“เข่อซิง”
หญิงสาวได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นางลุกขึ้นจากเตียงแต่ไร้เรี่ยวแรงและนึกได้ว่าหูกับหางจิ้งจอกแดงโผล่ออกมาแล้ว นางอยากขยับตัวหาที่ซ่อนแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงยกมือขึ้นปิดหูของตน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลิวชิงเซียงและหานหรงเหยาเอ่ยออกมาแทบพร้อมกัน หลิวชิงเซียงปรายตามองทางชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ดูท่าทางเขาห่วงใยเจ้าตัวโง่งมนั้นจริงจัง
เอ๊ะ? เขารู้หรือไม่ว่านางเป็น....
หานหรงเหยาไม่ได้สนใจใครอื่น ในสายตาของเขามีเพียงเจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่นั่งบนเตียงและยกมือขึ้นปิดหู เขาสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วไม่สนใจท่าทีตื่นตะลึงของซุนเจ้าเฟิง รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกคลี่คลุมศีรษะของนาง แล้วโน้มหน้าลงประกบริมฝีปากกับหญิงสาวที่เบิกตากว้าง ลมหายใจอุ่นร้อนไหลเวียนเข้ามาในกายพร้อมกับพลังชีวิตทำให้หลิวเข่อซิงที่แทบหมดแรงสูดลมหายใจของเขาไปเฮือกใหญ่ นางหิวโหยและละโมบจนต้องยกมือขึ้นประกบใบหน้าของเขาไว้ไม่ยอมให้ถอยหนี
ก็นางหิวนี่...หิวมากๆ
ซุนเจ้าเฟิงอ้าปากค้าง เขาไม่เคยเห็นสหายจู่โจมสตรีเช่นนี้มาก่อน อย่าว่าแต่จุมพิตเลย แค่เข้าใกล้ก็ยังไม่เคย แต่นี้...นี่จะ..จูบ ...จูบต่อหน้าผู้อื่นนี่นะ!
เพราะไม่ใช่ครั้งที่ถูกเจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยกลืนกินพลังชีวิตของเขา แต่อาจเพราะครั้งนี้ยาวนานกว่าครั้งก่อนและ ริมฝีปากของนางสัมผัสริมฝีปากของเขา มือใหญ่ยกมือขึ้นลูบศีรษะของนางเบาๆ ทำให้รู้ว่าหูของนางกลับมาเป็นปกติแล้ว
“อา...รอดแล้ว”
หลิวเข่อซิงถอนริมฝีปาก และปล่อยมือจากใบหน้าเกลี้ยงเกลา นางแลบลิ้นเลียริมฝีปากราวกับเพิ่งได้กินของเอร็ดอร่อย ดวงตางดงามจ้องมองเขาพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณเจ้ามาก”
เขายิ้มอย่างเอ็นดู “ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“อื้ม!” นางพยักหน้าหงึกหงัก “เจ้าช่วยข้าอีกแล้ว”
หานหรงเหยาเห็นนางดีขึ้นแล้วจริงๆ ก็ยอมถอยออกมา ทว่ากลับเพิ่งสังเกตว่าอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางเบาดุจปีกจั๊กจั่นที่เปิดเผยเรือนร่างเย้ายวน เขาถึงกับกระแอมไอแล้วหมุนตัวหันหลังให้ แต่นางยังทำหน้าซื่อตาใสไม่เข้าใจใบหน้าที่ฝาดสีเลือดของเขา
เมื่อหานหรงเหยาหันกลับมา จึงปะทะกับสายตาของหลิวชิงเซียงและซุนเจ้าเฟิง ทั้งสองมีสีหน้าตื่นตะลึงไม่แพ้กัน
“นี่เจ้ากับแม่นางน้อยผู้นั้น...” ซุนเจ้าเฟิงไม่อยากจะเชื่อเลยว่า บุรุษที่ทำตัวเหมือนนักพรตอย่างหานหรงเหยาจะพ่ายแพ้กับสตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ เอ่อ...งดงามไม่น้อย เมื่อคิดว่านั้นคือสตรีของสหายจึงย้ายสายตาไปทางอื่นแทน
หลิวชิงเซียงได้สติก็คลี่ยิ้มอ่อนหวาน เดินเข้าไปหาพลางกวาดตามองอย่างเปิดเผย
“ที่แท้...ที่ปรึกษาหานรู้จักสนิทสนมกับเข่อซิงมาก่อน”
“อื้มๆ” หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับ “เขาจะฆ่าตัวตาย แต่ข้าห้ามไว้ก่อน”
“ฆ่าตัวตาย!” ซุนเจ้าเฟิงถึงกับหันขวับมามองทันที
“เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น” หานหรงเหยาอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“แต่ข้าช่วยเจ้าไว้จริงๆ นะ” เข่อซิงเผลอยื่นมือมาจับแขนเสื้อของหานหรงเหยาและเขย่า ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมองแล้วยิ้มอ่อนโยน
“ก็จริง เจ้าช่วยข้าไว้”
‘ช่วยขับไล่ความสงบเงียบไปจากชีวิตของเขา’
ริมฝีปากที่เคยซีดเซียวเปลี่ยนเป็นสีชาดค่อยๆคลี่ยิ้มกว้าง แล้วหันไปพูดกับหลิวชิงเซียงด้วยท่าทางโอ้อวด
“ข้าช่วยเขาไว้จริงๆ นะ”
พี่เลี้ยงสองคนรวมทั้งหลิวชิงเซียงลอบสบตากัน แล้วฉีกยิ้มออกมา หลิวชิงเซียงยังคงประดับรอยยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยขึ้น
“เป็นเช่นนี้เอง ข้าน้อยต้องขอบคุณที่ปรึกษาหานที่ช่วยเข่อ...เอ่อ..น้องเข่อซิงของเราไว้นี่เอง”
“แต่ผู้อื่นคิดจะถลกหนังข้า” เข่อซิงได้ทีรีบฟ้องหลิวชิงเซียงซ้ำยังชี้นิ้วไปยันซุนเจ้าเฟิง
“ข้าเปล่านะ!” ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้ารัว นางพูดเรื่องอะไรกัน
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน” หานหรงเหยาแก้ไขให้ “ยังไม่ได้อธิบายเจ้าก็จากมาแล้ว จำได้ว่าเจ้าจะมาที่นี่ ข้าเป็นห่วงจึงมาเยี่ยมเยือน”
“เจ้า...เป็นห่วงข้า”
ดวงตากลมฉายแววประหลาดใจ แต่หัวใจนั้นเต้นผิดปกติ ทำไมนางรู้สึก ‘ดีใจ’ ที่มีคนห่วงใย ถึงขนาดตามหานางทั้งที่.. เขาก็รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์
“ที่ปรึกษาหาน ที่นี่เป็นหอนางโลมหากท่านคิดจะมาเยี่ยมนางก็เห็นที่ว่าต้อง...”
“ข้าเข้าใจ” หานหรงเหยายังคงเอ่ยอย่างสุภาพ “เมื่อครู่ได้ยินว่า...เข่อซิงต้องออกรับแขก”
“ใช่ๆ ข้าต้องออกรับแขก” นางพูดด้วยความตื่นเต้นและทำเหมือนเป็นเรื่องสนุก “เป็นครั้งแรกของข้า ข้าพยายามเรียนรู้อยู่”
‘พยายามเรียนรู้... เจ้าก็ช่างกล้าใช้ประโยคนี้’
พี่เลี้ยงทั้งสองถึงกับกลอกตามองบน
หานหรงเหยาเห็นแววตาใสซื่อของหลิวเข่อซิง หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความปวดใจ เขารู้ดีแก่ใจว่านางต้องกลืนกินพลังชีวิต แต่นางใสซื่อถึงเพียงนี้ จะอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่นางจากเขามาคงยังไม่กินพลังชีวิตจากผู้ใดจึงได้มีสภาพเช่นนั้น
เห็นสีหน้าวิตกระคนทุกข์ใจของสหายรัก ซุนเจ้าเฟิงได้แต่โคลงศีรษะไปมา แล้วตัดสินใจเอ่ยปากแทนหานหรงเหยา
“เช่นนั้นก็ขายนางให้ข้า เอ่อ ไม่ใช่ให้สหายของข้าเสียสิ”
“ท่านแม่ทัพซุนพูดว่าอะไรนะเจ้าคะ” หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วถาม ดูเหมือนคนผู้นี้จะไม่รู้เรื่องอะไรนัก
“ที่นี่หอนางโลมนี่” เขาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม “สหายข้าต้องการซื้อแม่นางผู้นั้นออกไปจากที่นี่ ต้องจ่ายเท่าไหร่”
“ซื้อข้า?” เข่อซิงใช้ปลายนิ้วชี้ที่หน้าตัวเอง แล้วเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยาที่กัดริมฝีปากครุ่นคิด
หากให้นางอยู่เช่นนี้เขาก็ไม่วางใจ ไหนๆ ก็มีชีวิตได้ไม่นาน ก็อุทิศพลังชีวิตที่เหลืออยู่ในนางได้ฝึกฝนเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็แล้ว
“อืม ข้าต้องการซื้อตัวหลิวเข่อซิง ไม่ทราบว่าแม่นางหลิวชิงเซียง คิดเห็นอย่างไร”
หลิวชิงเซียงหรี่ตามองหานหรงเหยา แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านรู้เรื่องเข่อซิงดีแค่ไหน นางไม่เหมือนผู้อื่น”
“ข้ารู้และคิดว่าสามารถดูแลนางได้”
“จะให้นางอยู่ในฐานะอะไร”
“ฐานะ...” เขาไม่ได้คิดเรื่องนั้น แค่อยากช่วยนางออกมาจากสถานที่แห่งนี้
“จะฐานะอะไร ให้นางเป็นสาวใช้ข้างกายสหายข้าอย่างไรเล่า”
เป็นแค่สตรีในหอนางโลมจะเรียกร้องเอาฐานะอันใดอีก ได้เป็นสาวใช้อุ่นเตียงก็ดีมากแล้ว ซุนเจ้าเฟิงหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“สาวใช้?” หลิวเข่อซิงทวนคำแล้วก็เห็นว่าตำแหน่งนี้นางน่าจะทำได้ดี จากที่นาง ‘พยายาม’ เรียรรู้จากพี่เลี้ยงที่หลิวชิงเซียงส่งมาอบรมสั่งสอนแล้ว นางมั่นใจว่าตนเองเหมาะที่จะรับใช้ผู้อื่นเพื่อแลกกับการกินเศษพลังชีวิตเล็กๆ น้อยๆ เหมือนที่เคยอยู่ในหุบเขา“ได้ๆ ข้าเป็นสาวใช้ให้เจ้าเอง” นางรีบเสนอตัวแล้วหันไปถามหลิวชิงเซียง “ข้าไปเป็นสาวใช้ของเขาได้ไหม”“สาวใช้อะไรกัน ยังเรียกเจ้านายว่าเจ้านั้นเจ้านี้ ไร้มารยาทเสียจริง”“ได้ๆ ข้าจะพยายาม” นางไม่ถือสาที่ซุนเจ้าเฟิงตำหนินาง “ข้าต้องเรียกเจ้าว่าอะไร”“ใต้เท้า นายท่าน หรือที่ปรึกษาหาน ห้ามเรียกเจ้าๆ อย่างที่ผ่านมาอีก” ซุนเจ้าเฟิงทำตาดุใส่ ทำไมนางโง่งมขนาดนี้ เขาฝึกทหารเป็นหมื่นเป็นแสนยังไม่ยากเท่ากับคุยกับนางเลย“ได้ เช่นนั้น ข้าเรียกเจ้าว่านายท่าน”หานหรงเหยายิ้มและพยักหน้าให้ “ตามใจเจ้าเถิด”“จะพานางไปก็จ่ายค่าไถ่ตัวนางเสียก่อน” หลิวชิงเซียงยังคงยิ้มอ่อนหวานแต่แววตามีความรื่นเริง แน่นอนว่านางหาวิธีกำจัดเจ้าตัวโง่งม ออกไปพ้นหูพ้นตา และอีกทาง นางยังสามารถหาเหตุผลไปเยี่ยมเยือนเข่อซิงที่จวนแม่ทัพซุนได้ คนผู้นี้มีพลังชีวิตกล้าแกร่ง หากได้กลืนกินย
“ข้าจำได้ว่า ผู้ดูแลหลิวบอกว่า ข้ามีวิญญาณพิสุทธิ์ นั้นหมายความว่าข้าเป็นคนดีหรือ?” “ถูกต้อง” นางพยักหน้ายืนยัน “เหล่าภูตผีปีศาจชอบวิญญาณพิสุทธิ์ หากได้กลืนกินจะเพิ่มพลังให้แก่ตนเอง” “เช่นนั้น เป็นคนดีย่อมไม่ปลอดภัยสินะ” เขายิ้มขำ คนอย่างเขานะหรือ?ที่เรียกว่า “คนดี” หากเรียกว่า “เจ้าเล่ห์เพทุบาย” น่าจะได้อยู่ “ไม่ๆ” นางส่ายหน้าไปมา “เพราะเป็นคนดี สวรรค์จึงคุ้มครอง ไม่ให้มารปีศาจตนใดจะแตะต้องได้ง่ายๆ” “แล้วเจ้าเล่า ไม่ใช่ปีศาจหรือไร” “ข้า... “ นางยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “เพราะร่างเดิมข้าคือจิ้งจอกแดง ท่านแม่ข้าเป็นจอมปีศาจชุบเลี้ยงข้าด้วยปราณปีศาจ ข้าจึงเป็นปีศาจ แต่ข้ายังไม่กล้าแกร่ง ไอปีศาจเบาบาง เจ้าเลยไม่รู้ว่าข้าเป็นปีศาจอย่างไรเล่า” “เช่นนั้น ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของเจ้าสร้างขึ้น” “ถูกต้อง ข้าถึงเรียกนางว่าท่านแม่อย่างไร” นาวพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกว่า จริงๆ พวกเราต้องเรียกท่านแม่ว่าอาจารย์ แต่ท่านแม่ไม่ชอบ ท่านแม่แสดงให้เห็นว่ารักทุกตนเท่าเทียมกันจึงให้เรีย
อยู่ชายแดนมานาน ต่างรู้กันว่าที่ปรึกษาหานเป็นผู้รักสันโดษ น้อยครั้งที่จะพบเขาเดินซื้อของในตลาดเช่นวันนี้ และยิ่งต้องแปลกใจเมื่อข้างกายมีสตรีงดงามเดินเคียง ท่าทางอยากรู้อยากเห็นไปทุกสิ่งทำให้ใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เป็นนิตย์ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น หากไม่นับเรื่องสุขภาพแล้ว หานหรงเหยานับเป็นบัณฑิตรูปงาม รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาแฝงความอ่อนโยนที่ชวนให้สตรีเฝ้าถวิลหา แต่เพราะใช้ชีวิตนับถอยหลังรอวันตายทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ใครเล่าจะอยากเป็นม่ายแต่เยาว์วัย แต่ยามนี้ข้างกายบุรุษใกล้ตายผู้นั้นมีสตรีเกาะแขนกึ่งลากกึ่งจูงดูข้าวของสองข้างทาง เดิมทีคิดแค่ซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้หลิวเข่อซิง แต่นางเหมือนเด็กที่เห็นสิ่งใดก็ใคร่รู้ไปเสียหมด นอกจากนางมาจากหุบเขาจื่อ เซ่อแล้ว นางยังเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่แทบไม่เคยรู้จักมนุษย์ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าตลาดเบื้องหน้านาง “เข่อซิง เดินดีๆ ประเดี๋ยวหกล้ม” “ข้าไม่ล้มๆ” นางหันมายิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “เจ้า เอ๊ย ท่าน เอ่อ นายท่าน เดินเร็วๆสิ” “ข้าวของไม่หนีเจ้าไปไหน ไม่ต้องรีบ
“แต่บริเวณรอบนอกมีหมู่บ้านคน” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆ ก็รู้ หานหรงเหยาไม่อยากให้ปีศาจสาวลำบากใจจึงชิงอธิบายก่อน “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมากินข้าวเที่ยงในเมืองได้” “อาวุธตัวอย่างถูกส่งมาแล้ว ข้าให้ส่งไปที่จวนเลยจะกลับไปดู” ซุนเจ้าเฟิงคลั่งไคล้อาวุธทุกชนิด เขาเสียเงินทองไปมากมายเกินกว่าจะนับได้หวาดไหว เพื่อซื้ออาวุธชั้นเลิศมาไว้ในครอบครอง “เช่นนั้นข้าจะกลับไปดูพร้อมเจ้า” ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้าม “วันนี้เจ้าหยุดนี่ พาเข่อซิงเที่ยวเล่นเถิด” “ข้าไม่ได้เที่ยวเล่นนะ” เข่อซิงรีบพูดแก้ไขไม่ให้ซุนเจ้าเฟิงเข้าใจผิด ผู้อื่นเกรงกลัวชายผู้นี้ แต่นางไม่ เพราะเขาไม่เป็น ‘เจ้านาย’ของนางเสียหน่อย ‘ขนาดนี้แล้วไม่เรียกเที่ยวเล่นจะให้เรียกว่าอะไร’ เป็นอีกครั้งที่ซุนเจ้าเฟิงต้องกลั้นหัวเราะ เขารู้ว่าสหายหน้าบางเรื่องสตรี ตั้งแต่มีเรื่องหลัวซู่เหมยกลายเป็นพี่สะใภ้ เขาก็ไม่เคยเห็นหานหรงเหยายิ้มกับใครอีก โดยเฉพาะกับสตรี แต่พอมีหลิวเข่อซิงเข้ามาในชีวิต หานหรงเหยาก็ทำราวกับเก็บสัตว์เลี้ยงเล็กๆ มาดูแล ช่างเถอะ นางจะเป็นอ
ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแค่...น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น “เขาคิดอะไรอยู่” หลิวชิงเซียงพึมพำกับตนเองแล้วยึดกายขึ้นยืนบนกิ่งไม้ หานหรงเหยามิใช่นักพรตและมิใช่นักปราบมาร เขาเป็นเพียงบัณฑิตอมโรคที่รอวันตายเพราะหัวใจอ่อนแอ ทว่ากลับเอ็นดูปีศาจอย่างเข่อซิง ยอมให้กินพลังชีวิตของตนเอง แต่แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสุข คนแบบไหนกันที่ยอมบั่นทอนอายุตนเองให้ปีศาจตนหนึ่ง ‘รัก?’ ไม่มีทาง ปีศาจกับมนุษย์นี้นะจะรักกัน ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และนางอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตานั้น ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ดวงตาคมหรี่ตามองที่หนึ่งคนและหนึ่งปีศาจจิ้งจอกแดงที่อยู่ร่วมกันในเรือนหลังนั้น มุมปากยกยิ้มหยามเหยียดแล้วพลิ้วกายในความมืดมุ่งหมายกลับไปที่หอชมบุหลัน ทว่าเมื่อผ่านมาถึงลานกว้าง ดวงตางามมองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่กำลังร่ายรำเพลงทวน ปลายทวนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์ การเคลื่อนไหวสอดประสานกับลำทวน ทุกท่วงท่าทรงพลัง หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจได้กลิ่นอายบุรุษเพศผสนกับกลิ่นความทะเยอทะยานและกระหายเลือด นางเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว
ซุนเจ้าเฟิงมองหญิงสาวก้าวเดินจากไป เขายกมือขึ้นกอดอก นางมาจากทางใดกัน เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่นางเพียงใด นางไม่เหมือนคนมีวรยุทธ์ แต่ท่าทีสงบนิ่งนั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน ไอสังหารในตัวเขาทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นางกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว และยังคงมีสติต่อปากต่อคำกับเขาได้อีก ปกติเขาไม่ชอบสตรีพูดมากน่ารำคาญ แต่น้ำเสียงนางราบรื่นดุจสายน้ำและพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาให้องครักษ์เงาสืบเรื่องของนาง แต่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ความเป็นปกตินั้นมากเกินไป เหมือนซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หวังว่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายสหายเขาจะไม่ใช่คนที่นางส่งหลอกลวงหานหรงเหยา เขามีสหายรักเพียงคนเดียว เกรงว่าจะถูกความไร้เดียงสานั้นทำให้ปวดใจอีกครา หญิงงามในชุดกระโปรงสีแดงสดใส วิ่งไปมาในจวนแม่ทัพจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในจวน แม้กระทั่งในค่ายทหาร นางก็ติดตามหานหรงเหยาไปด้วย โดยที่แม่ทัพใหญ่เห็นดีเห็นงามให้เหตุผลเรื่องสุขภาพของที่ปรึกษาหานต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่กุมขมับไม่คิดว่าสหายจริงจังถึงเพียงนี้
“แต่หุบเขาจื่อเซ่ออันตรายมาก มนุษย์เข้าไปไม่ได้” “ข้ารู้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่ต้องใช้เส้นทางลัดเลาะรอบนอก แต่เราจำเป็นต้องรู้ภูมิประเทศ อีกอย่าง ข้าได้อ่านบันทึกของเมืองนี้ เคยเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ทั้งเสบียงอาหารยารักษาโรค กว่าจะใช้เส้นทางได้ก็นานนับเดือน” “ข้าจำได้ ข้าเคยเห็น” “นั้นมั้นตั้งยี่สิบปีมาแล้ว” “ก็ข้าอายุหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว ก็ต้องเคยเห็นสิ” นางแยกเขี้ยวใส่ “ข้าอายุมากกว่านายท่านนะ อย่าลืมสิ” คราวนี้เขาหลุดหัวเราะมาอีกครั้ง “เป็นข้าที่ผิดเอง” นางผงกศีรษะรับคำขอโทษ แล้วจิบน้ำชา รสชาติดีชุ่มคอเหลือเกิน “ความจริงเส้นทางในหุบเขาไม่ใช่ความลับอะไร ท่านแม่บอกว่าห้ามคนนอกรู้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เส้นทางเหล่านี้ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับเข้าใจคำพูดของนาง ที่นั้นเสมือนบ้านของนางหากให้ผู้อื่นรู้เส้นทางเข้าออกบ้านย่อมไม่ปลอดภัย “จริงสิ” หลิวเข่อซิงร้องขึ้นอย่างนึกได้ “ท่านก็เป็นคนในครอบครัวข้าสิ ข้าจะได้บอกเส้นทางให้ท่านรู
“นายท่าน! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าเห็นจิ้ง...จอก...” จูอี้ซินวิ่งตามจิ้กจอกแดง เห็นชัดเต็มสองตาว่ามันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง นางจึงรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้รายงานก่อน ทว่าสิ่งที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน และที่สำคัญ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่ “กรี๊ดดดด” เสียงหวีดร้องของจูอี้ซินทำให้หลิวเข่อซิงได้สติ หานหรงเหยายอมถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อออกจากอ่างน้ำแต่เขาโอบกอดนางมาแนบชิดและยกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะนางให้ซบลงซอกคอของเขา พลางส่งเสียงกระซิบ “อย่าเพิ่งขยับ เจ้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า” เข่อซิงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จะว่าไปนางเปลือยกายต่อหน้าของเขาหลายครั้ง เมื่อนางกลายร่างจากจิ้งจอกแดงมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย นางจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาสั่ง “เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงที่ฝึกเพลงกระบี่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงหวีดร้องจึงรีบทะยานเข้ามาดู เห็นจูอี้ซินยกมือขึ้นปิดหน้า เขามองเลยไปด้านหล