หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง
“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน”
ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่
ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด
“บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย”
หญิงสาววาดมือในอากาศ ยันต์แผ่นนั้นกลับส่องแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นผืนผ้าขนาดใหญ่ร่อนเข้ามาหมายจะห่อหุ้มมัดตัวนาง ดวงตางดงามเบิกกว้าง ไม่คิดว่าผ่านมาห้าสิบปี ฝีมือของนักรพตนอกรีตจะพัฒนาขึ้นถึงเพียงนี้ ทว่ากระบี่ของซุนเจ้าเฟิงฟาดลงมาแยกยันต์แผ่นนั้นเป็นสองซีก
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” ซุนเจ้าเฟิงถามพลางก้มมองแขนเสื้อที่ขาด พลางถอนหายใจโล่งอกที่ไม่เห็นคราบเลือด
หลิวชิงเซียงมองเขาอย่างประหลาดใ จ อาจเพราะเขาเป็นโอรสของฮ่องเต้และมีปราณชีวิตที่แข็งแกร่ง มนต์ดำหรือคุณไสยจึงไม่อาจทำอันตรายเขาได้
“นี่มันคืออะไร” ซุนเจ้าเฟิงใช้ปลายกระบี่เขี่ยยันต์กระดาษที่กลับสู่ขนาดเดิมแต่ยังขาดเป็นสองชิ้นซึ่งนอนสงบนิ่งบนพื้น “เมื่อครู่เจ้าพูดถึงใครกัน นักพรตอะไรนะ”
“นักพรตซีห่าว” นางเอ่ยแต่สบตากับหานหรงเหยา “เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการช่วยนาง”
“นางเป็นภรรยาของข้า ข้าย่อมต้องช่วยนาง”
“ยังไม่ได้เข้าพิธีเสียหน่อย” มุมปากของนางยกยิ้มเหมือนยิ้มเยาะ “หากทำไปเพื่อคุณธรรมในใจก็ไม่ต้องก้าวเท้าเข้าไป อย่างไรข้าเป็นศิษย์พี่และนางก็เป็นคนของสกุลหลิว ข้าต้องช่วยนางอยู่แล้ว”
“นางคือภรรยาของข้า” หานหรงเหยายืนยันคำเดิม “ชั่วชีวิตนี้
ข้าหานหรงเหยาจะมีหลิวเข่อซิงเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
ถ้อยคำหนักแน่นนั้นทำให้หลิวชิงเซียงเบือนหน้าหนี ครั้งหนึ่งในชีวิตของนางก็เคยมีบุรุษเอ่ยเช่นนี้ แต่สุดท้ายเขาก็จากไปเพราะนางคือปีศาจ แต่หานหรงเหยาที่รู้อยู่แก่ใจว่าเข่อซิงคือปีศาจ ยังคงยืนกรานจะแต่งงานกัน ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางเสียหน่อย อย่างไรเสีย หน้าที่ของนางคือพาตัวหลิวเข่อซิงออกมา
นางสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่อ่อนระโรยของหลิวเข่อซิง รู้ดีว่าต้องรีบเข้าไปด้านใน หลิวชิงเซียงก้าวเข้าไปในด้านก็ถูกต้อนรับด้วยเหล่าสาวกของนักพรตที่ชักกระบี่พุ่งเข้าใส่ ร่างเพรียวบางในชุดสีแดงเพลิงสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว กลุ่มคนที่พุ่งเข้ามาก็กระเด็นตัวลอยไปกระแทกกับผนังอารามทันที ซุนเจ้าเฟิงถึงกับอ้าปากค้าง เขารู้ว่านางมีวรยุทธ์แต่ไม่คิดว่าจะมีพละกำลังมากขนาดนี้
ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่การใช้วิชายุทธ์แต่เป็น... ราวกับอีกฝ่ายล่วงรู้ความคิด หลิวชิงเซียงหันมาส่งยิ้มเย้าล้อให้ซุนเจ้าเฟิงแล้วหันไปเอ่ยกับหานหรงเหยา
“ซีห่าวเป็นนักพรตนอกรีต ฝึกบำเพ็ญเพียรมากว่าร้อยปีเพื่อหวังเป็นเทพเซียน เขามองว่าปีศาจทุกตนชั่วร้าย การกำจัดปีศาจเป็นการหนทางสู่ความเป็นเซียน แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นปีศาจมากกว่าพวกข้าเสียอีก”
“ทำไมเขาต้องลักพาตัวเข่อซิง” หานหรงเหยายกกระบี่ขึ้นรับสาวกที่ฟาดกระบี่ใส่เขา
“หัวใจของจิ้งจอกแดงเป็นยาชนิดหนึ่ง” หลิวชิงเซียงพูดพลางประมือกับคนที่มาขวางทางนาง “โดยเฉพาะปีศาจอย่างนาง”
“พวกเจ้าพูดเรื่องเหลวไหลอันใดกัน”
‘ปีศาจบ้าบออะไรกัน มันเป็นเรื่องเล่าให้เด็กกลัวมิใช่หรือ?’
ซุนเจ้าเฟิงยกเท้าถีบคนที่กระโจนเข้าใส่ ตั้งแต่กลับมาเมืองหลวงไม่ได้ยืดเส้นยืดสายนานแล้ว ได้ขยับตัวเสียบ้างนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
“เดี๋ยวก็รู้” หลิวชิงเซียงหัวเราะในลำคอ แล้วแหวกเหล่าสาวกไม่กลัวตัวเข้าไปด้านในของอาราม
ด้านในของอาราม
เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้ลำคอเจ็บร้าวไปหมด แต่ความเจ็บปวดนี้เรียกสติให้ลืมตาอีกครั้ง หญิงสาวยกมือขึ้นแตะลำคอแล้วพบว่าโซ่เงินเส้นเล็กนั้นยังรัดรอบลำคออยู่ น้ำเหนียวหนืดสีแดงนี้คือเลือดโซ่รัดบาดผิว หลิวเข่อซิงยันกายขึ้นนั่ง กวาดตามองไปโดยรอบ ผ้าม่านโปร่งสีขาวพลิ้วไหวน้อยๆ นางอยู่บนเตียงหยกสีเขียวมรกตเย็นราวก้อนน้ำแข็ง แต่หัวใจของนางรุมร้อนจนต้องยกมือขึ้นกุมหัวใจ
“ตื่นแล้วรึ”
เสียงทุ้มกังวานเอ่ยขึ้นทำให้หลิวเข่อซิงหันไปมอง เขาคือนักพรตซีห่าวที่มีใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตาแต่แววตาตรงข้าม เขาใช้แส้หางม้าในมือปัดผ้าม่านโปร่งออกเพื่อก้าวเท้าเข้ามาใกล้ หญิงสาวขยับตัวถอยหนีอย่างหวาดกลัว แต่นักพรตซีห่าวยกมือขึ้น แม้ในมือว่างเปล่าแต่ทำท่าเหมือนกระตุกเชือก ทำให้ร่างของนางเหมือนถูกกระชากให้มาที่ขอบเตียง
“โอ๊ย!” ร่างกายนางเต็มไปด้วยบาดแผล กระทบกระเทือนเล็กน้อยก็ทำให้เลือดไหลซึมออกจากแผลเดิม หยดเลือดสีสดตกลงบนเตียงหยก ทว่าราวกับเตียงนี้ดูดซึมเลือดที่หยดที่ตกกระทบ ดวงตาของหลิวเข่อซิงเบิกกว้างอย่างตกใจ นางเคยอ่านในตำราที่บรรดาศิษย์พี่ยัดใส่มือให้นางอ่าน
“หยก...หยกโลหิต”
“นับว่าเจ้าไม่โง่นัก” นักพรตซีห่าวยิ้มแล้วใช้แส้หางม้าเชยคางนางขึ้น ทำราวกับไม่ต้องการแตะต้องตัวนางด้วยซ้ำ “เจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิวสินะ อาจารย์ของเจ้า อ่อ ไม่สิ นางให้เจ้าเรียกท่านแม่ ท่านแม่ของเจ้าสร้างใบหน้าและเรือนร่างนี้เพื่อยั่วยวนบุรุษโดยแท้”
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
ว่ากันว่า...เหล่าปีศาจจะกิน ‘พลังชีวิต’ จากมนุษย์เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าได้เสพ ‘พลังหยาง’ จากบุรุษจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้ตน แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอายุไขสั้นลงหรือตายได้ ในขณะเดียวกัน ‘หัวใจ’ของปีศาจจิ้งจอกแดงเป็นตัวยาหายากชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรคปีศาจจิ้งจอกแดงจึงเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าเช่นกันแนะนำตัวละครหลิวเข่อซิง-เข่อซิง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายหนึ่งร้อยสิบหกปีหานหรงเหยา : ที่ปรึกษา(กุนซือ)ของกองทัพ มาทำงานร่วมกับซุนเจ้าเฟิง แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดนหลิวชิงเซียง -ชิงเซียง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี เป็นศิษย์พี่ของหลิวเข่อซิงซุนเจ้าเฟิง : องค์ชายสามและเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน เป็นสหายรักของหานหรงเหยา พิธีแต่งงานจัดอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานมงคลของตระกูลหานและเจ้าสาวแสนงามดุจบุปผาสวรรค์ เสียงดนตรี คำอวยพร ของขวัญ วิจิตรตระการตาราวกับงานรื่นเริงของเหล่าปวงเทพ งานมงคลยิ่งใหญ่นี้คงกลายเป็นที่กล่าวถึงไปอีกนานแสนนาน ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวในชุดสีแดงสวยงดงาม ขณะที่เจ้า
พ่อบ้านจูส่ายหน้าไปมา เขาอับอายกับหลานสาวห่างๆ คนนี้นัก แต่จะทำอย่างไรได้ ภรรยาของเขาบังคับขู่เข็ญให้รับนางมาทำงานในจวน หากวันหน้าได้ดี ทั้งสองก็พลอยได้ดีไปด้วย แต่นางมาอยู่ที่นี่ครึ่งปีแล้ว ทั้งพยายามปีนป่ายขึ้นเตียงองค์ชายสามนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ถูกองค์ชายสามขับไล่ก็นับว่าบุญแล้ว“พ่อบ้านจู ให้คนเตรียมสุราอาหารไว้ที่ห้องตำรา ข้ากับที่ปรึกษาหานจะไปที่นั้น”“ขอรับท่านแม่ทัพซุน” เนื่องจากซุนเจ้าเฟิงไม่ชอบให้ใครเรียกเขาว่าองค์ชาย แต่ยินดีให้เรียก ‘ท่านแม่ทัพซุน’ ซุนเจ้าเฟิงประจำการที่ชายแดนมาสามปี ทุกคนจึงคุ้นชินกับคำเรียกขานนี้“ตัวข้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ข้าจะไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยกินข้าวดื่มสุราและคุยงานกันต่อที่ห้องตำรา” ซุนเจ้าเฟิงตบบ่าหานหรงเหยา“ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับแล้วเดินไปที่เรือนของตนซุนเจ้าเฟิงมองแผ่นหลังของสหายรักเผลอถอนหายใจอีกครั้ง คุณชายรองแห่งตระกูลหานแม้ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมดุจไข่ในหิน แต่ในวัยเด็ก ทั้งสองเป็นเด็กจึงซุกซนและเข้ากันได้เป็นอย่างดีจึงกลายเป็นสหายรักกัน แต่เดิมหานหรงเหยามิใช่คนเย็นชาเช่นนี้ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่
นางพยายามแล้วจริงๆ แอบดูบรรดาศิษย์จัดการกับมนุษย์ที่จับมาเป็นอาหาร แต่เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้นางหวาดกลัวจนต้องปิดตาทุกครั้งไป ก็มันน่ากลัวจริงๆนี่ ให้มนุษย์ผู้ชายมานอนทับบนร่างแบบนั้น ไหนจะเสียงครวญครางเจ็บปวดนั้นอีก แค่คิดนางก็ยกมือปิดหูแล้ว “แต่ข้าก็พยายามแล้วนะ” นางยังอดเถียงไม่ได้ แม้น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงยุง “พยายามแล้ว? เจ้าช่างกล้าพูดคำนี้” หญิงสาวหน้าหงายเพราะถูกนิ้วเรียวจิ้มหน้าผากอย่างแรง นางเสียหลักถอยหลังแล้วล้มลงก้นกระแทกพื้น ดวงหน้าเล็กทำหน้าเศร้าพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าสบตากับศิษย์พี่ที่ยืนจ้องมองนางเหมือนนางเป็นยิ่งกว่าหนูสกปรกเสียอีก “ขืนเจ้าทำตัวเช่นนี้ต้องอดตายแน่” “ไม่หรอก ถ้าพวกศิษย์แบ่งเศษพลังชีวิตของมนุษย์ให้ข้ากินบ้าง” นางฉีกยิ้มกว้าง “อีกอย่าง...ข้ากินไม่จุหรอก” “ไม่ได้!!” เหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย ซ้ำยังถลึงตาใส่อย่างไร้เมตตา ถูกตวาดเสียงดังหลิวเข่อซิงได้แต่หดคอเหมือนเต่า แต่นางไม่มีกระดองให้หลบ“แล้ว...แล้วข้าต้องทำอย