ว่ากันว่า...
เหล่าปีศาจจะกิน ‘พลังชีวิต’ จากมนุษย์เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าได้เสพ ‘พลังหยาง’ จากบุรุษจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้ตน แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอายุไขสั้นลงหรือตายได้ ในขณะเดียวกัน ‘หัวใจ’ของปีศาจจิ้งจอกแดงเป็นตัวยาหายากชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรค
ปีศาจจิ้งจอกแดงจึงเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าเช่นกัน
แนะนำตัวละคร
หลิวเข่อซิง-เข่อซิง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายหนึ่งร้อยสิบหกปี
หานหรงเหยา : ที่ปรึกษา(กุนซือ)ของกองทัพ มาทำงานร่วมกับซุนเจ้าเฟิง แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดน
หลิวชิงเซียง -ชิงเซียง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี เป็นศิษย์พี่ของหลิวเข่อซิง
ซุนเจ้าเฟิง : องค์ชายสามและเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน เป็นสหายรักของหานหรงเหยา
พิธีแต่งงานจัดอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานมงคลของตระกูลหานและเจ้าสาวแสนงามดุจบุปผาสวรรค์ เสียงดนตรี คำอวยพร ของขวัญ วิจิตรตระการตาราวกับงานรื่นเริงของเหล่าปวงเทพ งานมงคลยิ่งใหญ่นี้คงกลายเป็นที่กล่าวถึงไปอีกนานแสนนาน
ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวในชุดสีแดงสวยงดงาม ขณะที่เจ้าสาวค้อมเอวคำนับเจ้าบ่าวแล้วเงยตัวขึ้น สายลมพัดผ่านทำให้ผ้าคลุมหน้าสีแดงขยับไหวเผยเห็นรอยยิ้มเปี่ยมสุขของหญิงสาว
ทว่ารอยยิ้มนั้น ไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว
ชายหนุ่มกล่ำกลืนความปวดร้าวในอก ฝืนทนจนเจ้าสาวเดินผ่านสายตาเข้าห้องหอแล้ว เขาจึงหมุนตัวเดินจากจวนตระกูลหาน เขาเกิดที่นี่ เติบโตที่นี่จวบจนวันนี้ที่เขาอายุสิบเจ็ดปี เขาจึงก้าวเท้าออกจากสถานที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’ อย่างไม่รู้ว่าจะหวนกลับเมื่อใดคิดจะหวนกลับ
จะให้เขาอยู่อย่างไร ในเมื่อหญิงสาวที่เขาหลงรักและเติบโตมาพร้อมกัน มาบัดนี้นางได้กลายเป็น ‘พี่สะใภ้’ ของเขาไปแล้ว
วันเวลาผ่านมา
บานประตูห้องทำงานเปิดออกอย่างไม่เกรงใจคนในห้อง ตามมาด้วยเท้าหนักๆ ที่เดินยำเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้สลักลายงดงาม บุรุษหนุ่มตวัดมือร่างแบบบนกระดาษเสร็จพอดีจึงเงยหน้าขึ้น สีหน้าเรียบนิ่งราวกับแผ่นน้ำแข็งแห่งฤดูเหมันต์ไร้อารมณ์ แต่กระนั้นก็ไม่อาจลดทอนความหล่อเหลาบนใบหน้าได้แม้แต่น้อย
“หน้าตาเจ้านี่มันไร้อารมณ์สิ้นดี” องค์ชายสามหรือองค์ชายซุนเจ้าเฟิง ผู้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนตะวันตก เขาส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทีอ่อนใจพลางเอื้อมมือไปรินน้ำชาให้ตนเอง “ข้าให้เจ้าหาเด็กรับใช้ข้างกายสักคน เหตุใดยังไม่มีใครมาปรนนิบัติเจ้าอีก”
“จะให้ข้าต้อนรับท่านแม่ทัพอย่างไรดี จุดประทัดดีหรือไม่” หานหรงเหยา คลี่ยิ้มเพียงเล็กน้อย มันน้อยเสียจนแทบมองไม่เห็นเป็นรอยยิ้ม หรือคนผู้นี้อาจหลงลืมการยิ้มไปแล้วว่าควรทำเช่นไร
“อยู่ค่ายทหารไม่จำเป็นต้องมีบ่าวข้างกาย” ชายหนุ่มวางพู่กันแล้วหยิบผ้ามาเช็ดมือ
“แต่สุขภาพของเจ้า...”
องค์ชายสามชะงักปากไป เป็นสหายกันมานาน รู้จักกันตั้งแต่เด็กเพราะหานหรงเหยาเองก็เป็นสหายร่วมเรียนกับเขา และสกุลหานเองรับใช้ราชสำนักมาหลายชั่วอายุคน หานหรงเหยาเป็นบุตรชายคนรองของสกุลหาน รูปร่างผอมบางไปสักหน่อยแต่ใบหน้าหล่อเหลาและโดดเด่นด้วยความรู้ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าคุณชายตระกูลใดในเมืองหลวง ทว่าหัวใจของหานหรงเหยาไม่แข็งแรงมาตั้งแต่กำเนิด หมอทั่วแคว้นต่างลงความเห็นเดียวกันว่าไม่อาจรักษาได้ ทำได้เพียงพยุงให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ปีต่อปี
ไม่ใช่แค่ ‘หัวใจ’ เท่านั้น แต่หานหรงเหยายังเป็น ‘โรคใจ’ อีกด้วย นั้นเป็นเหตุผลที่หานหรงเหยาเขียนจดหมายมาถึงซุนเจ้าเฟิงเพื่อรับตำแหน่ง ‘ที่ปรึกษา’ หรือ ‘กุนซือ’ ณ ค่ายทหารแห่งนี้
“ข้าสบายดี” หานหรงเหยารู้ทันความคิดขององค์ชายสาม ด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย ทั้งสองจึงพูดคุยสนทนากันอย่างเป็นกันเอง ซึ่งจะว่าไปก็เป็นความคิดของซุนเจ้าเฟิงที่ไม่ยินยอมให้เขาพูดจาแบ่งฐานะชัดเจน
‘เก็บถ้อยคำเหล่านั้นไว้ใช้ที่เมืองหลวงเถอะ! ข้าอยู่ห่างไกลเสด็จพ่อขนาดนี้ คงไม่มีใครเอาไปฟ้องว่าเจ้าพูดจากับข้าเสมอเท่าเทียมกัน’
“เอาเถอะๆ ร่างกายของเจ้า เจ้าย่อมรู้ตัวดี” ซุนเจ้าเฟิงถอนหายใจเบาๆ หานหรงเหยาเป็นเจ้าดื้อหัวแข็ง ไม่ดื้อดึงจริงคงไม่สามารถออกจากเมืองหลวงมาอยู่ไกลถึงชายแดนกับเขาได้ เพราะสุขภาพไม่สู้ดี ทั้งบิดามารดาจึงระวังหานหรงเหยาทุกฝีก้าว จำได้ว่าหานหรงเหยาให้เขาสอนเพลงหมัดมวยให้ เมื่อมารดารู้เข้าก็เป็นลมล้มพับไปทันที ส่วนบิดานั้นด้วยเกรงฐานะของเขาจึงได้แต่กัดฟันข่มความโกรธไว้
หากไม่เป็นเพราะ สตรีที่หานหรงเหยาปักใจรักนั้นไปแต่งงานกับบุรุษอื่น และบุรุษผู้นั้นคือพี่ชายของหานหรงเหยาเอง นางกลายเป็น ‘พี่สะใภ้’ ของเขาไปเสียนี่ ด้วยเหตุนี้หานหรงเหยาจึงไม่อาจใช้ชีวิตในเมืองหลงได้อีก ซุนเจ้าเฟิงถอนหายใจให้โชคชะตาของหานหรงเหยาอีกครั้ง
“ว่าแต่ เจ้าทำอะไรอยู่” เขาถามชะโงกหน้ามาดูกระดาษบนโต๊ะทำงานของสหายรัก เขาไม่เข้าใจรูปวาดเหล่านี้จนกว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยปากอธิบาย แต่ก็ไม่เคยห้ามปรามขัดขวางเพราะแต่ละชิ้นที่ ‘ที่ปรึกษาหาน’หรือหานหรงเหยาคุณชายรองสกุลหานล้วนมีประโยชน์ต่อกิจการค่ายทหารประจำชายแดนตะวันตกของเขายิ่งนัก
“จากบันทึกที่อ่านมา ยามฤดูน้ำหลากมักมีเหตุดินถล่มตัดเส้นทาง ข้าคิดว่าจะหาเส้นทางสำรองอ้อมภูเขา หากมีเหตุไม่คาดฝันจะได้มีเส้นทางอื่นให้ใช้งาน หรือหากมีข้าศึกมาทิศทางนี้ สามารถใช้เส้นทางใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลศึกตีโอบเหล่าข้าศึกได้”
“ไม่เลว” ซุนเจ้าเฟิงพยักหน้ารับแล้วตบไหล่สหายเบาๆ “มาเถิด ข้ามีสุราดีจากเจียงหนานรอเจ้ามาลิ้มรสเป็นเพื่อนข้า”
“ช่างเป็นของตอบแทนที่ข้าอยู่เฝ้าค่ายให้เสียจริง”
หานหรงเหยาแสร้งตัดพ้อ แต่เพราะสีหน้าเรียบนิ่งและท่าทางสูงส่งของเขานั้น คนฟังได้แต่โคลงศีรษะไปมา
“งานที่นี่ไม่มีอะไรมาก เจ้าพักที่จวนก็ได้ หากมีเรื่องเร่งด่วน ข้าจะให้คนไปเชิญเจ้าเอง”
องค์ชายสามกล่าวขณะเดินออกจากกระโจมพร้อมหานหรงเหยา บุรุษทั้งสองเดินผ่านเหล่าทหารที่ให้ความเคารพยำเกรง มิใช่เพราะฐานะตำแหน่งเท่านั้น แต่ซุนเจ้าเฟิงเป็นแม่ทัพที่รักพวกพ้อง ไม่ทิ้งพี่น้องไว้ด้านหลัง และเมื่อหานหรงเหยาเป็นสหายรักของแม่ทัพซุนมาเป็นที่ปรึกษา เขาไม่ถือยศศักดิ์ พูดจาเป็นกันเองกับเหล่าทหารไม่ว่าจะระดับใด ทำให้คนในค่ายให้เคารพและเทิดทูนยิ่งนัก
ทั้งสองควบอาชางามสง่ากลับมาที่จวน พ่อบ้านจูเส้ากันเห็นผู้เป็นนายกลับมาก็รีบสั่งบ่าวไพร่ให้ดูแลนายท่านทั้งสอง จูอี้ซิน หลานสาวพ่อบ้านจูยกมือขึ้นแตะทรงผมเพิ่มความมั่นใจแล้วเดินเข้าไปหมายปรนนิบัติองค์ชายสาม นางหวังใจว่าจะใช้รูปโฉมงดงามของตนไต่เต้ามีหน้ามีหน้าในเมืองหลวง ต่อให้เป็นเพียงอนุแต่ก็เป็นอนุขององค์ชายสาม นับว่าดีกว่าเป็นภรรยาชาวบ้านร้อยเท่าพันเท่า
“คารวะองค์ชายสาม ที่ปรึกษาหาน” จูอี้ซินคาวรวะเต็มพิธีการ แต่บุรุษทั้งสองเพียงปรายตาเล็กน้อยแล้วเดินผ่านไปราวกับนางเป็นเพียงก้อนกรวดบนพื้น
พ่อบ้านจูส่ายหน้าไปมา เขาอับอายกับหลานสาวห่างๆ คนนี้นัก แต่จะทำอย่างไรได้ ภรรยาของเขาบังคับขู่เข็ญให้รับนางมาทำงานในจวน หากวันหน้าได้ดี ทั้งสองก็พลอยได้ดีไปด้วย แต่นางมาอยู่ที่นี่ครึ่งปีแล้ว ทั้งพยายามปีนป่ายขึ้นเตียงองค์ชายสามนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ถูกองค์ชายสามขับไล่ก็นับว่าบุญแล้ว“พ่อบ้านจู ให้คนเตรียมสุราอาหารไว้ที่ห้องตำรา ข้ากับที่ปรึกษาหานจะไปที่นั้น”“ขอรับท่านแม่ทัพซุน” เนื่องจากซุนเจ้าเฟิงไม่ชอบให้ใครเรียกเขาว่าองค์ชาย แต่ยินดีให้เรียก ‘ท่านแม่ทัพซุน’ ซุนเจ้าเฟิงประจำการที่ชายแดนมาสามปี ทุกคนจึงคุ้นชินกับคำเรียกขานนี้“ตัวข้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ข้าจะไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยกินข้าวดื่มสุราและคุยงานกันต่อที่ห้องตำรา” ซุนเจ้าเฟิงตบบ่าหานหรงเหยา“ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับแล้วเดินไปที่เรือนของตนซุนเจ้าเฟิงมองแผ่นหลังของสหายรักเผลอถอนหายใจอีกครั้ง คุณชายรองแห่งตระกูลหานแม้ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมดุจไข่ในหิน แต่ในวัยเด็ก ทั้งสองเป็นเด็กจึงซุกซนและเข้ากันได้เป็นอย่างดีจึงกลายเป็นสหายรักกัน แต่เดิมหานหรงเหยามิใช่คนเย็นชาเช่นนี้ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่
นางพยายามแล้วจริงๆ แอบดูบรรดาศิษย์จัดการกับมนุษย์ที่จับมาเป็นอาหาร แต่เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้นางหวาดกลัวจนต้องปิดตาทุกครั้งไป ก็มันน่ากลัวจริงๆนี่ ให้มนุษย์ผู้ชายมานอนทับบนร่างแบบนั้น ไหนจะเสียงครวญครางเจ็บปวดนั้นอีก แค่คิดนางก็ยกมือปิดหูแล้ว “แต่ข้าก็พยายามแล้วนะ” นางยังอดเถียงไม่ได้ แม้น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงยุง “พยายามแล้ว? เจ้าช่างกล้าพูดคำนี้” หญิงสาวหน้าหงายเพราะถูกนิ้วเรียวจิ้มหน้าผากอย่างแรง นางเสียหลักถอยหลังแล้วล้มลงก้นกระแทกพื้น ดวงหน้าเล็กทำหน้าเศร้าพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าสบตากับศิษย์พี่ที่ยืนจ้องมองนางเหมือนนางเป็นยิ่งกว่าหนูสกปรกเสียอีก “ขืนเจ้าทำตัวเช่นนี้ต้องอดตายแน่” “ไม่หรอก ถ้าพวกศิษย์แบ่งเศษพลังชีวิตของมนุษย์ให้ข้ากินบ้าง” นางฉีกยิ้มกว้าง “อีกอย่าง...ข้ากินไม่จุหรอก” “ไม่ได้!!” เหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย ซ้ำยังถลึงตาใส่อย่างไร้เมตตา ถูกตวาดเสียงดังหลิวเข่อซิงได้แต่หดคอเหมือนเต่า แต่นางไม่มีกระดองให้หลบ“แล้ว...แล้วข้าต้องทำอย
หานหรงเหยานั่งลงข้างเตียง เฝ้ามองจิ้งจอกแดงแสนสวยหลับอย่างสบายบนเตียงนอนของเขา คนทั่วไปอาจหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก แต่เขาผู้ได้ยินและได้เห็นเรื่องราวมากมายในใต้หล้ากลับเห็นเป็นธรรมดาสามัญหญิงสาวแปลกหน้าหมดสติในอ้อมแขนของเขา ด้วยเกรงว่าจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงใช้เสื้อคลุมของตนคลุมร่างของนางแล้วอุ้มขึ้นหลังม้า ทว่าระหว่างที่เดินทางกลับมาที่จวนแม่ทัพซุน ร่างที่เขาโอบเอวไว้กันนางหล่นกลับค่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ เสื้อคลุมยวบลงไปตามขนาดของเจ้าของร่างก่อนจะประตูจวน เขาก้มมองด้วยแววตาประหลาดใจ แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของผู้อื่นจึงอุ้มร่างน้อยเข้ามาในห้องตัวเองและปล่อยให้นาง เอ่อ... จิ้งจอกแดงตัวน้อยหลับใหลบนเตียงของเขาถูกแล้ว หญิงสาวผู้นั้นกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงหรือจิ้งจอกแดงกลายร่างเป็นหญิงสาวกันล่ะเขายื่นปลายนิ้วเขี่ยปลายจมูกของจิ้งจอกน้อย เขาเองก็ไม่คิดว่าคืนนี้จะต้องแบ่งปันเตียงนอนให้ผู้อื่นจึงไม่ได้เตรียมที่นอนสำรองไว้ หรือคืนนี้เขาต้องนอนกับเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้แล้ว เพราะสัมผัสอ่อนโยนทำให้หลิวเข่อซิงรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง จนเมื่อดวงตาปรับกับสิ่งรอบตัว จึงเห็นว่ามีดวงต
“ข้าควรกลัวเจ้าหรือ?” เขาหัวเราะในลำคอหันหลังให้นาง แต่กระนั้นประสาทหูรับรู้ว่านางกำลังสวมใส่อาภรณ์อยู่“ข้าไม่น่ากลัวเลยหรือ?” นางถามกลับใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะความหิว นางสาวเท้าเร็วๆ เดินมาที่โต๊ะกลม มีอาหารหลายจานส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนน้ำลายสอ“ก็น่ากลัวอยู่” เขายิ้มขบขัน “นั่งเถิด”“อื้ม” นางรีบนั่งลงและรับตะเกียบจากเขา ไม่รอให้เจ้าของบ้านเชื้อเชิญนางรีบกินข้าวอย่างหิวโหย แม้จะได้พลังชีวิตมาเติมเต็มแต่ร่างกายนางยังต้องการอาหารบำรุงตัวเองเหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นกัน“ค่อยๆ กินไม่ต้องรีบ” เขาเตือนนางแล้วหยิบตะเกียบคอยคีบอาหารใส่ชามข้าวให้นาง นางผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณและยังมีการบุ้ยปากบอกใบ้ให้เขาคีบเนื้อปลาให้นางอีก ชายหนุ่มทำให้อย่างไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังรับใช้นาง“อิ่มหรือไม่ อยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม” เขาถามหลิวเข่อซิงกินอิ่มท้องและยังได้พลังชีวิตจากเขาจึงมีสติคิดวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้น นางกวาดตามองชายหนุ่มแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย“มีอะไรรึ”“เจ้าเป็นใครกัน”“ข้าแซ่หานชื่อหรงเหยา” เขายิ้มแล้วส่งน้ำให้นางดื่ม รอจนนางดื่มน้ำหมดจอกแล้วจึงยื่นผ้าเปียกให้ แต่นางทำหน้างุนงง เขาจึงจั
เรื่องพวกนี้หากเขาไม่ตอบสนอง ในสักวันคงเลิกราไปเอง “อื้ม” นางพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ถึงปลายนิ้วของเขาที่รวบผมนางแล้วปักปิ่นให้ “ยามข้ากินเศษพลังชีวิตที่ศิษย์หลงเหลือไว้ให้ ก็ได้เสพรสชาติเหล่านี้ด้วย ไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ก็ต้องกินไม่เช่นนั้นข้าก็จะทรมานมาก” “อย่างนั้นหรือ” “ข้าเป็นปีศาจอย่างไรเสียก็ต้องกลืนกินความรู้สึกเหล่านี้อยู่แล้ว” นางเบ้ปากแต่เมื่อหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขาแล้ว แล้วก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่เจ้ามีวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรถ้าเจ้าตายแล้วยกให้ข้านะ” “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” “เพราะข้าไม่กล้าฆ่ามนุษย์ ซ้ำยังยั่วยวนมนุษย์ไม่เป็นอีก หากรอกินเพียงเศษพลังชีวิตที่ศิษย์พี่เหลือให้เกรงว่าต้องกลายเป็นปีศาจพิกลพิการไม่สมบูรณ์ ท่านแม่จึงให้ข้ามาหาศิษย์พี่ที่หอชมบุหลัน ให้สั่งสอนการเสพพลังชีวิตมนุษย์และพลังหยางด้วย” “หอชมบุหลัน เจ้าหมายถึงหอนางโลม...” ยังพูดไม่จบประโยคดีนางก็พยักหน้ารับ มิน่าเล่าถึงได้พบกันที่สะพานข้ามคลอง เพราะนางกำลังจะไปที่หอชมบุหลัน “แล้วเจ้าล่ะ ทำไมอยากฆ่าตัวตาย หรือเพราะหัวใจอ่อ
หญิงงามอันดับหนึ่งอันดับหนึ่งแห่งหอชมบุหลันนามหลิวชิงเซียงกำลังยืนข่มโทสะอยู่หน้าประตูทางเข้าหอนางโลม แม้หลิวชิงเซียงครอบครองความงามเกินคำบรรยาย แต่เวลานี้ทุกคนย่อมรู้ว่านางเปี่ยมไปด้วยไฟโทสะ จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ มือเรียวกอดอกนิ่งงันแต่ปลายนิ้วเคาะที่แขนของตนด้วยความหงุดหงิด ‘ข้าส่งเข่อซิงไปให้เจ้าอบรมสั่งสอน ในฐานะศิษย์พี่เจ้าก็เมตตาเอ็นดูนางสักนิดเถิด’ ‘ทำไมท่านแม่ให้ข้าดูแลจิ้งจอกปัญญาอ่อนนั่น!’ ‘ชิงเซียง...เจ้าเองก็เคยถูกผู้อื่นตราหน้าเป็นปีศาจชั้นต่ำมาก่อน เจ้าควรเข้าใจนาง’ ‘ท่านแม่...’ ‘วาจาเรียกข้าท่านแม่ ยังมีความเชื่อฟังหรือไม่’ ‘ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว’ นั้นเป็นเรื่องที่นางสนทนากับ ‘ท่านแม่’ ผ่านทูตอีกาสื่อสารที่ท่านแม่ส่งมา ความจริงเข่อซิงไม่ใช่ปีศาจตนแรกที่ท่านแม่ส่งมา ในหอชมบุหลันนี้เป็นที่อาศัยของเหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิว แม้มิใช่พี่น้องแต่ก็นับเป็นพี่น้อง ในหุบเขาจื่อเซ่อจะเรียกกันตามอายุหรือพลังปีศาจของแต่ละตน ส่วนนางนั้นทุกตนเรียกศิษย์พี่ใหญ่ ได้รับมอบหมายใ
“ไม่ได้ ท่านแม่ให้ข้าฝึกฝนเจ้า เจ้าก็ต้องออกรับแขกด้วยตนเอง”“แต่มันน่ากลัวนี่น่า ไหนจะเสียงร้องสยอดสยองนั้นอีก ข้า...ข้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้”“เสียงร้องสยอดสยองอันใด นั้นเรียกเสียงครวญกระเส่าต่างหาก!” หลิวชิงเซียงถลึงตาใส่อีกครั้ง สวรรค์! นางทำผิดอันใดถึงต้องมาสั่งสอนเข่อซิง พลังชีวิตที่สะสมมาต้องสิ้นเปลืองไปเพราะเจ้าตัวโง่งมตนนี้แล้ว นางสูดลมหายใจอีกเฮือกใหญ่แล้วกัดฟันคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา“เอาเป็นว่า เจ้าทำตามที่ข้าสอน ต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าที่เคยทำมา ไม่เช่นนั้นจะเสียชื่อเสียงข้าหมด เจ้าเข้าใจหรือไม่”“อื้ม! ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามสุดความสามารถ จะต้องเก่งกาจให้เหมือนผู้ดูแลหลิวให้ได้!”“ได้แค่ปลายเล็บของข้าก่อนค่อยคุยโม้โอ้อวดตน” หลิวชิงเซียงส่ายหน้าระอาใจ “เจ้าเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำ พลังก็น้อยนิด หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จะกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดง อยู่ที่นี่แม้พวกเราเป็นปีศาจแต่ด้านนอกก็มีนักล่าปีศาจและนักพรตปราบมารอยู่มากมายที่จ้องสังหารพวกเรา เจ้าต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้กลิ่นไอปีศาจจากตัวเจ้า”หลิวชิงเซียงกล่าวเป็นการเป็นงานไม่ได้ตวาดอีก ทำให้หลิวเข่อซิงฟังด้ว
ซุนเจ้าเฟิงเป่าลมออกทางปากทำหน้าบูดบึงแล้วเอ่ยขึ้น “เพราะเหตุนี้เจ้าจึงเป็นห่วงนางใช่หรือไม่” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ย “เจ้าคงนึกหัวเราะเยาะข้าอยู่ในใจสินะ พบกันเพียงครู่เดียวกลับเป็นกังวลเช่นนี้” “ไม่ๆ เหตุใดข้าต้องหัวเราะเจ้าด้วย” ซุนเจ้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พบกันล้วนเกิดจากวาสนา เจ้าเป็นห่วงนางก็เป็นเรื่องดี เอาอย่างนี้ ลองแวะไปเยี่ยมนางดูสักครา หากนางต้องการให้ช่วยเหลือก็ทำตามสมควรเถิด” “ถ้าเช่นนั้น...” “ไป ไปกัน” “ไปไหน?” “ไปหอชมบุหลันอย่างไรเล่า” “ไปกลางวันแสกๆ อย่างนี้รึ” “วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้วนี่” เขาเองก็กลับมาที่จวนเพราะสั่งงานที่ค่ายทหารเรียบร้อยดีแล้ว “ยาเจ้าก็กินแล้วไปกันตอนนี้เลย” หานหรงเหยากระดากใจเล็กน้อย มิใช่ว่าไม่เคยย่างเท้าเข้าหอนางโลม แต่ทุกครั้งที่ไปก็พาเหล่าทหารไปผ่อนหลังทำภารกิจสำคัญลุล่วง แต่ครั้งนี้.... ซุนเจ้าเฟิงไม่รอให้หานหรงเหยาคิดนาน คว้าข้อมือของสหายได้ก็แทบลากตัวปลิวมุ่งหน้าไปหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองทันที ปลายนิ
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ
“ข้า...” ราวกับมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ หานลี่จูพูดอะไรไม่ออก หรือบางที อาจไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เพราะยามนี้แค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้หมดสิ้นแล้ว เสียงโวยวายด้านนอก เรียกความสนใจจากหานลี่จูและหานหรงเหยา บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างของหานหลี่เจี๋ยที่ประคองหลัวซู่เหมยเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาอยู่นี่เอง!” หานลี่จูสาวเท้าเข้าไปประคองหลัวซู่เหมยทันที เขาพาร่างสั่นเทามานั่งที่เก้าอี้แล้วตวัดสายตามองเสี่ยวจิ้งที่วิ่งตามมา “เกิดอะไรขึ้นฮูหยินน้อย!” หานลี่จูตวาดเสียงดังทำให้เสี่ยวจิ้งถึงกับเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าเบื้องหน้า “เข่อซิง...” หลัวซู่เหมยรีบพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” หานหรงเหยาหายใจไม่ทั่วท้อง “เข่อซิงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยา “บังอาจ! ใครกล้าแตะต้องคนสกุลหานของเรา!” หานลี่จูจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ้ง “ทุกครั้งที่ออกไปนอกจวนก็ให้มีผู้ติดตามไปมิใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” “ข้าเพิ่งกลับจากตลาดม้า พบพี่สะใภ้เกิดเรื่องที
หานลี่จูนั่งมองห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ว หานหรงเหยาเอ่ยปากบอกคนเป็นพี่อย่างเขาว่า ใกล้จะแต่งงาน อยากบำรุงร่างกายเพื่อว่าที่เจ้าสาวจึงมาขอรับยาจากเขา ทั้งที่ไม่ได้กินยามานาน น้องชายคนรองจะแต่งงาน กำลังจะสร้างครอบครัวของตนเอง น้องชายคนเล็กกำลังจะเข้ากองทัพ ท่านพ่อท่านแม่อายุก็มาก เวลานี้เขาคือคนเดียวที่ดูแลทุกอย่างในจวน บอกตัวเองให้ทำใจปล่อยวาง แต่หลายปีผ่านมาเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จนวันนี้ที่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว นานเพียงใดแล้วที่ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ยิ่งเห็นหานหรงเหยามีความสุขกับหลิวเข่อซิง ก็ยิ่งรู้ว่าคนที่ปวดใจก็คือเขากับหลัวซู่เหมย เป็นเช่นนี้แล้ว จะต่างอะไรจากการหันคมมีดเข้าหาตนเอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บก็คือเขา เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี หานหรงเหยาเข้ามาอย่างเงียบๆ หานลี่จูที่เหม่อลอยอยู่ไม่รู้ว่าน้องชายเข้ามา จนกระทั่งหานหรงเหยาเอื้อมมือไปหยิบห่อยาเบื้องหน้าขึ้นมา “ดีจริง พี่ใหญ่เตรียมยาให้ข้าแล้วหรือ”
หานหรงเหยาไม่เคยเล่าความหลังของเขากับหญิงในดวงใจ นางรู้ว่าเขามีบางเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ แต่เมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่เคยฝืนค้นสิ่งที่ซ่อนไว้ใน หรือเพราะนางได้กินพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอและยังได้เสพพลังหยางเพิ่มความสมดุลให้ตนเอง นางจึง ‘สัมผัส’ ความลับในใจของผู้คนได้มากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้ต้องการรู้มันเลย “น้ำชากับของว่างมาแล้ว” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้นแล้วรับถาดของว่างมาจากเด็กรับใช้ของร้าน เมื่อวางของบนโต๊ะแล้ว เสี่ยวจิ้งก็หันพูดให้เด็กรับใช้ของร้านออกไป “มีขนมด้วย” เข่อซิงเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “อื้ม ก็ฮูหยินน้อยเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้และที่สำคัญ พวกเราเป็นคนของจวนหานกั๋วกง เถ้าแก่ก็ย่อมให้ความสำคัญมากกว่าลูกค้าทั่วไปอยู่แล้ว” “เป็นเช่นนี้เอง พี่เสี่ยวจิ้งนี่รอบรู้จริงๆ” “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้” เสี่ยวจิ้งรินน้ำชาส่งให้หลัวซู่เหมยและเข่อซิง ฐานะของหลิวเข่อซิงยังไม่ชัดเจน นางไม่อยากก้มหัวให้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ “ดื่มซิ” เสี่ยวจิ้งคะยั้นคะยอให้หลิวเข่อซิงดื่มชา ใบหน้าของหลัว