หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางไม่อาจรับความเสียดเสียวนี้ได้อีก ร่างกายสั่นระริกและหอบหายใจจนตัวโยน เสียงหายทางปากเป็นเสียงครางปนสะอื้น หานหรงเหยายื่นมือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าแล้วยิ้มอ่อนโยน
“อดทนหน่อยนะ ภรรยาตัวน้อยของข้า”
หลิวเข่อซิงยังหูอื้อตาพร่า เห็นเพียงปากเขาขยับแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร มือใหญ่จับเรียวขาขึ้นพาดบ่าแล้วเริ่มขยับเอวสอบนำพาความเสียวซ่านมาอีกครั้ง เข่อซิงสะบัดหน้าไปมา คงเพราะอัดอั้นมานานทำให้ชายหนุ่มใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง แก่นกายของเขายังแข็งแกร่งและดุดัน เข่อซิงร้องครางจนเสียงแหบแห้งอย่างน่าสงสาร แต่เขาก็ยังโยกเอวถี่กระชั้น ร่างกายหญิงสาวร้อนเร่ายิ่งกว่าเดิมหลั่งน้ำหวานอาบไล้แก่นกายของเขาจนฉ่ำเยิ้มเปื้อนเปรอะต้นขา กลิ่นหอมหวานเย้ายวน ความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่างรวมถึงปลายนิ้วเท้า ช่องทางอ่อนนุ่มรัดแน่นส่งให้ชายหนุ่มไม่อาจอดทนได้อีก เขาส่งแก่นกายเข้าไปจนสุดรัดเอวนางไว้แนบแน่นและปลดปล่อยน้ำรักขาวขุ่นออกมาในที่สุด
เสียงคำรามครางสุขสมและน้ำรักอุ่นร้อนของหานหรงเหยาทำให้นางรู้ว่าเขาถึงปลายทางแล้ว ชายหนุ่มมองคนใต้ร่างที่หอบหายใจแรง ดวงตากลมโตมีคราบน้ำตาฉ่ำวาว เขาโน้มหน้าจูบดวงตาคู่สวยแล้วค่อยๆ ถอนแก่นกายออกช้าๆ แล้วพลิกตัวนางมาไว้ในอ้อมกอด
เขาอมยิ้มมองเจ้าปีศาจตัวน้อยที่ผ่อนลมหายใจยาว และหัวใจเริ่มเต้นเป็นปกติ เขาขยับขึ้นนั่งทำให้หลิวเข่อซิงลืมตามอง
“ข้าไม่ได้ไปไหน แค่ไปรินน้ำให้เจ้า”
ปีศาจสาวเขินอาย แต่นางหิวน้ำจริงๆ เขาลุกขึ้นทั้งที่เปลือยเปล่า ไม่คิดจะหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับ เขารินน้ำให้ตนเองและของหญิงสาว นางยันกายขึ้นนั่งรีบคว้าผ้าห่มมาปิดเนินอก หานหรงเหยาคลี่ยิ้มแล้วยื่นถ้วยน้ำจ่อที่ริมฝีปากป้อนน้ำให้นางดื่มอย่างใจเย็น
“ต้องการอีกหรือไม่”
“พอแล้ว” นางพูดแล้วผลักมือเขาออกเบาๆ
“ดื่มอีกนิดสิ” เขาคะยั้นคะยอให้นางดื่มน้ำอีก “ประเดี๋ยวเจ้าจะต้องร้องจนเสียงแหบอีกรอบ”
“อะ..อะไร...อะไรนะ” เข่อซิงเบิกตากลมโตจ้องมองเขาแต่อดหลุบตาลงมองสิ่งที่แข็งขันขึ้นมาอีกไม่ได้
เขาไปอดยากมาจากไหน ควรเป็นนางไม่ใช่หรือที่ควรหิวโหยเพราะไม่ได้กินพลังหยางจากเขา
หานหรงเหยาเห็นเจ้าปีศาจตัวน้อยทำท่าจะคลานหนี เขาคว้าข้อเท้านางไว้ก่อน การได้หยอกเย้านางคือความสุขอย่างหนึ่งของเขา แต่การมีนางข้างกายคือความสุขที่สุดที่เขามี หลายวันมานี้นอกจากจะดูแลมารดาให้แข็งแรงแล้ว เขายังต้องช่วยสะสางงานของตระกูลรวมทั้งหาหนทางกลับไปอยู่ชายแดนให้ได้
แท้ที่จริงแล้ว เขารู้สึกว่าเมืองหลวงไม่เหมาะกับเขา หรืออาจจะเรียกว่า เขาไม่เหมาะกับเมืองหลวง แต่หากต้องเดินทางตอนนี้ ก็เกรงว่าจะเห็นแก่ตัวเกินไป เขายังไม่ได้ดูแลท่านพ่อท่านแม่ให้ดี
“หรงเหยา” นางเรียกเขาเสียงอ่อน วิงวอนด้วยสายตา เหตุใดวันนี้เขากินดุเหลือเกิน แต่หานหรงเหยาแสร้งไม่เข้าใจ เขาปีนขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มของนางออก เผยแผ่นหลังขาวราวหยกใส เขาโน้มลงจูบแผ่นหลังของนางเพียงแผ่วเบาแต่นางหลุดเสียงครางหวานออกมา
หลิวเข่อซิงคว่ำหน้าลงกับฟูกนอน ปากบอกปฏิเสธแต่ร่างกายกลับตอบสนองอย่างน่าอาย มือแกร่งจับเอวคอดขึ้น แก่นกายบุรุษเพศร้อนระอุคลอเคลียปากถ้ำที่ยังมีคราบน้ำรักของเขาไหลออกมา ริมฝีปากร้อนเลื่อนจากแผ่นหลังมาขบเม้มติ่งหูดุจไข่มุก ลมหายใจหญิงสาวถี่กระชั้นขึ้นทันทีที่สองมือเอื้อมมากอบกุมและบีบเคล้นหน้าอกคู่สวย
“อื้อ...” หญิงสาวครางเสียงหวาน
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากจากติ่งหูที่ยามนี้แดงจัดราวถูกย้อมสี มือแกร่งเปลี่ยนมาจับเอวหญิงสาวไว้มั่นก่อนจะค่อยๆ ส่งแท่งหยกร้อนเข้าไปในร่องรักที่เปียกชุ่ม ยามนี้นางหมอบคลานอย่างไร้เรี่ยวแรงสะโพกงามลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ระลอกความเสียวซ่านก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ทุกการขยับโยกทำให้เสียงหวานครางกระเส่าออกมา
“หรงเหยา...หรงเหยา” หลิวเข่อซิงได้แต่พรำเรียกชื่อเขา รับรู้ถึงตัวตนของเขาที่เคลื่อนไหวในร่างกายของนาง วาบหวาม ร้อนแรง และดุดันจนนางแทบหายใจไม่ทัน นางได้ยินเสียงครางต่ำในลำคอแต่ไม่กล้าแม้แต่จะเอี้ยวใบหน้าไปมอง เพราะกลัวสายตาที่เหมือนจะกลืนกินของเขา สายตาคู่นั้นราวกับร่ายมนตร์ทำให้นางไม่อาจดิ้นหลุดจากเขาได้ นางเคยแอบมองศิษย์พี่เสพพลังหยางจากบุรุษและเคยศึกษาจากหนังสือภาพวังวสันต์ นางเคยหวาดกลัวสิ่งเหล่านั้น แต่ยามนี้นางกลับปรารถนาจะแนบชิด ไม่ใช่ผู้อื่นแต่เป็นเพราะคนที่โอบกอดคือเขา คือหานหรงเหยาที่เข้ามาครอบครองหัวใจของนาง
“ข้าไม่ไหวแล้วนะ”
“เจ้าช่างหอมหวานถึงเพียงนี้ จะห้ามใจได้อย่างไร”
เขารู้และมั่นใจว่าความรู้สึกของตนที่มีต่อนางไม่ใช่เพราะนางร่ายมนตร์ใดใส่เขา นางบริสุทธิ์และไร้เดียงสา นางกลัวว่าเขาจะจากไปเร็วจึงไม่กล้ากลืนกินพลังชีวิตจากเขา หลายวันก่อนพี่ใหญ่เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการมารดาและได้ตรวจชีพจรของเขาและพบเรื่องน่าประหลาดใจยิ่ง หัวใจของเขาแข็งแรงขึ้น รวมทั้งร่างกายของเขาด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าหมอที่ไหนก็ต่างลงความเห็นว่าเขาจะมีชีวิตไม่ยืนยาวนัก แต่เพราะยังไม่มั่นใจเขาจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และคิดจะให้หมออีกหลายๆ ท่านช่วยตรวจดูอีกหน่อย เขาไม่อยากดีใจเก้อ
“หราเหยา...ช้า...ช้าหน่อย อ๊า!”
หลิวเข่อซิงหวีดร้องพร้อมร่างกายที่เกร็งกระตุก ร่องรักขมิบถี่รัวทำให้หานหรงเหยาเองก็แทบทนไม่ไหว เคลื่อนไหวเอวสอบรัวแรง กระแทกแท่งหยกจนร่างบางสั่นระริก เม็ดเหงื่อซึมทั่วแผ่นหลัง เส้นผมยาวสยายเปียกชื้น ความใหญ่โตที่ขยายจนคับแน่นทำให้หลิวเข่อซิงทนรับความเสียวซ่านไม่ไหว เขากระแทกกระทั้นเข้ามาในร่างทำให้นางรู้สึกเหมือนมอดไหม้ด้วยไฟราคะที่เขาก่อขึ้น ในที่สุดนางส่งเสียงครางสุขสมอีกครา
“ซิงเอ๋อร์...” เขาคำรามเรียกชื่อนางและปลดปล่อยอีกครั้ง กลิ่นหอมหวานของคาวรักอบอวลในห้องนอน คราวนี้เข่อซิงหมดแรงแล้วจริงๆ นางครางปนสะอื้นเมื่อเขาถอนแก่นกายออก เขาพลิกตัวจัดท่านอนให้ปีศาจสาวตัวน้อย
“เข่อซิง” เขาเรียกนางแต่หญิงสาวเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว หานหรงเหยาได้แต่ยิ้มบางๆ โอบกอดนางไว้ในอ้อมอกแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมร่างเปลือยเปล่าของคนสองคน
มีเรื่องมากมายที่เขาต้องพูดคุยกับนาง ช่างเถิด เขารอนางตื่นก็ได้ อื้ม...เหมือนจะได้ยินนางพูดว่าผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวงใช่ไหม บางทีเขาอาจขอคำปรึกษาเรื่องร่างกายของเขาที่เปลี่ยนไปในตอนนี้ได้ แต่ก่อนเขาไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่นัก แต่เพราะมีนางเข้ามาทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่
เจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีเขาดูแล เขาเป็นห่วงนาง อยากดูแลนาง และที่สำคัญ เขาอยากเป็นคนทำให้นางมีความสุข ไม่ว่าชีวิตเขาจะเหลืออยู่เท่าไหร่ก็ตาม.
เมื่อถึงถนนเส้นหลัก หลิวชิงเซียงก็ลงมาเดินเหมือนคนปกติทั่วไป ในหัวครุ่นคิดเรื่องหลิวเข่อซิงจนไม่รู้ว่ามีบุรุษยืนขวางทางเดินอยู่ นางหงุดหงิดใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตวัดสายตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ทว่าคนที่ถูกสายตาพุ่งเข้าใส่ราวกับลูกธนูกลับคลี่ยิ้มอย่างพอใจ ใบหน้างามยามขึงตาใส่กลับยิ่งชวนให้ลุ่มหลงเสียจริง “ไม่คิดว่าจะได้พบกับผู้ดูแลหลิวที่เมืองหลวง” ซุนเจ้าเฟิงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางกะพริบตาแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวานแต่รอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา ย่อกายคารวะบุรุษตรงหน้า “คารวะองค์ชายสามเพคะ” แม่ทัพใหญ่อดกวาดตามองหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวใบไผ่ นางไม่ได้แต่งกายสีสันฉูดฉาดแต่กลับขับเน้นให้นางดูสูงส่งทั้งที่นางมาจากหอนางโลม“ไม่เอาน่า อย่าทำเป็นคนอื่นเลย เจ้ากับข้าก็คุ้นเคยกันตั้งแต่อยู่ชายแดน” เขาโบกมือไปมาแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “หรือว่าผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวงเพราะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” “หรืออาจเป็นเพราะองค์ชายที่มีใจถวิลหาหม่อมฉัน จนมาพบกันกลางถนนเช่นนี้” แม้นางจะแสดงท่าทีอ่อนน้อมแต่แววตากลับตรงข้าม
บิดามารดาลอบสบตากันแล้วถอนหายใจ บุตรชายคนรองนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับหญิงสาวที่บุตรชายประกาศว่าจะแต่งเป็นภรรยา ที่ผ่านมาสองภรรยาหวังใจให้ลูกชายได้แต่งงานมีครอบครัวเฉกเช่นผู้อื่น แต่เพราะหัวใจที่อ่อนแอแต่กำเนิด คอยประคับประคองชีวิตให้ผ่านแต่ละวันได้ก็แสนยากเข็น ที่สำคัญ พวกเขาก็เคยทำร้ายจิตใจหานหรงเหยามาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งที่รู้ว่าหานหรงเหยามั่นรักกับหลัวซู่เหมย แต่สองตระกูลก็ลงความเห็นว่า ควรให้นางเข้าสกุลหานด้วยการแต่งงานกับหานลี่จู ครั้งนั้นหานหรงเหยาถึงกับไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีก แม้ปากเอ่ยแสดงความยินดีแต่ในใจย่อมเจ็บปวด ประจวบกับองค์ชายสามเปรยว่าต้องการกุนซือช่วยวางแผนการรบที่ชายแดน หานหรงเหยาฝืนคำห้ามปรามของบิดาเดินทางเข้ากองทัพในฐานะที่ปรึกษา แรกทีเดียวคิดว่าหานหรงเหยาจะอยู่เพียงไม่กี่เดือน แต่กลายเป็นสามปีไม่กลับบ้าน มีเพียงจดหมายโต้ตอบและคอยส่งยาให้ต้มดื่มเป็นประจำ คนเป็นพ่อแม่ย่อมดีใจที่รู้ว่าลูกชายจะแต่งงาน ทว่าหากหญิงสาวที่ลูกเลือกสมฐานะกันสักหน่อยคงไม่มีปัญหาอันใด แต่หญิงสาวที่หานหรงเหยาต้องการให้เป็นภรรยา เป็นหญิงกำพร้าที่ไม่รู้หัว
“นั้นสินะ ตอนนั้นหลี่เจี๋ยยังอ้อนวอนขอขี่คอลี่จูเพื่อไปเก็บว่าวที่ติดอยู่บนกิ่งไม้อยู่เลย” มารดาหัวเราะออกมา “วันนี้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว” “เสียดายก็แต่ซู่เหมย แต่งมาสามปียังไม่มีบุตร แต่นางก็ไม่เคยบกพร่องเรื่องใดเลย ข้าเองก็เห็นใจนางที่ต้องหาอนุให้ลี่จู” “หรงเหยาสุขภาพดีวันดีคืน ให้เขากลับมาช่วยดูแลเรื่องในจวน ลี่จูจะได้มีเวลาเอาใจซู่เหมย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็คงต้องครรภ์” “นั้นสินะ”“เจ้าก็ต้องรักษาตัวให้แข็งแรง จะได้มีแรงอุ้มหลาน”สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างมีความหวัง คนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากเห็นลูกๆ มีความสุข และจะดียิ่งถ้าได้มีชีวิตอยู่เลี้ยงดูหลานๆหลัวซู่เหมยชักมือกลับจากมือสามีที่เกาะกุมอย่างหลวมๆ นางยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามีธุระเล็กน้อย จะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมขอพรเรื่องมีลูกเจ้าค่ะ”“เจ้าไปเถิด” เขายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบผมของนางอย่างรักใคร่พลางก้มหน้ากระซิบได้ยินเพียงสองคน “คงปวดใจมากสินะที่เห็นหรงเหยาแต่งงาน”“ท่าน!” หลัวซูเหมยขึงตาใส่ หานลี่จูยังคงยิ้มอ่อนโยนแต่ดวงตามีแววเยาะเย้ย“ลำบากเจ้าแล้ว”หานหรงเหยาและเข่อซิงที่เดินตามออก
“ยินดีด้วยๆ ข่าวมงคลเช่นนี้ ข้าขอแสดงความยินดีจากใจจริง”หานหรงเหยาเพียงแค่ยิ้มรับ ยังไม่ทันเอ่ยเล่าสิ่งใด บานประตูก็เปิดออก ร่างอรชรของหลิวชิงเซียงก็ก้าวเข้ามา นางคารวะซุนเจ้าเฟิงอย่างเต็มพิธีแล้วจึงย่อกายคารวะหานหรงเหยา“คารวะองค์ชายสามเพคะ ที่ปรึกษาหาน”ซุนเจ้าเฟิงสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจที่นางวางตัวเหินห่างแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากโบกมือไปมา “เพิ่งรู้ว่าผู้ดูแลหลิวเล่นเพลงพิณได้ไพเราะยิ่งนัก เห็นทีโอกาสหน้าข้าต้องขอมาฟังเจ้าบรรเลงพิณที่นี่อีก”“หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ที่นี่ก็มีนักดนตรีเล่นพิณได้ไพเราะหลายคน องค์ชายสามชอบก็เชิญมาฟังได้ทุกเวลาเพคะ”หลิวเข่อซิงกระตุกแขนเสื้อหาหานหรงเหยาแล้วเอ่ยถาม “ข้าต้องพูดกับเจ้าคนนิสัยไม่ดีเหมือนศิษย์พี่หรือไม่”“ไม่ต้อง! ข้าไม่ชอบ!” ซุนเจ้าเฟิงรีบตอบทันที “แต่ห้ามเรียกข้าว่า ‘เจ้าคนนิสัยไม่ดี’อีก ถ้าข้านิสัยไม่ดีจริง เจ้าไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอก”“ความจริงเรียกคนนิสัยไม่ดีก็ถูกแล้ว คนนิสัยดีที่ไหนมาทวงบุญคุณผู้อื่นกันเล่า” หลิวเข่อซิงบ่นพึมพำ“นี่เจ้ากล้าว่าข้ารึ ถ้าไม่ใช่เพราะร้อยตำลึงของข้า นางก็คงอยู่ในหอนางโลมที่ชายแดนนั้น”“ถ้า
“นี่ท่านไม่รู้รึ เดิมที่หัวใจก็อ่อนแออยู่แล้ว แต่ร่างกายกลับได้รับพิษทำให้ร่างกายเย็นกว่าคนปกติทั่วไป ข้าเองไม่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษา แต่เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้น หากบำรุงตัวเองให้ดีอีกครึ่งปีท่านก็จะหายเป็นปกติ” หลิวชิงเซียงหัวเราะน้อยๆ แล้วรินน้ำชาให้ตนเอง“ขอพูดตามตรง ปีศาจอย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะชอบมีเรื่องกับมนุษย์ พวกเรากินพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้ถึงตาย ก็เหมือนที่มนุษย์เลี้ยงสัตว์เล็กๆ ไว้เป็นอาหาร ปีศาจอย่างพวกเราก็สามารถเลี้ยงมนุษย์ไว้ค่อยๆ กินพลังชีวิตของพวกเขาไปเรื่อยๆ หากเข่อซิงกินพลังชีวิตของท่านอย่างพอเหมาะ ข้ารับรองได้ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีกห้าสิบปี แต่ถ้าท่านเที่ยวเอาชีวิตไปเสี่ยงคมหอกคมดาบเหมือนสหายของท่าน ไม่ต้องพึ่งหมอดูที่ไหนข้าก็ทำนายได้ว่าไม่ได้แก่ตายอย่างแน่นอน”“ศิษย์พี่หมายความว่า...เขาจะไม่ตายเพราะข้าใช่ไหม”“มีผู้ใดหนีความตายได้บ้างเล่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้า สักวันก็ต้องตายแต่ข้าอยู่มาห้าร้อยห้าสิบปี เจ้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปี อย่างไรก็มีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์อยู่แล้ว”“เรื่องดีจริงๆ ขอบคุณผู้ดูแลหลิวที่ให้ความกระจ่างแก่ข้ากับเข่อซิง”“หา
นิ้วเรียวยาวแยกกลีบดอกไม้ที่คล้ำไปเล็กน้อยแต่ภายในยังคงคับแน่นดึงดูดผีเสื้อหนุ่ม ฟันคมขบกัดที่ยอดอกจนเปียกชุ่มและบวมขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่สองนิ้วแทรกในร่องรักที่บีบรัด เร่งเร้าให้คายน้ำหวานออกมา หานลี่จูถอนริมฝีปากจากเต้าคู่งามที่ช้ำเป็นจ้ำเลือดเพราะริมฝีปากของเขา แล้วยื่นหน้าไปกระซิบเสียงพร่า “เจ้าคิดถึงหรงเหยาอยู่สินะ แต่ร่างกายเจ้าเป็นของข้า ต่อให้เจ้าตายก็ยังเป็นคนของข้า” หลัวซู่เหมยได้แต่ครางสะอื้นร่างกายเกร็งกระตุกด้วยนิ้วร้ายของเขา หานลี่จูดึงนิ้วออกจากร่องรักแล้วดึงผ้าออกจากปากนาง ส่งนิ้วที่เปื้อนคาวรักส่งเข้าในไปโพรงปากที่น้ำลายเปื้อนเปรอะมุมปาก หยดน้ำตาใสหลั่งริน เขาขยับนิ้วเข้าออกในโพรงปากสวยหรี่ตามองราวกับปีศาจร้ายไม่เหลือเค้าบุรุษผู้อ่อนโยนที่ใครต่อใครกล่าวถึง มือข้างหนึ่งกระตุกสายรัดเอวแล้วปลดกางเกงให้เลื่อนลงเผยแก่นกายที่แข็งขัน เขาจับมือนุ่มมากุมลำเอ็นของตนแล้วกุมมือนางอีกทีเพื่อชักนำให้นางขยับมือสาวแก่นกายที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ หานหลี่จูครางเสียงต่ำในลำคออย่างพอใจ กวาดนิ้วในโพรงปากของนางและเย้าแย่ลิ้นน้อยๆ นางครางปนสะอื้นแล้วเ
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ทำให้หานลี่จูตื่นจากภวังค์ เขาหมุนตัวกลับไปก็พบหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินจับมือกันเข้ามาทางเขาพอดี “พี่ใหญ่” หานหรงเหยาเอ่ยทักทาย หลังจากพบหลิวชิงเซียงแล้ว เขาก็พาเข่อซิงเที่ยวเล่นในเมืองจึงกลับเข้าจวนค่ำมืดไปหน่อย “พวกเจ้าเพิ่งกลับมากันรึ” “ขอรับ” หานหรงเหยายิ้มแล้วก้มมองเข่อซิงที่มือข้างหนึ่งยังถือขนมถังหูลู่อยู่ “นางติดตามข้าเข้าเมืองหลวงมาเกือบเดือนแล้ว ข้าไม่มีเวลาพานางไปเที่ยวชมเมืองหลวงเลย วันนี้พอมีเวลาจึงพานางเดินชมตลาด” หานลี่จูยิ้มให้น้องชายแล้วเดินเข้าใกล้ ภายใต้แสงสลัวคือใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นพี่ ทว่าหลิวเข่อซิงกลับตัวเกร็งขึ้นมาแล้วค่อยๆ ขยับตัวใช้ร่างของหานหรงเหยาบังตนเองไว้ “เข่อซิง เจ้าทำอะไร” หานหรงเหยาหัวเราะน้อยๆ เข้าใจว่านางคงกลัวพี่ใหญ่จะตำหนินาง “เข่อซิง” หานลี่จูเรียกนางปนหัวเราะ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มาเป็นน้องสะใภ้ของข้าแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรือซู่เหมยเลย หรือแม้แต่หลี่เจี๋ยก็ด้วย พวกเราแม้เกิดในตระกูลหานอันเป็นตระกูลเก
“เข่อซิง...” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้กลัวนาง แต่...ร่างกายตื่นตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สะโพกกลมกลึงบดเบียดแท่งหยกที่ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน หางยาวปัดป่ายบนตัวเขายิ่งทำให้กระสับกระส่าย คาดหวังและรอคอยให้นางทำมากกว่านี้ นางรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวนางในร่างนี้ แววตาและท่าทางของเขาประกาศชัดว่าปรารถนานางมากเพียงใด เรียวลิ้นตวัดหยอกล้อพันเกี่ยวหาความหวานอันหวามไหว สะโพกงามยกขึ้นเพื่อครอบครองแก่นกายที่ร้อนระอุ นางเปล่งเสียงครางชิดริมฝีปากเมื่อยินยอมให้ตัวตนของบุรุษที่นางรักเข้าไปในร่างจนสุดลำ สวรรค์! หานหรงเหยาคำรามออกมา นางปล่อยข้อมือของเขาแล้วหยัดกายขึ้น ทรวงอกงดงามกระเพื่อมตามแรงหายใจ ปลายถันสีหวานชูชันท้าท้ายสายตา นางเริ่มขยับสะโพกเคลื่อนไหวราวร่ายรำนำเสียวซ่านรัญจวนมาสู่ทั้งนางและเขา มือแกร่งลูบไล้บั้นเอวไปสัมผัสหางฟูสีแดงที่ส่ายไปมา “เร็วอีกซิงเอ๋อร์” เขาแทบสำลักความสุขแล้ว เป็นฝ่ายอ้อนวอนให้นางควบขี่เขาเร็วขึ้นพร้อมกับหยัดสะโพกรับจังหวะกดลงของนาง คาวรักอาบไล้แก่นกายจนเป็นมันวาวทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ถี่กระชั้น เ