หานลี่จูนั่งมองห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ว หานหรงเหยาเอ่ยปากบอกคนเป็นพี่อย่างเขาว่า ใกล้จะแต่งงาน อยากบำรุงร่างกายเพื่อว่าที่เจ้าสาวจึงมาขอรับยาจากเขา ทั้งที่ไม่ได้กินยามานาน น้องชายคนรองจะแต่งงาน กำลังจะสร้างครอบครัวของตนเอง น้องชายคนเล็กกำลังจะเข้ากองทัพ ท่านพ่อท่านแม่อายุก็มาก เวลานี้เขาคือคนเดียวที่ดูแลทุกอย่างในจวน
บอกตัวเองให้ทำใจปล่อยวาง แต่หลายปีผ่านมาเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จนวันนี้ที่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว นานเพียงใดแล้วที่ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ยิ่งเห็นหานหรงเหยามีความสุขกับหลิวเข่อซิง ก็ยิ่งรู้ว่าคนที่ปวดใจก็คือเขากับหลัวซู่เหมย เป็นเช่นนี้แล้ว จะต่างอะไรจากการหันคมมีดเข้าหาตนเอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บก็คือเขา
เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี
หานหรงเหยาเข้ามาอย่างเงียบๆ หานลี่จูที่เหม่อลอยอยู่ไม่รู้ว่าน้องชายเข้ามา จนกระทั่งหานหรงเหยาเอื้อมมือไปหยิบห่อยาเบื้องหน้าขึ้นมา
“ดีจริง พี่ใหญ่เตรียมยาให้ข้าแล้วหรือ”
“เอ่อ...” หานลี่จูได้สติลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคว้าห่อยากลับคืน “ยาชุดนี้เก่าแล้ว เจ้าอย่าเอาไปเลย ประเดี๋ยวให้หมอจัดยาชุดใหม่ให้ดีกว่า”
หานหรงเหยายังคงยิ้มบางๆ ที่มุมปาก วางห่อยาลงที่เดิมแล้วเอ่ย “ตั้งแต่เล็ก ข้าก็เห็นพี่ใหญ่ดูแลทุกอย่างในจวน สามปีมานี้ข้าทำตัวเหลวไหลทิ้งบ้านไปอยู่ชายแดน ทำให้พี่ใหญ่ต้องดูแลท่านพ่อท่านแม่และน้องสามตามลำพัง”
“รู้อย่างนี้แล้ว เจ้าแต่งงานแล้วก็อยู่ที่นี่เถิด อย่ากลับไปชายแดนเลย ท่านพ่อท่านแม่ชรามากแล้ว อยู่ที่จวนนี้คอยดูแลกิจการของตระกูล หรืออยากรับตำแหน่งขุนนางกรมใด พี่ก็จะช่วยเหลือ”
“แล้วพี่ใหญ่เล่า คิดอย่างไรกับข้า”
ดวงตาของหานลี่จูกระตุกแต่กระนั้นก็ยังคงยิ้มกลบเกลือน “เจ้าเป็นน้องของพี่ จะให้พี่คิดอย่างไร” พลันเขาก็ยิ้มจริงใจออกมา “ท่านพ่อไม่แต่งภรรยารอง ไม่รับอนุ มีมารดาเป็นภรรยาเอกเพียงคนเดียว หลังจากข้าเกิดก็รู้ว่าท่านแม่เพียงพยายามจะมีบุตรอีกเพื่อแผ่กิ่งก้านสาขาให้สกุลหาน กว่าจะได้เจ้ามาก็ยากเย็น เจ้าคลอดก่อนกำหนด ร่างกายไม่แข็งแรง ท่านแม่ต้องดูแลเจ้ามากเป็นพิเศษ หลังจากสุขภาพท่านแม่ดีขึ้น ก็ตั้งครรภ์เจ้าสาม ยังดีที่เจ้าสามเป็นเด็กแข็งแรง ท่านพ่อท่านแม่จึงไม่เหนื่อยมาก”
“แต่เพราะข้าอ่อนแอ ท่านแม่จึงทุ่มเทแรงกายและใจเพื่อให้ข้ามีชีวิตรอด”
“เพราะร่างกายข้าอ่อนแอ จึงเหมือนขโมยท่านแม่มาจากทุกคน”
“อืม” หานลี่จูขานรับอย่างไม่รู้ตัว แล้วถอนหายใจออกมา “เพราะเจ้าอ่อนแอ ไม่ว่าอยากได้อะไร ทุกคนก็จะสรรหามาให้”
“แต่ข้าไม่เคยอยากได้อะไรเลย” หานหรงเหยารู้สึกได้ว่ายามนี้ทุกถ้อยคำของพี่ใหญ่ล้วนออกมาจากใจ
“รวมถึงซู่เหมยด้วยหรือไม่” หานลี่จูเลี้ยงดูหานหรงเหยามาตั้งแต่เกิด เมื่อเผชิญหน้ากันเช่นนี้กลับรู้ได้ในทันทีว่า ความลับดำมืดที่ซุกซ่อนไว้ถูกเปิดเผยแล้ว น่าแปลกที่เขารู้สึกโล่งใจอย่างยากจะอธิบาย ราวกับรอเวลานี้มานานเหลือเกิน หรือบางที คงถึงเวลาที่เขาต้องยุติทุกอย่างแล้ว แม้ความจริงนี้อาจทำให้เขาไม่เหลือสิ่งใดเลยก็ตาม
“ข้า...” หานหรงเหยาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ย “สำหรับข้าแล้วผู้สืบทอดตำแหน่งจากท่านพ่อก็คือพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เป็นผู้มากความสามารถ เก่งทั้งบุ๋นบู๊ การที่ซู่เหมยแต่งงานกับพี่ใหญ่ก็ทำให้ข้าเบาใจ อย่างน้อยข้าก็รู้ว่านางจะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข”
หานลี่จูหัวเราะเย็นชาราวกับเย้ยเยาะตนเอง “ข้าเองก็เคยคิดว่า เมื่อนางแต่งเข้ามาแล้ว หัวใจนางจะมีเพียงข้า แต่สามปีที่ผ่านมา เจ้าก็ยังคงเป็นคนในหัวใจของนาง”
“พี่ใหญ่ นับตั้งแต่วันที่นางเป็นภรรยาของท่าน ฐานะของนางคือพี่สะใภ้ข้าและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป” ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย “เดิมทีข้ารู้อยู่แก่ใจว่าสุขภาพตัวเองไม่สู้ดี หัวใจอ่อนแอและไม่อาจมีชีวิตได้ยืนยาวเช่นผู้อื่น ข้าควรตัดใจจากนาง แต่ก็ปล่อยให้ถลำลึกหลงรักนางสุดหัวใจ แต่เมื่อนางแต่งงานกับพี่ใหญ่ ข้าก็รู้ว่าต้องทำเช่นไร การที่ข้าเลือกไปอยู่ชายแดน ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้พ้นคำครหาที่อาจนำเรื่องเสื่อมเสียมาสู่ครอบครัว และอีกส่วนคือตัวข้าเองที่อยากลองใช้ชีวิตด้วยตนเอง การใช้ชีวิตที่นั้นทำให้ข้าเติบโตขึ้น ได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ และที่สำคัญ ข้าได้พบกับเข่อซิง”
“นางคงดีกับเจ้ามาก”
“อืม นางไม่เหมือนผู้ใด นางดีกับข้ามากจริงๆ” หานหรงเหยายิ้มกว้าง “ข้าดีใจที่พี่ใหญ่สนับสนุนข้ากับเข่อซิง”
หานลี่จูเห็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานบนใบหน้าของหานหรงเหยาแล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าบุรุษเบื้องหน้าได้ก้าวพ้นจากห้วงรักในอดีตได้แล้ว เป็นเขาสินะ ที่โง่งมยึดมั่นกับความคิดของตนไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่สิ มันถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง การกำหินก้อนหนึ่งในอุ้งมือ แม้เป็นเพียงหินก้อนเล็กๆ แต่เมื่อกำแน่นเกินไป คมของหินก็บาดเข้าผิวเนื้อทำให้เจ็บปวด หากคลายมือออก หินก้อนนั้นก็เป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง และเมื่อวางมันลง ไม่ยึดมั่นไม่เหนี่ยวรั้ง ความเจ็บปวดก็ไม่บังเกิดขึ้นอีก
“มีเรื่องที่เจ้าต้องรู้”
หานหรงเหยาเห็นสายตาของหานลี่จูหยุดที่ห่อยา เขารู้ว่าพี่ใหญ่จะพูดเรื่องอะไร จึงรีบชิงพูดขึ้นก่อน
“เรื่องใดที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยมันผ่านไปเถิด”
“เจ้า...เจ้ารู้?”
“ข้ารู้แค่ว่า ทุกสิ่งที่พี่ใหญ่จัดส่งมาให้นั้นคือความห่วงใยอย่างจริงใจ ที่ข้าไม่ได้ดื่มยาเหล่านั้นก็แค่เพราะเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ต้องกินยาทุกวัน และเป็นเข่อซิงที่ทำให้ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นได้ พี่ใหญ่...ท่านพ่อท่านแม่ชรามากแล้ว อย่าให้พวกท่านรับรู้เรื่องเหล่านี้เลย มันก็เหมือนครั้งที่พวกเราสามคนยังเด็ก มีทะเลาะผิดใจกันบ้าง แต่เราก็ปรับความเข้าใจกันได้ พี่ใหญ่เป็นคนใจกว้างไม่เคยถือสาข้ากับน้องสาม ครั้งนี้ข้าก็หวังว่า ท่านจะยุติเรื่องเหล่านี้ได้เอง”
“ข้า...” ราวกับมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ หานลี่จูพูดอะไรไม่ออก หรือบางที อาจไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เพราะยามนี้แค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้หมดสิ้นแล้ว เสียงโวยวายด้านนอก เรียกความสนใจจากหานลี่จูและหานหรงเหยา บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างของหานหลี่เจี๋ยที่ประคองหลัวซู่เหมยเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาอยู่นี่เอง!” หานลี่จูสาวเท้าเข้าไปประคองหลัวซู่เหมยทันที เขาพาร่างสั่นเทามานั่งที่เก้าอี้แล้วตวัดสายตามองเสี่ยวจิ้งที่วิ่งตามมา “เกิดอะไรขึ้นฮูหยินน้อย!” หานลี่จูตวาดเสียงดังทำให้เสี่ยวจิ้งถึงกับเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าเบื้องหน้า “เข่อซิง...” หลัวซู่เหมยรีบพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” หานหรงเหยาหายใจไม่ทั่วท้อง “เข่อซิงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยา “บังอาจ! ใครกล้าแตะต้องคนสกุลหานของเรา!” หานลี่จูจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ้ง “ทุกครั้งที่ออกไปนอกจวนก็ให้มีผู้ติดตามไปมิใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” “ข้าเพิ่งกลับจากตลาดม้า พบพี่สะใภ้เกิดเรื่องที
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
ว่ากันว่า...เหล่าปีศาจจะกิน ‘พลังชีวิต’ จากมนุษย์เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าได้เสพ ‘พลังหยาง’ จากบุรุษจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้ตน แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอายุไขสั้นลงหรือตายได้ ในขณะเดียวกัน ‘หัวใจ’ของปีศาจจิ้งจอกแดงเป็นตัวยาหายากชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรคปีศาจจิ้งจอกแดงจึงเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าเช่นกันแนะนำตัวละครหลิวเข่อซิง-เข่อซิง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายหนึ่งร้อยสิบหกปีหานหรงเหยา : ที่ปรึกษา(กุนซือ)ของกองทัพ มาทำงานร่วมกับซุนเจ้าเฟิง แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดนหลิวชิงเซียง -ชิงเซียง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี เป็นศิษย์พี่ของหลิวเข่อซิงซุนเจ้าเฟิง : องค์ชายสามและเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน เป็นสหายรักของหานหรงเหยา พิธีแต่งงานจัดอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานมงคลของตระกูลหานและเจ้าสาวแสนงามดุจบุปผาสวรรค์ เสียงดนตรี คำอวยพร ของขวัญ วิจิตรตระการตาราวกับงานรื่นเริงของเหล่าปวงเทพ งานมงคลยิ่งใหญ่นี้คงกลายเป็นที่กล่าวถึงไปอีกนานแสนนาน ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวในชุดสีแดงสวยงดงาม ขณะที่เจ้า