ได้...” 

            “นับหนึ่งถึงสิบแล้วค่อยลืมตา”

            “เอ๋?”

            “เชื่อฟังข้า”

            “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน”

            “ดี...”

            “เช่นนั้น ข้าเริ่มนับแล้วนะ”

            “อืม”

            หานหรงเหยาได้ยินเสียงหวานใสเริ่มนับลำดับเลขตามที่เขาสั่ง  เขาไม่แน่ใจว่า ความปรารถนาที่เอ่อล้นนี้  เกิดขึ้นเพราะยาที่นางป้อนให้หรือเพราะเรือนร่างอ่อนนุ่มที่สัมผัส  

แต่ปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือ ต้องทำให้สิ่งที่แข็งขันนี้สงบลงก่อนที่เจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยจะหาเรื่องให้เขากุมขมับอีก.

            ดวงตาสีนิลยังคงจับจ้องการฝึกซ้อมของเหล่าทหารเบื้องหน้า แต่ยังเคาะพัดกับฝ่ามืออย่างเคยชิน สิ่งที่รบกวนเขาไม่ใช่การฝึกซ้อมของทหาร  แต่เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ปรายตามองเขาเป็นระยะๆ พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม

            “อยากพูดอะไรก็พูดเถิด”  หานหรงเหยาถอนหายใจเบาๆ

            “ข้าแค่ดีใจที่เห็นสีหน้าเจ้าดีขึ้น”  ซุนเจ้าเฟิงพูดแล้วยกมือขึ้นกอดอก ทั้งสองยืนอยู่บนหอสูงดูการฝึกทหาร  แม้ไม่มีศึกสงครามแต่ต้องฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ  “เงินร้อยตำลึงทองที่เสียไปไม่สูญเปล่า นับว่านางเป็นยาดีของเจ้าคงไม่ผิดนัก”

            “มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”  เขาไม่สามารถพูดความจริงได้ แม้หลิวเข่อซิงเป็นปีศาจ แต่เป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาไม่ทำร้ายผู้อื่น  แต่ตอนนี้สิ่งนั้นกลับทำให้ผู้อื่นเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางผิดไป

            “เจ้ารู้หรือว่าข้าคิดอะไร”  แม่ทัพหนุ่มหัวเราะออกมา “ข้ายอมรับว่าก่อนหน้านี้ข้ากังวลที่นางมาจากหอนางโลม แต่นางทำให้เจ้าลืมเลือนเรื่องหลัวซู่เหมยได้ ข้าก็ไม่ติดใจอะไรอีก”

            “ข้า...”  หานหรงเหยาอ้าปากจะโต้เถียงแต่กลับอับจนถ้อยคำ

            “ข้าดีใจที่เจ้ามาเป็นกุนซือข้างกาย ความสามารถของเจ้าทำให้คว้าชัยชนะมาทุกครั้ง แต่ในฐานะที่ข้านับเจ้าเป็นสหาย ย่อมไม่ต้องการเห็นเจ้าอมทุกข์ แม้ชีวิตจะเหลือน้อยลงไปทุกที แต่เจ้าควรมีความสุขที่สุด”

            “ข้า...”

            “อย่ามาเถียงข้า เจ้าอยู่กับข้าที่ชายแดนมาสามปี ข้าเห็นเจ้ายิ้มหรือหัวเราะแทบนับครั้งได้ แต่เมื่อเข่อซิงเข้ามา เจ้ายิ้มและหัวเราะบ่อยขึ้น และไม่มีสีหน้าเศร้าหมองเมื่อพูดถึงหลัวซู่เหมย”

            หานหรงเหยาไร้ถ้อยคำแก้ตัว เขาลืมเรื่องหลัวซู่เหมยไม่ได้แต่ไม่เจ็บปวดเท่าวันวาน แค่หาทางรับมือปีศาจจิ้งจอกแดงตนนั้นเขาก็ไม่เหลือสมองไปคิดเรื่องอื่นใดแล้ว 

            “เสด็จพ่อส่งจดหมายถึงข้า ให้กลับเมืองหลวง” ซุนเจ้าเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “กับชับให้ข้าพาเจ้ากลับไปพร้อมกันด้วย”

            หานหรงเหยายังคงจ้องมองการเคลื่อนไหวของเหล่าทหาร ทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น

            “ข้าพูดรักษาน้ำใจคนไม่เก่งเหมือนเจ้า” แม่ทัพหนุ่มโคลงศีรษะ  “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อาวรณ์กับชีวิตที่เหลืออยู่ แต่เจ้ามิได้ตัวคนเดียว บิดามารดาและพี่น้องของเจ้าเฝ้ารอเจ้ากลับไป ถึงเวลาที่เจ้าต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวแล้ว”

            “ครอบครัว...”  หานหรงเหยาคลี่ยิ้มเศร้าหมอง เป็นจริงอย่างที่สหายรักเตือนสติ เขาเหลือเวลาอยู่น้อยเต็มที ไม่ควรทำให้ครอบครัวต้องทุกข์ใจ

            “เจ้ากังวลเรื่องเข่อซิงหรือ?”  ซุนเจ้าเฟิงอดกระเซ้าไม่ได้

            “ข้าไม่วางใจให้นางอยู่ลำพัง”  เจ้าปีศาจน้อยใสซื่อจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีเขา

            “เจ้าจะทิ้งนางไว้ที่นี่ได้อย่างไรกัน” ซุนเจ้าเฟิงขมวดคิ้ว “เจ้านี่เรื่องการรบไม่ว่ายากแค่ไหนก็สามารถจัดการได้ แต่เรื่องง่ายๆ แค่นี้กลับตัดสินใจไม่ได้ อย่างไรนางก็เป็นสาวใช้ข้างกายเจ้า หากเจ้าจะยกนางเป็นอนุก็นับเป็นวาสนาของนางแล้ว”

            “อนุ...” คราวนี้หานหรงเหยาหันมาสบตากับซุนเจ้าเฟิง

            “หรือเจ้าไม่คิดจะรับผิดชอบนาง” ซุนเจ้าเฟิงเบิกตากว้าง  “แม้นางมาจากหอนางโลม แต่เจ้าก็ควรให้ฐานะนางบ้าง”

            “เรื่องนั้น...”  หลังจากผิดหวังเรื่องหลัวซู่เหมยแล้ว เขาไม่คิดแต่งงานอีก ร่างกายเขาย่ำแย่เต็มที่ ไม่อยากสร้างเวรกรรมให้หญิงใดต้องเป็นม่าย

            “เจ้าไม่ห่วงที่นี่หรือไร อย่างไรให้ข้า...”

            “มีรองแม่ทัพอยู่ เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย” ซุนเจ้าเฟิงรู้ว่าสหายไม่อยากเดินทางกลับ แต่ครั้งนี้ตามใจไม่ได้แล้ว เป็นที่รู้กันทั่วเมืองว่าคุณชายรองสกุลหานสุขภาพไม่แข็งแรง ตามหาหมอเทวดาทั่วแผ่นดินยังไม่อาจรักษาได้ ทำได้เพียงประคองให้มีชีวิตผ่านมาแต่ละวันอย่างลำบาก การที่หานหรงเหยาเดินทางไกลละทิ้งทุกอย่างมาอยู่ชายแดนมิใช่เรื่องง่าย ไม่รู้ว่าสหายรักทำอย่างไรจึงสามารถออกจากเมืองหลวงมาอยู่ที่นี่ได้  ในจดหมายของเสด็จพ่อย้ำให้เขาพาหานหรงเหยากลับบ้าน คงเป็นคำขอร้องจากคนในสกุลหานที่คงสิ้นหนทางแล้วจริงๆ จึงกล้าใช้ความสนิทสนมส่วนตัวให้เสด็จพ่อมาบังคับเขาทางอ้อมเช่นนี้

            “อย่างไรเจ้าก็ตัดใจทิ้งนางไว้ที่นี่ไม่ได้ ก็พาไปพร้อมกันเลยสิ อีกสองวันเตรียมตัวเดินทางได้”

            “เจ้าเตรียมตัวแล้ว?” 

            “มีอะไรต้องเตรียมตัวนัก แค่เตรียมรถม้าดีๆ ให้เจ้ากับเข่อซิงก็เพียงพอแล้ว” ซุนเจ้าเฟิงยักไหล่ “ตกลงตามนี้แหละ”

            หานหรงเหยารู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก แต่ก็เป็นจริงอย่างที่ซุนเจ้าเฟิงกล่าว  บิดามารดาคงอยากให้เขากลับไปใช้ชีวิตทีเหลืออยู่ที่บ้านเกิดมากกว่า  เขาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ได้เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงแล้วสินะ

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status