ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา
เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา
และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที
“จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม
“จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน”
“ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต่งงานมีลูกให้เสด็จพ่อกับเสด็จได้อุ้มเล่นกันแล้ว ก็เว้นลูกไว้สักคนเถิด ลูกประจำการอยู่ชายแดนมีความสุขดี ไม่คิดแก่งแย่งกับผู้ใด ขอเสด็จพ่อกับเสด็จแม่สนับสนุนให้ลูกได้ทำในสิ่งที่รักด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่...” ฮองเฮาคิดหาเหตุผลมาเปลี่ยนใจลูก แต่อีกฝ่ายกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน
“พวกท่านไม่ต้องเกรงว่า ลูกจะสะสมอำนาจมาเพื่อล้มล้างอำนาจรัชทายาทภายหลัง”
“ก็ไม่คิดว่าเจ้าจะทำเช่นนั้นหรอก” ฮ่องเต้ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พูดกับเจ้าลูกคนนี้ก็ไม่ต่างพูดใส่ขอนไม้ ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยสักนิด
“ลูกประจำอยู่ชายแดนจะมีประโยชน์กว่า ท่านก็รู้ว่าว่าที่ชายแดนก็เหมือนกำแพงเมือง หากไม่แข็งแกร่งพอก็ทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่าย ในเวลานี้ทุกอย่างสงบดีก็ใช่ว่าจะละเลยไม่ใส่ใจได้ อีกอย่าง ลูกไม่ได้บอกว่าจะไม่แต่งงาน เพียงแค่ขอให้ลูกได้เลือกสตรีที่ตนเองชอบพอ เมื่อใดที่ลูกเจอสตรีที่ถูกใจ จะมาขอให้เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ช่วยสนับสนุนพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าลูกหัวดื้อ” ฮ่องเต้ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ “ช่างเถอะ เราก็เหนื่อยใจจะพูดเรื่องนี้แล้ว เจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจ”
ซุนเจ้าเฟิงยิ้มกว้าง “เช่นนั้นลูกขอกลับไปประจำการที่ชายแดน”
“กลับมาไม่ถึงสองเดือนก็จะไปอีกแล้ว” ฮองเฮาอดตัดพ้อไม่ได้ “ได้ยินว่าสหายของเจ้าแต่งงานเดินทางไปชายแดนแล้ว เจ้าจะรีบตามไปสินะ”
องค์ชายสามหัวเราะแทนคำตอบ ฮ่องเต้ทรงโบกมือไล่ทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นถวายความเคารพแล้วเดินออกมา ก่อนจะกลับชายแดน เขามีเรื่องต้องไปพบคนๆ หนึ่งก่อน
ไม่สิ นางไม่ใช่คนแต่เป็นปีศาจ
ชายหนุ่มขี่ม้ามาที่หอนางโลมเรือนดอกท้อ เขาเกือบพลาดกับหลิวชิงเซียงที่เตรียมจะเดินทางกลับหุบเขาจื่อเซ่อ นางเองก็ประหลาดใจที่เห็นซุนเจ้าเฟิงมาหา หญิงสาวไม่มีท่าทีนอบน้อมให้เขา แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มอย่างพอใจ
“มีธุระอันใด” นางถามแล้วยกมือขึ้นกอดอก “คงไม่ได้คิดถึงข้าหรอกนะ”
คราวนี้ซุนเจ้าเฟิงแหงนหน้าหัวเราะ มีแต่สตรีนางนี้ที่ทำให้เขาหัวเราะได้เช่นนี้
“ข้าก็คิดว่าเจ้ากลับไปพร้อมหรงเหยาแล้ว”
“ข้าเสียเวลาจัดการหยกโลหิตอยู่” นางไหวไหล่เล็กน้อย หานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินทางด้วยรถม้า อย่างไรก็ใช้เวลามากกว่านางที่เดินทางผู้เดียว ‘ท่านแม่’ วางใจให้นางเคลื่อนย้ายหยกโลหิต นางจึงเร่งรีบจัดการจนลุล่วงและเตรียมเดินทางกลับหุบเขาในวันนี้
“แล้วเจ้าล่ะ เลือกสตรีเป็นชายาได้แล้วหรือ?”
“เจ้าสนใจข้าถึงเพียงนี้” เขายิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้ หญิงสาวเดินไปรินน้ำชาส่งให้เขา
“ข่าวลื่อเรื่องเจ้าโด่งดังไม่แพ้หานหรงเหยาแต่งเข้าสกุลหลิว” หลิวชิงเซียงพูดแล้วก็ยกน้ำชาขึ้นดื่ม
“ข้าคิดว่าเจ้าใส่ใจข้า วันนั้นเจ้ายังใช้ตัวเองปกป้องข้าอยู่เลย”
พรวดดดด
หญิงสาวสำลักน้ำชา นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับแล้วขึงตาใส่อีกฝ่าย แต่เขากลับยิ้มหน้าระรื่นที่ได้หยอกล้อ
“ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้า”
“เดี๋ยวนี้เจ้าก็พูดจาราวกับข้าเป็นเพื่อนสนิท”
“นั้นเพราะข้าอายุห้าร้อยห้าสิบปี ส่วนเจ้าอายุยี่สิบ ข้าไม่จำเป็นต้องแสร้งอ่อนน้อมกับคนอายุน้อยกว่าอย่างเจ้า”
“เช่นนั้น ข้าควรเรียกเจ้าอย่างไรดี พี่สาว ท่านน้า ท่านป้า หรือท่านยาย หรือท่านยายทวด”
“เจ้า!” นางลุกขึ้นยืนจ้องมองเขาเขม็ง “เจ้านี่กล้าต่อปากต่อคำข้าแล้วรึ”
“ข้ามีเหตุผลอะไรให้กลัวเจ้า”
“ข้าเป็นปีศาจไงล่ะ เป็นปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังชีวิตมนุษย์”
“แต่เจ้าก็ดูไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่นี่” เขายังคงหัวเราะอยู่ แต่ก็จริง เขาไม่รู้สึกกลัวนางเลยสักนิด แต่ความรู้สึกที่นางใช่ร่างของตนบังเขาไว้นั้น ยังคงอบอุ่นในอก และเป็นภาพที่ตราตรึงจิตใจเขายากจะลืมเลือน
“เจ้าเอาหยกโลหิตอะไรนั้นไปไว้ที่ใดแล้วล่ะ” เขาถามเปลี่ยนเรื่องคุย
“เก็บในที่ปลอดภัย” นางเอ่ยตอบไปตามตรง น่าแปลกที่การพูดคุยครั้งนี้นางรู้สึกไม่ต้องระวังตัวมากนัก อาจเพราะได้เปิดเผยความลับต่อหน้าเขาไปแล้ว
“ข้าจะกลับไปประจำการที่ชายแดน” เขาเอ่ยพลางมองสีหน้าของหญิงสาว “เจ้าจะอยู่ที่นี่หรือกลับไปที่หุบเขาจื่อเซ่อ ”
“ข้าจะอยู่หรือไปที่ใดต้องรายงานเจ้ารึ” สายตาของเขาทำให้หัวใจนางเต้นแรงพิกล ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับนางมานานมาก นานมากจริงๆ
“อย่างน้อยข้าก็จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าเจ้าติดตามข้าไปชายแดน”
ดวงตางามขึงตาใส่ “ยังไงข้าก็ต้องกลับหุบเขาจื่อเซ่อ ซึ่งมันก็ต้องผ่านค่ายทหารของเจ้า”
“เช่นนั้นข้าจะได้พบเจ้าอีกใช่ไหม”
นางนิ่งงันไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “เหตุใดต้องพบกันอีก”
“ก็...” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย
“เพราะข้าเข้าหุบเขาจื่อเซ่อไม่ได้ อย่างไรก็ต้องไหว้วานผู้ดูแลหลิวคอยติดต่อส่งข่าวถึงหานหรงเหยา”
คราวนี้ใบหน้าหลิวชิงเซียงแข็งค้างไป ราวกับนางรอคอยฟังประโยคหวานหู ทำไมนางต้องคาดหวังว่าเขา มารดาเถอะ! น่าจับคนผู้นี้มากินพลังชีวิตเสียให้เข็ด!
เห็นนางกระเง้ากระงอดราวเด็กสาว ซุนเจ้าเฟิงหัวเราะออกมา เขาชอบเวลาที่ได้อยู่ใกล้นาง นางทำให้เขาหัวเราะเต็มเสียง วางความระแวดระวังทั้งหมด ไม่ใช่องค์ชายสาม ไม่ใช่แม่ทัพใหญ่ แต่เป็นเพียงชายคนหนึ่งเท่านั้น
หลิวชิงเซียงไม่อยากคาดเดาสิ่งที่ชายหนุ่มคิด นางได้แต่โคลงศีรษะไปมา ความรู้สึกที่ทำให้ใจเต้นแรงนี้ช่างส่งผลกับจิตใจของนางเหลือเกิน ครั้งนั้นเพราะนางปิดบังคนรัก พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาอยู่เคียงข้างแต่เมื่อความจริงปรากฏ เขาผลักไสนางราวกับไม่เคยรักกัน แต่กับซุนเจ้าเฟิง เขารู้แล้วว่านางคือปีศาจ แต่กลับปฏิบัติตัวไม่ต่างจากมนุษย์ผู้หนึ่ง บางทีการเปิดเผยความจริงต่อกัน อาจเป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่าการเริ่มต้นด้วยการโกหกและปิดบัง
ทั้งสองสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ เสียงหัวเราะจางหายเหลือเพียงรอยยิ้มบางๆ ใบหน้า
“ข้าต้องเตรียมตัวเดินทางแล้ว”
“อืม” ซุนเจ้าเฟิงได้แต่รับคำในลำคอ “แล้วกับกัน”
“แล้วพบกัน” หญิงสาวพูดขึ้น
พบกันล้วนเป็นวาสนา จากกันเป็นเรื่องของโชคชะตา โลกใบนี้ผู้คนมากมาย แต่สายลมแห่งโชคชะตานำพาให้คนแปลกหน้ามาพบกัน แต่มิใช่ทุกคนที่จะเข้ามาทำให้จิตใจหวั่นไหว รอยแผลในใจจางหายไปตามกาลเวลา
บางที…
เขาหรือนางอาจการเพียง ‘เวลา’ เพื่อที่จะได้รู้จักกันและกัน.
ว่ากันว่า...เหล่าปีศาจจะกิน ‘พลังชีวิต’ จากมนุษย์เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าได้เสพ ‘พลังหยาง’ จากบุรุษจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้ตน แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอายุไขสั้นลงหรือตายได้ ในขณะเดียวกัน ‘หัวใจ’ของปีศาจจิ้งจอกแดงเป็นตัวยาหายากชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรคปีศาจจิ้งจอกแดงจึงเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าเช่นกันแนะนำตัวละครหลิวเข่อซิง-เข่อซิง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายหนึ่งร้อยสิบหกปีหานหรงเหยา : ที่ปรึกษา(กุนซือ)ของกองทัพ มาทำงานร่วมกับซุนเจ้าเฟิง แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดนหลิวชิงเซียง -ชิงเซียง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี เป็นศิษย์พี่ของหลิวเข่อซิงซุนเจ้าเฟิง : องค์ชายสามและเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน เป็นสหายรักของหานหรงเหยา พิธีแต่งงานจัดอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานมงคลของตระกูลหานและเจ้าสาวแสนงามดุจบุปผาสวรรค์ เสียงดนตรี คำอวยพร ของขวัญ วิจิตรตระการตาราวกับงานรื่นเริงของเหล่าปวงเทพ งานมงคลยิ่งใหญ่นี้คงกลายเป็นที่กล่าวถึงไปอีกนานแสนนาน ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวในชุดสีแดงสวยงดงาม ขณะที่เจ้า
พ่อบ้านจูส่ายหน้าไปมา เขาอับอายกับหลานสาวห่างๆ คนนี้นัก แต่จะทำอย่างไรได้ ภรรยาของเขาบังคับขู่เข็ญให้รับนางมาทำงานในจวน หากวันหน้าได้ดี ทั้งสองก็พลอยได้ดีไปด้วย แต่นางมาอยู่ที่นี่ครึ่งปีแล้ว ทั้งพยายามปีนป่ายขึ้นเตียงองค์ชายสามนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ถูกองค์ชายสามขับไล่ก็นับว่าบุญแล้ว“พ่อบ้านจู ให้คนเตรียมสุราอาหารไว้ที่ห้องตำรา ข้ากับที่ปรึกษาหานจะไปที่นั้น”“ขอรับท่านแม่ทัพซุน” เนื่องจากซุนเจ้าเฟิงไม่ชอบให้ใครเรียกเขาว่าองค์ชาย แต่ยินดีให้เรียก ‘ท่านแม่ทัพซุน’ ซุนเจ้าเฟิงประจำการที่ชายแดนมาสามปี ทุกคนจึงคุ้นชินกับคำเรียกขานนี้“ตัวข้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ข้าจะไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยกินข้าวดื่มสุราและคุยงานกันต่อที่ห้องตำรา” ซุนเจ้าเฟิงตบบ่าหานหรงเหยา“ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับแล้วเดินไปที่เรือนของตนซุนเจ้าเฟิงมองแผ่นหลังของสหายรักเผลอถอนหายใจอีกครั้ง คุณชายรองแห่งตระกูลหานแม้ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมดุจไข่ในหิน แต่ในวัยเด็ก ทั้งสองเป็นเด็กจึงซุกซนและเข้ากันได้เป็นอย่างดีจึงกลายเป็นสหายรักกัน แต่เดิมหานหรงเหยามิใช่คนเย็นชาเช่นนี้ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่
นางพยายามแล้วจริงๆ แอบดูบรรดาศิษย์จัดการกับมนุษย์ที่จับมาเป็นอาหาร แต่เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้นางหวาดกลัวจนต้องปิดตาทุกครั้งไป ก็มันน่ากลัวจริงๆนี่ ให้มนุษย์ผู้ชายมานอนทับบนร่างแบบนั้น ไหนจะเสียงครวญครางเจ็บปวดนั้นอีก แค่คิดนางก็ยกมือปิดหูแล้ว “แต่ข้าก็พยายามแล้วนะ” นางยังอดเถียงไม่ได้ แม้น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงยุง “พยายามแล้ว? เจ้าช่างกล้าพูดคำนี้” หญิงสาวหน้าหงายเพราะถูกนิ้วเรียวจิ้มหน้าผากอย่างแรง นางเสียหลักถอยหลังแล้วล้มลงก้นกระแทกพื้น ดวงหน้าเล็กทำหน้าเศร้าพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าสบตากับศิษย์พี่ที่ยืนจ้องมองนางเหมือนนางเป็นยิ่งกว่าหนูสกปรกเสียอีก “ขืนเจ้าทำตัวเช่นนี้ต้องอดตายแน่” “ไม่หรอก ถ้าพวกศิษย์แบ่งเศษพลังชีวิตของมนุษย์ให้ข้ากินบ้าง” นางฉีกยิ้มกว้าง “อีกอย่าง...ข้ากินไม่จุหรอก” “ไม่ได้!!” เหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย ซ้ำยังถลึงตาใส่อย่างไร้เมตตา ถูกตวาดเสียงดังหลิวเข่อซิงได้แต่หดคอเหมือนเต่า แต่นางไม่มีกระดองให้หลบ“แล้ว...แล้วข้าต้องทำอย
หานหรงเหยานั่งลงข้างเตียง เฝ้ามองจิ้งจอกแดงแสนสวยหลับอย่างสบายบนเตียงนอนของเขา คนทั่วไปอาจหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก แต่เขาผู้ได้ยินและได้เห็นเรื่องราวมากมายในใต้หล้ากลับเห็นเป็นธรรมดาสามัญหญิงสาวแปลกหน้าหมดสติในอ้อมแขนของเขา ด้วยเกรงว่าจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงใช้เสื้อคลุมของตนคลุมร่างของนางแล้วอุ้มขึ้นหลังม้า ทว่าระหว่างที่เดินทางกลับมาที่จวนแม่ทัพซุน ร่างที่เขาโอบเอวไว้กันนางหล่นกลับค่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ เสื้อคลุมยวบลงไปตามขนาดของเจ้าของร่างก่อนจะประตูจวน เขาก้มมองด้วยแววตาประหลาดใจ แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของผู้อื่นจึงอุ้มร่างน้อยเข้ามาในห้องตัวเองและปล่อยให้นาง เอ่อ... จิ้งจอกแดงตัวน้อยหลับใหลบนเตียงของเขาถูกแล้ว หญิงสาวผู้นั้นกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงหรือจิ้งจอกแดงกลายร่างเป็นหญิงสาวกันล่ะเขายื่นปลายนิ้วเขี่ยปลายจมูกของจิ้งจอกน้อย เขาเองก็ไม่คิดว่าคืนนี้จะต้องแบ่งปันเตียงนอนให้ผู้อื่นจึงไม่ได้เตรียมที่นอนสำรองไว้ หรือคืนนี้เขาต้องนอนกับเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้แล้ว เพราะสัมผัสอ่อนโยนทำให้หลิวเข่อซิงรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง จนเมื่อดวงตาปรับกับสิ่งรอบตัว จึงเห็นว่ามีดวงต
“ข้าควรกลัวเจ้าหรือ?” เขาหัวเราะในลำคอหันหลังให้นาง แต่กระนั้นประสาทหูรับรู้ว่านางกำลังสวมใส่อาภรณ์อยู่“ข้าไม่น่ากลัวเลยหรือ?” นางถามกลับใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะความหิว นางสาวเท้าเร็วๆ เดินมาที่โต๊ะกลม มีอาหารหลายจานส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนน้ำลายสอ“ก็น่ากลัวอยู่” เขายิ้มขบขัน “นั่งเถิด”“อื้ม” นางรีบนั่งลงและรับตะเกียบจากเขา ไม่รอให้เจ้าของบ้านเชื้อเชิญนางรีบกินข้าวอย่างหิวโหย แม้จะได้พลังชีวิตมาเติมเต็มแต่ร่างกายนางยังต้องการอาหารบำรุงตัวเองเหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นกัน“ค่อยๆ กินไม่ต้องรีบ” เขาเตือนนางแล้วหยิบตะเกียบคอยคีบอาหารใส่ชามข้าวให้นาง นางผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณและยังมีการบุ้ยปากบอกใบ้ให้เขาคีบเนื้อปลาให้นางอีก ชายหนุ่มทำให้อย่างไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังรับใช้นาง“อิ่มหรือไม่ อยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม” เขาถามหลิวเข่อซิงกินอิ่มท้องและยังได้พลังชีวิตจากเขาจึงมีสติคิดวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้น นางกวาดตามองชายหนุ่มแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย“มีอะไรรึ”“เจ้าเป็นใครกัน”“ข้าแซ่หานชื่อหรงเหยา” เขายิ้มแล้วส่งน้ำให้นางดื่ม รอจนนางดื่มน้ำหมดจอกแล้วจึงยื่นผ้าเปียกให้ แต่นางทำหน้างุนงง เขาจึงจั
เรื่องพวกนี้หากเขาไม่ตอบสนอง ในสักวันคงเลิกราไปเอง “อื้ม” นางพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ถึงปลายนิ้วของเขาที่รวบผมนางแล้วปักปิ่นให้ “ยามข้ากินเศษพลังชีวิตที่ศิษย์หลงเหลือไว้ให้ ก็ได้เสพรสชาติเหล่านี้ด้วย ไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ก็ต้องกินไม่เช่นนั้นข้าก็จะทรมานมาก” “อย่างนั้นหรือ” “ข้าเป็นปีศาจอย่างไรเสียก็ต้องกลืนกินความรู้สึกเหล่านี้อยู่แล้ว” นางเบ้ปากแต่เมื่อหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขาแล้ว แล้วก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่เจ้ามีวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรถ้าเจ้าตายแล้วยกให้ข้านะ” “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” “เพราะข้าไม่กล้าฆ่ามนุษย์ ซ้ำยังยั่วยวนมนุษย์ไม่เป็นอีก หากรอกินเพียงเศษพลังชีวิตที่ศิษย์พี่เหลือให้เกรงว่าต้องกลายเป็นปีศาจพิกลพิการไม่สมบูรณ์ ท่านแม่จึงให้ข้ามาหาศิษย์พี่ที่หอชมบุหลัน ให้สั่งสอนการเสพพลังชีวิตมนุษย์และพลังหยางด้วย” “หอชมบุหลัน เจ้าหมายถึงหอนางโลม...” ยังพูดไม่จบประโยคดีนางก็พยักหน้ารับ มิน่าเล่าถึงได้พบกันที่สะพานข้ามคลอง เพราะนางกำลังจะไปที่หอชมบุหลัน “แล้วเจ้าล่ะ ทำไมอยากฆ่าตัวตาย หรือเพราะหัวใจอ่อ
หญิงงามอันดับหนึ่งอันดับหนึ่งแห่งหอชมบุหลันนามหลิวชิงเซียงกำลังยืนข่มโทสะอยู่หน้าประตูทางเข้าหอนางโลม แม้หลิวชิงเซียงครอบครองความงามเกินคำบรรยาย แต่เวลานี้ทุกคนย่อมรู้ว่านางเปี่ยมไปด้วยไฟโทสะ จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ มือเรียวกอดอกนิ่งงันแต่ปลายนิ้วเคาะที่แขนของตนด้วยความหงุดหงิด ‘ข้าส่งเข่อซิงไปให้เจ้าอบรมสั่งสอน ในฐานะศิษย์พี่เจ้าก็เมตตาเอ็นดูนางสักนิดเถิด’ ‘ทำไมท่านแม่ให้ข้าดูแลจิ้งจอกปัญญาอ่อนนั่น!’ ‘ชิงเซียง...เจ้าเองก็เคยถูกผู้อื่นตราหน้าเป็นปีศาจชั้นต่ำมาก่อน เจ้าควรเข้าใจนาง’ ‘ท่านแม่...’ ‘วาจาเรียกข้าท่านแม่ ยังมีความเชื่อฟังหรือไม่’ ‘ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว’ นั้นเป็นเรื่องที่นางสนทนากับ ‘ท่านแม่’ ผ่านทูตอีกาสื่อสารที่ท่านแม่ส่งมา ความจริงเข่อซิงไม่ใช่ปีศาจตนแรกที่ท่านแม่ส่งมา ในหอชมบุหลันนี้เป็นที่อาศัยของเหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิว แม้มิใช่พี่น้องแต่ก็นับเป็นพี่น้อง ในหุบเขาจื่อเซ่อจะเรียกกันตามอายุหรือพลังปีศาจของแต่ละตน ส่วนนางนั้นทุกตนเรียกศิษย์พี่ใหญ่ ได้รับมอบหมายใ
“ไม่ได้ ท่านแม่ให้ข้าฝึกฝนเจ้า เจ้าก็ต้องออกรับแขกด้วยตนเอง”“แต่มันน่ากลัวนี่น่า ไหนจะเสียงร้องสยอดสยองนั้นอีก ข้า...ข้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้”“เสียงร้องสยอดสยองอันใด นั้นเรียกเสียงครวญกระเส่าต่างหาก!” หลิวชิงเซียงถลึงตาใส่อีกครั้ง สวรรค์! นางทำผิดอันใดถึงต้องมาสั่งสอนเข่อซิง พลังชีวิตที่สะสมมาต้องสิ้นเปลืองไปเพราะเจ้าตัวโง่งมตนนี้แล้ว นางสูดลมหายใจอีกเฮือกใหญ่แล้วกัดฟันคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา“เอาเป็นว่า เจ้าทำตามที่ข้าสอน ต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าที่เคยทำมา ไม่เช่นนั้นจะเสียชื่อเสียงข้าหมด เจ้าเข้าใจหรือไม่”“อื้ม! ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามสุดความสามารถ จะต้องเก่งกาจให้เหมือนผู้ดูแลหลิวให้ได้!”“ได้แค่ปลายเล็บของข้าก่อนค่อยคุยโม้โอ้อวดตน” หลิวชิงเซียงส่ายหน้าระอาใจ “เจ้าเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำ พลังก็น้อยนิด หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จะกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดง อยู่ที่นี่แม้พวกเราเป็นปีศาจแต่ด้านนอกก็มีนักล่าปีศาจและนักพรตปราบมารอยู่มากมายที่จ้องสังหารพวกเรา เจ้าต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้กลิ่นไอปีศาจจากตัวเจ้า”หลิวชิงเซียงกล่าวเป็นการเป็นงานไม่ได้ตวาดอีก ทำให้หลิวเข่อซิงฟังด้ว