“เข่อซิง...” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้กลัวนาง แต่...ร่างกายตื่นตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สะโพกกลมกลึงบดเบียดแท่งหยกที่ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน หางยาวปัดป่ายบนตัวเขายิ่งทำให้กระสับกระส่าย คาดหวังและรอคอยให้นางทำมากกว่านี้
นางรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวนางในร่างนี้ แววตาและท่าทางของเขาประกาศชัดว่าปรารถนานางมากเพียงใด เรียวลิ้นตวัดหยอกล้อพันเกี่ยวหาความหวานอันหวามไหว สะโพกงามยกขึ้นเพื่อครอบครองแก่นกายที่ร้อนระอุ นางเปล่งเสียงครางชิดริมฝีปากเมื่อยินยอมให้ตัวตนของบุรุษที่นางรักเข้าไปในร่างจนสุดลำ
สวรรค์!
หานหรงเหยาคำรามออกมา นางปล่อยข้อมือของเขาแล้วหยัดกายขึ้น ทรวงอกงดงามกระเพื่อมตามแรงหายใจ ปลายถันสีหวานชูชันท้าท้ายสายตา นางเริ่มขยับสะโพกเคลื่อนไหวราวร่ายรำนำเสียวซ่านรัญจวนมาสู่ทั้งนางและเขา มือแกร่งลูบไล้บั้นเอวไปสัมผัสหางฟูสีแดงที่ส่ายไปมา
“เร็วอีกซิงเอ๋อร์” เขาแทบสำลักความสุขแล้ว เป็นฝ่ายอ้อนวอนให้นางควบขี่เขาเร็วขึ้นพร้อมกับหยัดสะโพกรับจังหวะกดลงของนาง คาวรักอาบไล้แก่นกายจนเป็นมันวาวทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ถี่กระชั้น เข่อซิงสะบัดหน้าไปมา มือใหญ่เลื่อนมากอบกุมบัวคู่งามและบีบเคล้นเพื่อความเสียวซ่านทำให้นางยิ่งรัวสะโพกเร็วขึ้นอีกจนร่างกายเกร็งกระตุกและหวีดร้อง
หานหรงเหยายันกายขึ้นนั่งแล้วจับเอวนางไว้มั่นไปฝ่ายกระแทกสวนขึ้นจนร่างนางกระเด็นกระดอน มือเรียวกอดคอเขาไว้ตามด้วยเสียงครางกระเส่า ถูกเร่งเร้าให้ขึ้นสูงและสูงอีกราวกับจะเอื้อมมือแตะดวงดาวบนฟากฟ้า กระแสอุ่นร้อนสาดซัดเข้ามาอย่างรุ่นแรง ความสุขสมอาบไล้ไปทั่วร่าง ทั้งสองกอดกันแน่น หัวใจแนบหัวใจก่อนจะผละกันแล้วสบตากันอีกครั้ง ราวกับนางเพิ่งได้สติ ใบหน้าเขินอายแดงระเรื่อ
“ท่าน....ท่านไม่กลัวข้าหรือ? ข้าใช้ร่างปีศาจกับท่าน”
“เจ้าเป็นภรรยาข้า ข้าจะกลัวเจ้าได้อย่างไร”
“ไม่ดี” นางส่ายหน้าไปมา “ข้าเคยได้ยินมนุษย์คุยกัน คนเป็นสามีต้องกลัวภรรยา”
หานหรงเหยาทำตาปริบๆ
นางคงเข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาพูดผิดไป
“ท่านให้ข้าเป็นภรรยาแล้ว ท่านต้องกลัวข้าสิ” นางขยับกายออดอ้อน แต่นางคงลืมว่าร่างกายของทั้งสองสอดประสานกันอยู่ เพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็ทำให้เขาครางเสียงต่ำ อะไรที่มันควรสงบกลับค่อยๆ แข็งขันขึ้นมาอีกครั้ง
“หรงเหยา” นางเรียกเขาเสียงหวานอย่างไม่รู้ว่าปลุกไฟราคะขึ้นอีกระลอก “กลัวข้าได้ไหม”
“ได้ๆ เจ้าต้องการสิ่งใดข้ามอบให้หมด” เขาอดทนต่อความเย้ายวนเบื้องหน้าไม่ไหว พลิกกายให้นางอยู่เบื้องล่าง แล้วเริ่มขยับเอวสอบอีกครั้ง หลิวเข่อซิงครางเสียงหวาน เรียวขางามแยกออกและโอบรัดเอวสอบที่ขยับโยกด้วยอารมณ์ร้อนแรง และปรารถนาจะเป็นหนึ่งเดียวไปชั่วนิรันดร์
เงาร่างที่เคลื่อนไหวสอดประสานนั้นแปลกประหลาดนัก
หลัวซู่เหมยไม่รู้ตัวเลยว่าสองเท้าพาตนเองมาเรือนของหานหรงเหยาได้อย่างไร อาจเพราะเขากำลังมัวเมาหลงระเริงกับหญิงไร้หัวนอนปลายเท้าผู้นั้น จึงไม่รู้ว่า นางมองผ่านบานหน้าต่างที่แง้มอยู่ แม้ไม่อาจเห็นภาพได้ชัด แต่เสียงที่ได้ยินก็รับรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในห้อง ลำคอของนางแห้งผาก ความริษยาท่วมท้นจนแน่นหน้าอก
แต่...เงานั้นคืออะไร นั้นใช่หางหรือไม่ และยังมีหูเรียวแหลมนั้นอีก
หรือว่า...ที่หานหรงเหยาเป็นเช่นนี้เพราะถูกปีศาจร้ายครอบงำจิตใจเข้าให้แล้ว!
หลัวซู่เหมยและเสี่ยวจิ้ง สาวใช้คนสนิทไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมเพื่อขอพรให้ตนเองมีบุตร แต่งงานเข้าสกุลหานมาสามปี นางทุ่มเทอย่างหนักในการเป็นสะใภ้ที่ดี รวมทั้งพยายามทำทุกวิถีทางให้ตนเองตั้งครรภ์ ยาบำรุงใดที่ว่าดี นางยอมจ่ายเงินไม่เกี่ยง หรือแม้แต่กินอาหารเจ ตั้งโรงทาน แต่ทุกอย่างก็ยังไร้วี่แวว
เสียงถอนหายใจดังขึ้นหลังหญิงสาวสักการะเจ้าแม่กวนอิมเรียบร้อย นางยังทอดตามองรูปเจ้าแม่กวนอิมหยกที่ใบหน้าเปี่ยมเมตตา หวังให้เจ้าแม่ประทานลูกให้นางเช่นคนอื่นบ้าง
คำอธิษฐานของนางไปไม่ถึงหรือไร นางจึงยังไม่ตั้งครรภ์เสียที
“กลับกันเถิดเจ้าค่ะ”
สาวใช้เรียกเบาๆ ทำให้หลังซู่เหมยตื่นจากภวังค์แล้วเดินลงจากวัดมาที่รถม้าที่มีตราสกุลหาน ทว่าสายตาของนางปะทะกับร่างสูงโปร่งของหานหรงเหยาที่เดินจูงมือหลิวเข่อซิงที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่แผงขายปิ่นปักผม ภาพความทรงจำวันวานหวนคืน นางเคยเดินเคียงเขาเช่นนั้นมาก่อน หัวใจนางเจ็บแปลบจนต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอก
“เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล พลันมองตามสายตาของผู้เป็นนายจึงพบภาพบาดตานั้น คนทั้งสองไม่เห็นพวกนาง เสี่ยวจิ้งติดตามมาตั้งแต่อยู่หลัวซู่เหมยยังเด็กได้แต่ถอนหายใจและแตะท่อนแขนให้หญิงสาวกลับขึ้นรถม้า เมื่อหลัวซู่เหมยเข้ามานั่งในรถมาเรียบร้อย เสี่ยวจิ้งตัดสินใจพูดขึ้น
“บ่าวได้ยินคนในตลาดคุยกัน มีนักพรตพเนจรมากความสามารถ พักที่อารามฝั่งตะวันตกของเมือง ได้ยินว่า...สามารถรักษาโรคภัยต่างๆ ได้ วันนี้ฮูหยินน้อยออกจากจวนมาแล้ว ลองไปดูสักหน่อยดีไหมเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้เจ็บป่วย แค่ไม่มีลูกเท่านั้น” นางพูดเย้ยหยันตัวเอง แต่กระนั้นก็เข้าใจความหวังดีของสาวใช้ นางจึงพยักหน้ารับไปอย่างนั้น ไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นจริงจัง เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสี่ยวจิ้งพยายามช่วยนางทุกวิถีทางให้ในท้องของนางมีทารก
เสี่ยวจิ้งส่งเสียงบอกสารถี ไม่นานรถม้าก็ออกมาที่หมาย เป็นอารามที่ดูสะอาดสะอ้าน ไม่ได้รกร้างอย่างที่คิด แสดงว่ามีคนเข้าออกเป็นประจำ บรรยากาศโดยรอบดูสงบร่มรื่น เพียงก้าวเท้าลงจากรถม้า หลัวซู่เหมยก็สัมผัสได้ถึงความสงบจนทำให้ใจผ่อนคลายลง สาวใช้ประคองนางก้าวขึ้นบันไดหิน กลิ่นธูปจากไม้กฤษณาโชยมาก่อนที่ทั้งสองจะก้าวเท้าไปในอาราม หญิงสาวผู้หญิงเดินสวนออกมาและเงยหน้าสบตาโดยบังเอิญ หญิงสาวแปลกหน้าแม้สวมเสื้อผ้าแบบหญิงชาวบ้านแต่ใบหน้าเปี่ยมความสุข มือข้างหนึ่งประคองท้องที่หน้านูนเล็กน้อย หัวใจของหลัวซู่เหมยมีความหวังขึ้นมาในทันที ยังไม่ทันเอ่ยถามหานักพรต บุรุษผู้หนึ่งใบหน้าอิ่มเอิบอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้น
“ท่านคือนักพรตซีห่าวใช่ไหมเจ้าคะ” เสี่ยวจิ้งเอ่ยถาม แก้มฝาดสีแดงระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว
“ผู้มาพบมีเรื่องใดรึ เข้ามาดื่มน้ำชาด้านในก่อนเถิด” นักพรตซีห่าวไม่ได้เอ่ยถามชื่อของทั้งสอง แต่เชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งด้านใน และเป็นฝ่ายรินน้ำชาให้ด้วยตนเอง
หลัวซู่เหมยรับน้ำชามาดื่ม ชามะลิแสนธรรมดาแต่ส่งกลิ่นหอมอวลในปาก จนนางเอ่ยชม “เป็นเพียงชาธรรมดา แต่ที่ฮูหยินน้อยรู้สึกรสชาติดีเพราะจิตใจสงบ ก่อนหน้านี้คงมีเรื่องให้ใจขุ่นมัว ไม่ทราบว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรให้ข้าพอช่วยเหลือได้หรือไม่” “ประเสริฐนัก ราวกับมีญาณทิพย์เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ระวังกิริยาด้วย” หลัวซู่เหมยแสร้งดุสาวใช้ แต่นางก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรเรื่องปัญหาของนาง “ฮูหยินน้อยประสงค์จะมีลูก และลูกของฮูหยินก็รอมาเกิดแล้ว แต่ว่า...” “แต่อะไรเจ้าคะ” ยังคงเป็นสาวใช้ที่รีบพูดขึ้นทันที “ต้องขออภัยที่ต้องพูดตามตรง บนกายฮูหยินมีกลิ่นอายปีศาจ ในบ้านของฮูหยินรับเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามา บุตรที่รอมาสู่ครรภ์ของฮูหยินจึงไม่อาจถือกำเนิดในครรภ์ได้” “ปะ...ปี...ปีศาจ...ปีศาจอันใดกัน” ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งตกตะลึง หลัวซู่เหมยหน้าไร้สีเลือด นางคิดถึงเงาดำในห้องของหานหรงเหยาที่นางเห็นวันก่อน...หรือว่าจะเป็น... “จะทำอย่างไรถึงขับไล่มันไปได้” เสี่ยวจิ้งเอ่ยถามทันที ‘ใช่! เข่อซิงเป็นนาง
“ชุดเจ้าสาวของข้า...” หลิวเข่อซิงเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง สองวันมานี่หานหรงเหยามีงานลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยให้นางรู้ กว่าจะกลับถึงจวนก็ค่ำมืด เขาไม่เล่านางก็ไม่ถาม ด้วยรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องงานแล้ว หานหรงเหยาทุ่มเทแรงกายและใจอย่างสุดกำลัง นางจึงไม่เคยเซ้าซี้ถามเอาเรื่องราวใด เขาให้นางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมและเรียนรู้กฎระเบียบในบ้านกับหลัวซู่เหมย นางก็ยินดีทำตามที่เขาสั่ง วันนี้ก็เช่นกัน หลัวซู่เหมยกับสาวใช้ชื่อเสี่ยวจิ้งเข้ามาหาหลิวเข่อซิง พูดคุยเรื่องชุดเจ้าสาว นางยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะศิษย์พี่หลิวชิงเซียงบอกว่าจะจัดการให้ “ขอพูดตามตรง ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นกำพร้า เกรงว่าจะเตรียมชุดวิวาห์ไม่ทันจึงถือวิสาสะเข้ามาสอบถามเจ้า” “วันวิวาห์ยังไม่ได้กำหนด ข้าเลยคิดว่าจะรอก่อนเจ้าค่ะ” หลิว เข่อซิงตอบไปตามตรง ใบหน้าระบายยิ้มจนดวงตาหยี่เล็ก “เรื่องแบบนี้รอได้ที่ไหนกัน” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้น “ฮูหยินน้อยกว้างขวางในเมืองหลวง รู้จักร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ชุดเจ้าสาวจะเร่งรีบเกินไปก็ไม่ดี ฮูหยินน้อยจึง
หานหรงเหยาไม่เคยเล่าความหลังของเขากับหญิงในดวงใจ นางรู้ว่าเขามีบางเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ แต่เมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่เคยฝืนค้นสิ่งที่ซ่อนไว้ใน หรือเพราะนางได้กินพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอและยังได้เสพพลังหยางเพิ่มความสมดุลให้ตนเอง นางจึง ‘สัมผัส’ ความลับในใจของผู้คนได้มากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้ต้องการรู้มันเลย “น้ำชากับของว่างมาแล้ว” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้นแล้วรับถาดของว่างมาจากเด็กรับใช้ของร้าน เมื่อวางของบนโต๊ะแล้ว เสี่ยวจิ้งก็หันพูดให้เด็กรับใช้ของร้านออกไป “มีขนมด้วย” เข่อซิงเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “อื้ม ก็ฮูหยินน้อยเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้และที่สำคัญ พวกเราเป็นคนของจวนหานกั๋วกง เถ้าแก่ก็ย่อมให้ความสำคัญมากกว่าลูกค้าทั่วไปอยู่แล้ว” “เป็นเช่นนี้เอง พี่เสี่ยวจิ้งนี่รอบรู้จริงๆ” “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้” เสี่ยวจิ้งรินน้ำชาส่งให้หลัวซู่เหมยและเข่อซิง ฐานะของหลิวเข่อซิงยังไม่ชัดเจน นางไม่อยากก้มหัวให้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ “ดื่มซิ” เสี่ยวจิ้งคะยั้นคะยอให้หลิวเข่อซิงดื่มชา ใบหน้าของหลัว
หานลี่จูนั่งมองห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ว หานหรงเหยาเอ่ยปากบอกคนเป็นพี่อย่างเขาว่า ใกล้จะแต่งงาน อยากบำรุงร่างกายเพื่อว่าที่เจ้าสาวจึงมาขอรับยาจากเขา ทั้งที่ไม่ได้กินยามานาน น้องชายคนรองจะแต่งงาน กำลังจะสร้างครอบครัวของตนเอง น้องชายคนเล็กกำลังจะเข้ากองทัพ ท่านพ่อท่านแม่อายุก็มาก เวลานี้เขาคือคนเดียวที่ดูแลทุกอย่างในจวน บอกตัวเองให้ทำใจปล่อยวาง แต่หลายปีผ่านมาเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จนวันนี้ที่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว นานเพียงใดแล้วที่ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ยิ่งเห็นหานหรงเหยามีความสุขกับหลิวเข่อซิง ก็ยิ่งรู้ว่าคนที่ปวดใจก็คือเขากับหลัวซู่เหมย เป็นเช่นนี้แล้ว จะต่างอะไรจากการหันคมมีดเข้าหาตนเอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บก็คือเขา เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี หานหรงเหยาเข้ามาอย่างเงียบๆ หานลี่จูที่เหม่อลอยอยู่ไม่รู้ว่าน้องชายเข้ามา จนกระทั่งหานหรงเหยาเอื้อมมือไปหยิบห่อยาเบื้องหน้าขึ้นมา “ดีจริง พี่ใหญ่เตรียมยาให้ข้าแล้วหรือ”
“ข้า...” ราวกับมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ หานลี่จูพูดอะไรไม่ออก หรือบางที อาจไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เพราะยามนี้แค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้หมดสิ้นแล้ว เสียงโวยวายด้านนอก เรียกความสนใจจากหานลี่จูและหานหรงเหยา บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างของหานหลี่เจี๋ยที่ประคองหลัวซู่เหมยเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาอยู่นี่เอง!” หานลี่จูสาวเท้าเข้าไปประคองหลัวซู่เหมยทันที เขาพาร่างสั่นเทามานั่งที่เก้าอี้แล้วตวัดสายตามองเสี่ยวจิ้งที่วิ่งตามมา “เกิดอะไรขึ้นฮูหยินน้อย!” หานลี่จูตวาดเสียงดังทำให้เสี่ยวจิ้งถึงกับเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าเบื้องหน้า “เข่อซิง...” หลัวซู่เหมยรีบพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” หานหรงเหยาหายใจไม่ทั่วท้อง “เข่อซิงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยา “บังอาจ! ใครกล้าแตะต้องคนสกุลหานของเรา!” หานลี่จูจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ้ง “ทุกครั้งที่ออกไปนอกจวนก็ให้มีผู้ติดตามไปมิใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” “ข้าเพิ่งกลับจากตลาดม้า พบพี่สะใภ้เกิดเรื่องที
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น