เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ทำให้หานลี่จูตื่นจากภวังค์ เขาหมุนตัวกลับไปก็พบหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินจับมือกันเข้ามาทางเขาพอดี
“พี่ใหญ่” หานหรงเหยาเอ่ยทักทาย หลังจากพบหลิวชิงเซียงแล้ว เขาก็พาเข่อซิงเที่ยวเล่นในเมืองจึงกลับเข้าจวนค่ำมืดไปหน่อย
“พวกเจ้าเพิ่งกลับมากันรึ”
“ขอรับ” หานหรงเหยายิ้มแล้วก้มมองเข่อซิงที่มือข้างหนึ่งยังถือขนมถังหูลู่อยู่ “นางติดตามข้าเข้าเมืองหลวงมาเกือบเดือนแล้ว ข้าไม่มีเวลาพานางไปเที่ยวชมเมืองหลวงเลย วันนี้พอมีเวลาจึงพานางเดินชมตลาด”
หานลี่จูยิ้มให้น้องชายแล้วเดินเข้าใกล้ ภายใต้แสงสลัวคือใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นพี่ ทว่าหลิวเข่อซิงกลับตัวเกร็งขึ้นมาแล้วค่อยๆ ขยับตัวใช้ร่างของหานหรงเหยาบังตนเองไว้
“เข่อซิง เจ้าทำอะไร” หานหรงเหยาหัวเราะน้อยๆ เข้าใจว่านางคงกลัวพี่ใหญ่จะตำหนินาง
“เข่อซิง” หานลี่จูเรียกนางปนหัวเราะ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มาเป็นน้องสะใภ้ของข้าแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรือซู่เหมยเลย หรือแม้แต่หลี่เจี๋ยก็ด้วย พวกเราแม้เกิดในตระกูลหานอันเป็นตระกูลเก่าแก่นับร้อยปี แต่พวกเราก็ใช้ชีวิตสมถะเรียบง่าย เจ้าก็ทำตัวตามสบายเถิด”
“เข่อซิง อย่าเสียมารยาท” หานหรงเหยาดุเข่อซิงเบาๆ ทำให้นางต้องออกมาจากด้านหลังของเขา แต่นางก็คงแสดงสีหน้าหวาดกลัวอยู่
“พี่ใหญ่โปรดอย่าถือสา ข้าจะอบรมนางให้ดี”
“เอาเถิดๆ อีกหน่อยก็คุ้นเคยไปเอง” หานลี่จูหัวเราะ “เจ้าก็เหมือนกัน อีกหน่อยก็มีครอบครัวแล้ว อย่าทำตัวเหลวไหลอีก ข้าดูแลกิจการทั้งหมดไม่ไหว ไหนจะงานที่กรมอีก เจ้าหลี่เจี๋ยก็ซุกซนไปวันๆ เจ้าต้องช่วยอบรมเขาอีกแรง”
“ข้าทราบแล้วพี่ใหญ่”
“พวกเจ้าอยากเดินเล่นที่นี่ก็ตามสบาย ข้ากำลังจะไปห้องตำราพอดี”
หานหรงเหยาพูดคุยกับพี่ชายอีกเล็กน้อย หานลี่จูก็ก้าวเท้าจากไป หลิวเข่อซิงผ่อนลมหายใจยาวพลางยกมือขึ้นตบหน้าอกตัวเองเบาๆ
“เหตุใดเจ้ากลัวพี่ใหญ่ของข้ามากเช่นนี้” เขาถามอย่างประหลาดใจ
“ข้าต่างหากที่ควรถามท่าน” นางยื่นปากใส่ “เหตุใดพี่ชายท่านจึง...” นางพูดได้แค่นั้นก็ยกมือขึ้นปิดปากตนเอง
“มีอะไร”
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมาเร็วๆ พลันนึกได้ว่าตนเองถือถังหูลู่อยู่จึงอ้าปากกัดผลไม้เชื่อมคำโต ทำให้ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
“ค่อยๆ กินประเดี๋ยวติดคอ” เขาส่ายหน้า แล้วจูงมือนางมานั่งที่ศาลาริมน้ำ แต่ด้วยเกรงว่าพื้นเก้าอี้เย็นจึงจับนางมานั่งบนตักของตน
หลิวเข่อซิงเคี้ยวถังหูลู่ช้าๆ หานหรงเหยาไม่ถามอะไรนางอีก แต่กระนั้นนางก็รู้ว่าเขามีเรื่องวิตกกังวลใจ
‘อย่างที่ท่านเข้าใจ หัวใจของท่านตอนนี้ปกติดี อีกอย่างพิษในร่างของท่านก็ถูกขับออกจนหมด อีกไม่นานร่างกายของท่านจะฟื้นคืนกำลังได้เต็มที่’
เหตุใดร่างกายเขาจึงได้รับพิษได้
ยาที่เขากินเป็นประจำ เสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นล้วนเป็นที่บ้านที่จัดส่งไปให้เขาทุกเดือน หรือจะมีการสับเปลี่ยนระหว่างทาง มันเป็นไป ไม่ได้อย่างแน่นอน คนในตระกูลจะวางยาเขาเพื่อสิ่งใดกัน
“หรงเหยา” นางเรียกเขาเสียงแผ่วแล้วเอนศีรษะซบกับบ่าของเขา
“ง่วงแล้วหรือ?” เขาถามทั้งที่รู้ว่าจิ้งจอกตัวน้อยวันนี้ซุกซนมาทั้งวัน ปกตินางชอบแอบหลับกลางวัน แต่วันนี้นางยังไม่ได้นอนเลย
“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน” นางขยับศีรษะในท่าที่สบาย กลิ่นอายของเขาช่างหอมละมุนเหลือเกิน
“เจ้ามีเวลาอยู่เป็นเพื่อนข้าทั้งชีวิต” เขามีเรื่องที่ต้องขบคิดแต่ไม่ใช่ตอนนี้ เขาอุ้มนางขึ้นกระชับวงแขนอย่างห่วงแหน “กอดคอข้าไว้ ข้าจะพาเจ้ากลับเรือน”
“ข้าจะเดินเอง” นางพูดเสียงแผ่ว แต่มือยกขึ้นคล้องคอเขาและดวงตาค่อยๆ ปิดลง
เดิมอยากพานางนั่งชมจันทร์ด้วยกัน แต่นางคงเห็นพระจันทร์มาตั้งร้อยกว่าปีแล้ว จึงไม่รู้สึกพิเศษอะไรแล้วกระมัง หานหรงเหยาหัวเราะในลำคอ เขารู้ว่ามีเงาร่างของใครคนหนึ่งทอดสายตามองมาทางเขา แต่เวลานี้ สถานะของนางไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และที่สำคัญ เขามีสิ่งล้ำค่าที่ต้องทะนุถนอมด้วยสองมือ ชายหนุ่มอุ้มว่าที่ภรรยากลับมาที่เรือน และวางนางอย่างแผ่วเบาลงบนที่นอน เขาถอดรองเท้าถุงเท้าให้นางแล้วจึงเดินไปที่หลังฉากกั้น จัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตนเอง ตอนอยู่ชายแดนเขาก็ทำอะไรด้วยตนเองจึงไม่ได้เรียกใครปรนนิบัติเขา
“หรงเหยา” หลิวเข่อซิงยันกายขึ้นนั่งทั้งที่ยังโงนเงน
“ข้าอยู่นี่” เขาขานรับและเดินออกมาหลังสวมชุดนอนเรียบร้อยแล้ว “ลุกขึ้นมาทำไม”
“ข้าต้องปรนนิบัติท่าน...”
“ภรรยาตัวน้อยมีหน้าทีเดียวที่ต้องทำในตอนนี้”
เขายิ้มกริ่มแล้วตามขึ้นเตียง ปลดสายรัดเอวของนางออกแล้วประคองนางลงนอนอีกครั้ง นางพยายามลืมตาจะถามเขาว่าหมายถึงสิ่งใด แต่ริมฝีปากของเขาก็ทาบลงมาที่ลำคอพร้อมกับมือกร้านลูบไล้ทรวงอกเปลือยเปล่า นางบิดกายรับสัมผัสอ่อนโยนและค่อยๆ ทวีความร้อนแรงขึ้น นางช่างหอมหวานและผลิบานเย้ายวน
หญิงสาวหอบหายใจแรงจนเปล่งเป็นเสียงครางกระเส่า นิ้วเรียวยาวแตะต้องกลีบดอกไม้สาวที่รอคอยให้เติมเต็ม ระลอกความเสียวซ่านถาโถมด้วยการเร่งเร้าของปลายนิ้วที่เคลื่อนไหวเข้าออกในกายสาว เขาเฝ้ามองภาพที่งดงามเบื้องหน้า รับรู้ถึงจุดอ่อนไหวที่จะนำพาให้นางไปถึงปลายทางของความสุข แล้วกลั่นแกล้งด้วยการหยุดทุกการกระทำ ทำให้เข่อซิงลืมตาและจ้องมองดวงตาที่ฉายแววเจ้าเล่ห์ของเขา
“ท่าน...” เข่อซิงพูดไม่ออก ไม่สิ นางไม่กล้าพูดสิ่งที่ต้องการ เขาคร่อมร่างนางพร้อมใบหน้าระบายยิ้ม นางใกล้ถึงจุดสุขสมแล้วแท้ๆ แต่สายตายั่วล้อนั้นทำให้นางโมโห
เขาคิดจะล้อนางเล่นอย่างนั้นรึ! ได้! เขาจะได้รู้ฤทธิ์จิ้งจอกแดงอย่างนาง!
รวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว หานหรงเหยาเห็นแววตานางเป็นประกายสีแดงฉาน เพียงกะพริบตา ร่างของเขาถูกเหวี่ยงลงด้านร่างและนางเป็นฝ่ายนั่งคร่อมร่างเขา ใบหูน้อยๆ กลายเป็นหูจิ้งจอกและตามด้วยหางยาวฟูสีแดงดุจเปลวเพลิง เขาเคยเห็นนางกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเต็มตัวและเคยเห็นยามที่พลังของนางอ่อนแอ จนไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ แต่ครั้งนี้แตกต่างไป ผมดำขลับเงางามสลายเต็มแผ่นหลัง เสื้อผ้านางหลุดรุยเพราะมือของเขา แต่เผยเรือนร่างขาวผ่องราวหิมะและมีบางตำแหน่งที่เกิดจุดแดงเพราะริมฝีปากของเขา มือเรียวเล็กรวบข้อมือใหญ่ของเขาด้วยมือเพียงข้างเดียวและตรึงไว้เหนือศีรษะ หัวใจของเขาเต้นแรงมองนางค่อยๆ โน้มหน้าลงแลบลิ้นเลียริมฝีปากของเขา
“ถ้าใช้ร่างมนุษย์ ข้าจะสู้แรงท่านไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ในร่างปีศาจ ข้าจะมีเรี่ยวแรงมากกว่าท่าน”
“เข่อซิง...” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้กลัวนาง แต่...ร่างกายตื่นตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สะโพกกลมกลึงบดเบียดแท่งหยกที่ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน หางยาวปัดป่ายบนตัวเขายิ่งทำให้กระสับกระส่าย คาดหวังและรอคอยให้นางทำมากกว่านี้ นางรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวนางในร่างนี้ แววตาและท่าทางของเขาประกาศชัดว่าปรารถนานางมากเพียงใด เรียวลิ้นตวัดหยอกล้อพันเกี่ยวหาความหวานอันหวามไหว สะโพกงามยกขึ้นเพื่อครอบครองแก่นกายที่ร้อนระอุ นางเปล่งเสียงครางชิดริมฝีปากเมื่อยินยอมให้ตัวตนของบุรุษที่นางรักเข้าไปในร่างจนสุดลำ สวรรค์! หานหรงเหยาคำรามออกมา นางปล่อยข้อมือของเขาแล้วหยัดกายขึ้น ทรวงอกงดงามกระเพื่อมตามแรงหายใจ ปลายถันสีหวานชูชันท้าท้ายสายตา นางเริ่มขยับสะโพกเคลื่อนไหวราวร่ายรำนำเสียวซ่านรัญจวนมาสู่ทั้งนางและเขา มือแกร่งลูบไล้บั้นเอวไปสัมผัสหางฟูสีแดงที่ส่ายไปมา “เร็วอีกซิงเอ๋อร์” เขาแทบสำลักความสุขแล้ว เป็นฝ่ายอ้อนวอนให้นางควบขี่เขาเร็วขึ้นพร้อมกับหยัดสะโพกรับจังหวะกดลงของนาง คาวรักอาบไล้แก่นกายจนเป็นมันวาวทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ถี่กระชั้น เ
หลัวซู่เหมยรับน้ำชามาดื่ม ชามะลิแสนธรรมดาแต่ส่งกลิ่นหอมอวลในปาก จนนางเอ่ยชม “เป็นเพียงชาธรรมดา แต่ที่ฮูหยินน้อยรู้สึกรสชาติดีเพราะจิตใจสงบ ก่อนหน้านี้คงมีเรื่องให้ใจขุ่นมัว ไม่ทราบว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรให้ข้าพอช่วยเหลือได้หรือไม่” “ประเสริฐนัก ราวกับมีญาณทิพย์เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ระวังกิริยาด้วย” หลัวซู่เหมยแสร้งดุสาวใช้ แต่นางก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรเรื่องปัญหาของนาง “ฮูหยินน้อยประสงค์จะมีลูก และลูกของฮูหยินก็รอมาเกิดแล้ว แต่ว่า...” “แต่อะไรเจ้าคะ” ยังคงเป็นสาวใช้ที่รีบพูดขึ้นทันที “ต้องขออภัยที่ต้องพูดตามตรง บนกายฮูหยินมีกลิ่นอายปีศาจ ในบ้านของฮูหยินรับเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามา บุตรที่รอมาสู่ครรภ์ของฮูหยินจึงไม่อาจถือกำเนิดในครรภ์ได้” “ปะ...ปี...ปีศาจ...ปีศาจอันใดกัน” ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งตกตะลึง หลัวซู่เหมยหน้าไร้สีเลือด นางคิดถึงเงาดำในห้องของหานหรงเหยาที่นางเห็นวันก่อน...หรือว่าจะเป็น... “จะทำอย่างไรถึงขับไล่มันไปได้” เสี่ยวจิ้งเอ่ยถามทันที ‘ใช่! เข่อซิงเป็นนาง
“ชุดเจ้าสาวของข้า...” หลิวเข่อซิงเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง สองวันมานี่หานหรงเหยามีงานลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยให้นางรู้ กว่าจะกลับถึงจวนก็ค่ำมืด เขาไม่เล่านางก็ไม่ถาม ด้วยรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องงานแล้ว หานหรงเหยาทุ่มเทแรงกายและใจอย่างสุดกำลัง นางจึงไม่เคยเซ้าซี้ถามเอาเรื่องราวใด เขาให้นางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมและเรียนรู้กฎระเบียบในบ้านกับหลัวซู่เหมย นางก็ยินดีทำตามที่เขาสั่ง วันนี้ก็เช่นกัน หลัวซู่เหมยกับสาวใช้ชื่อเสี่ยวจิ้งเข้ามาหาหลิวเข่อซิง พูดคุยเรื่องชุดเจ้าสาว นางยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะศิษย์พี่หลิวชิงเซียงบอกว่าจะจัดการให้ “ขอพูดตามตรง ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นกำพร้า เกรงว่าจะเตรียมชุดวิวาห์ไม่ทันจึงถือวิสาสะเข้ามาสอบถามเจ้า” “วันวิวาห์ยังไม่ได้กำหนด ข้าเลยคิดว่าจะรอก่อนเจ้าค่ะ” หลิว เข่อซิงตอบไปตามตรง ใบหน้าระบายยิ้มจนดวงตาหยี่เล็ก “เรื่องแบบนี้รอได้ที่ไหนกัน” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้น “ฮูหยินน้อยกว้างขวางในเมืองหลวง รู้จักร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ชุดเจ้าสาวจะเร่งรีบเกินไปก็ไม่ดี ฮูหยินน้อยจึง
หานหรงเหยาไม่เคยเล่าความหลังของเขากับหญิงในดวงใจ นางรู้ว่าเขามีบางเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ แต่เมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่เคยฝืนค้นสิ่งที่ซ่อนไว้ใน หรือเพราะนางได้กินพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอและยังได้เสพพลังหยางเพิ่มความสมดุลให้ตนเอง นางจึง ‘สัมผัส’ ความลับในใจของผู้คนได้มากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้ต้องการรู้มันเลย “น้ำชากับของว่างมาแล้ว” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้นแล้วรับถาดของว่างมาจากเด็กรับใช้ของร้าน เมื่อวางของบนโต๊ะแล้ว เสี่ยวจิ้งก็หันพูดให้เด็กรับใช้ของร้านออกไป “มีขนมด้วย” เข่อซิงเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “อื้ม ก็ฮูหยินน้อยเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้และที่สำคัญ พวกเราเป็นคนของจวนหานกั๋วกง เถ้าแก่ก็ย่อมให้ความสำคัญมากกว่าลูกค้าทั่วไปอยู่แล้ว” “เป็นเช่นนี้เอง พี่เสี่ยวจิ้งนี่รอบรู้จริงๆ” “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้” เสี่ยวจิ้งรินน้ำชาส่งให้หลัวซู่เหมยและเข่อซิง ฐานะของหลิวเข่อซิงยังไม่ชัดเจน นางไม่อยากก้มหัวให้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ “ดื่มซิ” เสี่ยวจิ้งคะยั้นคะยอให้หลิวเข่อซิงดื่มชา ใบหน้าของหลัว
หานลี่จูนั่งมองห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ว หานหรงเหยาเอ่ยปากบอกคนเป็นพี่อย่างเขาว่า ใกล้จะแต่งงาน อยากบำรุงร่างกายเพื่อว่าที่เจ้าสาวจึงมาขอรับยาจากเขา ทั้งที่ไม่ได้กินยามานาน น้องชายคนรองจะแต่งงาน กำลังจะสร้างครอบครัวของตนเอง น้องชายคนเล็กกำลังจะเข้ากองทัพ ท่านพ่อท่านแม่อายุก็มาก เวลานี้เขาคือคนเดียวที่ดูแลทุกอย่างในจวน บอกตัวเองให้ทำใจปล่อยวาง แต่หลายปีผ่านมาเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จนวันนี้ที่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว นานเพียงใดแล้วที่ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ยิ่งเห็นหานหรงเหยามีความสุขกับหลิวเข่อซิง ก็ยิ่งรู้ว่าคนที่ปวดใจก็คือเขากับหลัวซู่เหมย เป็นเช่นนี้แล้ว จะต่างอะไรจากการหันคมมีดเข้าหาตนเอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บก็คือเขา เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี หานหรงเหยาเข้ามาอย่างเงียบๆ หานลี่จูที่เหม่อลอยอยู่ไม่รู้ว่าน้องชายเข้ามา จนกระทั่งหานหรงเหยาเอื้อมมือไปหยิบห่อยาเบื้องหน้าขึ้นมา “ดีจริง พี่ใหญ่เตรียมยาให้ข้าแล้วหรือ”
“ข้า...” ราวกับมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ หานลี่จูพูดอะไรไม่ออก หรือบางที อาจไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เพราะยามนี้แค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้หมดสิ้นแล้ว เสียงโวยวายด้านนอก เรียกความสนใจจากหานลี่จูและหานหรงเหยา บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างของหานหลี่เจี๋ยที่ประคองหลัวซู่เหมยเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาอยู่นี่เอง!” หานลี่จูสาวเท้าเข้าไปประคองหลัวซู่เหมยทันที เขาพาร่างสั่นเทามานั่งที่เก้าอี้แล้วตวัดสายตามองเสี่ยวจิ้งที่วิ่งตามมา “เกิดอะไรขึ้นฮูหยินน้อย!” หานลี่จูตวาดเสียงดังทำให้เสี่ยวจิ้งถึงกับเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าเบื้องหน้า “เข่อซิง...” หลัวซู่เหมยรีบพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” หานหรงเหยาหายใจไม่ทั่วท้อง “เข่อซิงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยา “บังอาจ! ใครกล้าแตะต้องคนสกุลหานของเรา!” หานลี่จูจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ้ง “ทุกครั้งที่ออกไปนอกจวนก็ให้มีผู้ติดตามไปมิใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” “ข้าเพิ่งกลับจากตลาดม้า พบพี่สะใภ้เกิดเรื่องที
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป