แค่คิดว่าข้างกายไร้เงาซุกซน หัวใจก็เจ็บแปลบอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ็บปวดมากกว่าครั้งที่เขาสูญเสียหลัวซู่เหมยไปเสียอีก เขาต้องหาทางพูดกับบิดามารดาเรื่องฐานะของหลิวเข่อซิง เพราะไม่ต้องการให้นางเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายอีกแล้ว
หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานใบหน้าระบายยิ้มดูงดงามราวเทพธิดาเดินตามแผ่นหลังของคุณชายรองสกุลหาน บ่าวไพร่ต่างลอบมองด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดเรื่องนี้
หานหลี่เจี๋ยเห็นหลิวเข่อซิงเดินตามหลังพี่รองด้วยสายตาตื่นตะลึง แม้เขาไม่ใช่บุรุษเสเพล แต่พบหญิงงามมาไม่น้อย แอบย่องเข้าหอนางโลมก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยพบหญิงงามอย่างหลิวเข่อซิงมาก่อน เขารู้สึกโง่เขลาที่ไม่อาจบรรยายความงามนี้ได้ นางดูไร้เดียงสาและเย้ายวน แม้นางเอ่ยย้ำฐานะว่าเป็น ‘สาวใช้’ แต่เขาเชื่อว่าฐานะของนางในใจพี่รองต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“สำรวมหน่อยหลี่เจี๋ย” หานลี่จูส่ายหน้าไปมาแล้วพยักหน้าให้หานหรงเหยา “ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเช่นนี้นานมากแล้วจริงๆ”
“อืม” หานหรงเหยาขานรับเบาๆ สามปีแล้วที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัว และ...พี่สะใภ้
ด้วยความเคยชิน หลิวเข่อซิงนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างกายหานหรงเหยา ทว่าหย่อนก้นลงไปยังไม่ทันได้นั่งดี เสียงหลัวซู่เหมยตวาดดังขึ้นทำให้หญิงสาวดีดตัวลุกขึ้นยืนตามเดิม
“ไร้มารยาท!” หลัวซู่เหมยจ้องเขม็งที่หลิวเข่อซิง ความริษยาแทบทะลักล้นจากดวงตา “เป็นแค่สาวใช้ไม่มีสิทธิ์นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับเจ้านาย”
หลิวเข่อซิงอ้าปากจะโต้เถียงแต่ก็เปลี่ยนใจ นางกัดริมฝีปากแล้วถอยไปยืนด้านหลังเหมือนสาวใช้คนอื่นที่รอปรนนิบัติผู้เป็นนาย
หานหรงเหยาตวัดสายตามองอย่างขุ่นเขือง “นางมากับข้า..”
“แต่นางเป็นสาวใช้” หลัวซู่เหมยเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง เรื่องง่ายดายเพียงนี้คิดว่าท่านคงรู้ดีแก่ใจ”
“ข้าทราบแล้ว ครั้งหน้าจะไม่ให้มีเรื่องเช่นนี้อีกเจ้าค่ะ”
หลิวเข่อซิงรีบพูดขึ้นแล้วส่งยิ้มให้หานหรงเหยา เขาไม่กลับบ้านมาสามปี ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันกับคนในครอบครัวนับเป็นเรื่องดียิ่ง นางไม่ควรทำให้เขาต้องลำบากใจ เรื่องเช่นนี้ก็ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่เดิมอยู่ที่หุบเขาจื่อเซ่อ นางก็ไม่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ร่วมกับผู้อื่น แค่ได้รับความเมตตากินเศษพลังชีวิตจากบรรดาศิษย์พี่ก็นับว่าดีมากแล้ว
หานกั๋วกงสบตากับภรรยา เมื่อไม่เห็นนางออกหน้าห้ามปรามเขาก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หานลี่จูรู้ว่าน้องชายไม่ค่อยพอใจนัก แต่เพิ่งได้กินข้าวพร้อมหน้ากัน เขาเองก็ไม่อยากให้มีเรื่องมีราวกันจึงได้แต่ยื่นมือไปตบหลังมือของหานหรงเหยาเบาๆ
“นางเดินทางมาพร้อมหรงเหยาคงจะหิวแล้ว อย่างไรให้คนพานางไปกินข้าวในครัวเถิด” หานลี่จูสั่งบ่าวรับใช้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลิวเข่อซิงยังไม่หิว นางไม่จำเป็นต้องกินอาหารเหมือนมนุษย์ก็อยู่ได้ แต่หลังจากใช้ชีวิตร่วมกับหานหรงเหยา เขาป้อนอาหารดีๆให้นางกินทุกมื้อจนเสียนิสัยไปหมด นางส่งยิ้มกว้างให้เขาแล้วเดินตามสาวใช้คนหนึ่งออกไป หานหลี่เจี๋ยสงสารหลิวเข่อซิงอยู่บ้าน แต่วันนี้เป็นวันของครอบครัว เขาได้แต่คิดในใจว่าหลังจากกินอาหารเสร็จจะไปดูนางเสียหน่อย
หานหรงเหยาเห็นมารดาไม่ค่อยแข็งแรง เขาไม่อยากให้มีเรื่องรบกวนจิตใจมารดา จึงทำได้แต่แค่มองหลิวเข่อซิงเดินออกไปจนลับตา
“น้องรองไปอยู่ชายแดนมานาน คงลำบากไม่น้อย” หานลี่จูชวนคุยเผื่อเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่ลำบากอันใดนัก” หานหรงเหยาตอบเรียบง่ายแล้วคีบเนื้อปลาให้มารดา
“ลูกคนนี้ยังจำได้ว่าแม่ชอบกินอะไร” มารดายิ้มอย่างมีความสุข “เจ้าก็กินให้มากหน่อย”
“พี่รองดูกำยำขึ้นแสดงว่าการไปอยู่ค่ายทหารก็ไม่น่ากลัวนัก” หานหลี่เจี๋ยยิ้มทะเล้น แต่บิดาส่ายหน้าไปมา
“เจ้านี่ก็ไม่รู้จักโตเสียที ปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้ว อีกไม่กี่ปีก็แต่งงานได้แล้ว”
“พี่รองยังไม่รีบร้อนแต่งงาน ข้าจะแต่งก่อนได้อย่างไร”
หานหลี่เจี๋ยโยนไปให้หานหรงเหยา
“สกุลหานมีทายาทน้อย เจ้าก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระนี้ด้วย” มารดาทำเสียงอ่อนใจ “ซู่เหมยเองก็ยังไม่ตั้งครรภ์ รอให้แม่แข็งแรงกว่านี้อีกนิดจะจะคัดเลือกอนุให้ลี่จู”
หลัวซู่เหมยตัวแข็งไปชั่วขณะ แต่ยังฝืนยิ้มบางๆ ที่มุมปาก นางสบตากับหานหรงเหยาเข้าพอดีจึงก้มหน้าหลบสายตา แต่งงานมาสามปียังไร้บุตร ไม่ว่าจะพยายามบำรุงร่างกายอย่างไร ท้องของนางก็ยังไร้วี่แวว แม่สามีร้อนใจอยากอุ้มหลาน คิดหาอนุมาให้บุตรชาย นางเองก็จนปัญญาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน
หานหรงเหยาได้แต่กินอาหารไปเงียบๆ สลับกับสอบถามเรื่องทั่วไปกับบิดาและพี่ชายคนโต ทุกคนรู้ดีว่าร่างกายของเขาอ่อนแอจึงไม่คาดหวังจะให้เขามีบุตรเพื่อสืบทอดสกุลหาน บิดาของเขามีภรรยาเพียงคนเดียว เดิมทีเขาก็ไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะรับอนุ แต่คงเพราะเรื่องที่ยังไร้บุตรทำให้ลำบากใจ หลัวซู่เหมยเองก็คงไม่กล้าห้ามเรื่องนี้
แต่เวลานี้เขาเป็นห่วงเจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงตัวน้อยของเขามากกว่า นางอยู่กับเขาไร้ระเบียนกฎเกณฑ์ เกรงว่านางจะอึดอัดไม่สบายใจ ทว่าสายตาของนางกลับมองเขาอย่างเป็นห่วงด้วยซ้ำ
นางช่างดีกับเขาเหลือเกิน.
หานหรงเหยาไม่คิดว่าการที่ตนกลับมาเมืองหลวงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นอกจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ตามรับสั่งแล้ว สหายที่เคยเรียนร่วมชั้นในสำนักศึกษาต่างแวะมาเยี่ยมเยือน แลกเปลี่ยนความรู้เช่นกาลก่อน เทียบเชิญจากอาจารย์เรียกเขาไปพบ กลับมาถึงจวนพี่ใหญ่ก็เรียกไปหารือเรื่องงาน แต่ที่ทำให้เขาปวดหัวหนักที่สุดคือบรรดาแม่สื่อที่เดินเข้าออกจวนราวกับตลาดเสียด้วยซ้ำ
วุ่นวายจนไม่มีเวลาพาจิ้งจอกแดงตัวน้อยไปเที่ยวเล่นตามที่สัญญา ผ่านไปสิบกว่าวันแล้วเขาพบนางแค่ยามค่ำคืนที่นางกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงมุดเข้ามาในผ้าห่มของเขา แต่ทุกครั้งที่เขามองนาง ใบหน้างามจะมีรอยยิ้มให้เสมอ
วันนี้หลังจากกลับจากเดินหมากกับท่านอาจารย์ เขาตั้งใจจะซื้อขนมหวานที่ร้านเลื่องชื่อไปฝากนาง ทว่ากลับพบซุนเจ้าเฟิงเข้าเสียก่อน ซุนเจ้าเฟิงกระโดนลงจากม้าแล้วลากแขนหานหรงเหยาเข้าโรงเตี้ยมเพื่อดื่มสุรา
“รู้สึกว่าสุรายาที่ข้ามอบให้จะทำให้เจ้าแข็งแรงขึ้นจริงๆ”ซุนเจ้าเฟิงอดหยอกสหายไม่ได้ ความจริงเรื่องระหว่างหานหรงเหยากับหลิวเข่อซิงนั้น องครักษ์ที่เขาทิ้งไว้ให้นั้นส่งข่าวมารายงานเป็นระยะๆ แม้ใจอยากเห็นกับตาแต่ก็ต้องทนอดกลั้นไว้ เพราะเกรงว่าสหายจะหน้าบางไม่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้คุ้มค่า “เจ้านี่นะ” หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ “ความจริงข้าตั้งใจไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่เห็นสีหน้าเจ้าในเวลานี้คงไม่มีอะไรให้กังวล เรื่องเจ้ากับหลัวซู่เหมยคงกลายเป็นอดีตไปแล้วสินะ” “ข้ากับนางจบไปนานแล้ว ยามนี้นางคือพี่สะใภ้ข้าและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป” “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ อยู่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ อยากกลับชายแดน จะกลับไปทำแผนที่หุบเขาจื่อเซ่อให้สำเร็จ” “เจ้าจะกลับชายแดนรึ” หานหรงเหยาเบิกตากว้าง “อืม แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยากให้ข้าอภิเษก แต่ข้ายังไม่เจอสตรีถูกใจ”‘สตรีที่เลือกให้ แค่เห็นก็ทำให้ปวดหัว คนอย่างซุนเจ้าเฟิงจะหาสตรีถูกใจไม่ได้เชียวรึ’ “เจ้าจะกลับเมื่อใดกัน” “นี่ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิ
“พี่ใหญ่เคยเชิญท่านหมอมาตรวจพี่สะใภ้แล้วหรือ?” “อืม ก็ให้นางกินยาบำรุงร่างกาย ข้าคิดว่าถ้าเชิญหมอหลวงมาตรวจสุขภาพเจ้าก็จะให้ดูซู่เหมยไปพร้อมกัน” “เป็นเช่นนั้นก็ดี” หานหรงเหยาพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่า เจ้าอย่าพูดเรื่องกลับชายแดนให้ท่านแม่ได้ยินก็พอ” พี่ใหญ่ดักคอไว้อย่างรู้ทัน “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีงานการให้ช่วยแบ่งเบาภาระ กิจการของสกุลหานมีมากมาย ข้าเองก็วุ่นวายจนปลีกตัวไม่ได้ เจ้าหลี่เจี๋ยก็ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต จนป่านนี้ยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันจนท่านพ่ออยากให้เขาไปอยู่ค่ายทหารเผื่อฝึกฝนให้มีความรับผิดชอบ” “ได้ ข้ากลับมาแล้วจะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพี่ใหญ่” “ดีแล้ว” เขาพยักหน้ารับ “เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนเถิด มีอะไรข้าจะให้คนไปตาม” “ขอรับพี่ใหญ่” หานหรงเหยาลุกขึ้นแล้วเดินออกมาเงียบๆ มีเรื่องมากมายที่เขาต้องวางลำดับความสำคัญและจัดการให้ลุล่วง เห็นที่ว่าเขาคงไม่ได้กลับชายแดนง่ายๆ เป็นแน่ ทว่าเมื่อเดินมาถึงเรือนของตนกลับได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านใน หัวคิ้วขมวดยุ่งแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปทั
แต่ละวันนางถูกเรียกใช้งานจนหัวหมุนแต่กระนั้นนางก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ แม้บางมื้ออาหารของนางจะมีเพียงข้าวกับผัดผัก หรือแค่หมั่นโถว แต่นางก็ยังคงแย้มยิ้มอยู่เสมอ ปัญหาเดียวของนางคือกลางวันจะง่วงนอนมาก นางต้องแอบหยิกตัวเองให้ตื่นตลอดเวลา และกลางคืนนางไม่สามารถกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปอุ่นเตียงให้หานหรงเหยา หลิวเข่อซิงตากผ้าเรียบร้อยแล้วก็ก้มมองฝ่ามือขาวซีดของตนเอง เมื่อครั้งที่อยู่หุบเขาจื่อเซ่อนางก็ทำงานเหล่านี้ แลกกับเศษพลังชีวิตที่บรรดาศิษย์พี่มอบให้ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่จวน หานหรงเหยาไม่มีเวลาอยู่กับนางนัก นางไม่คิดน้อยใจอันใด เพราะเขาเป็นคนเก่งมากความสามารถย่อมมีเรื่องต้องทำมาก ทว่าหลังจากเรื่องในคืนนั้น นางยังไม่ได้พบหน้าเขาเลย แต่ได้ยินว่า มารดาของเขาไม่ค่อยสบาย หานหรงเหยาต้องดูแลอย่างใกล้ชิด นางเข้าใจและไม่คิดเรียกร้องเอาสิ่งใด นางตากผ้าเสร็จแล้ว แดดเจิดจ้าเช่นนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเสื้อผ้าก็คงแห้งสนิท ไม่เหมือนที่หุบเขาจื่อเซ่อที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดเวลา นางอ้าปากหาวคำโต แอบมองรอบกายไม่มีผู้อื่นอยู่บริเวณนี้ นางจึงหาที่นั่งเพิ
แม้ได้เพียงเศษพลังชีวิตเล็กน้อยจากหลิวชิงเซียง แต่เข่อซิงก็สดชื่นขึ้นมาก เอาล่ะ! เพื่อให้หานหรงเหยาไม่ต้องเป็นกังวลเพราะนาง นางจะทำหน้าที่สาวใช้ให้ดีที่สุด! นางเดินไปกระโดดไปหวังจะไปช่วยงานบ่าวรับใช้ผู้อื่นอีก ทว่ากลิ่นซาลาเปาไส้เนื้อหอมเย้ายวนชักจูงให้นางเดินไปตามกลิ่น จนมาหยุดตรงหน้าเจ้าซาลาเปาลูกโต นางจ้องเจ้าก้อนขาวๆ พลางแลบลิ้นริมฝีปาก แต่ไม่กล้ายื่นมือไปจับ ดวงตาดลมโตค่อยๆ ช้อนขึ้นมองคนที่ถือซาลาเปาในมือ “คุณชายหานหลี่เจี๋ย” หลิวเข่อซิงยืดตัวขึ้นจ้องมองหานหลี่เจี๋ยที่ยืนยิ้มมองนางอยู่ก่อนแล้ว “เจ้าต้องเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ของข้าเลยหรือ” เขาหัวเราะกับท่าทางไร้เดียงสาของนาง ในมือประคองซาลาเปาสองลูก ยังดีที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อมาไม่อย่างนั้นมือของเขาต้องแดงแน่ๆ “คุณชายสาม...” นางเปลี่ยนคำเรียกใหม่ “ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะ” “มี” เขาพูดหนักแน่น “ยื่นมือมารับซาลาเปาไปเร็วๆ มันร้อน” “เอ๋?” “เร็ว!” “เจ้าค่ะ!” นางยื่นสองมือไปรับซาลาเปา มันยังอุ่นร้อนอยู่จริงๆ นางเอียงคอมองอีกฝ่ายอย
หานหรงเหยาขยับตัวออกห่างเล็กน้อย กวาดตามองทั่วร่างนาง“เจ้าไม่กินพลังชีวิตจากข้ามาหลายวัน เหตุใดเจ้าไม่ดูอ่อนแอเลยสักนิด หรือว่า...” “นั้นเพราะศิษย์พี่แบ่งพลังชีวิตให้ข้ากินเล็กน้อย ข้าจึงฟื้นฟูกำลังตนเองไม่กลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปเสียก่อน” “ศิษย์พี่? ผู้ดูแลหลิวมาที่นี่หรือ?” หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับ “นางบอกว่าท่านแม่เป็นห่วงข้าจึงให้ศิษย์พี่มาดู” หานหรงเหยาผ่อนลมหายใจ เขาคลายมือที่ตรึงข้อมือนางไว้กับบานประตู ทว่าเขาสัมผัสได้ว่า นิ้วมือของนางเปลี่ยนไป ปลายนิ้วลอกและขาวซีด “เหตุใดเจ้าเป็นเช่นนี้” เขาลูบนิ้วมือนางอย่างเป็นกังวล “ข้าจะเชิญหมอมาตรวจดู” “ซักผ้าก็เป็นเช่นนี้แหละ” นางพยายามดึงมือกลับแต่เขาไม่ยอมปล่อย “ตอนอยู่หุบเขาจื่อเซ่อข้าก็ทำงานเหล่านี้ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป” “ทำไมเจ้าต้องไปทำงานซักผ้า ก็ท่านแม่กับซูเหม่ยรับปากว่าจะให้ความเป็นอยู่ที่ดีกับเจ้า” เขาเพิ่งสังเกตว่านางสวมเสื้อผ้ามอซอราวกับขอทาน “พวกเขารังแกเจ้าถึงเพียงนี้ ทำไมไม่มาหาข้า ” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา “ไม่มี
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางไม่อาจรับความเสียดเสียวนี้ได้อีก ร่างกายสั่นระริกและหอบหายใจจนตัวโยน เสียงหายทางปากเป็นเสียงครางปนสะอื้น หานหรงเหยายื่นมือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าแล้วยิ้มอ่อนโยน“อดทนหน่อยนะ ภรรยาตัวน้อยของข้า”หลิวเข่อซิงยังหูอื้อตาพร่า เห็นเพียงปากเขาขยับแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร มือใหญ่จับเรียวขาขึ้นพาดบ่าแล้วเริ่มขยับเอวสอบนำพาความเสียวซ่านมาอีกครั้ง เข่อซิงสะบัดหน้าไปมา คงเพราะอัดอั้นมานานทำให้ชายหนุ่มใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง แก่นกายของเขายังแข็งแกร่งและดุดัน เข่อซิงร้องครางจนเสียงแหบแห้งอย่างน่าสงสาร แต่เขาก็ยังโยกเอวถี่กระชั้น ร่างกายหญิงสาวร้อนเร่ายิ่งกว่าเดิมหลั่งน้ำหวานอาบไล้แก่นกายของเขาจนฉ่ำเยิ้มเปื้อนเปรอะต้นขา กลิ่นหอมหวานเย้ายวน ความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่างรวมถึงปลายนิ้วเท้า ช่องทางอ่อนนุ่มรัดแน่นส่งให้ชายหนุ่มไม่อาจอดทนได้อีก เขาส่งแก่นกายเข้าไปจนสุดรัดเอวนางไว้แนบแน่นและปลดปล่อยน้ำรักขาวขุ่นออกมาในที่สุดเสียงคำรามครางสุขสมและน้ำรักอุ่นร้อนของหานหรงเหยาทำให้นางรู้ว่าเขาถึงปลายทางแล้ว ชายหนุ่มมองคนใต้ร่างที่หอบหายใจแรง ดวงตากลมโตมีคราบน้ำตาฉ่ำวาว เขาโน้มหน้
เมื่อถึงถนนเส้นหลัก หลิวชิงเซียงก็ลงมาเดินเหมือนคนปกติทั่วไป ในหัวครุ่นคิดเรื่องหลิวเข่อซิงจนไม่รู้ว่ามีบุรุษยืนขวางทางเดินอยู่ นางหงุดหงิดใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตวัดสายตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ทว่าคนที่ถูกสายตาพุ่งเข้าใส่ราวกับลูกธนูกลับคลี่ยิ้มอย่างพอใจ ใบหน้างามยามขึงตาใส่กลับยิ่งชวนให้ลุ่มหลงเสียจริง “ไม่คิดว่าจะได้พบกับผู้ดูแลหลิวที่เมืองหลวง” ซุนเจ้าเฟิงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางกะพริบตาแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวานแต่รอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา ย่อกายคารวะบุรุษตรงหน้า “คารวะองค์ชายสามเพคะ” แม่ทัพใหญ่อดกวาดตามองหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวใบไผ่ นางไม่ได้แต่งกายสีสันฉูดฉาดแต่กลับขับเน้นให้นางดูสูงส่งทั้งที่นางมาจากหอนางโลม“ไม่เอาน่า อย่าทำเป็นคนอื่นเลย เจ้ากับข้าก็คุ้นเคยกันตั้งแต่อยู่ชายแดน” เขาโบกมือไปมาแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “หรือว่าผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวงเพราะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” “หรืออาจเป็นเพราะองค์ชายที่มีใจถวิลหาหม่อมฉัน จนมาพบกันกลางถนนเช่นนี้” แม้นางจะแสดงท่าทีอ่อนน้อมแต่แววตากลับตรงข้าม
บิดามารดาลอบสบตากันแล้วถอนหายใจ บุตรชายคนรองนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับหญิงสาวที่บุตรชายประกาศว่าจะแต่งเป็นภรรยา ที่ผ่านมาสองภรรยาหวังใจให้ลูกชายได้แต่งงานมีครอบครัวเฉกเช่นผู้อื่น แต่เพราะหัวใจที่อ่อนแอแต่กำเนิด คอยประคับประคองชีวิตให้ผ่านแต่ละวันได้ก็แสนยากเข็น ที่สำคัญ พวกเขาก็เคยทำร้ายจิตใจหานหรงเหยามาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งที่รู้ว่าหานหรงเหยามั่นรักกับหลัวซู่เหมย แต่สองตระกูลก็ลงความเห็นว่า ควรให้นางเข้าสกุลหานด้วยการแต่งงานกับหานลี่จู ครั้งนั้นหานหรงเหยาถึงกับไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีก แม้ปากเอ่ยแสดงความยินดีแต่ในใจย่อมเจ็บปวด ประจวบกับองค์ชายสามเปรยว่าต้องการกุนซือช่วยวางแผนการรบที่ชายแดน หานหรงเหยาฝืนคำห้ามปรามของบิดาเดินทางเข้ากองทัพในฐานะที่ปรึกษา แรกทีเดียวคิดว่าหานหรงเหยาจะอยู่เพียงไม่กี่เดือน แต่กลายเป็นสามปีไม่กลับบ้าน มีเพียงจดหมายโต้ตอบและคอยส่งยาให้ต้มดื่มเป็นประจำ คนเป็นพ่อแม่ย่อมดีใจที่รู้ว่าลูกชายจะแต่งงาน ทว่าหากหญิงสาวที่ลูกเลือกสมฐานะกันสักหน่อยคงไม่มีปัญหาอันใด แต่หญิงสาวที่หานหรงเหยาต้องการให้เป็นภรรยา เป็นหญิงกำพร้าที่ไม่รู้หัว