หานหรงเหยารับเสื้อคลุมมาห่มร่างที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางมักยิ้มเสมอ
“นางน่ารักดี” ซุนเจ้าเฟิงเอ่ยชมอย่างจริงใจ แรกทีเดียวเขาก็หวั่นเกรงว่านางจะมาหลอกลวงสหายรัก แต่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน นางเป็นคนจริงใจใสซื่อ เขาไม่เคยมีสหายเป็นสตรี และสตรีที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครนิสัยเช่นนี้ ทำให้เขาอดเอ็นดูนางไม่ได้จริงๆ
“ถึงอำเภอข้างหน้า ข้าจะขี่ม้าแยกไปก่อน ส่วนเจ้าก็นั่งรถม้าชมทิวทัศน์กับเข่อซิงกันเอง ข้าแบ่งองครักษ์ไว้ให้เจ้าแล้ว”
“เหตุใดแยกเดินทางเล่ามีเรื่องร้ายรึ”
“มี” ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าจริงจังแล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะตัวเตี้ยที่วางหนังสือรายงานต่างๆ “ภาพเจ้ากับเข่อซิงรบกวนสายตาข้า ข้าขี่ม้าไปเองปลอดภัยกว่า”
“ไร้สาระ” หานหรงเหยายิ้มมุมปาก คร้านจะต่อปากต่อคำกับสหายจึงก้มหน้าอ่านรายงานต่อไป แต่ในขณะที่มือหนึ่งวางบนศีรษะของหญิงสาวแล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน
หลิวเข่อซิงถูกปลุกเมื่อรถม้าหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง นางงัวเงียขึ้นยกมือขึ้นขยี้ตาราวเด็กน้อย แต่หานหรงเหยาจับมือนางไว้แล้วใช้มือที่ว่างอีกข้างหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดใบหน้าให้นางเบาๆ
“อย่าขยี้ตาแรง ประเดี๋ยวเจ็บตาอีก”
“อื้อ” นางตอบรับแล้วคลี่ยิ้มเมื่อเขาเช็ดหน้าให้นางเสร็จแล้ว “ถึงแล้วหรือ”
“เพิ่งถึงครึ่งทาง” หานหรงเหยายิ้มแล้วลงจากรถม้า จากนั้นจึงยื่นมือไปจับเอวนางประคองร่างบอบบางลงมายืนบนพื้น หลิวเข่อซิงที่ตื่นเต็มตา กวาดสายตามองรอบๆ เดินทางได้ห้าวันแล้ว ทุกสิ่งล้วนแปลกตาและแปลกใหม่สำหรับนางมาก
“คนนิสัยไม่ดีไปไหนแล้ว”
“คนนิสัยไม่ดี?”
“ก็สหายของนายท่านอย่างไรเล่า เขาชอบหัวเราะเยาะข้า” นางหันซ้ายหันขวาไม่เห็นซุนเจ้าเฟิง แต่จมูกกลับได้กลิ่นอาหาร “หอมจัง นี่กลิ่นหมูอบน้ำผึ้งแน่ๆ”
“เรื่องกินนี่จมูกดีจริง” ซุนเจ้าเฟิงเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากหลิวเข่อซิงเบาๆ ไม่รู้ว่าเขาหยอกล้อนางตั้งแต่เมื่อใดกัน และไม่นึกโกรธทั้งที่ได้ยินนางเรียกเขาว่าคนนิสัยไม่ดี
“ก็ข้าเป็น...เป็นสาวใช้นี่ก็ต้องรอบรู้หน่อยสิ” เข่อซิงยกมือขึ้นลูบหน้าผากของตน เกือบหลุดปากพูดไปว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงแล้ว
“เข้าไปข้างในเถิด อากาศเริ่มเย็นแล้ว” กว่าจะเดินทางมาถึงฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว หานหรงเหยาสั่งการกับองครักษ์ หลิวเข่อซิงถือห่อเสื้อผ้ากำลังจะเดินตามหานหรงเหยาเข้าไปด้านใน แต่ซุนเจ้าเฟิงจับไหล่นางหยุดไว้ก่อน
“มีเรื่องใดรึ” นางเอียงคอถาม นางหิวจนท้องร้องโครกครากแล้ว
‘ไม่มีความเป็นสาวใช้เลยสักนิด’
ซุนเจ้าเฟิงคิดในใจ แล้วก้มลงกระซิบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ที่นี่มีบ่อน้ำร้อน ได้ยินว่าช่วยให้สุขภาพดีขึ้น เจ้าต้องปรนนิบัติดูแลนายท่านของเจ้าให้ดีล่ะ”
“จะทำให้เขาแข็งแรงขึ้น...” ดวงตากลมเบิกกว้าง “จริงรึ?”
“ถูกต้อง” ภายใต้ใบหน้าจริงจังคือการกลั้นหัวเราะสุดกำลัง “เจ้าก็รู้ว่าหัวใจของนายเจ้าเต้นแผ่วช้า ก่อนที่เจ้าจะมาเป็นสาวใช้ เขาต้องดื่มยาขมๆ วันละหลายชาม เพื่อบำรุงหัวใจ เจ้าต้องหาวิธีทำให้เขาหัวใจเต้นแรงให้ได้”
“หัวใจเต้นแรง” นางขมวดคิ้วแล้วก็ยิ้มกว้างออกมา “รู้แล้ว ข้ารู้วิธีทำให้ใจเต้นแรง”
“เจ้าจะทำอย่างไร”
“ก็วันนั้นไง...วันที่ข้าอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกับเขา หัวใจเขาเต้นแรงมาก ข้ายังตกใจเลย”
‘ช่างไร้เดียงสาอะไรเช่นนี้’
ซุนเจ้าเฟิงยกมือขึ้นกอดอกแล้วพยักหน้ารับ
“ดียิ่ง เป็นเช่นนี้ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะข้ามีภารกิจลับต้องแยกเดินทางไปก่อน ข้าฝากเจ้าดูแลหรงเหยาได้ใช่ไหม”
“แน่นอน! ข้าจะดูแลนายท่านอย่างเต็มความสามารถ”
“ดี ...นี่เป็นสุรายา ให้เขาดื่มจะช่วยให้ร่างกายแข็งขัน...เอ๊ย แข็งแรงขึ้น...” เขายื่นมือไปตบไหล่นางราวกับนางเป็นทหารของเขา “ข้าต้องฝากภารกิจนี้ไว้กับเจ้าแล้ว”
“ข้าทราบแล้ว!”
“อย่าลืมเรื่องสำคัญ ต้องดูแลหัวใจเขาให้ดีๆ”
“ต้องดูแลหัวใจให้ดี!” นางทวนคำแล้วยิ้มกว้าง “ท่านวางใจได้ ข้าจะดูแลเขาอย่างดีเอง”
ซุนเจ้าเฟิงพยักหน้ารับแล้วดันหลังนางให้รีบเดินตามหานหรงเหยาที่หันมามองเขาสองคนพอดี หลิวเข่อซิงรีบเดินเร็วๆ ตามร่างสูงโปร่งของหานหรงเหยา นางจึงไม่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของซุนเจ้าเฟิง
“ฝากสหายข้าด้วยนะ เข่อซิง”
หานหรงเหยาไม่รู้ความคิดของซุนเจ้าเฟิง หลังอาหารมื้อเย็นเสร็จสิ้นทั้งสองก็แยกพักผ่อน โดยไม่รู้ว่าซุนเจ้าเฟิงออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้ว โรงเตี้ยมแห่งนี้มีห้องสำหรับแช่น้ำร้อนโดยเฉพาะ ทำเป็นเรือนพักให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว หานหรงเหยาเปลื้องเสื้อผ้าเหลือเพียงกางเกงแล้วลงแช่น้ำและหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย หลายวันมานี้ไม่ใช่เหนื่อยล้าเพราะการเดินทางเท่านั้น แต่เพราะรายงานหลายสายที่ถาโถมเข้ามา ตัวเขาสภาพร่างกายอ่อนแอแต่เด็ก แม้ร่ำเรียนเขียนอ่านแตกฉานแต่ไม่ได้เป็นขุนนาง ไม่ว่าจะขยับตัวทำสิ่งใดล้วนทำให้ผู้อื่นหวั่นวิตกกลัวว่าหัวใจของเขาจะรับไม่ไหว แต่การที่เขาตัดสินใจไปอยู่ชายแดนในฐานะที่ปรึกษานั้น เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ได้ใช้ชีวิตอิสระและใช้ความสามารถของตนเองเต็มที่ และที่สำคัญทำให้เขาได้พบกับ...
“นายท่าน!” เสียงหวานใสร้องทักแล้วถลาเข้ามาใกล้ “ข้ากินขนมหมดแล้ว”
หานหรงเหยาลืมตาขึ้นพร้อมรอยยิ้ม เขาหลอกล่อหลิวเข่อซิงด้วยขนมหวานให้นางกินให้หมดก่อนค่อยตามเขามา ทำให้เขาได้พอมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง หญิงสาวคุกเข่าอยู่ริมขอบสระน้ำ ยื่นมือลงมาสัมผัสน้ำที่อุ่นร้อนกำลังดี
“บ่อน้ำร้อนเป็นเช่นนี้เอง” นางยิ้มตื่นเต้น “เคยได้ยินศิษย์พี่พูดกัน ข้าเพิ่งเคยเห็นและสัมผัสครั้งแรก”
“เจ้าติดตามข้ามาเช่นนี้คงคิดถึงหุบเขาจื่อเซ่อไม่น้อยสินะ”
“ก็คิดถึงบ้าง แต่ที่หุบเขาจื่อเซ่อเยือกเย็นและไม่มีเรื่องสนุกสนาน” เข่อซิงพยักหน้ารับ “แต่ข้าชอบอยู่กับท่านมากกว่า”
การพูดจาตรงไปตรงมาของนางทำให้หานหรงเหยาเขินอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขากระแอมไอขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม
“เจ้าอยากลงมาแช่น้ำไหม”
“อยากสิ”
ยังไม่ทันบอกให้นางรอให้เขาขึ้นจากน้ำก่อน นางก็รีบร้อนกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงแล้วกระโดดออกจากจากเสื้อผ้าลงมาในน้ำ น้ำกระเซ็นใส่ใบหน้าของเขาทำให้ต้องยกมือขึ้นลูบหน้า แต่เมื่อลืมตาขึ้น หญิงสาวเปลือยกายก็แหวกสายน้ำมาอยู่เบื้องหน้าเขา
“เข่อซิง” เขาพยายามบังคับสายตาให้หันไปทางอื่น แต่พบว่าไม่อาจละสายตาจากใบหน้างามที่ระบายยิ้ม รวมถึงผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส และบัวคู่งามที่ปริ่มน้ำ “ข้าอยากแช่น้ำกับท่าน” นางรีบร้อนกลัวเขาหนีไปก่อนจึงกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเพื่อลดเวลาเปลื้องเสื้อผ้า แต่นางลืมไปว่าเมื่อนางคืนร่างมนุษย์ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า “เข่อซิง” นางจะรู้หรือไม่ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดไม่ให้ตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรทำ “หากเข้าเมืองหลวงแล้ว อย่าทำเช่นนี้อีก ผู้อื่นจะมองเจ้าไม่ดี” “ไม่ดีอย่างไร ท่านเป็นนายของข้า ข้าต้องปรนนิบัติดูแลท่าน อ๊ะ!” นางร้องอย่างนึกได้ “มีเรื่องใด” “รอประเดี๋ยวนะ” นางว่ายน้ำกลับไปที่กองเสื้อผ้า หยิบขวดสุรายาที่ซุนเจ้าเฟิงให้ไว้แล้วกลับมาหาเขา เห็นขวดก็รู้ว่าเป็นสุรา แต่นางไปได้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเอามาจากหอชมบุหลันเหมือนยาบำรุงเลือดลมอะไรนั้นอีก นั้นทำให้หานหรงเหยาผงะหนี แต่เข่อซิงกลับคิดว่าเขาคงกลัวกินยาเช่นที่ผ่านมา นางจึงรีบยกสุราขึ้นจิบหมายใช้ปากป้อนสุราให้หานหรงเหยา แต่เพราะรสสุราแผด
เสียงแหบพร่าของเขาเรียกสตินาง นั้น...นั้นเสียงของเขาหรือ? เขาเรียกชื่อนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้นางตาพร่าไปชั่วขณะ “ข้าต้องการเจ้า” “แต่...” เขารวบนางมากอดไว้ นานเหลือเกินที่หัวใจเขาไม่เคยเปิดรับใคร เขาโกรธหลัวซู่เหมยไม่ได้ สภาพร่างกายเขาไม่ว่าหมอกี่คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี หากนางแต่งงานกับเขาก็กลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เป็นเขาที่ชิงชังตนเองในสภาพนี้ กระทั้งวันนั้นที่สะพานข้ามคลอง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนวิ่งมาสวมกอดจากด้านหลัง ไออุ่นของนางขับไล่ความหมองหม่นในใจ แววตาสุกใสราวกับฉุดเขาขึ้นจากบ่อน้ำลึกที่พยายามปีนป่ายขึ้นมาหลายปี แม้รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ นางไม่เหมือนปีศาจอย่างที่เคยได้ยินหรืออ่านจากหนังสือทั่วไป นางใสซื่อและไร้เดียงสา เขาไม่เคยรู้เลยว่าการมีชีวิตแต่ละวันจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อมานางเข้ามา ชีวิตที่มีนางอยู่ใกล้ มันช่างดีเหลือเกิน “หรือเจ้า...ไม่ต้องการข้า..” “ข้าต้องการท่าน!” นางส่ายหน้าไปมา “มีเพียงท่าน...ที่ข้าต้องการ...” ริมฝีปาก
องครักษ์ที่ซุนเจ้าเฟิงให้อารักขารถม้าของหานรถเหยานำหน้ามาก่อน ทหารสองนายลงจากหลังม้าประสานมือคารวะหานกั๋วกงแล้วตามด้วยคุณชายทั้งสอง แล้วหันกลับไปรอรถม้าที่เคลื่อนมาอย่างช้าๆ จนหยุดที่ประตูจวนสกุลหานชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้าลง ใบหน้าอ่อนโยนคลี่ยิ้มละมุนแล้วคารวะบิดา“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ น้องเล็ก”“พี่รอง!” หานหลี่เจี๋ยปราดเข้าไปรับพี่ชาย “ในที่สุดพี่รองก็กลับมาเสียที”“ท่านแม่เล่า” หานหรงเหยาอดถามถึงมารดาไม่ได้“ท่านแม่ไม่ค่อยสบาย รอเจ้าอยู่ด้านใน” หานลี่จูยื่นมือไปตบไหล่น้องชาย พลันรู้สึกว่าแขนของหานหรงเหยาเต็มไปด้วยความเนื้อจนอดบีบแรงๆไม่ได้“พี่ใหญ่” หานหรงเหยาประหลาดใจที่หานลี่จูบีบต้นแขนตน แต่เพียงครู่เดียวมือข้างนั้นก็ปล่อยออกแล้วเปลี่ยนมาจับชีพจรของเขาแทน“มีอะไรรึพี่ใหญ่” หานหลี่เจี๋ยรู้ดีว่าพี่รองสุขภาพไม่ดีนักแต่เห็นพี่ใหญ่จับชีพจรหน้าบ้านเช่นนี้ก็อดเป็นกังวลไม่ได้“ไม่มีอะไร” หานลี่จูยิ้มกว้าง “อยู่ชายแดนคงลำบากไม่น้อย”“ไม่เลย หากไม่นับเรื่องการศึกแล้ว นับว่าเงียบสงบและงดงามไม่น้อย”“รู้อย่างนี้ข้าตามพี่รองไปด้วยก็ดี” หานหลี่เจี๋ยยิ้มทะเล้น“พอแล้วๆ เข้าไปคุยในบ้านเถิด แม่เ
มารดาเห็นสายตาของลูกชายและลูกสะใภ้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าพาใครมาด้วยรึ”“ท่านแม่ นางคือ...”“ข้าหลัวเข่อซิง เป็นสาวใช้ของนายท่านเจ้าค่ะ ข้ามาจากชายแดน หากทำกิริยาไม่เหมาะสมขอได้โปรดลงโทษเบาๆ นะเจ้าคะ ข้าเป็นคนเรียนรู้ไว้ จะพยายามไม่ทำผิดเป็นครั้งที่สองสามสี่ห้า”นางพูดรวดเร็วเกรงว่าหานหรงเหยาจะแย่งนางพูดอีก นางจะทำตัวเป็นภาระไม่ได้ แต่ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา“นางตลกดี” หานหลี่เจี๋ยหัวเราะเสียงดัง“หลี่เจี๋ยอย่าเสียมารยาท อย่างไรนางก็เป็นคนของหรงเหยา” หานลี่จูเอ่ยปรามน้องเล็ก แต่สายตายังคงมองที่ภรรยา ราวกับประโยคนี้เขาพูดกับนางมารดาแปลกใจที่เห็นบุตรชายคนรองพาสตรีเข้าบ้าน แม้ปากพูดว่าเป็นหญิงรับใช้ กิริยามารยาทไร้ความเรียบร้อย แต่รูปร่างอรชรและใบหน้างดงามยิ่งนัก ซ้ำยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ไหมสีแดงสวยสดไม่ใช่ชุดของสาวใช้เลยสักนิด เอาเถิด ถ้าปรนนิบัติดูแลลูกชายของนางได้ดี นางก็ไม่คิดก้าวก่าย“เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด สักประเดี๋ยวมากินข้าวด้วยกัน” คนเป็นพ่อพูดขึ้น เขาเป็นบุรุษการเห็นบุตรชายมีสตรีข้างกายก็ไม่นับว่าแปลกอันใด บ้านไหนก็มีสตรีอุ่นเตียงกัน
แค่คิดว่าข้างกายไร้เงาซุกซน หัวใจก็เจ็บแปลบอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ็บปวดมากกว่าครั้งที่เขาสูญเสียหลัวซู่เหมยไปเสียอีก เขาต้องหาทางพูดกับบิดามารดาเรื่องฐานะของหลิวเข่อซิง เพราะไม่ต้องการให้นางเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายอีกแล้ว หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานใบหน้าระบายยิ้มดูงดงามราวเทพธิดาเดินตามแผ่นหลังของคุณชายรองสกุลหาน บ่าวไพร่ต่างลอบมองด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดเรื่องนี้ หานหลี่เจี๋ยเห็นหลิวเข่อซิงเดินตามหลังพี่รองด้วยสายตาตื่นตะลึง แม้เขาไม่ใช่บุรุษเสเพล แต่พบหญิงงามมาไม่น้อย แอบย่องเข้าหอนางโลมก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยพบหญิงงามอย่างหลิวเข่อซิงมาก่อน เขารู้สึกโง่เขลาที่ไม่อาจบรรยายความงามนี้ได้ นางดูไร้เดียงสาและเย้ายวน แม้นางเอ่ยย้ำฐานะว่าเป็น ‘สาวใช้’ แต่เขาเชื่อว่าฐานะของนางในใจพี่รองต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน “สำรวมหน่อยหลี่เจี๋ย” หานลี่จูส่ายหน้าไปมาแล้วพยักหน้าให้หานหรงเหยา “ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเช่นนี้นานมากแล้วจริงๆ” “อืม” หานหรงเหยาขานรับเบาๆ สามปีแล้วที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัว
“รู้สึกว่าสุรายาที่ข้ามอบให้จะทำให้เจ้าแข็งแรงขึ้นจริงๆ”ซุนเจ้าเฟิงอดหยอกสหายไม่ได้ ความจริงเรื่องระหว่างหานหรงเหยากับหลิวเข่อซิงนั้น องครักษ์ที่เขาทิ้งไว้ให้นั้นส่งข่าวมารายงานเป็นระยะๆ แม้ใจอยากเห็นกับตาแต่ก็ต้องทนอดกลั้นไว้ เพราะเกรงว่าสหายจะหน้าบางไม่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้คุ้มค่า “เจ้านี่นะ” หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ “ความจริงข้าตั้งใจไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่เห็นสีหน้าเจ้าในเวลานี้คงไม่มีอะไรให้กังวล เรื่องเจ้ากับหลัวซู่เหมยคงกลายเป็นอดีตไปแล้วสินะ” “ข้ากับนางจบไปนานแล้ว ยามนี้นางคือพี่สะใภ้ข้าและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป” “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ อยู่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ อยากกลับชายแดน จะกลับไปทำแผนที่หุบเขาจื่อเซ่อให้สำเร็จ” “เจ้าจะกลับชายแดนรึ” หานหรงเหยาเบิกตากว้าง “อืม แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยากให้ข้าอภิเษก แต่ข้ายังไม่เจอสตรีถูกใจ”‘สตรีที่เลือกให้ แค่เห็นก็ทำให้ปวดหัว คนอย่างซุนเจ้าเฟิงจะหาสตรีถูกใจไม่ได้เชียวรึ’ “เจ้าจะกลับเมื่อใดกัน” “นี่ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิ
“พี่ใหญ่เคยเชิญท่านหมอมาตรวจพี่สะใภ้แล้วหรือ?” “อืม ก็ให้นางกินยาบำรุงร่างกาย ข้าคิดว่าถ้าเชิญหมอหลวงมาตรวจสุขภาพเจ้าก็จะให้ดูซู่เหมยไปพร้อมกัน” “เป็นเช่นนั้นก็ดี” หานหรงเหยาพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่า เจ้าอย่าพูดเรื่องกลับชายแดนให้ท่านแม่ได้ยินก็พอ” พี่ใหญ่ดักคอไว้อย่างรู้ทัน “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีงานการให้ช่วยแบ่งเบาภาระ กิจการของสกุลหานมีมากมาย ข้าเองก็วุ่นวายจนปลีกตัวไม่ได้ เจ้าหลี่เจี๋ยก็ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต จนป่านนี้ยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันจนท่านพ่ออยากให้เขาไปอยู่ค่ายทหารเผื่อฝึกฝนให้มีความรับผิดชอบ” “ได้ ข้ากลับมาแล้วจะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพี่ใหญ่” “ดีแล้ว” เขาพยักหน้ารับ “เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนเถิด มีอะไรข้าจะให้คนไปตาม” “ขอรับพี่ใหญ่” หานหรงเหยาลุกขึ้นแล้วเดินออกมาเงียบๆ มีเรื่องมากมายที่เขาต้องวางลำดับความสำคัญและจัดการให้ลุล่วง เห็นที่ว่าเขาคงไม่ได้กลับชายแดนง่ายๆ เป็นแน่ ทว่าเมื่อเดินมาถึงเรือนของตนกลับได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านใน หัวคิ้วขมวดยุ่งแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปทั
แต่ละวันนางถูกเรียกใช้งานจนหัวหมุนแต่กระนั้นนางก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ แม้บางมื้ออาหารของนางจะมีเพียงข้าวกับผัดผัก หรือแค่หมั่นโถว แต่นางก็ยังคงแย้มยิ้มอยู่เสมอ ปัญหาเดียวของนางคือกลางวันจะง่วงนอนมาก นางต้องแอบหยิกตัวเองให้ตื่นตลอดเวลา และกลางคืนนางไม่สามารถกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปอุ่นเตียงให้หานหรงเหยา หลิวเข่อซิงตากผ้าเรียบร้อยแล้วก็ก้มมองฝ่ามือขาวซีดของตนเอง เมื่อครั้งที่อยู่หุบเขาจื่อเซ่อนางก็ทำงานเหล่านี้ แลกกับเศษพลังชีวิตที่บรรดาศิษย์พี่มอบให้ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่จวน หานหรงเหยาไม่มีเวลาอยู่กับนางนัก นางไม่คิดน้อยใจอันใด เพราะเขาเป็นคนเก่งมากความสามารถย่อมมีเรื่องต้องทำมาก ทว่าหลังจากเรื่องในคืนนั้น นางยังไม่ได้พบหน้าเขาเลย แต่ได้ยินว่า มารดาของเขาไม่ค่อยสบาย หานหรงเหยาต้องดูแลอย่างใกล้ชิด นางเข้าใจและไม่คิดเรียกร้องเอาสิ่งใด นางตากผ้าเสร็จแล้ว แดดเจิดจ้าเช่นนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเสื้อผ้าก็คงแห้งสนิท ไม่เหมือนที่หุบเขาจื่อเซ่อที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดเวลา นางอ้าปากหาวคำโต แอบมองรอบกายไม่มีผู้อื่นอยู่บริเวณนี้ นางจึงหาที่นั่งเพิ