เมื่อถึงถนนเส้นหลัก หลิวชิงเซียงก็ลงมาเดินเหมือนคนปกติทั่วไป ในหัวครุ่นคิดเรื่องหลิวเข่อซิงจนไม่รู้ว่ามีบุรุษยืนขวางทางเดินอยู่ นางหงุดหงิดใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตวัดสายตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ทว่าคนที่ถูกสายตาพุ่งเข้าใส่ราวกับลูกธนูกลับคลี่ยิ้มอย่างพอใจ ใบหน้างามยามขึงตาใส่กลับยิ่งชวนให้ลุ่มหลงเสียจริง
“ไม่คิดว่าจะได้พบกับผู้ดูแลหลิวที่เมืองหลวง” ซุนเจ้าเฟิงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์
หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางกะพริบตาแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวานแต่รอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา ย่อกายคารวะบุรุษตรงหน้า
“คารวะองค์ชายสามเพคะ”
แม่ทัพใหญ่อดกวาดตามองหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวใบไผ่ นางไม่ได้แต่งกายสีสันฉูดฉาดแต่กลับขับเน้นให้นางดูสูงส่งทั้งที่นางมาจากหอนางโลม
“ไม่เอาน่า อย่าทำเป็นคนอื่นเลย เจ้ากับข้าก็คุ้นเคยกันตั้งแต่อยู่ชายแดน” เขาโบกมือไปมาแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “หรือว่าผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวงเพราะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่”
“หรืออาจเป็นเพราะองค์ชายที่มีใจถวิลหาหม่อมฉัน จนมาพบกันกลางถนนเช่นนี้” แม้นางจะแสดงท่าทีอ่อนน้อมแต่แววตากลับตรงข้าม
ซุนเจ้าเฟิงไม่ถือสากลับแหงนหน้าหัวเราะอารมณ์ดี น้อยครั้งที่เขาจะพูดคุยกับสตรีได้หลายประโยคเช่นนี้ ยกเว้นสาวใช้ของหานหรงเหยาที่เหมือนพูดเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจึงต้องพูดซ้ำเกินความจำเป็น
แต่หลิวชิงเซียงไม่มีอารมณ์จะสนทนาด้วย นางยังขุ่นเขืองที่เห็นเข่อซิงในสภาพนั้นจึงเอ่ยปากขอลา
“นี่...ได้พบกันเช่นนี้ เจ้าไม่คิดจะชวนข้าไปดื่มน้ำชาสักหน่อยรึ” เขาขยับเท้าใช้ร่างกายตัวเองขวางทางเดิน
หลิวชิงเซียงเลิกคิ้ว “องค์ชายสามลืมแล้วหรือเพคะ หม่อนฉันเป็นนางโลม หากองค์ชายสามต้องการใช้เวลากับหม่อมฉันก็ต้องจ่ายเงิน”
“ได้ เจ้าเรียกค่าตัวมาสิ” เขายิ้มกริ่มไม่นึกโกรธที่นางขึงตาใส่
“วันนี้หม่อมฉันไม่ว่างเพคะ”
“ข้าจ่ายเป็นสองเท่า เอ่อ ไม่สิ สามเท่าเลยดีไหม”
หลิวชิงเซียงตวัดสายตาใส่ ไม่อยากสนทนาด้วยจึงขยับเท้าเบี่ยงตัวไปอีกด้าน แต่ซุนเจ้าเฟิงขยับตัวขวางไว้ เขายกมือขึ้นหมายจะรั้งมิให้นางเดินไป แต่นางเข้าใจผิดคิดว่าเขาลงมือกับนาง มือเรียวเล็กยกมือขึ้นสะบัดหลังมือกระแทกใส่อีกฝ่าย แม่ทัพใหญ่เลิกคิ้วแต่นึกสนุกลองเพลงยุทธ์กับนาง เดิมทีหลิวชิงเซียงไม่คิดเปิดเผยว่าตนเองเป็นวรยุทธ์แต่ยามนี้นางหงุดหงิดและต้องการที่ระบายโทสะ ในเมื่ออีกฝ่ายมีใจหยอกเย้า นางก็ไม่ออมมือ เคลื่อนไหวราวร่ายรำแต่ฝ่ามือส่งแรงปะทะออกไป ซุนเจ้าเฟิงเดินลมปราณ เขาอยากเล่นสนุกกับนางแต่ไม่ใช่กลางถนนท่ามกลางสายตาผู้คนเช่นนี้ เมื่อได้จังหวะคว้าข้อมือกระชากนางเข้ามาในวงแขนก็โอบรัดรอบเอวคอดกิ่วนั้นไว้ ใช้วิชาตัวเบาพานางหลบหนีสายตาผู้คน
“เจ้า!” หลิวชิงเซียงเกรี้ยวกราด แต่เพียงเวลาอึดใจเขาพานางมาริมแม่น้ำที่มีผู้คนบางตา เขาปล่อยนางแล้วถอยห่างออกมาสองก้าว แสดงให้เห็นว่าเขาไม่คิดทำร้ายหรือล่วงเกิน
“ไม่รู้ว่าผู้ดูแลหลิวจะมีฝีมือไม่น้อย ครั้งหน้าเห็นทีข้าต้องขอคำชี้แนะจากเจ้าบ้าง” เขายังคงยิ้มแต่ไม่ได้ก่อกวนอารมณ์ของนางอีก “เจ้ามีเรื่องไม่สบายใจรึ”
หญิงสาวประหลาดใจในคำถามที่ได้ยิน อารมณ์ของนางสงบลงหลังถอนหายใจออกมา แล้วกวาดสายตามองไปโดยรอบ
“หม่อมฉันไม่คิดว่าเมืองหลวงจะเหลือที่สงบแล้วเสียอีก”
“ข้าเองก็ไม่ชอบอยู่ในจวน ชอบเดินดูวิถีชีวิตผู้คนเรียบง่ายมากกว่าจึงได้ค้นพบที่แห่งนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลงมาก “หากเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ถ้าข้าพอช่วยได้ก็บอกมาเถิด อย่าได้เกรงใจ อย่างไรก็ถือเสียว่า เราเคยพบกันมาก่อน เจ้าเป็นคนต่างถิ่นอาจไม่รู้เรื่องในเมืองหลวงเท่าข้า”
“ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันขอให้องค์ชายสามเตือนที่ปรึกษาหานด้วย แม้เขาซื้อคนของหม่อมฉันไปแล้ว หากดูแลนางไม่ดี ทำให้นางต้องลำบากกายหรือใจ หม่อมฉันยินดีซื้อตัวนางกลับมา”
“เข่อซิงนะหรือ?” เขาขมวดคิ้วแล้วโคลงศีรษะ “ไม่มีทาง เจ้าเข้าใจอะไรผิดเป็นแน่ สหายของข้าจริงใจกับเข่อซิงมาก เขาเร่งรีบสะสางงานเพื่อเดินทางกลับไปชายแดนกับข้า”
“แต่สองตาของหม่อมฉันเห็นนางทำงานงกๆ จนมือที่เคยเรียวงามเป็นรอยถลอก ซ้ำอดมื้อกินมื้อ จนร่างกายซูบผอม เสื้อผ้าเนื้อหยาบไม่อบอุ่นเลยสักนิด ทั้งที่อากาศหนาวเย็น เช่นนี้แล้วจะเรียกว่านางอยู่ดีกินดีได้อีกรึ!”
เขาอยากจะแก้ตัวแทนสหาย แต่เข้าเมืองหลวงมายี่สิบกว่าวันเขายังไม่พบหน้าหลิวเข่อซิงเลยสักครั้ง และนี่คงเป็นสาเหตุที่หลิวชิงเซียงแสดงท่าทีโกรธเคืองจนลงมือกับเขา เวลานี้เขาจึงได้แต่กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร
นางทำเสียง ‘เหอะ’ ในลำคอ แล้วยกมือขึ้นกอดอก “ดูท่าบุรุษก็เป็นเช่นนี้ เอาเถิด หม่อมฉันดูแลเข่อซิงมาตั้งแต่เด็ก นางเป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตร คงไม่อาจคาดหวังให้นางได้รับสิ่งที่ดี หรือเท่าเทียมกับคนอื่น”
“นี่...เจ้าอย่าคิดว่าบุรุษจะเป็นเหมือนกันหมดสิ”
“อยู่มาห้าร้อยห้าสิบปี ก็เจอแต่บุรุษชั่วช้า”
“เจ้าว่าอะไรนะ” เขาได้ยินนางพึมพำแต่ไม่ชัดนัก “ห้าร้อยปีอะไรกัน”
“หม่อมฉันเปรียบเปรยเพคะ” นางฉีกยิ้มให้เขา “แต่อย่างไรก็ขอบพระทัยองค์ชายสาม หม่อมฉันอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว วันนี้ล่วงเกินองค์ชายไป หวังว่าจะไม่ถือสาหม่อมฉัน คราวนี้หม่อมฉันขอตัวแล้วจริงๆ”
นางย่อกายคารวะแล้วหมุนตัวเดินกลับ ซุนเจ้าเฟิงไม่คิดรั้งนางอีกแต่รีบพูดออกไป
“ข้าไม่รู้ว่าเจอพบเจอเรื่องใดมา แต่บุรุษไม่ได้เลวร้ายทุกคน”
หลิวชิงเซียงเอี้ยวใบหน้าหันมอง มุมปากยกยิ้มขบขันแต่ไม่เอ่ยสิ่งใด นางหันหน้ากลับแล้วเดินจากไปเงียบๆ ทิ้งให้เขาได้อยู่กับความสงสัย
นางพบเจอเรื่องใดมาจึงมองบุรุษในแง่ร้ายขนาดนี้.
มือใหญ่กุมมือเล็กไว้มั่นทำให้หญิงสาวคลายอาการตื่นกลัวลงได้บ้าง หลิวเข่อซิงเหลือบมองชายนั่งเคียงข้าง แม้เขาไม่ได้หันมาสบตาแต่นางรู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ ใบหน้าหวานจึงค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับหานกั๋วกงและหานเจียอี รวมทั้งหานลี่จู หลัวซู่เหมยและหานหลี่เจี๋ย
บิดามารดาลอบสบตากันแล้วถอนหายใจ บุตรชายคนรองนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับหญิงสาวที่บุตรชายประกาศว่าจะแต่งเป็นภรรยา ที่ผ่านมาสองภรรยาหวังใจให้ลูกชายได้แต่งงานมีครอบครัวเฉกเช่นผู้อื่น แต่เพราะหัวใจที่อ่อนแอแต่กำเนิด คอยประคับประคองชีวิตให้ผ่านแต่ละวันได้ก็แสนยากเข็น ที่สำคัญ พวกเขาก็เคยทำร้ายจิตใจหานหรงเหยามาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งที่รู้ว่าหานหรงเหยามั่นรักกับหลัวซู่เหมย แต่สองตระกูลก็ลงความเห็นว่า ควรให้นางเข้าสกุลหานด้วยการแต่งงานกับหานลี่จู ครั้งนั้นหานหรงเหยาถึงกับไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีก แม้ปากเอ่ยแสดงความยินดีแต่ในใจย่อมเจ็บปวด ประจวบกับองค์ชายสามเปรยว่าต้องการกุนซือช่วยวางแผนการรบที่ชายแดน หานหรงเหยาฝืนคำห้ามปรามของบิดาเดินทางเข้ากองทัพในฐานะที่ปรึกษา แรกทีเดียวคิดว่าหานหรงเหยาจะอยู่เพียงไม่กี่เดือน แต่กลายเป็นสามปีไม่กลับบ้าน มีเพียงจดหมายโต้ตอบและคอยส่งยาให้ต้มดื่มเป็นประจำ คนเป็นพ่อแม่ย่อมดีใจที่รู้ว่าลูกชายจะแต่งงาน ทว่าหากหญิงสาวที่ลูกเลือกสมฐานะกันสักหน่อยคงไม่มีปัญหาอันใด แต่หญิงสาวที่หานหรงเหยาต้องการให้เป็นภรรยา เป็นหญิงกำพร้าที่ไม่รู้หัว
“นั้นสินะ ตอนนั้นหลี่เจี๋ยยังอ้อนวอนขอขี่คอลี่จูเพื่อไปเก็บว่าวที่ติดอยู่บนกิ่งไม้อยู่เลย” มารดาหัวเราะออกมา “วันนี้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว” “เสียดายก็แต่ซู่เหมย แต่งมาสามปียังไม่มีบุตร แต่นางก็ไม่เคยบกพร่องเรื่องใดเลย ข้าเองก็เห็นใจนางที่ต้องหาอนุให้ลี่จู” “หรงเหยาสุขภาพดีวันดีคืน ให้เขากลับมาช่วยดูแลเรื่องในจวน ลี่จูจะได้มีเวลาเอาใจซู่เหมย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็คงต้องครรภ์” “นั้นสินะ”“เจ้าก็ต้องรักษาตัวให้แข็งแรง จะได้มีแรงอุ้มหลาน”สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างมีความหวัง คนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากเห็นลูกๆ มีความสุข และจะดียิ่งถ้าได้มีชีวิตอยู่เลี้ยงดูหลานๆหลัวซู่เหมยชักมือกลับจากมือสามีที่เกาะกุมอย่างหลวมๆ นางยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามีธุระเล็กน้อย จะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมขอพรเรื่องมีลูกเจ้าค่ะ”“เจ้าไปเถิด” เขายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบผมของนางอย่างรักใคร่พลางก้มหน้ากระซิบได้ยินเพียงสองคน “คงปวดใจมากสินะที่เห็นหรงเหยาแต่งงาน”“ท่าน!” หลัวซูเหมยขึงตาใส่ หานลี่จูยังคงยิ้มอ่อนโยนแต่ดวงตามีแววเยาะเย้ย“ลำบากเจ้าแล้ว”หานหรงเหยาและเข่อซิงที่เดินตามออก
“ยินดีด้วยๆ ข่าวมงคลเช่นนี้ ข้าขอแสดงความยินดีจากใจจริง”หานหรงเหยาเพียงแค่ยิ้มรับ ยังไม่ทันเอ่ยเล่าสิ่งใด บานประตูก็เปิดออก ร่างอรชรของหลิวชิงเซียงก็ก้าวเข้ามา นางคารวะซุนเจ้าเฟิงอย่างเต็มพิธีแล้วจึงย่อกายคารวะหานหรงเหยา“คารวะองค์ชายสามเพคะ ที่ปรึกษาหาน”ซุนเจ้าเฟิงสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจที่นางวางตัวเหินห่างแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากโบกมือไปมา “เพิ่งรู้ว่าผู้ดูแลหลิวเล่นเพลงพิณได้ไพเราะยิ่งนัก เห็นทีโอกาสหน้าข้าต้องขอมาฟังเจ้าบรรเลงพิณที่นี่อีก”“หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ที่นี่ก็มีนักดนตรีเล่นพิณได้ไพเราะหลายคน องค์ชายสามชอบก็เชิญมาฟังได้ทุกเวลาเพคะ”หลิวเข่อซิงกระตุกแขนเสื้อหาหานหรงเหยาแล้วเอ่ยถาม “ข้าต้องพูดกับเจ้าคนนิสัยไม่ดีเหมือนศิษย์พี่หรือไม่”“ไม่ต้อง! ข้าไม่ชอบ!” ซุนเจ้าเฟิงรีบตอบทันที “แต่ห้ามเรียกข้าว่า ‘เจ้าคนนิสัยไม่ดี’อีก ถ้าข้านิสัยไม่ดีจริง เจ้าไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอก”“ความจริงเรียกคนนิสัยไม่ดีก็ถูกแล้ว คนนิสัยดีที่ไหนมาทวงบุญคุณผู้อื่นกันเล่า” หลิวเข่อซิงบ่นพึมพำ“นี่เจ้ากล้าว่าข้ารึ ถ้าไม่ใช่เพราะร้อยตำลึงของข้า นางก็คงอยู่ในหอนางโลมที่ชายแดนนั้น”“ถ้า
“นี่ท่านไม่รู้รึ เดิมที่หัวใจก็อ่อนแออยู่แล้ว แต่ร่างกายกลับได้รับพิษทำให้ร่างกายเย็นกว่าคนปกติทั่วไป ข้าเองไม่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษา แต่เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้น หากบำรุงตัวเองให้ดีอีกครึ่งปีท่านก็จะหายเป็นปกติ” หลิวชิงเซียงหัวเราะน้อยๆ แล้วรินน้ำชาให้ตนเอง“ขอพูดตามตรง ปีศาจอย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะชอบมีเรื่องกับมนุษย์ พวกเรากินพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้ถึงตาย ก็เหมือนที่มนุษย์เลี้ยงสัตว์เล็กๆ ไว้เป็นอาหาร ปีศาจอย่างพวกเราก็สามารถเลี้ยงมนุษย์ไว้ค่อยๆ กินพลังชีวิตของพวกเขาไปเรื่อยๆ หากเข่อซิงกินพลังชีวิตของท่านอย่างพอเหมาะ ข้ารับรองได้ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีกห้าสิบปี แต่ถ้าท่านเที่ยวเอาชีวิตไปเสี่ยงคมหอกคมดาบเหมือนสหายของท่าน ไม่ต้องพึ่งหมอดูที่ไหนข้าก็ทำนายได้ว่าไม่ได้แก่ตายอย่างแน่นอน”“ศิษย์พี่หมายความว่า...เขาจะไม่ตายเพราะข้าใช่ไหม”“มีผู้ใดหนีความตายได้บ้างเล่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้า สักวันก็ต้องตายแต่ข้าอยู่มาห้าร้อยห้าสิบปี เจ้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปี อย่างไรก็มีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์อยู่แล้ว”“เรื่องดีจริงๆ ขอบคุณผู้ดูแลหลิวที่ให้ความกระจ่างแก่ข้ากับเข่อซิง”“หา
นิ้วเรียวยาวแยกกลีบดอกไม้ที่คล้ำไปเล็กน้อยแต่ภายในยังคงคับแน่นดึงดูดผีเสื้อหนุ่ม ฟันคมขบกัดที่ยอดอกจนเปียกชุ่มและบวมขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่สองนิ้วแทรกในร่องรักที่บีบรัด เร่งเร้าให้คายน้ำหวานออกมา หานลี่จูถอนริมฝีปากจากเต้าคู่งามที่ช้ำเป็นจ้ำเลือดเพราะริมฝีปากของเขา แล้วยื่นหน้าไปกระซิบเสียงพร่า “เจ้าคิดถึงหรงเหยาอยู่สินะ แต่ร่างกายเจ้าเป็นของข้า ต่อให้เจ้าตายก็ยังเป็นคนของข้า” หลัวซู่เหมยได้แต่ครางสะอื้นร่างกายเกร็งกระตุกด้วยนิ้วร้ายของเขา หานลี่จูดึงนิ้วออกจากร่องรักแล้วดึงผ้าออกจากปากนาง ส่งนิ้วที่เปื้อนคาวรักส่งเข้าในไปโพรงปากที่น้ำลายเปื้อนเปรอะมุมปาก หยดน้ำตาใสหลั่งริน เขาขยับนิ้วเข้าออกในโพรงปากสวยหรี่ตามองราวกับปีศาจร้ายไม่เหลือเค้าบุรุษผู้อ่อนโยนที่ใครต่อใครกล่าวถึง มือข้างหนึ่งกระตุกสายรัดเอวแล้วปลดกางเกงให้เลื่อนลงเผยแก่นกายที่แข็งขัน เขาจับมือนุ่มมากุมลำเอ็นของตนแล้วกุมมือนางอีกทีเพื่อชักนำให้นางขยับมือสาวแก่นกายที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ หานหลี่จูครางเสียงต่ำในลำคออย่างพอใจ กวาดนิ้วในโพรงปากของนางและเย้าแย่ลิ้นน้อยๆ นางครางปนสะอื้นแล้วเ
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ทำให้หานลี่จูตื่นจากภวังค์ เขาหมุนตัวกลับไปก็พบหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินจับมือกันเข้ามาทางเขาพอดี “พี่ใหญ่” หานหรงเหยาเอ่ยทักทาย หลังจากพบหลิวชิงเซียงแล้ว เขาก็พาเข่อซิงเที่ยวเล่นในเมืองจึงกลับเข้าจวนค่ำมืดไปหน่อย “พวกเจ้าเพิ่งกลับมากันรึ” “ขอรับ” หานหรงเหยายิ้มแล้วก้มมองเข่อซิงที่มือข้างหนึ่งยังถือขนมถังหูลู่อยู่ “นางติดตามข้าเข้าเมืองหลวงมาเกือบเดือนแล้ว ข้าไม่มีเวลาพานางไปเที่ยวชมเมืองหลวงเลย วันนี้พอมีเวลาจึงพานางเดินชมตลาด” หานลี่จูยิ้มให้น้องชายแล้วเดินเข้าใกล้ ภายใต้แสงสลัวคือใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นพี่ ทว่าหลิวเข่อซิงกลับตัวเกร็งขึ้นมาแล้วค่อยๆ ขยับตัวใช้ร่างของหานหรงเหยาบังตนเองไว้ “เข่อซิง เจ้าทำอะไร” หานหรงเหยาหัวเราะน้อยๆ เข้าใจว่านางคงกลัวพี่ใหญ่จะตำหนินาง “เข่อซิง” หานลี่จูเรียกนางปนหัวเราะ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มาเป็นน้องสะใภ้ของข้าแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรือซู่เหมยเลย หรือแม้แต่หลี่เจี๋ยก็ด้วย พวกเราแม้เกิดในตระกูลหานอันเป็นตระกูลเก
“เข่อซิง...” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้กลัวนาง แต่...ร่างกายตื่นตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สะโพกกลมกลึงบดเบียดแท่งหยกที่ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน หางยาวปัดป่ายบนตัวเขายิ่งทำให้กระสับกระส่าย คาดหวังและรอคอยให้นางทำมากกว่านี้ นางรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวนางในร่างนี้ แววตาและท่าทางของเขาประกาศชัดว่าปรารถนานางมากเพียงใด เรียวลิ้นตวัดหยอกล้อพันเกี่ยวหาความหวานอันหวามไหว สะโพกงามยกขึ้นเพื่อครอบครองแก่นกายที่ร้อนระอุ นางเปล่งเสียงครางชิดริมฝีปากเมื่อยินยอมให้ตัวตนของบุรุษที่นางรักเข้าไปในร่างจนสุดลำ สวรรค์! หานหรงเหยาคำรามออกมา นางปล่อยข้อมือของเขาแล้วหยัดกายขึ้น ทรวงอกงดงามกระเพื่อมตามแรงหายใจ ปลายถันสีหวานชูชันท้าท้ายสายตา นางเริ่มขยับสะโพกเคลื่อนไหวราวร่ายรำนำเสียวซ่านรัญจวนมาสู่ทั้งนางและเขา มือแกร่งลูบไล้บั้นเอวไปสัมผัสหางฟูสีแดงที่ส่ายไปมา “เร็วอีกซิงเอ๋อร์” เขาแทบสำลักความสุขแล้ว เป็นฝ่ายอ้อนวอนให้นางควบขี่เขาเร็วขึ้นพร้อมกับหยัดสะโพกรับจังหวะกดลงของนาง คาวรักอาบไล้แก่นกายจนเป็นมันวาวทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ถี่กระชั้น เ
หลัวซู่เหมยรับน้ำชามาดื่ม ชามะลิแสนธรรมดาแต่ส่งกลิ่นหอมอวลในปาก จนนางเอ่ยชม “เป็นเพียงชาธรรมดา แต่ที่ฮูหยินน้อยรู้สึกรสชาติดีเพราะจิตใจสงบ ก่อนหน้านี้คงมีเรื่องให้ใจขุ่นมัว ไม่ทราบว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรให้ข้าพอช่วยเหลือได้หรือไม่” “ประเสริฐนัก ราวกับมีญาณทิพย์เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ระวังกิริยาด้วย” หลัวซู่เหมยแสร้งดุสาวใช้ แต่นางก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรเรื่องปัญหาของนาง “ฮูหยินน้อยประสงค์จะมีลูก และลูกของฮูหยินก็รอมาเกิดแล้ว แต่ว่า...” “แต่อะไรเจ้าคะ” ยังคงเป็นสาวใช้ที่รีบพูดขึ้นทันที “ต้องขออภัยที่ต้องพูดตามตรง บนกายฮูหยินมีกลิ่นอายปีศาจ ในบ้านของฮูหยินรับเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามา บุตรที่รอมาสู่ครรภ์ของฮูหยินจึงไม่อาจถือกำเนิดในครรภ์ได้” “ปะ...ปี...ปีศาจ...ปีศาจอันใดกัน” ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งตกตะลึง หลัวซู่เหมยหน้าไร้สีเลือด นางคิดถึงเงาดำในห้องของหานหรงเหยาที่นางเห็นวันก่อน...หรือว่าจะเป็น... “จะทำอย่างไรถึงขับไล่มันไปได้” เสี่ยวจิ้งเอ่ยถามทันที ‘ใช่! เข่อซิงเป็นนาง