“ข้า...” ราวกับมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ หานลี่จูพูดอะไรไม่ออก หรือบางที อาจไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เพราะยามนี้แค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้หมดสิ้นแล้ว
เสียงโวยวายด้านนอก เรียกความสนใจจากหานลี่จูและหานหรงเหยา บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างของหานหลี่เจี๋ยที่ประคองหลัวซู่เหมยเข้ามา
“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาอยู่นี่เอง!”
หานลี่จูสาวเท้าเข้าไปประคองหลัวซู่เหมยทันที เขาพาร่างสั่นเทามานั่งที่เก้าอี้แล้วตวัดสายตามองเสี่ยวจิ้งที่วิ่งตามมา
“เกิดอะไรขึ้นฮูหยินน้อย!” หานลี่จูตวาดเสียงดังทำให้เสี่ยวจิ้งถึงกับเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าเบื้องหน้า
“เข่อซิง...” หลัวซู่เหมยรีบพูดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” หานหรงเหยาหายใจไม่ทั่วท้อง
“เข่อซิงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยา
“บังอาจ! ใครกล้าแตะต้องคนสกุลหานของเรา!” หานลี่จูจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ้ง “ทุกครั้งที่ออกไปนอกจวนก็ให้มีผู้ติดตามไปมิใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้”
“ข้าเพิ่งกลับจากตลาดม้า พบพี่สะใภ้เกิดเรื่องที่ร้านขายผ้า แรกทีเดียวตั้งใจจะติดตามคนร้ายแต่ พี่สะใภ้อาการไม่สู้ดีจึงพานางกลับมาก่อน”
“เจ้าเป็นอะไร” หานลี่จูเบาเสียงลงแล้วลูบคลำเนื้อตัวของภรรยาด้วยความร้อนใจ แต่หลัวซู่เหมยส่ายหน้าไปมา น้ำตาหยดใสไหลริน
“เข่อซิงปกป้องข้า ...นางถูกนักพรตจับตัวไป”
“นักพรต? นักพรตอะไรกัน” หานลี่จูไม่รู้เรื่องเหล่านี้จึงงุนงง ทว่าหลัวซู่เหมยยื่นมือไปจับมือของหานหรงเหยา
“เจ้า...เจ้ารู้ใช่หรือไม่...เข่อซิง...”
“ข้ารู้” ไม่รอให้หลัวซู่เหมยพูดจบเขาก็รู้ว่านางหมายถึงเรื่องใด “แต่นางไม่เคยทำร้ายใคร รวมทั้งข้าด้วย”
“แต่ว่า...”
“ที่ข้าแข็งแรงเช่นนี้เป็นเพราะนาง นางไม่มีวันเป็นปีศาจร้าย”
‘นางเป็นปีศาจนะใช่ แต่นางจิตใจดีงาม ไม่มีทางทำร้ายใครแน่นอน’
หลัวซู่เหมยยกมือขึ้นวางที่หน้าท้อง นางไม่รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์จริงหรือไม่ ระดูนางมาไม่ปกติ แต่การที่เข่อซิงปกป้องนาง ยอมเจ็บแทนนาง ทำให้นางรู้สึกผิด ผิดจนน้ำตาหลั่งรินเป็นสายราวสายฝน
“นางถูกจับตัวไปที่ใด”
“น่าจะเป็นอารามที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเจ้าค่ะ” เสี่ยวจิ้งไม่กล้าพูดมากไป หากเจ้านายไม่พูด นางก็ไม่ปริปาก
“นักพรตผู้นั้นใบหน้าดูอ่อนโยนมีเมตตา แต่ทำร้ายข้ากับเข่อซิง เพื่อปกป้องข้า นางจึงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยไม่กล้าพูดที่หลิวเข่อซิงมีหูและหางเป็นจิ้งจอกแดง
“ข้าจะไปช่วยนางเอง”
“ให้ข้าไปด้วย” หานหลี่เจี๋ยอาสาทันที
“ข้าจะสั่งคนของจวนติดตามหาเข่อซิง” หานลี่จูเตรียมสั่งการ
หานหรงเหยาซาบซึ้งใจที่พี่ใหญ่และน้องสามห่วงใยเข่อซิงมากถึงเพียงนี้ แต่ฐานะของเข่อซิงไม่ควรให้คนรู้เห็นมาก แค่หลัวซู่เหมยไม่เอ่ยออกมาต่อหน้าหานลี่จูและหานหลี่เจี๋ยก็นับว่าดีแล้ว
“พี่ใหญ่ดูแลพี่สะใภ้เถิด ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่ รอฟังข่าว หากข้าต้องการกำลังเสริม เจ้าค่อยตามไปช่วย”
“ทำไมไม่ให้ข้าไปพร้อมกับท่าน อย่างไรนางก็เป็นว่าที่พี่สะใภ้ของข้า เป็นคนในสกุลหาน ข้าไปช่วยก็นับว่าถูกต้องแล้ว”
“เพราะพวกท่านไม่ใช่คู่ต่อกรกับนักพรตผู้นั้น” หลิวชิงเซียงเอ่ยขึ้น นางย่อกายคารวะหานลี่จูและฮูหยินน้อย แต่เพียงพยักหน้าให้หาน หลี่เจี๋ยเล็กน้อยเท่านั้น
“เจ้าเป็นใคร” หานหลี่เจี๋ยก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป เจอหญิงงามก็ยืดอกโอ้อวดตนเอง แต่หลิวชิงเซียงไม่ได้ใส่ใจ นางสาวเท้าเข้ามาใกล้หานหรงเหยาแล้วยื่นซองกระดาษให้เขา
“ขออภัยทุกท่าน ข้าหลิวชิงเซียง เป็นศิษย์พี่ของหลิวเข่อซิง เดิมทีคิดจะเอาดวงตะชาวันเกิดของนางงมาให้ และพูดคุยเรื่องงานแต่งงาน แต่ได้ยินเรื่องร้ายขึ้น ยามนี้ข้าคงต้องไปช่วยเข่อซิงก่อน”
น้ำเสียงอ่อนหวานแต่หนักแน่น ทำให้คนฟังรับรู้ได้ว่านางไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“ข้าไปด้วย”
หลิวชิงเซียงสบตาหานหรงเหยาแล้วพยักหน้า “ไม่มีเวลามาก ข้าจะอธิบายเรื่องต่างๆ บนหลังม้าก็แล้วกัน”
“ให้ข้าไปด้วยสิ”
หลิวชิงเซียงรำคาญเด็กหนุ่มที่เซ้าซี้ไม่เลิกรา นางยกมือขึ้นแต่ยังไม่ทันร่ายมนต์ใด หานหรงเหยามาคว้าข้อมือนางไว้ก่อน
“น้องชายข้าไม่รู้ความ ท่านอย่าได้ถือสา” หานหรงเหยาหันไปสั่งน้องชาย “เพื่อความปลอดภัยของเข่อซิง ทำตามที่ข้าสั่ง”
หานหลี่เจี๋ยยังคิดจะโต้เถียงแต่หานลี่จูปรามเอาไว้ก่อนทำให้หานหลี่เจี๋ยหน้าเสียยอมอยู่ในจวนอย่างจำใจ
“หากเจ้าอยากทำตัวมีประโยชน์ก็อย่าให้ท่านพ่อท่านแม่รู้เรื่องนี้ แล้วรีบให้คนไปเชิญหมอมาตรวจดูอาการพี่สะใภ้ของเจ้า”
“ข้าทราบแล้วพี่ใหญ่”
หานหลี่เจี๋ยวิ่งเร็วๆออกไป หานหรงเหยาผงกศีรษะขอบคุณพี่ใหญ่แล้วรีบออกไปพร้อมหลิวชิงเซียง หานลี่จูโอบกอดร่างที่สั่นเทาของหลัวซู่เหมย นางเอนกายเข้าหาปล่อยให้ไออุ่นจากบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีปลอบประโลมจิตใจ สายตาและท่าทางของหานหรงเหยาเมื่อครู่นั้น ทำให้นางรู้ว่าในใจของเขาไม่มีนางอีกแล้ว
ความรักในวัยเยาว์ได้โบยบินจากไปแล้วอย่างแท้จริง.
เดิมทีหลิวชิงเซียงหายตัวไปก็ย่อมได้ แต่ต้องพาหานหรงเหยาติดตามไปด้วย เพราะนักพรตบ้านั้นอาจวางม่านมนต์อำพรางไม่ให้หาพบ นางจึงขึ้นหลังม้าที่คนในจวนหานกั๋วกงหามาให้ หานหรงเหยาคว้ากระบี่แล้วขึ้นหลังม้า นางหรี่ตามองแล้วไม่เอ่ยอะไร เท่าที่จำได้ นางไม่เคยเห็นเขาถือกระบี่มาก่อน ในมือของเขามักจะถือพัดเสียมากกว่า เมื่อเห็นว่าเขาพร้อมแล้วก็กระตุ้นม้าให้วิ่งไปทันที
หานหรงเหยาไม่เอ่ยปากถาม หลิวชิงเซียงพาเขาไปที่ใด เขามั่นใจว่าเข่อซิงของเขาอยู่ที่นั้น ซุนเจ้าเฟิงที่เดินออกมานอกโรงเตี้ยมเห็นเงาร่างของหลิวชิงเซียงควบม้าผ่านหน้าไปพร้อมกับหานหรงเหยา สัญชาติญาณบอกเขาได้ทันทีว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น เขารีบขึ้นหลังม้าแล้วควบตามทั้งสองไป
“เจ้าตามมาทำไม” หลิวชิงเซียงเพียงเอี้ยวใบหน้ามาถามเสียงดังอย่างหงุดหงิด พ้นเขตบ้านเรือนแล้ว ผู้คนบางตาจึงสามารถเร่งความเร็วของม้าได้
“พวกเจ้าไปที่ใด ข้าก็ไปด้วย” ซุนเจ้าเฟิงตอบแล้วกระหวดแส้ลงก้นม้าทำให้ม้าของเขาวิ่งทันม้าของหลิวชิงเซียง หากนางได้ควบม้าในทุ่งหญ้างคงดูงดงามไม่น้อย ไม่คิดว่านางจะมีทักษะการขี่ม้าที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
ว่ากันว่า...เหล่าปีศาจจะกิน ‘พลังชีวิต’ จากมนุษย์เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าได้เสพ ‘พลังหยาง’ จากบุรุษจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้ตน แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอายุไขสั้นลงหรือตายได้ ในขณะเดียวกัน ‘หัวใจ’ของปีศาจจิ้งจอกแดงเป็นตัวยาหายากชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรคปีศาจจิ้งจอกแดงจึงเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าเช่นกันแนะนำตัวละครหลิวเข่อซิง-เข่อซิง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายหนึ่งร้อยสิบหกปีหานหรงเหยา : ที่ปรึกษา(กุนซือ)ของกองทัพ มาทำงานร่วมกับซุนเจ้าเฟิง แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดนหลิวชิงเซียง -ชิงเซียง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี เป็นศิษย์พี่ของหลิวเข่อซิงซุนเจ้าเฟิง : องค์ชายสามและเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน เป็นสหายรักของหานหรงเหยา พิธีแต่งงานจัดอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานมงคลของตระกูลหานและเจ้าสาวแสนงามดุจบุปผาสวรรค์ เสียงดนตรี คำอวยพร ของขวัญ วิจิตรตระการตาราวกับงานรื่นเริงของเหล่าปวงเทพ งานมงคลยิ่งใหญ่นี้คงกลายเป็นที่กล่าวถึงไปอีกนานแสนนาน ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวในชุดสีแดงสวยงดงาม ขณะที่เจ้า
พ่อบ้านจูส่ายหน้าไปมา เขาอับอายกับหลานสาวห่างๆ คนนี้นัก แต่จะทำอย่างไรได้ ภรรยาของเขาบังคับขู่เข็ญให้รับนางมาทำงานในจวน หากวันหน้าได้ดี ทั้งสองก็พลอยได้ดีไปด้วย แต่นางมาอยู่ที่นี่ครึ่งปีแล้ว ทั้งพยายามปีนป่ายขึ้นเตียงองค์ชายสามนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ถูกองค์ชายสามขับไล่ก็นับว่าบุญแล้ว“พ่อบ้านจู ให้คนเตรียมสุราอาหารไว้ที่ห้องตำรา ข้ากับที่ปรึกษาหานจะไปที่นั้น”“ขอรับท่านแม่ทัพซุน” เนื่องจากซุนเจ้าเฟิงไม่ชอบให้ใครเรียกเขาว่าองค์ชาย แต่ยินดีให้เรียก ‘ท่านแม่ทัพซุน’ ซุนเจ้าเฟิงประจำการที่ชายแดนมาสามปี ทุกคนจึงคุ้นชินกับคำเรียกขานนี้“ตัวข้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ข้าจะไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยกินข้าวดื่มสุราและคุยงานกันต่อที่ห้องตำรา” ซุนเจ้าเฟิงตบบ่าหานหรงเหยา“ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับแล้วเดินไปที่เรือนของตนซุนเจ้าเฟิงมองแผ่นหลังของสหายรักเผลอถอนหายใจอีกครั้ง คุณชายรองแห่งตระกูลหานแม้ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมดุจไข่ในหิน แต่ในวัยเด็ก ทั้งสองเป็นเด็กจึงซุกซนและเข้ากันได้เป็นอย่างดีจึงกลายเป็นสหายรักกัน แต่เดิมหานหรงเหยามิใช่คนเย็นชาเช่นนี้ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่