“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?”
“ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า”
เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา
เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร
“ข้าลืมตาได้หรือยัง”
“ยัง”
“อา...” นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง
ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ
“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า”
ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน”
“นานเพียงนั้นเชียว”
“เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ”
หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน”
“ดี ห้ามเข้าไปด้านในเด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามเข้าไป”
“ได้...”
“นับหนึ่งถึงสิบแล้วค่อยลืมตา”
“เอ๋?”
“เชื่อฟังข้า”
“ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน”
“ดี...”
“เช่นนั้น ข้าเริ่มนับแล้วนะ”
“อืม”
หานหรงเหยาได้ยินเสียงหวานใสเริ่มนับลำดับเลขตามที่เขาสั่ง เขาไม่แน่ใจว่า ความปรารถนาที่เอ่อล้นนี้ เกิดขึ้นเพราะยาที่นางป้อนให้หรือเพราะเรือนร่างอ่อนนุ่มที่สัมผัส
แต่ปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือ ต้องทำให้สิ่งที่แข็งขันนี้สงบลงก่อนที่เจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยจะหาเรื่องให้เขากุมขมับอีก.
ดวงตาสีนิลยังคงจับจ้องการฝึกซ้อมของเหล่าทหารเบื้องหน้า แต่ยังเคาะพัดกับฝ่ามืออย่างเคยชิน สิ่งที่รบกวนเขาไม่ใช่การฝึกซ้อมของทหาร แต่เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ปรายตามองเขาเป็นระยะๆ พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อยากพูดอะไรก็พูดเถิด” หานหรงเหยาถอนหายใจเบาๆ
“ข้าแค่ดีใจที่เห็นสีหน้าเจ้าดีขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงพูดแล้วยกมือขึ้นกอดอก ทั้งสองยืนอยู่บนหอสูงดูการฝึกทหาร แม้ไม่มีศึกสงครามแต่ต้องฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ “เงินร้อยตำลึงทองที่เสียไปไม่สูญเปล่า นับว่านางเป็นยาดีของเจ้าคงไม่ผิดนัก”
“มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” เขาไม่สามารถพูดความจริงได้ แม้หลิวเข่อซิงเป็นปีศาจ แต่เป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาไม่ทำร้ายผู้อื่น แต่ตอนนี้สิ่งนั้นกลับทำให้ผู้อื่นเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางผิดไป
“เจ้ารู้หรือว่าข้าคิดอะไร” แม่ทัพหนุ่มหัวเราะออกมา “ข้ายอมรับว่าก่อนหน้านี้ข้ากังวลที่นางมาจากหอนางโลม แต่นางทำให้เจ้าลืมเลือนเรื่องหลัวซู่เหมยได้ ข้าก็ไม่ติดใจอะไรอีก”
“ข้า...” หานหรงเหยาอ้าปากจะโต้เถียงแต่กลับอับจนถ้อยคำ
“ข้าดีใจที่เจ้ามาเป็นกุนซือข้างกาย ความสามารถของเจ้าทำให้คว้าชัยชนะมาทุกครั้ง แต่ในฐานะที่ข้านับเจ้าเป็นสหาย ย่อมไม่ต้องการเห็นเจ้าอมทุกข์ แม้ชีวิตจะเหลือน้อยลงไปทุกที แต่เจ้าควรมีความสุขที่สุด”
“ข้า...”
“อย่ามาเถียงข้า เจ้าอยู่กับข้าที่ชายแดนมาสามปี ข้าเห็นเจ้ายิ้มหรือหัวเราะแทบนับครั้งได้ แต่เมื่อเข่อซิงเข้ามา เจ้ายิ้มและหัวเราะบ่อยขึ้น และไม่มีสีหน้าเศร้าหมองเมื่อพูดถึงหลัวซู่เหมย”
หานหรงเหยาไร้ถ้อยคำแก้ตัว เขาลืมเรื่องหลัวซู่เหมยไม่ได้แต่ไม่เจ็บปวดเท่าวันวาน แค่หาทางรับมือปีศาจจิ้งจอกแดงตนนั้นเขาก็ไม่เหลือสมองไปคิดเรื่องอื่นใดแล้ว
“เสด็จพ่อส่งจดหมายถึงข้า ให้กลับเมืองหลวง” ซุนเจ้าเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “กับชับให้ข้าพาเจ้ากลับไปพร้อมกันด้วย”
หานหรงเหยายังคงจ้องมองการเคลื่อนไหวของเหล่าทหาร ทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น
“ข้าพูดรักษาน้ำใจคนไม่เก่งเหมือนเจ้า” แม่ทัพหนุ่มโคลงศีรษะ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อาวรณ์กับชีวิตที่เหลืออยู่ แต่เจ้ามิได้ตัวคนเดียว บิดามารดาและพี่น้องของเจ้าเฝ้ารอเจ้ากลับไป ถึงเวลาที่เจ้าต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวแล้ว”
“ครอบครัว...” หานหรงเหยาคลี่ยิ้มเศร้าหมอง เป็นจริงอย่างที่สหายรักเตือนสติ เขาเหลือเวลาอยู่น้อยเต็มที ไม่ควรทำให้ครอบครัวต้องทุกข์ใจ
“เจ้ากังวลเรื่องเข่อซิงหรือ?” ซุนเจ้าเฟิงอดกระเซ้าไม่ได้
“ข้าไม่วางใจให้นางอยู่ลำพัง” เจ้าปีศาจน้อยใสซื่อจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีเขา
“เจ้าจะทิ้งนางไว้ที่นี่ได้อย่างไรกัน” ซุนเจ้าเฟิงขมวดคิ้ว “เจ้านี่เรื่องการรบไม่ว่ายากแค่ไหนก็สามารถจัดการได้ แต่เรื่องง่ายๆ แค่นี้กลับตัดสินใจไม่ได้ อย่างไรนางก็เป็นสาวใช้ข้างกายเจ้า หากเจ้าจะยกนางเป็นอนุก็นับเป็นวาสนาของนางแล้ว”
“อนุ...” คราวนี้หานหรงเหยาหันมาสบตากับซุนเจ้าเฟิง
“หรือเจ้าไม่คิดจะรับผิดชอบนาง” ซุนเจ้าเฟิงเบิกตากว้าง “แม้นางมาจากหอนางโลม แต่เจ้าก็ควรให้ฐานะนางบ้าง”
“เรื่องนั้น...” หลังจากผิดหวังเรื่องหลัวซู่เหมยแล้ว เขาไม่คิดแต่งงานอีก ร่างกายเขาย่ำแย่เต็มที่ ไม่อยากสร้างเวรกรรมให้หญิงใดต้องเป็นม่าย
“เจ้าไม่ห่วงที่นี่หรือไร อย่างไรให้ข้า...”
“มีรองแม่ทัพอยู่ เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย” ซุนเจ้าเฟิงรู้ว่าสหายไม่อยากเดินทางกลับ แต่ครั้งนี้ตามใจไม่ได้แล้ว เป็นที่รู้กันทั่วเมืองว่าคุณชายรองสกุลหานสุขภาพไม่แข็งแรง ตามหาหมอเทวดาทั่วแผ่นดินยังไม่อาจรักษาได้ ทำได้เพียงประคองให้มีชีวิตผ่านมาแต่ละวันอย่างลำบาก การที่หานหรงเหยาเดินทางไกลละทิ้งทุกอย่างมาอยู่ชายแดนมิใช่เรื่องง่าย ไม่รู้ว่าสหายรักทำอย่างไรจึงสามารถออกจากเมืองหลวงมาอยู่ที่นี่ได้ ในจดหมายของเสด็จพ่อย้ำให้เขาพาหานหรงเหยากลับบ้าน คงเป็นคำขอร้องจากคนในสกุลหานที่คงสิ้นหนทางแล้วจริงๆ จึงกล้าใช้ความสนิทสนมส่วนตัวให้เสด็จพ่อมาบังคับเขาทางอ้อมเช่นนี้
“อย่างไรเจ้าก็ตัดใจทิ้งนางไว้ที่นี่ไม่ได้ ก็พาไปพร้อมกันเลยสิ อีกสองวันเตรียมตัวเดินทางได้”
“เจ้าเตรียมตัวแล้ว?”
“มีอะไรต้องเตรียมตัวนัก แค่เตรียมรถม้าดีๆ ให้เจ้ากับเข่อซิงก็เพียงพอแล้ว” ซุนเจ้าเฟิงยักไหล่ “ตกลงตามนี้แหละ”
หานหรงเหยารู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก แต่ก็เป็นจริงอย่างที่ซุนเจ้าเฟิงกล่าว บิดามารดาคงอยากให้เขากลับไปใช้ชีวิตทีเหลืออยู่ที่บ้านเกิดมากกว่า เขาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ได้เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงแล้วสินะ
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย “เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้ “อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียง
หานหรงเหยารับเสื้อคลุมมาห่มร่างที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางมักยิ้มเสมอ “นางน่ารักดี” ซุนเจ้าเฟิงเอ่ยชมอย่างจริงใจ แรกทีเดียวเขาก็หวั่นเกรงว่านางจะมาหลอกลวงสหายรัก แต่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน นางเป็นคนจริงใจใสซื่อ เขาไม่เคยมีสหายเป็นสตรี และสตรีที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครนิสัยเช่นนี้ ทำให้เขาอดเอ็นดูนางไม่ได้จริงๆ “ถึงอำเภอข้างหน้า ข้าจะขี่ม้าแยกไปก่อน ส่วนเจ้าก็นั่งรถม้าชมทิวทัศน์กับเข่อซิงกันเอง ข้าแบ่งองครักษ์ไว้ให้เจ้าแล้ว” “เหตุใดแยกเดินทางเล่ามีเรื่องร้ายรึ” “มี” ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าจริงจังแล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะตัวเตี้ยที่วางหนังสือรายงานต่างๆ “ภาพเจ้ากับเข่อซิงรบกวนสายตาข้า ข้าขี่ม้าไปเองปลอดภัยกว่า” “ไร้สาระ” หานหรงเหยายิ้มมุมปาก คร้านจะต่อปากต่อคำกับสหายจึงก้มหน้าอ่านรายงานต่อไป แต่ในขณะที่มือหนึ่งวางบนศีรษะของหญิงสาวแล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หลิวเข่อซิงถูกปลุกเมื่อรถม้าหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง นางงัวเงียขึ้นยกมือขึ้นขยี้ตาราวเด็กน้อย แต่หานหรง
“เข่อซิง” เขาพยายามบังคับสายตาให้หันไปทางอื่น แต่พบว่าไม่อาจละสายตาจากใบหน้างามที่ระบายยิ้ม รวมถึงผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส และบัวคู่งามที่ปริ่มน้ำ “ข้าอยากแช่น้ำกับท่าน” นางรีบร้อนกลัวเขาหนีไปก่อนจึงกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเพื่อลดเวลาเปลื้องเสื้อผ้า แต่นางลืมไปว่าเมื่อนางคืนร่างมนุษย์ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า “เข่อซิง” นางจะรู้หรือไม่ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดไม่ให้ตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรทำ “หากเข้าเมืองหลวงแล้ว อย่าทำเช่นนี้อีก ผู้อื่นจะมองเจ้าไม่ดี” “ไม่ดีอย่างไร ท่านเป็นนายของข้า ข้าต้องปรนนิบัติดูแลท่าน อ๊ะ!” นางร้องอย่างนึกได้ “มีเรื่องใด” “รอประเดี๋ยวนะ” นางว่ายน้ำกลับไปที่กองเสื้อผ้า หยิบขวดสุรายาที่ซุนเจ้าเฟิงให้ไว้แล้วกลับมาหาเขา เห็นขวดก็รู้ว่าเป็นสุรา แต่นางไปได้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเอามาจากหอชมบุหลันเหมือนยาบำรุงเลือดลมอะไรนั้นอีก นั้นทำให้หานหรงเหยาผงะหนี แต่เข่อซิงกลับคิดว่าเขาคงกลัวกินยาเช่นที่ผ่านมา นางจึงรีบยกสุราขึ้นจิบหมายใช้ปากป้อนสุราให้หานหรงเหยา แต่เพราะรสสุราแผด
เสียงแหบพร่าของเขาเรียกสตินาง นั้น...นั้นเสียงของเขาหรือ? เขาเรียกชื่อนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้นางตาพร่าไปชั่วขณะ “ข้าต้องการเจ้า” “แต่...” เขารวบนางมากอดไว้ นานเหลือเกินที่หัวใจเขาไม่เคยเปิดรับใคร เขาโกรธหลัวซู่เหมยไม่ได้ สภาพร่างกายเขาไม่ว่าหมอกี่คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี หากนางแต่งงานกับเขาก็กลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เป็นเขาที่ชิงชังตนเองในสภาพนี้ กระทั้งวันนั้นที่สะพานข้ามคลอง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนวิ่งมาสวมกอดจากด้านหลัง ไออุ่นของนางขับไล่ความหมองหม่นในใจ แววตาสุกใสราวกับฉุดเขาขึ้นจากบ่อน้ำลึกที่พยายามปีนป่ายขึ้นมาหลายปี แม้รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ นางไม่เหมือนปีศาจอย่างที่เคยได้ยินหรืออ่านจากหนังสือทั่วไป นางใสซื่อและไร้เดียงสา เขาไม่เคยรู้เลยว่าการมีชีวิตแต่ละวันจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อมานางเข้ามา ชีวิตที่มีนางอยู่ใกล้ มันช่างดีเหลือเกิน “หรือเจ้า...ไม่ต้องการข้า..” “ข้าต้องการท่าน!” นางส่ายหน้าไปมา “มีเพียงท่าน...ที่ข้าต้องการ...” ริมฝีปาก
องครักษ์ที่ซุนเจ้าเฟิงให้อารักขารถม้าของหานรถเหยานำหน้ามาก่อน ทหารสองนายลงจากหลังม้าประสานมือคารวะหานกั๋วกงแล้วตามด้วยคุณชายทั้งสอง แล้วหันกลับไปรอรถม้าที่เคลื่อนมาอย่างช้าๆ จนหยุดที่ประตูจวนสกุลหานชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้าลง ใบหน้าอ่อนโยนคลี่ยิ้มละมุนแล้วคารวะบิดา“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ น้องเล็ก”“พี่รอง!” หานหลี่เจี๋ยปราดเข้าไปรับพี่ชาย “ในที่สุดพี่รองก็กลับมาเสียที”“ท่านแม่เล่า” หานหรงเหยาอดถามถึงมารดาไม่ได้“ท่านแม่ไม่ค่อยสบาย รอเจ้าอยู่ด้านใน” หานลี่จูยื่นมือไปตบไหล่น้องชาย พลันรู้สึกว่าแขนของหานหรงเหยาเต็มไปด้วยความเนื้อจนอดบีบแรงๆไม่ได้“พี่ใหญ่” หานหรงเหยาประหลาดใจที่หานลี่จูบีบต้นแขนตน แต่เพียงครู่เดียวมือข้างนั้นก็ปล่อยออกแล้วเปลี่ยนมาจับชีพจรของเขาแทน“มีอะไรรึพี่ใหญ่” หานหลี่เจี๋ยรู้ดีว่าพี่รองสุขภาพไม่ดีนักแต่เห็นพี่ใหญ่จับชีพจรหน้าบ้านเช่นนี้ก็อดเป็นกังวลไม่ได้“ไม่มีอะไร” หานลี่จูยิ้มกว้าง “อยู่ชายแดนคงลำบากไม่น้อย”“ไม่เลย หากไม่นับเรื่องการศึกแล้ว นับว่าเงียบสงบและงดงามไม่น้อย”“รู้อย่างนี้ข้าตามพี่รองไปด้วยก็ดี” หานหลี่เจี๋ยยิ้มทะเล้น“พอแล้วๆ เข้าไปคุยในบ้านเถิด แม่เ
มารดาเห็นสายตาของลูกชายและลูกสะใภ้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าพาใครมาด้วยรึ”“ท่านแม่ นางคือ...”“ข้าหลัวเข่อซิง เป็นสาวใช้ของนายท่านเจ้าค่ะ ข้ามาจากชายแดน หากทำกิริยาไม่เหมาะสมขอได้โปรดลงโทษเบาๆ นะเจ้าคะ ข้าเป็นคนเรียนรู้ไว้ จะพยายามไม่ทำผิดเป็นครั้งที่สองสามสี่ห้า”นางพูดรวดเร็วเกรงว่าหานหรงเหยาจะแย่งนางพูดอีก นางจะทำตัวเป็นภาระไม่ได้ แต่ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา“นางตลกดี” หานหลี่เจี๋ยหัวเราะเสียงดัง“หลี่เจี๋ยอย่าเสียมารยาท อย่างไรนางก็เป็นคนของหรงเหยา” หานลี่จูเอ่ยปรามน้องเล็ก แต่สายตายังคงมองที่ภรรยา ราวกับประโยคนี้เขาพูดกับนางมารดาแปลกใจที่เห็นบุตรชายคนรองพาสตรีเข้าบ้าน แม้ปากพูดว่าเป็นหญิงรับใช้ กิริยามารยาทไร้ความเรียบร้อย แต่รูปร่างอรชรและใบหน้างดงามยิ่งนัก ซ้ำยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ไหมสีแดงสวยสดไม่ใช่ชุดของสาวใช้เลยสักนิด เอาเถิด ถ้าปรนนิบัติดูแลลูกชายของนางได้ดี นางก็ไม่คิดก้าวก่าย“เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด สักประเดี๋ยวมากินข้าวด้วยกัน” คนเป็นพ่อพูดขึ้น เขาเป็นบุรุษการเห็นบุตรชายมีสตรีข้างกายก็ไม่นับว่าแปลกอันใด บ้านไหนก็มีสตรีอุ่นเตียงกัน
แค่คิดว่าข้างกายไร้เงาซุกซน หัวใจก็เจ็บแปลบอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ็บปวดมากกว่าครั้งที่เขาสูญเสียหลัวซู่เหมยไปเสียอีก เขาต้องหาทางพูดกับบิดามารดาเรื่องฐานะของหลิวเข่อซิง เพราะไม่ต้องการให้นางเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายอีกแล้ว หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานใบหน้าระบายยิ้มดูงดงามราวเทพธิดาเดินตามแผ่นหลังของคุณชายรองสกุลหาน บ่าวไพร่ต่างลอบมองด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดเรื่องนี้ หานหลี่เจี๋ยเห็นหลิวเข่อซิงเดินตามหลังพี่รองด้วยสายตาตื่นตะลึง แม้เขาไม่ใช่บุรุษเสเพล แต่พบหญิงงามมาไม่น้อย แอบย่องเข้าหอนางโลมก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยพบหญิงงามอย่างหลิวเข่อซิงมาก่อน เขารู้สึกโง่เขลาที่ไม่อาจบรรยายความงามนี้ได้ นางดูไร้เดียงสาและเย้ายวน แม้นางเอ่ยย้ำฐานะว่าเป็น ‘สาวใช้’ แต่เขาเชื่อว่าฐานะของนางในใจพี่รองต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน “สำรวมหน่อยหลี่เจี๋ย” หานลี่จูส่ายหน้าไปมาแล้วพยักหน้าให้หานหรงเหยา “ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเช่นนี้นานมากแล้วจริงๆ” “อืม” หานหรงเหยาขานรับเบาๆ สามปีแล้วที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัว
“รู้สึกว่าสุรายาที่ข้ามอบให้จะทำให้เจ้าแข็งแรงขึ้นจริงๆ”ซุนเจ้าเฟิงอดหยอกสหายไม่ได้ ความจริงเรื่องระหว่างหานหรงเหยากับหลิวเข่อซิงนั้น องครักษ์ที่เขาทิ้งไว้ให้นั้นส่งข่าวมารายงานเป็นระยะๆ แม้ใจอยากเห็นกับตาแต่ก็ต้องทนอดกลั้นไว้ เพราะเกรงว่าสหายจะหน้าบางไม่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้คุ้มค่า “เจ้านี่นะ” หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ “ความจริงข้าตั้งใจไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่เห็นสีหน้าเจ้าในเวลานี้คงไม่มีอะไรให้กังวล เรื่องเจ้ากับหลัวซู่เหมยคงกลายเป็นอดีตไปแล้วสินะ” “ข้ากับนางจบไปนานแล้ว ยามนี้นางคือพี่สะใภ้ข้าและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป” “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ อยู่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ อยากกลับชายแดน จะกลับไปทำแผนที่หุบเขาจื่อเซ่อให้สำเร็จ” “เจ้าจะกลับชายแดนรึ” หานหรงเหยาเบิกตากว้าง “อืม แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยากให้ข้าอภิเษก แต่ข้ายังไม่เจอสตรีถูกใจ”‘สตรีที่เลือกให้ แค่เห็นก็ทำให้ปวดหัว คนอย่างซุนเจ้าเฟิงจะหาสตรีถูกใจไม่ได้เชียวรึ’ “เจ้าจะกลับเมื่อใดกัน” “นี่ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิ