“ข้าควรกลัวเจ้าหรือ?” เขาหัวเราะในลำคอหันหลังให้นาง แต่กระนั้นประสาทหูรับรู้ว่านางกำลังสวมใส่อาภรณ์อยู่
“ข้าไม่น่ากลัวเลยหรือ?” นางถามกลับใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะความหิว นางสาวเท้าเร็วๆ เดินมาที่โต๊ะกลม มีอาหารหลายจานส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนน้ำลายสอ
“ก็น่ากลัวอยู่” เขายิ้มขบขัน “นั่งเถิด”
“อื้ม” นางรีบนั่งลงและรับตะเกียบจากเขา ไม่รอให้เจ้าของบ้านเชื้อเชิญนางรีบกินข้าวอย่างหิวโหย แม้จะได้พลังชีวิตมาเติมเต็มแต่ร่างกายนางยังต้องการอาหารบำรุงตัวเองเหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นกัน
“ค่อยๆ กินไม่ต้องรีบ” เขาเตือนนางแล้วหยิบตะเกียบคอยคีบอาหารใส่ชามข้าวให้นาง นางผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณและยังมีการบุ้ยปากบอกใบ้ให้เขาคีบเนื้อปลาให้นางอีก ชายหนุ่มทำให้อย่างไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังรับใช้นาง
“อิ่มหรือไม่ อยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม” เขาถาม
หลิวเข่อซิงกินอิ่มท้องและยังได้พลังชีวิตจากเขาจึงมีสติคิดวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้น นางกวาดตามองชายหนุ่มแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย
“มีอะไรรึ”
“เจ้าเป็นใครกัน”
“ข้าแซ่หานชื่อหรงเหยา” เขายิ้มแล้วส่งน้ำให้นางดื่ม รอจนนางดื่มน้ำหมดจอกแล้วจึงยื่นผ้าเปียกให้ แต่นางทำหน้างุนงง เขาจึงจับมือนางมาเช็ดแต่ละนิ้วอย่างใจเย็น
“ข้าแซ่หลิวชื่อเข่อซิง” นางแนะนำตัวเองบ้าง “อันที่จริงพวกเรา เอ่อ ข้าหมายถึงบรรดาปีศาจจิ้งจอกแดงในหุบเขาต่างใช้แซ่เดียวกันหมดคือแซ่หลิวของท่านแม่ อันที่จริงข้าก็จำอะไรไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่ที่หุบเขาจื่อเซ่อมาตลอด มีท่านแม่และศิษย์พี่แบ่งปันพลังชีวิตของมนุษย์ให้กินเล็กน้อย”
“อ่อ...เป็นเช่นนี้เอง”
น้ำเสียงราบเรียบชวนให้ใจสงบของเขาทำให้ ปีศาจจิ้งจอกแดงผู้ไม่มีใครเคยใส่ใจ รู้สึกตื้นตันใจจนแทบหลั่งน้ำตา
“เจ้าเป็นคนดีเหลือเกิน เช่นนี้แล้วข้าจะกินเจ้าได้อย่างไร”
หานหรงเหยาเห็นจิ้งจอกสาวเบ้ปากจวนจะร้องไห้ เขาก็ตบหลังมือเรียวเล็กของนางเบาๆ เพื่อปลอบโยน
“ไม่ต้องกังวลไป ข้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ถ้าเจ้าอดทนรอได้ก็เอาดวงจิตของข้าไปเถิด”
“เอ๋?” นางเบิกตากลมโตจ้องมองเขาแล้วเป็นฝ่ายจับมือใหญ่นั้นไว้ จิตสัมผัสกระแสธารชีวิตในกายของชายหนุ่มแล้วก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“หัวใจเจ้าไม่ปกตินี่” นางทำหน้าเศร้าราวกับป่วยเสียเอง
“ถูกต้อง” เขายังคงยิ้มไม่ได้ดึงมือตัวเองกลับ ปล่อยให้นางจับไว้เช่นนั้น เขามองอย่างเอ็นดูเหมือนนางเป็นเพียงสัตว์เล็กๆหลงทางตัวหนึ่ง
“หัวใจของข้าไม่แข็งแรงตั้งแต่กำเนิด จะมีชีวิตอยู่ได้นานเพียงใดก็หารู้ไม่”
....
จูอี้ซินถือเสื้อผ้าสตรีด้วยสีหน้าแย้มยิ้มแต่ข่มความไม่พอใจไว้ในอก นางได้ยินเสียงตอบรับจากหลังบานประตู จึงก้าวเท้าเข้ามาพร้อมท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัว
“ที่ปรึกษาหาน เสื้อผ้าสตรีที่ท่านสั่งไว้ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบใจมาก” หานหรงเหยายื่นมือไปรับด้วยตนเอง แต่เห็นจูอี้ซินยังยืนนิ่งอยู่ เขาจึงเอ่ยปากให้นางออกไป
“เอ่อ นายท่าน ข้าเป็นสตรีให้ข้าช่วยแม่นางดีหรือไม่” จูอี้ซินยังแสร้งแสดงท่าทีห่วงใย แค่บรรดาบ่าวไพร่เล่าลือกันว่าคุณชายหานพาสตรีเข้ามาในจวนก็เป็นที่แตกตื่นกันแล้ว ในครัวส่งสำรับอาหารมาถึงที่ อย่างไรเสีย นางต้องเห็นโฉมหน้าให้ได้ว่า สตรีหน้าหนานางใดกล้าล่อลวงหานหรงเหยา
หานหรงเหยาคิดตามที่จูอี้ซินเอ่ยแล้วก็เห็นคล้อยตาม เจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยอาจต้องการคนช่วยเหลือ และเขาเป็นบุรุษจะช่วยนางคงไม่เหมาะนัก ทว่าอ้าปากยังไม่ทันส่งเสียง หญิงสาวที่อยู่หลังฉากกั้นก็ส่งเสียงออกมาก่อน
“ไม่เป็นไร ข้าจัดการตัวเองได้” หลิวเข่อซิงกระโดดออกมา ใบหน้างดงามราวภาพวาด ดวงตากระจ่างใสจ้องมองพร้อมรอยยิ้มจริงใจ นางสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดี มีเพียงผมยาวสลวยที่ปล่อยสยายยังไม่ได้เกล้าขึ้นให้เรียบร้อย
“เสื้อผ้าชุดนี้ ข้าขอยืมก่อน เอาไว้ข้าพบศิษย์พี่แล้วจะนำมาคืนเจ้า”
“เจ้าค่ะ” จูอี้ซินอึกอักไปครู่หนึ่ง สตรีเบื้องหน้าครอบครองความงามราวเทพธิดา ทว่าท่าทางไร้เดียงสาราวเด็กน้อย แม้นางหมายมั่นปีนป่ายเตียงของซุนเจ้าเฟิง แต่ถ้าได้รับความเอ็นดูจากหานหรงเหยาก็ยินดีรับไว้ ทว่าบุรุษทั้งสองกลับไม่มีท่าทีตอบสนองกับนางสักนิด นางที่เคยมั่นใจรูปโฉมของตนต้องเสียความรู้สึกเพราะบุรุษทั้งสอง แต่ยามนี้หานหรงเหยากลับแสดงท่าทีใส่ใจสตรีขึ้นมา ความริษยาขุมหนึ่งผุดขึ้นในใจทันที
หลิวเข่อซิงเป็นปีศาจเมื่อได้กลิ่นความริษยาก็ทำจมูกฟุดฟิดใกล้ๆ จูอี้ซิน
“แม่นาง...ทำอะไรเจ้าคะ”
“เหตุใดเจ้ามีกลิ่นริษยาเข้มข้นถึงเพียงนี้” หลิวเข่อซิงเอียงคอมองอย่างสงสัย
“ข้า...ข้าเปล่านะ!” จูอี้ซินกินปูนร้อนท้องรีบปฏิเสธโดยเร็ว แต่
หานหรงเหยากลับหัวเราะในลำคอ ยิ่งทำให้จูอี้ซินเสียหน้า นางรีบขอตัว
แล้วก้าวเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“นางเป็นอะไร” หลิวเข่อซิงมองอย่างงุนงง
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าได้กลิ่นความริษยา?” เขาถามด้วยความสนใจแล้วหยิบหวีหยกของตนมาแปรงผมให้นางด้วยตนเอง
หลิวเข่อซิงนั่งนิ่งบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลายและเคลิบเคลิ้มกับการถูกปรนนิบัติ นานจนแทบจำไม่ได้แล้วว่า เคยถูกแปรงขนให้ครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน
“อ่า...ดีจริง”
“แม่นางหลิวหมายถึงเรื่องใด” เขาเองก็ไม่ได้แปรงผมให้สตรีมานานมาก เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเขาเคยปักปิ่นให้หลัวซู่เหมย หัวใจหวนคิดถึงวันวานเห็นภาพนางซ้อนทับหลิวเข่อซิงอย่างไม่ตั้งใจ
“เรียกข้าเข่อซิงเถิด” นางพูดขึ้นทำลายความคิดคำนึงของเขา “เมื่อครู่ข้าหมายถึงที่เจ้าแปรงผมให้ข้า”
“อย่างนั้นหรือ” เขาเพียงรับคำเบาๆ พยายามอย่างสุดจิตสุดใจหักห้ามไม่ให้ตนเองคิดถึงหลัวซู่เหมยอีก
“อ้อ! ข้าได้กลิ่นความริษยา” นางพูดเหมือนเพิ่งนึกได้ “มันไม่เลวร้ายนักหรอก ผู้ใดก็มีความริษยากันได้ เพียงแค่ถ้าริษยามากหน่อย ข้าก็ได้กลิ่น ท่านแม่สอนว่าต้องระวังตัว คนพวกนี้หากมีความริษยามากเกินไปก็อาจทำร้ายผู้อื่นได้”
“ท่านแม่ของเจ้าพูดถูกต้องแล้ว” เขาเองก็พอรู้ความคิดของจูอี้ซิน แต่เพราะนางเองไม่ได้ทำให้เขากับสหายรำคาญนัก และพ่อบ้านจูดูแลจวนเป็นอย่างดี
เรื่องพวกนี้หากเขาไม่ตอบสนอง ในสักวันคงเลิกราไปเอง “อื้ม” นางพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ถึงปลายนิ้วของเขาที่รวบผมนางแล้วปักปิ่นให้ “ยามข้ากินเศษพลังชีวิตที่ศิษย์หลงเหลือไว้ให้ ก็ได้เสพรสชาติเหล่านี้ด้วย ไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ก็ต้องกินไม่เช่นนั้นข้าก็จะทรมานมาก” “อย่างนั้นหรือ” “ข้าเป็นปีศาจอย่างไรเสียก็ต้องกลืนกินความรู้สึกเหล่านี้อยู่แล้ว” นางเบ้ปากแต่เมื่อหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขาแล้ว แล้วก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่เจ้ามีวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรถ้าเจ้าตายแล้วยกให้ข้านะ” “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” “เพราะข้าไม่กล้าฆ่ามนุษย์ ซ้ำยังยั่วยวนมนุษย์ไม่เป็นอีก หากรอกินเพียงเศษพลังชีวิตที่ศิษย์พี่เหลือให้เกรงว่าต้องกลายเป็นปีศาจพิกลพิการไม่สมบูรณ์ ท่านแม่จึงให้ข้ามาหาศิษย์พี่ที่หอชมบุหลัน ให้สั่งสอนการเสพพลังชีวิตมนุษย์และพลังหยางด้วย” “หอชมบุหลัน เจ้าหมายถึงหอนางโลม...” ยังพูดไม่จบประโยคดีนางก็พยักหน้ารับ มิน่าเล่าถึงได้พบกันที่สะพานข้ามคลอง เพราะนางกำลังจะไปที่หอชมบุหลัน “แล้วเจ้าล่ะ ทำไมอยากฆ่าตัวตาย หรือเพราะหัวใจอ่อ
หญิงงามอันดับหนึ่งอันดับหนึ่งแห่งหอชมบุหลันนามหลิวชิงเซียงกำลังยืนข่มโทสะอยู่หน้าประตูทางเข้าหอนางโลม แม้หลิวชิงเซียงครอบครองความงามเกินคำบรรยาย แต่เวลานี้ทุกคนย่อมรู้ว่านางเปี่ยมไปด้วยไฟโทสะ จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ มือเรียวกอดอกนิ่งงันแต่ปลายนิ้วเคาะที่แขนของตนด้วยความหงุดหงิด ‘ข้าส่งเข่อซิงไปให้เจ้าอบรมสั่งสอน ในฐานะศิษย์พี่เจ้าก็เมตตาเอ็นดูนางสักนิดเถิด’ ‘ทำไมท่านแม่ให้ข้าดูแลจิ้งจอกปัญญาอ่อนนั่น!’ ‘ชิงเซียง...เจ้าเองก็เคยถูกผู้อื่นตราหน้าเป็นปีศาจชั้นต่ำมาก่อน เจ้าควรเข้าใจนาง’ ‘ท่านแม่...’ ‘วาจาเรียกข้าท่านแม่ ยังมีความเชื่อฟังหรือไม่’ ‘ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว’ นั้นเป็นเรื่องที่นางสนทนากับ ‘ท่านแม่’ ผ่านทูตอีกาสื่อสารที่ท่านแม่ส่งมา ความจริงเข่อซิงไม่ใช่ปีศาจตนแรกที่ท่านแม่ส่งมา ในหอชมบุหลันนี้เป็นที่อาศัยของเหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิว แม้มิใช่พี่น้องแต่ก็นับเป็นพี่น้อง ในหุบเขาจื่อเซ่อจะเรียกกันตามอายุหรือพลังปีศาจของแต่ละตน ส่วนนางนั้นทุกตนเรียกศิษย์พี่ใหญ่ ได้รับมอบหมายใ
“ไม่ได้ ท่านแม่ให้ข้าฝึกฝนเจ้า เจ้าก็ต้องออกรับแขกด้วยตนเอง”“แต่มันน่ากลัวนี่น่า ไหนจะเสียงร้องสยอดสยองนั้นอีก ข้า...ข้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้”“เสียงร้องสยอดสยองอันใด นั้นเรียกเสียงครวญกระเส่าต่างหาก!” หลิวชิงเซียงถลึงตาใส่อีกครั้ง สวรรค์! นางทำผิดอันใดถึงต้องมาสั่งสอนเข่อซิง พลังชีวิตที่สะสมมาต้องสิ้นเปลืองไปเพราะเจ้าตัวโง่งมตนนี้แล้ว นางสูดลมหายใจอีกเฮือกใหญ่แล้วกัดฟันคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา“เอาเป็นว่า เจ้าทำตามที่ข้าสอน ต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าที่เคยทำมา ไม่เช่นนั้นจะเสียชื่อเสียงข้าหมด เจ้าเข้าใจหรือไม่”“อื้ม! ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามสุดความสามารถ จะต้องเก่งกาจให้เหมือนผู้ดูแลหลิวให้ได้!”“ได้แค่ปลายเล็บของข้าก่อนค่อยคุยโม้โอ้อวดตน” หลิวชิงเซียงส่ายหน้าระอาใจ “เจ้าเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำ พลังก็น้อยนิด หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จะกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดง อยู่ที่นี่แม้พวกเราเป็นปีศาจแต่ด้านนอกก็มีนักล่าปีศาจและนักพรตปราบมารอยู่มากมายที่จ้องสังหารพวกเรา เจ้าต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้กลิ่นไอปีศาจจากตัวเจ้า”หลิวชิงเซียงกล่าวเป็นการเป็นงานไม่ได้ตวาดอีก ทำให้หลิวเข่อซิงฟังด้ว
ซุนเจ้าเฟิงเป่าลมออกทางปากทำหน้าบูดบึงแล้วเอ่ยขึ้น “เพราะเหตุนี้เจ้าจึงเป็นห่วงนางใช่หรือไม่” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ย “เจ้าคงนึกหัวเราะเยาะข้าอยู่ในใจสินะ พบกันเพียงครู่เดียวกลับเป็นกังวลเช่นนี้” “ไม่ๆ เหตุใดข้าต้องหัวเราะเจ้าด้วย” ซุนเจ้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พบกันล้วนเกิดจากวาสนา เจ้าเป็นห่วงนางก็เป็นเรื่องดี เอาอย่างนี้ ลองแวะไปเยี่ยมนางดูสักครา หากนางต้องการให้ช่วยเหลือก็ทำตามสมควรเถิด” “ถ้าเช่นนั้น...” “ไป ไปกัน” “ไปไหน?” “ไปหอชมบุหลันอย่างไรเล่า” “ไปกลางวันแสกๆ อย่างนี้รึ” “วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้วนี่” เขาเองก็กลับมาที่จวนเพราะสั่งงานที่ค่ายทหารเรียบร้อยดีแล้ว “ยาเจ้าก็กินแล้วไปกันตอนนี้เลย” หานหรงเหยากระดากใจเล็กน้อย มิใช่ว่าไม่เคยย่างเท้าเข้าหอนางโลม แต่ทุกครั้งที่ไปก็พาเหล่าทหารไปผ่อนหลังทำภารกิจสำคัญลุล่วง แต่ครั้งนี้.... ซุนเจ้าเฟิงไม่รอให้หานหรงเหยาคิดนาน คว้าข้อมือของสหายได้ก็แทบลากตัวปลิวมุ่งหน้าไปหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองทันที ปลายนิ
“เข่อซิง” หญิงสาวได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นางลุกขึ้นจากเตียงแต่ไร้เรี่ยวแรงและนึกได้ว่าหูกับหางจิ้งจอกแดงโผล่ออกมาแล้ว นางอยากขยับตัวหาที่ซ่อนแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงยกมือขึ้นปิดหูของตน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” หลิวชิงเซียงและหานหรงเหยาเอ่ยออกมาแทบพร้อมกัน หลิวชิงเซียงปรายตามองทางชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ดูท่าทางเขาห่วงใยเจ้าตัวโง่งมนั้นจริงจัง เอ๊ะ? เขารู้หรือไม่ว่านางเป็น.... หานหรงเหยาไม่ได้สนใจใครอื่น ในสายตาของเขามีเพียงเจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่นั่งบนเตียงและยกมือขึ้นปิดหู เขาสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วไม่สนใจท่าทีตื่นตะลึงของซุนเจ้าเฟิง รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกคลี่คลุมศีรษะของนาง แล้วโน้มหน้าลงประกบริมฝีปากกับหญิงสาวที่เบิกตากว้าง ลมหายใจอุ่นร้อนไหลเวียนเข้ามาในกายพร้อมกับพลังชีวิตทำให้หลิวเข่อซิงที่แทบหมดแรงสูดลมหายใจของเขาไปเฮือกใหญ่ นางหิวโหยและละโมบจนต้องยกมือขึ้นประกบใบหน้าของเขาไว้ไม่ยอมให้ถอยหนี ก็นางหิวนี่...หิวมากๆ ซุนเจ้าเฟิงอ้าปากค้าง เขาไม่เคยเห็นสหายจู่โจมสตรีเช่นนี้มาก่อน อย่าว
“สาวใช้?” หลิวเข่อซิงทวนคำแล้วก็เห็นว่าตำแหน่งนี้นางน่าจะทำได้ดี จากที่นาง ‘พยายาม’ เรียรรู้จากพี่เลี้ยงที่หลิวชิงเซียงส่งมาอบรมสั่งสอนแล้ว นางมั่นใจว่าตนเองเหมาะที่จะรับใช้ผู้อื่นเพื่อแลกกับการกินเศษพลังชีวิตเล็กๆ น้อยๆ เหมือนที่เคยอยู่ในหุบเขา“ได้ๆ ข้าเป็นสาวใช้ให้เจ้าเอง” นางรีบเสนอตัวแล้วหันไปถามหลิวชิงเซียง “ข้าไปเป็นสาวใช้ของเขาได้ไหม”“สาวใช้อะไรกัน ยังเรียกเจ้านายว่าเจ้านั้นเจ้านี้ ไร้มารยาทเสียจริง”“ได้ๆ ข้าจะพยายาม” นางไม่ถือสาที่ซุนเจ้าเฟิงตำหนินาง “ข้าต้องเรียกเจ้าว่าอะไร”“ใต้เท้า นายท่าน หรือที่ปรึกษาหาน ห้ามเรียกเจ้าๆ อย่างที่ผ่านมาอีก” ซุนเจ้าเฟิงทำตาดุใส่ ทำไมนางโง่งมขนาดนี้ เขาฝึกทหารเป็นหมื่นเป็นแสนยังไม่ยากเท่ากับคุยกับนางเลย“ได้ เช่นนั้น ข้าเรียกเจ้าว่านายท่าน”หานหรงเหยายิ้มและพยักหน้าให้ “ตามใจเจ้าเถิด”“จะพานางไปก็จ่ายค่าไถ่ตัวนางเสียก่อน” หลิวชิงเซียงยังคงยิ้มอ่อนหวานแต่แววตามีความรื่นเริง แน่นอนว่านางหาวิธีกำจัดเจ้าตัวโง่งม ออกไปพ้นหูพ้นตา และอีกทาง นางยังสามารถหาเหตุผลไปเยี่ยมเยือนเข่อซิงที่จวนแม่ทัพซุนได้ คนผู้นี้มีพลังชีวิตกล้าแกร่ง หากได้กลืนกินย
“ข้าจำได้ว่า ผู้ดูแลหลิวบอกว่า ข้ามีวิญญาณพิสุทธิ์ นั้นหมายความว่าข้าเป็นคนดีหรือ?” “ถูกต้อง” นางพยักหน้ายืนยัน “เหล่าภูตผีปีศาจชอบวิญญาณพิสุทธิ์ หากได้กลืนกินจะเพิ่มพลังให้แก่ตนเอง” “เช่นนั้น เป็นคนดีย่อมไม่ปลอดภัยสินะ” เขายิ้มขำ คนอย่างเขานะหรือ?ที่เรียกว่า “คนดี” หากเรียกว่า “เจ้าเล่ห์เพทุบาย” น่าจะได้อยู่ “ไม่ๆ” นางส่ายหน้าไปมา “เพราะเป็นคนดี สวรรค์จึงคุ้มครอง ไม่ให้มารปีศาจตนใดจะแตะต้องได้ง่ายๆ” “แล้วเจ้าเล่า ไม่ใช่ปีศาจหรือไร” “ข้า... “ นางยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “เพราะร่างเดิมข้าคือจิ้งจอกแดง ท่านแม่ข้าเป็นจอมปีศาจชุบเลี้ยงข้าด้วยปราณปีศาจ ข้าจึงเป็นปีศาจ แต่ข้ายังไม่กล้าแกร่ง ไอปีศาจเบาบาง เจ้าเลยไม่รู้ว่าข้าเป็นปีศาจอย่างไรเล่า” “เช่นนั้น ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของเจ้าสร้างขึ้น” “ถูกต้อง ข้าถึงเรียกนางว่าท่านแม่อย่างไร” นาวพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกว่า จริงๆ พวกเราต้องเรียกท่านแม่ว่าอาจารย์ แต่ท่านแม่ไม่ชอบ ท่านแม่แสดงให้เห็นว่ารักทุกตนเท่าเทียมกันจึงให้เรีย
อยู่ชายแดนมานาน ต่างรู้กันว่าที่ปรึกษาหานเป็นผู้รักสันโดษ น้อยครั้งที่จะพบเขาเดินซื้อของในตลาดเช่นวันนี้ และยิ่งต้องแปลกใจเมื่อข้างกายมีสตรีงดงามเดินเคียง ท่าทางอยากรู้อยากเห็นไปทุกสิ่งทำให้ใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เป็นนิตย์ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น หากไม่นับเรื่องสุขภาพแล้ว หานหรงเหยานับเป็นบัณฑิตรูปงาม รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาแฝงความอ่อนโยนที่ชวนให้สตรีเฝ้าถวิลหา แต่เพราะใช้ชีวิตนับถอยหลังรอวันตายทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ใครเล่าจะอยากเป็นม่ายแต่เยาว์วัย แต่ยามนี้ข้างกายบุรุษใกล้ตายผู้นั้นมีสตรีเกาะแขนกึ่งลากกึ่งจูงดูข้าวของสองข้างทาง เดิมทีคิดแค่ซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้หลิวเข่อซิง แต่นางเหมือนเด็กที่เห็นสิ่งใดก็ใคร่รู้ไปเสียหมด นอกจากนางมาจากหุบเขาจื่อ เซ่อแล้ว นางยังเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่แทบไม่เคยรู้จักมนุษย์ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าตลาดเบื้องหน้านาง “เข่อซิง เดินดีๆ ประเดี๋ยวหกล้ม” “ข้าไม่ล้มๆ” นางหันมายิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “เจ้า เอ๊ย ท่าน เอ่อ นายท่าน เดินเร็วๆสิ” “ข้าวของไม่หนีเจ้าไปไหน ไม่ต้องรีบ