Share

Chapter 51. ตอนพิเศษ

            ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา

            เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า  ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน  จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง  เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา

            และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที

            “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า”  ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม

            “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน”

            “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง”  เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต่งงานมีลูกให้เสด็จพ่อกับเสด็จได้อุ้มเล่นกันแล้ว ก็เว้นลูกไว้สักคนเถิด ลูกประจำการอยู่ชายแดนมีความสุขดี ไม่คิดแก่งแย่งกับผู้ใด ขอเสด็จพ่อกับเสด็จแม่สนับสนุนให้ลูกได้ทำในสิ่งที่รักด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

            “แต่...”  ฮองเฮาคิดหาเหตุผลมาเปลี่ยนใจลูก แต่อีกฝ่ายกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน

            “พวกท่านไม่ต้องเกรงว่า ลูกจะสะสมอำนาจมาเพื่อล้มล้างอำนาจรัชทายาทภายหลัง”

            “ก็ไม่คิดว่าเจ้าจะทำเช่นนั้นหรอก” ฮ่องเต้ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พูดกับเจ้าลูกคนนี้ก็ไม่ต่างพูดใส่ขอนไม้  ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยสักนิด

            “ลูกประจำอยู่ชายแดนจะมีประโยชน์กว่า ท่านก็รู้ว่าว่าที่ชายแดนก็เหมือนกำแพงเมือง  หากไม่แข็งแกร่งพอก็ทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่าย ในเวลานี้ทุกอย่างสงบดีก็ใช่ว่าจะละเลยไม่ใส่ใจได้  อีกอย่าง ลูกไม่ได้บอกว่าจะไม่แต่งงาน  เพียงแค่ขอให้ลูกได้เลือกสตรีที่ตนเองชอบพอ เมื่อใดที่ลูกเจอสตรีที่ถูกใจ  จะมาขอให้เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ช่วยสนับสนุนพ่ะย่ะค่ะ”

            “เจ้าลูกหัวดื้อ”  ฮ่องเต้ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ “ช่างเถอะ เราก็เหนื่อยใจจะพูดเรื่องนี้แล้ว เจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจ”

            ซุนเจ้าเฟิงยิ้มกว้าง “เช่นนั้นลูกขอกลับไปประจำการที่ชายแดน”

            “กลับมาไม่ถึงสองเดือนก็จะไปอีกแล้ว”  ฮองเฮาอดตัดพ้อไม่ได้ “ได้ยินว่าสหายของเจ้าแต่งงานเดินทางไปชายแดนแล้ว เจ้าจะรีบตามไปสินะ”

            องค์ชายสามหัวเราะแทนคำตอบ ฮ่องเต้ทรงโบกมือไล่ทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นถวายความเคารพแล้วเดินออกมา ก่อนจะกลับชายแดน เขามีเรื่องต้องไปพบคนๆ หนึ่งก่อน

            ไม่สิ นางไม่ใช่คนแต่เป็นปีศาจ

            ชายหนุ่มขี่ม้ามาที่หอนางโลมเรือนดอกท้อ เขาเกือบพลาดกับหลิวชิงเซียงที่เตรียมจะเดินทางกลับหุบเขาจื่อเซ่อ  นางเองก็ประหลาดใจที่เห็นซุนเจ้าเฟิงมาหา หญิงสาวไม่มีท่าทีนอบน้อมให้เขา แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มอย่างพอใจ

            “มีธุระอันใด” นางถามแล้วยกมือขึ้นกอดอก  “คงไม่ได้คิดถึงข้าหรอกนะ”

            คราวนี้ซุนเจ้าเฟิงแหงนหน้าหัวเราะ มีแต่สตรีนางนี้ที่ทำให้เขาหัวเราะได้เช่นนี้

“ข้าก็คิดว่าเจ้ากลับไปพร้อมหรงเหยาแล้ว”

            “ข้าเสียเวลาจัดการหยกโลหิตอยู่”  นางไหวไหล่เล็กน้อย หานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินทางด้วยรถม้า อย่างไรก็ใช้เวลามากกว่านางที่เดินทางผู้เดียว  ‘ท่านแม่’ วางใจให้นางเคลื่อนย้ายหยกโลหิต นางจึงเร่งรีบจัดการจนลุล่วงและเตรียมเดินทางกลับหุบเขาในวันนี้

“แล้วเจ้าล่ะ เลือกสตรีเป็นชายาได้แล้วหรือ?”

            “เจ้าสนใจข้าถึงเพียงนี้”  เขายิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้ หญิงสาวเดินไปรินน้ำชาส่งให้เขา

            “ข่าวลื่อเรื่องเจ้าโด่งดังไม่แพ้หานหรงเหยาแต่งเข้าสกุลหลิว” หลิวชิงเซียงพูดแล้วก็ยกน้ำชาขึ้นดื่ม

            “ข้าคิดว่าเจ้าใส่ใจข้า วันนั้นเจ้ายังใช้ตัวเองปกป้องข้าอยู่เลย”

            พรวดดดด

            หญิงสาวสำลักน้ำชา  นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับแล้วขึงตาใส่อีกฝ่าย แต่เขากลับยิ้มหน้าระรื่นที่ได้หยอกล้อ

            “ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้า”

            “เดี๋ยวนี้เจ้าก็พูดจาราวกับข้าเป็นเพื่อนสนิท” 

            “นั้นเพราะข้าอายุห้าร้อยห้าสิบปี ส่วนเจ้าอายุยี่สิบ ข้าไม่จำเป็นต้องแสร้งอ่อนน้อมกับคนอายุน้อยกว่าอย่างเจ้า”

            “เช่นนั้น ข้าควรเรียกเจ้าอย่างไรดี พี่สาว ท่านน้า ท่านป้า หรือท่านยาย หรือท่านยายทวด”

            “เจ้า!” นางลุกขึ้นยืนจ้องมองเขาเขม็ง “เจ้านี่กล้าต่อปากต่อคำข้าแล้วรึ”

            “ข้ามีเหตุผลอะไรให้กลัวเจ้า”

            “ข้าเป็นปีศาจไงล่ะ เป็นปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังชีวิตมนุษย์”

            “แต่เจ้าก็ดูไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่นี่” เขายังคงหัวเราะอยู่ แต่ก็จริง เขาไม่รู้สึกกลัวนางเลยสักนิด แต่ความรู้สึกที่นางใช่ร่างของตนบังเขาไว้นั้น ยังคงอบอุ่นในอก และเป็นภาพที่ตราตรึงจิตใจเขายากจะลืมเลือน

            “เจ้าเอาหยกโลหิตอะไรนั้นไปไว้ที่ใดแล้วล่ะ” เขาถามเปลี่ยนเรื่องคุย

            “เก็บในที่ปลอดภัย”  นางเอ่ยตอบไปตามตรง น่าแปลกที่การพูดคุยครั้งนี้นางรู้สึกไม่ต้องระวังตัวมากนัก อาจเพราะได้เปิดเผยความลับต่อหน้าเขาไปแล้ว

            “ข้าจะกลับไปประจำการที่ชายแดน”  เขาเอ่ยพลางมองสีหน้าของหญิงสาว “เจ้าจะอยู่ที่นี่หรือกลับไปที่หุบเขาจื่อเซ่อ  ”

            “ข้าจะอยู่หรือไปที่ใดต้องรายงานเจ้ารึ”  สายตาของเขาทำให้หัวใจนางเต้นแรงพิกล ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับนางมานานมาก นานมากจริงๆ

            “อย่างน้อยข้าก็จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าเจ้าติดตามข้าไปชายแดน”

            ดวงตางามขึงตาใส่ “ยังไงข้าก็ต้องกลับหุบเขาจื่อเซ่อ  ซึ่งมันก็ต้องผ่านค่ายทหารของเจ้า”

            “เช่นนั้นข้าจะได้พบเจ้าอีกใช่ไหม”

            นางนิ่งงันไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “เหตุใดต้องพบกันอีก”

            “ก็...” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย

“เพราะข้าเข้าหุบเขาจื่อเซ่อไม่ได้ อย่างไรก็ต้องไหว้วานผู้ดูแลหลิวคอยติดต่อส่งข่าวถึงหานหรงเหยา”

            คราวนี้ใบหน้าหลิวชิงเซียงแข็งค้างไป ราวกับนางรอคอยฟังประโยคหวานหู  ทำไมนางต้องคาดหวังว่าเขา มารดาเถอะ! น่าจับคนผู้นี้มากินพลังชีวิตเสียให้เข็ด!

            เห็นนางกระเง้ากระงอดราวเด็กสาว ซุนเจ้าเฟิงหัวเราะออกมา เขาชอบเวลาที่ได้อยู่ใกล้นาง นางทำให้เขาหัวเราะเต็มเสียง  วางความระแวดระวังทั้งหมด ไม่ใช่องค์ชายสาม ไม่ใช่แม่ทัพใหญ่ แต่เป็นเพียงชายคนหนึ่งเท่านั้น

            หลิวชิงเซียงไม่อยากคาดเดาสิ่งที่ชายหนุ่มคิด นางได้แต่โคลงศีรษะไปมา ความรู้สึกที่ทำให้ใจเต้นแรงนี้ช่างส่งผลกับจิตใจของนางเหลือเกิน ครั้งนั้นเพราะนางปิดบังคนรัก พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาอยู่เคียงข้างแต่เมื่อความจริงปรากฏ เขาผลักไสนางราวกับไม่เคยรักกัน  แต่กับซุนเจ้าเฟิง เขารู้แล้วว่านางคือปีศาจ แต่กลับปฏิบัติตัวไม่ต่างจากมนุษย์ผู้หนึ่ง  บางทีการเปิดเผยความจริงต่อกัน อาจเป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่าการเริ่มต้นด้วยการโกหกและปิดบัง

            ทั้งสองสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ เสียงหัวเราะจางหายเหลือเพียงรอยยิ้มบางๆ ใบหน้า

            “ข้าต้องเตรียมตัวเดินทางแล้ว”

            “อืม”  ซุนเจ้าเฟิงได้แต่รับคำในลำคอ “แล้วกับกัน”

            “แล้วพบกัน”  หญิงสาวพูดขึ้น

            พบกันล้วนเป็นวาสนา จากกันเป็นเรื่องของโชคชะตา  โลกใบนี้ผู้คนมากมาย แต่สายลมแห่งโชคชะตานำพาให้คนแปลกหน้ามาพบกัน แต่มิใช่ทุกคนที่จะเข้ามาทำให้จิตใจหวั่นไหว รอยแผลในใจจางหายไปตามกาลเวลา

บางที…

เขาหรือนางอาจการเพียง ‘เวลา’ เพื่อที่จะได้รู้จักกันและกัน.

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status