“นายท่าน! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าเห็นจิ้ง...จอก...”
จูอี้ซินวิ่งตามจิ้กจอกแดง เห็นชัดเต็มสองตาว่ามันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง นางจึงรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้รายงานก่อน ทว่าสิ่งที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน และที่สำคัญ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่
“กรี๊ดดดด”
เสียงหวีดร้องของจูอี้ซินทำให้หลิวเข่อซิงได้สติ หานหรงเหยายอมถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อออกจากอ่างน้ำแต่เขาโอบกอดนางมาแนบชิดและยกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะนางให้ซบลงซอกคอของเขา พลางส่งเสียงกระซิบ
“อย่าเพิ่งขยับ เจ้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า”
เข่อซิงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จะว่าไปนางเปลือยกายต่อหน้าของเขาหลายครั้ง เมื่อนางกลายร่างจากจิ้งจอกแดงมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย นางจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาสั่ง
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงที่ฝึกเพลงกระบี่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงหวีดร้องจึงรีบทะยานเข้ามาดู เห็นจูอี้ซินยกมือขึ้นปิดหน้า เขามองเลยไปด้านหลังจึงเห็นว่า หานหรงเหยากอดหญิงสาวในอ่างอาบน้ำ เอ๊ะ! หญิงสาวคนนั้น...คุ้นๆ ตาอยู่บ้างนะ
“ออกไปก่อนได้หรือไม่ มีอะไรคอยคุย”
“ได้ๆ พวกเจ้าตามสบายไม่ต้องรีบร้อน” ซุนเจ้าเฟิงหัวเราะร่า ในที่สุดหานหรงเหยาก็กลายร่างเป็นสัตว์กินเนื้อแล้วสินะ
“เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่ ออกไปแล้ว” แม่ทัพหนุ่มดุหลานสาวพ่อบ้านจู เขาไม่อยากแตะต้องตัวนางเลยสักนิดแต่จำใจต้องหิ้วคอเสื้อลากนางออกไป เพื่อให้สหายได้สุขสำราญกับสาวงาม
“ท่านแม่ทัพ...เมื่อครู่...ข้าเห็นจิ้งจอกแดงเจ้าค่ะ เป็นจิ้งจอกแดงจริงๆ ข้าเกรงมันจะทำอันตรายที่ปรึกษาหานจึงเข้ามาดู”
เพียงได้ยินคำว่า ‘จิ้งจอกแดง’ หลิวเข่อซิงก็เงยหน้าขึ้นสบตากับหานหรงเหยาที่ก้มหน้าลงมองนางพอดี ทว่าสายตาของเขาราวกับมีลูกไฟอยู่ในนั้นทำให้นางเลือกที่จะก้มหน้าลงตามเดิม
“ที่นี่มีเพียงข้ากับนาง เจ้าเห็นเต็มสองตาแล้วก็ออกไปเสียที”
น้ำเสียงเยือกเย็นของหานหรงเหยาทำให้จูอี้ซินตัวสั่นขึ้นมา คนผู้นี้แม้มีใบหน้าอ่อนโยน แต่ยามอยู่สนามรบมิได้อ่อนโยนเช่นที่เห็น แผนการแยบยลร้ายกาจในสนามรบเป็นฝีมือของเขา
“ข้าเห็นแก่หน้าพ่อบ้านจูมานาน เห็นทีว่าครั้งนี้...” ซุนเจ้าเฟิ่งใช้น้ำเสียงเด็ดขาดราวกับสั่งการทหาร เพียงแค่นี้ก็ทำให้จูอี้ซินเข่าทรุด โขกศีรษะขอความเมตตาทันที
“บ่าวผิดไปแล้ว ขอนายท่านทั้งสองอย่าขับไล่บ่าวไปเลยนะเจ้าค่ะ บ่าวไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ”
“อย่าให้เกิดเรื่องเช่นวันนี้อีก แล้วรีบไสหัวออกไปได้แล้ว” ซุนเจ้าเฟิงตวาดเสียงดังราวฟ้าผ่า จูอี้ซินแทบคลานออกไปทันที เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้ไม่ได้หันกลับมาแต่ก็ส่งเสียงพูดขึ้น
“เอาล่ะๆ ข้าจัดการไล่คนไปแล้ว พวกเจ้าก็ตามสบาย ตอนเช้าจะให้พ่อครัวทำอาหารบำรุงมาส่ง”
หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา รอจนซุนเจ้าเฟิงปิดประตูแล้วจึงยอมคลายวงแขนที่โอบรัดร่างนุ่มนิ่มออก นางขยับตัวถอยออกห่างไปชิดผนังอ่างอีกฝั่ง เห็นใบหน้าแดงระเรื่อของนางแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ นางปล้นจุมพิตเขาหลายหนยังไม่เคยเห็นแสดงท่าทีเช่นนี้
หลิวเข่งซิงเห็นเขาไม่รีบขึ้นจากน้ำ นางก็ไม่กล้าลุกขึ้น ได้แต่ย่อตัวลงไปให้น้ำปริ่มคอหวังให้น้ำช่วยพร่างทรวงอกเปลือยเปล่า
“เจ้าป้อนอะไรให้ข้ากิน” เขาถามพลางข่มบางสิ่งที่ตื่นอยู่ให้สงบลง ไม่อย่างนั้นเขาก็ออกจากอ่างน้ำในสภาพนี้ไม่ได้เช่นกัน
“ยา...ยา...”
“ยาอะไร?” เขาเลิกคิ้วถาม
“เป็นยาบำรุง ข้าจำได้ว่าที่หอชมบุหลันมียาบำรุงเลือดลมสำหรับบุรุษ จึงย่องกลับไปขโมยมาให้ท่านหนึ่งเม็ด”
“แล้วเหตุใดต้องกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดง”
“ก็ข้าไปขโมยมานี่ การใช้ร่างจิ้งจอกแดงไป-มาได้รวดเร็วกว่า”
“ยาบำรุงเลือดลมสำหรับบุรุษ...” เขาพึมพำอย่างอับจนหนทาง
“ถูกต้อง มันต้องดีกับท่านแน่ๆ ข้าจำได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะให้บุรุษกินเพื่อบำรุงพลังหยาง” นางรีบพูดขึ้น ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ
“เจ้าอยากเห็นข้าแข็งแรง”
“ถูกต้อง”
หานหรงเหยาถอนหายใจเบาๆ “เจ้าขึ้นจากอ่างน้ำไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“ท่านขึ้นก่อนสิ ข้า...ข้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า”
“ข้าก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้า” เขายิ้มอ่อนใจ “ข้าจะหลับตาแล้วเจ้าลุกขึ้นไปก่อน”
“อย่างนั้นก็ได้ ท่าน..ท่านหลับตานะ หลับตาแน่นๆ ห้ามมองข้า”
“รู้แล้ว รีบขึ้นไปเร็ว”
หานหรงเหยาปิดเปลือกตาลง ทว่าประสาทหูกลับเฉียบไวได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวแม้กระทั่งเสียงน้ำกระเซ็น เขาขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่านางรีบลุกขึ้นจากอ่างน้ำแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว หลิวเข่อซิงรีบร้อน จนยกเท้ายังไม่พ้นขอบอ่างก็เสียหลักหน้าคะมำ ยังไม่ทันหวีดร้องก็มีมือข้างหนึ่งโอบรัดเอวนางไว้ได้ทัน ตามด้วยเสื้อคลุมตวัดห่อหุ้มร่างเปลือยเปล่า
“หลับตา”
เขาสั่งน้ำเสียงเฉียดขาดทำให้หญิงสาวหลับตาทันที หากนางลืมตาคงได้เห็นเขาเปลือยเปล่า รวมทั้งสิ่งที่แข็งขันตั้งตระหง่าน เพราะเวลานี้เสื้อคลุมของเขาอยู่บนตัวนาง
“ข้าอุ้มเจ้าไปส่งบนเตียง เจ้าอย่าลืมตาตอนนี้ เข้าใจนะ”
“อื้มๆ” นางพยักหน้าและหลับตาแน่นขึ้น ปล่อยให้เขาอุ้มนางเดินมาส่งบนเตียงที่อยู่อีกด้านของห้อง
นานๆ ทีจะเห็นนางเชื่อฟังเขาสักครั้ง หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา นางขึ้นจากน้ำโดยไม่ได้ซับน้ำออกจากร่างทำให้เสื้อคลุมของเขาแนบไปทุกสัดส่วนจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งเย้ายวนตา เขาหายใจแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ขณะวางนางลงบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมร่างนางพลางพลางกระตุกเอาเสื้อคลุมของตนเองกลับมาคลุมร่างตน
“ยา...ยานี่ดีจริงๆ” หลิวเข่อซิงพึมพำแต่ยังปิดเปลือกตาอยู่
“เจ้าว่าอะไรนะ” เขาถามหลังจากผูกเชือกคาดเอวเรียบร้อย
“ยาที่ท่านกินไปอย่างไรเล่า” นางเริ่มทำตัวขยุกขยิกอยากลืมตาแล้ว
หานหรงเหยาหลุบตามองแก่นกายของตน “เจ้ารู้หรือไม่ว่ายานี้...”
“ยาบำรุงเลือดลมสำหรับบุรุษ” นางรีบพูดขึ้น และเขายังไม่ให้นางลืมตาจึงยื่นมือเปะปะไปเบื้องหน้า เขาคว้ามือนางไว้ก่อนที่นางจะสัมผัสถูกบางสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้นางแตะต้อง
“หัวใจท่านเต้นแรงมาก แสดงว่ายานี้ดีจริงๆ”
“หัวใจข้า...”
“ท่านไม่ได้กินยาขมๆ เหล่านั้นมานานแล้ว แต่ท่านก็ต้องบำรุงตัวเองจะละเลยไม่ได้เด็ดขาด”
“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?” “ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า” เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร “ข้าลืมตาได้หรือยัง” “ยัง” “อา...” นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า” ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” “นานเพียงนั้นเชียว” “เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน” “ดี ห้ามเข
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย “เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้ “อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียง
หานหรงเหยารับเสื้อคลุมมาห่มร่างที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางมักยิ้มเสมอ “นางน่ารักดี” ซุนเจ้าเฟิงเอ่ยชมอย่างจริงใจ แรกทีเดียวเขาก็หวั่นเกรงว่านางจะมาหลอกลวงสหายรัก แต่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน นางเป็นคนจริงใจใสซื่อ เขาไม่เคยมีสหายเป็นสตรี และสตรีที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครนิสัยเช่นนี้ ทำให้เขาอดเอ็นดูนางไม่ได้จริงๆ “ถึงอำเภอข้างหน้า ข้าจะขี่ม้าแยกไปก่อน ส่วนเจ้าก็นั่งรถม้าชมทิวทัศน์กับเข่อซิงกันเอง ข้าแบ่งองครักษ์ไว้ให้เจ้าแล้ว” “เหตุใดแยกเดินทางเล่ามีเรื่องร้ายรึ” “มี” ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าจริงจังแล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะตัวเตี้ยที่วางหนังสือรายงานต่างๆ “ภาพเจ้ากับเข่อซิงรบกวนสายตาข้า ข้าขี่ม้าไปเองปลอดภัยกว่า” “ไร้สาระ” หานหรงเหยายิ้มมุมปาก คร้านจะต่อปากต่อคำกับสหายจึงก้มหน้าอ่านรายงานต่อไป แต่ในขณะที่มือหนึ่งวางบนศีรษะของหญิงสาวแล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หลิวเข่อซิงถูกปลุกเมื่อรถม้าหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง นางงัวเงียขึ้นยกมือขึ้นขยี้ตาราวเด็กน้อย แต่หานหรง
“เข่อซิง” เขาพยายามบังคับสายตาให้หันไปทางอื่น แต่พบว่าไม่อาจละสายตาจากใบหน้างามที่ระบายยิ้ม รวมถึงผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส และบัวคู่งามที่ปริ่มน้ำ “ข้าอยากแช่น้ำกับท่าน” นางรีบร้อนกลัวเขาหนีไปก่อนจึงกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเพื่อลดเวลาเปลื้องเสื้อผ้า แต่นางลืมไปว่าเมื่อนางคืนร่างมนุษย์ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า “เข่อซิง” นางจะรู้หรือไม่ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดไม่ให้ตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรทำ “หากเข้าเมืองหลวงแล้ว อย่าทำเช่นนี้อีก ผู้อื่นจะมองเจ้าไม่ดี” “ไม่ดีอย่างไร ท่านเป็นนายของข้า ข้าต้องปรนนิบัติดูแลท่าน อ๊ะ!” นางร้องอย่างนึกได้ “มีเรื่องใด” “รอประเดี๋ยวนะ” นางว่ายน้ำกลับไปที่กองเสื้อผ้า หยิบขวดสุรายาที่ซุนเจ้าเฟิงให้ไว้แล้วกลับมาหาเขา เห็นขวดก็รู้ว่าเป็นสุรา แต่นางไปได้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเอามาจากหอชมบุหลันเหมือนยาบำรุงเลือดลมอะไรนั้นอีก นั้นทำให้หานหรงเหยาผงะหนี แต่เข่อซิงกลับคิดว่าเขาคงกลัวกินยาเช่นที่ผ่านมา นางจึงรีบยกสุราขึ้นจิบหมายใช้ปากป้อนสุราให้หานหรงเหยา แต่เพราะรสสุราแผด
เสียงแหบพร่าของเขาเรียกสตินาง นั้น...นั้นเสียงของเขาหรือ? เขาเรียกชื่อนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้นางตาพร่าไปชั่วขณะ “ข้าต้องการเจ้า” “แต่...” เขารวบนางมากอดไว้ นานเหลือเกินที่หัวใจเขาไม่เคยเปิดรับใคร เขาโกรธหลัวซู่เหมยไม่ได้ สภาพร่างกายเขาไม่ว่าหมอกี่คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี หากนางแต่งงานกับเขาก็กลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เป็นเขาที่ชิงชังตนเองในสภาพนี้ กระทั้งวันนั้นที่สะพานข้ามคลอง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนวิ่งมาสวมกอดจากด้านหลัง ไออุ่นของนางขับไล่ความหมองหม่นในใจ แววตาสุกใสราวกับฉุดเขาขึ้นจากบ่อน้ำลึกที่พยายามปีนป่ายขึ้นมาหลายปี แม้รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ นางไม่เหมือนปีศาจอย่างที่เคยได้ยินหรืออ่านจากหนังสือทั่วไป นางใสซื่อและไร้เดียงสา เขาไม่เคยรู้เลยว่าการมีชีวิตแต่ละวันจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อมานางเข้ามา ชีวิตที่มีนางอยู่ใกล้ มันช่างดีเหลือเกิน “หรือเจ้า...ไม่ต้องการข้า..” “ข้าต้องการท่าน!” นางส่ายหน้าไปมา “มีเพียงท่าน...ที่ข้าต้องการ...” ริมฝีปาก
องครักษ์ที่ซุนเจ้าเฟิงให้อารักขารถม้าของหานรถเหยานำหน้ามาก่อน ทหารสองนายลงจากหลังม้าประสานมือคารวะหานกั๋วกงแล้วตามด้วยคุณชายทั้งสอง แล้วหันกลับไปรอรถม้าที่เคลื่อนมาอย่างช้าๆ จนหยุดที่ประตูจวนสกุลหานชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้าลง ใบหน้าอ่อนโยนคลี่ยิ้มละมุนแล้วคารวะบิดา“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ น้องเล็ก”“พี่รอง!” หานหลี่เจี๋ยปราดเข้าไปรับพี่ชาย “ในที่สุดพี่รองก็กลับมาเสียที”“ท่านแม่เล่า” หานหรงเหยาอดถามถึงมารดาไม่ได้“ท่านแม่ไม่ค่อยสบาย รอเจ้าอยู่ด้านใน” หานลี่จูยื่นมือไปตบไหล่น้องชาย พลันรู้สึกว่าแขนของหานหรงเหยาเต็มไปด้วยความเนื้อจนอดบีบแรงๆไม่ได้“พี่ใหญ่” หานหรงเหยาประหลาดใจที่หานลี่จูบีบต้นแขนตน แต่เพียงครู่เดียวมือข้างนั้นก็ปล่อยออกแล้วเปลี่ยนมาจับชีพจรของเขาแทน“มีอะไรรึพี่ใหญ่” หานหลี่เจี๋ยรู้ดีว่าพี่รองสุขภาพไม่ดีนักแต่เห็นพี่ใหญ่จับชีพจรหน้าบ้านเช่นนี้ก็อดเป็นกังวลไม่ได้“ไม่มีอะไร” หานลี่จูยิ้มกว้าง “อยู่ชายแดนคงลำบากไม่น้อย”“ไม่เลย หากไม่นับเรื่องการศึกแล้ว นับว่าเงียบสงบและงดงามไม่น้อย”“รู้อย่างนี้ข้าตามพี่รองไปด้วยก็ดี” หานหลี่เจี๋ยยิ้มทะเล้น“พอแล้วๆ เข้าไปคุยในบ้านเถิด แม่เ
มารดาเห็นสายตาของลูกชายและลูกสะใภ้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าพาใครมาด้วยรึ”“ท่านแม่ นางคือ...”“ข้าหลัวเข่อซิง เป็นสาวใช้ของนายท่านเจ้าค่ะ ข้ามาจากชายแดน หากทำกิริยาไม่เหมาะสมขอได้โปรดลงโทษเบาๆ นะเจ้าคะ ข้าเป็นคนเรียนรู้ไว้ จะพยายามไม่ทำผิดเป็นครั้งที่สองสามสี่ห้า”นางพูดรวดเร็วเกรงว่าหานหรงเหยาจะแย่งนางพูดอีก นางจะทำตัวเป็นภาระไม่ได้ แต่ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา“นางตลกดี” หานหลี่เจี๋ยหัวเราะเสียงดัง“หลี่เจี๋ยอย่าเสียมารยาท อย่างไรนางก็เป็นคนของหรงเหยา” หานลี่จูเอ่ยปรามน้องเล็ก แต่สายตายังคงมองที่ภรรยา ราวกับประโยคนี้เขาพูดกับนางมารดาแปลกใจที่เห็นบุตรชายคนรองพาสตรีเข้าบ้าน แม้ปากพูดว่าเป็นหญิงรับใช้ กิริยามารยาทไร้ความเรียบร้อย แต่รูปร่างอรชรและใบหน้างดงามยิ่งนัก ซ้ำยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ไหมสีแดงสวยสดไม่ใช่ชุดของสาวใช้เลยสักนิด เอาเถิด ถ้าปรนนิบัติดูแลลูกชายของนางได้ดี นางก็ไม่คิดก้าวก่าย“เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด สักประเดี๋ยวมากินข้าวด้วยกัน” คนเป็นพ่อพูดขึ้น เขาเป็นบุรุษการเห็นบุตรชายมีสตรีข้างกายก็ไม่นับว่าแปลกอันใด บ้านไหนก็มีสตรีอุ่นเตียงกัน
แค่คิดว่าข้างกายไร้เงาซุกซน หัวใจก็เจ็บแปลบอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ็บปวดมากกว่าครั้งที่เขาสูญเสียหลัวซู่เหมยไปเสียอีก เขาต้องหาทางพูดกับบิดามารดาเรื่องฐานะของหลิวเข่อซิง เพราะไม่ต้องการให้นางเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายอีกแล้ว หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานใบหน้าระบายยิ้มดูงดงามราวเทพธิดาเดินตามแผ่นหลังของคุณชายรองสกุลหาน บ่าวไพร่ต่างลอบมองด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดเรื่องนี้ หานหลี่เจี๋ยเห็นหลิวเข่อซิงเดินตามหลังพี่รองด้วยสายตาตื่นตะลึง แม้เขาไม่ใช่บุรุษเสเพล แต่พบหญิงงามมาไม่น้อย แอบย่องเข้าหอนางโลมก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยพบหญิงงามอย่างหลิวเข่อซิงมาก่อน เขารู้สึกโง่เขลาที่ไม่อาจบรรยายความงามนี้ได้ นางดูไร้เดียงสาและเย้ายวน แม้นางเอ่ยย้ำฐานะว่าเป็น ‘สาวใช้’ แต่เขาเชื่อว่าฐานะของนางในใจพี่รองต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน “สำรวมหน่อยหลี่เจี๋ย” หานลี่จูส่ายหน้าไปมาแล้วพยักหน้าให้หานหรงเหยา “ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเช่นนี้นานมากแล้วจริงๆ” “อืม” หานหรงเหยาขานรับเบาๆ สามปีแล้วที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัว