ซุนเจ้าเฟิงเป่าลมออกทางปากทำหน้าบูดบึงแล้วเอ่ยขึ้น
“เพราะเหตุนี้เจ้าจึงเป็นห่วงนางใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ย “เจ้าคงนึกหัวเราะเยาะข้าอยู่ในใจสินะ พบกันเพียงครู่เดียวกลับเป็นกังวลเช่นนี้”
“ไม่ๆ เหตุใดข้าต้องหัวเราะเจ้าด้วย” ซุนเจ้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พบกันล้วนเกิดจากวาสนา เจ้าเป็นห่วงนางก็เป็นเรื่องดี เอาอย่างนี้ ลองแวะไปเยี่ยมนางดูสักครา หากนางต้องการให้ช่วยเหลือก็ทำตามสมควรเถิด”
“ถ้าเช่นนั้น...”
“ไป ไปกัน”
“ไปไหน?”
“ไปหอชมบุหลันอย่างไรเล่า”
“ไปกลางวันแสกๆ อย่างนี้รึ”
“วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้วนี่” เขาเองก็กลับมาที่จวนเพราะสั่งงานที่ค่ายทหารเรียบร้อยดีแล้ว “ยาเจ้าก็กินแล้วไปกันตอนนี้เลย”
หานหรงเหยากระดากใจเล็กน้อย มิใช่ว่าไม่เคยย่างเท้าเข้าหอนางโลม แต่ทุกครั้งที่ไปก็พาเหล่าทหารไปผ่อนหลังทำภารกิจสำคัญลุล่วง แต่ครั้งนี้....
ซุนเจ้าเฟิงไม่รอให้หานหรงเหยาคิดนาน คว้าข้อมือของสหายได้ก็แทบลากตัวปลิวมุ่งหน้าไปหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองทันที
ปลายนิ้วเรียวงามกำลังดีดกู่ฉินหรือพิณเจ็ดสายชะงักไปทันทีที่บ่าวรับใช้มารายงานว่ามีบุรุษต้องการพบ ‘หลิวเข่อซิง’
หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เข่อซิงเพิ่งมาอยู่ได้แค่สัปดาห์เดียว นางทำให้บรรดาเหล่าพี่น้องปวดหัวมิใช่น้อย เคี่ยวเข็นอย่างไรก็เอาดีไม่ได้สักทาง จำใจจับนางให้เป็นทำงานขั้นต่ำเป็นสาวใช้ทั่วไป แม้ถูกผู้อื่นกระแหนะกระแหนหรือจิกหัวใช้งานอย่างไร นางไม่เคยปริปากบน ยังคงใบหน้าเปื้อนยิ้มโง่งมอยู่เรื่อยไป
“เจาะจงเรียกเข่อซิงรึ?”
“เจ้าค่ะ”
“ข้าจะออกไปดูเอง” หลิวชิงเซียงวางพิณเจ็ดสายลงแล้วลุกขึ้นเดินไปยังบุรุษสองคนที่เข้ามาขอพบเข่อซิง ไม่รู้ว่าเข่อซิงไปทำเรื่องอันใดไว้ หรือเปิดเผยร่องรอยจนมีนักล่าปีศาจมาเยือน ทว่าเมื่อนางเดินไปถึงที่หมายกลับพบแม่ทัพซุนเจ้าเฟิงที่แต่งกายเรียบง่ายแต่ตัดเย็บประณีตบ่งบอกสถานะองค์ชายสามได้ดีเยี่ยม ส่วนบุรุษอีกคน หากนางจำไม่ผิด จากที่เคยได้ยินมาบุรุษที่รูปร่างแบบบางแต่สูงโปร่ง แลดูสุภาพราวเทพเซียนคือที่ปรึกษาหานหรงเหยา
“ผู้น้อยหลิวชิงเซียงคารวะท่านแม่ทัพซุนและที่ปรึกษาหานเจ้าค่ะ”
ซุนเจ้าเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากกระตุกยิ้ม นับว่าสายตาหญิงงามอันดับหนึ่งแหลมคมที่มองเขาสองคนปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ใด
“แม่นางคือหลิวชิงเซียงเองหรือ? สมแล้วที่ผู้อื่นล่ำลือกัน”
“เรียกข้าว่าผู้ดูแลหลิวก็ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มให้ “เสียงเล่าลือเป็นเพียงลมปาก เกรงว่าจะทำให้แม่ทัพซุนผิดหวังแล้ว”
แม่ทัพหนุ่มกวาดตามองหญิงงามตรงหน้าอย่างเปิดเผย เรือนร่างอรชรเย้ายวน ดวงหน้างดงามไร้ที่ติ ยามชม้ายตามองราวกับสะกดผู้คนให้หลงใหลในดวงตาคู่งาม ริมฝีปากสีชาดยกยิ้มจางๆ ประหนึ่งลมวสันต์มาเยือน แต่เขากลับรู้สึกว่าความงามนี้งดงามเกินกว่าจะเป็นจริง ทำให้รู้สึกระแวงอยู่บ้าง
“ผู้ดูแลหลิว ข้ามารบกวนเพื่อขอพบหลิวเข่อซิง” หานหรงเหยาเอ่ยวาจาเข้าประเด็น ใจหนึ่งไม่อยากรั้งอยู่ในหอนางโลมนานนัก และที่สำคัญ เขาเป็นห่วงเจ้าจิ้งจอกแดงโง่งมตัวน้อย สถานที่ที่เต็มไปด้วยจริตเล่ห์กลเช่นนี้ นางจะอยู่อย่างไร
“เข่อซิงเป็นเด็กใหม่ของที่นี่ ไม่ทราบว่าคุณชายรู้จักนางได้อย่างไรกัน”
“แล้วแม่นางน้อยผู้นั้นไม่เล่าให้เจ้าฟังหรือว่า สหายของข้าเป็นผู้นางไว้”
“ช่วยชีวิต?” หลิวชิงเซียงไม่อาจเก็บซ่อนความฉงนไว้ในแววตาได้
“ถูกต้อง นับได้ว่า สหายของข้าเป็นผู้มีพระคุณของนาง” ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าสตรีนางนี้งดงามนัก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าความงามนี้น่าหลงใหลสยบแทบเท้านางได้
“เข่อซิงเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านแม่เมตตาเลี้ยงดู หากนางทำเรื่องใดล่วงเกินท่านทั้งสอง ข้าในฐานะผู้ดูแลหอชมบุหลันต้องขออภัยแทนนางด้วย”
“แม่นางหลิวเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่เป็นห่วงนาง หากนางสบายดี ข้าก็จะไม่รบกวน”
ท่าทีสุภาพและติดร้อนใจนิดๆ ทำให้หลิวชิงเซียงแอบชื่นชมอยู่ในใจ นางเดินนวยนาดไปใกล้ ยื่นมือออกไปแต่ยังไม่ทันแตะแขนของหานหรงเหยาก็ถูกพัดอันหนึ่งยื่นมาตีมือนางไว้ก่อน นางถึงกับชักมือกลับตวัดสายตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ด้วยไม่เคยถูกใครเสียมารยาทเช่นนี้ แม่ทัพหนุ่มสะบัดข้อมือกลับแล้วคลี่พัดโบกเบาๆ ท่าทางราวหนุ่มเจ้าสำราญทั้งที่เป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่กำยำยิ่ง
“สหายข้าเพียงต้องการพบคน เจ้าก็พามาเถิด”
หากไม่เพราะได้กลิ่นพลังชีวิตเข้มข้นมากกว่าคนทั่วไป นางคงไม่ปรายตาสนใจเป็นแน่ ยิ่งคุณชายหานที่ดูเปราะบางผู้นี้ยิ่งมีพลังหยางบริสุทธิ์ นางสูดลมหายใจลึกข่มโทสะไว้ในอกแล้วระบายยิ้มอ่อนหวาน
“ได้ เชิญตามข้ามาทางนี้” นางหมุนตัวแล้วเดินนำไปที่ห้องด้านใน จำได้ว่านางสั่งให้หลิวเข่อซิงศึกษาหนังสือภาพวังวสันต์ “อีกไม่กี่วันเราจะจัดงานชิมชาชมบุปผา ข้าหวังจะให้นางออกรับแขกครั้งแรก จึงให้นางศึกษาเรื่องที่ควรศึกษาที่เรือนด้านหลังนี้”
“รับแขก...” สองคำนี้ทำเอาฝีเท้าของหานหรงเหยาไม่มั่นคง เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้เป็นห่วงนางถึงเพียงนี้
ห่วงจนรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ หรือโรคของเขาจะกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว.
ณ เรือนด้านหลัง
“เจ้านี่มัน...”
“พี่สาวทั้งสอง เมตตาข้าด้วย” เสียงอ่อนระโหยนั้นน่าสงสารยิ่ง แต่หญิงงามสองคนยืนมองด้วยความโมโห
“เรื่องง่ายๆ แค่นี้เจ้ายังทำไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไรได้อีก!”
“ได้ๆ ข้าสัญญา ข้าจะพยายามให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้...ข้าขอ..ขอกินพลังชีวิตนิดหนึ่งได้ไหม”
“ไม่ได้!” สาวงามทั้งสองตวาดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เสียงตวาดนั้นทำให้เข่อซิงถึงกับยกมือขึ้นปิดหู แล้วนางก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าหูของตนเปลี่ยนเป็นหูจิ้งจอกแล้ว
“หูของข้า!” หลิวเข่อซิงร้องอย่างลนลาน “หางก็โผล่!”
“ดี! กลายเป็นจิ้งจอกแดงแล้วกลับหุบเขาไปเลย! ทำตัวน่ารำคาญจริง!”
ไม่ได้นะ! นางจะกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไม่ได้ พลังนางเหลือน้อยเต็มที หากกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงแล้ว ไม่รู้ว่านานเพียงใดกว่าจะได้กลายร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง
หรือไม่ก็...อยู่ในร่างจิ้งจอกแดงตลอดไป
“เข่อซิง” หญิงสาวได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นางลุกขึ้นจากเตียงแต่ไร้เรี่ยวแรงและนึกได้ว่าหูกับหางจิ้งจอกแดงโผล่ออกมาแล้ว นางอยากขยับตัวหาที่ซ่อนแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงยกมือขึ้นปิดหูของตน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” หลิวชิงเซียงและหานหรงเหยาเอ่ยออกมาแทบพร้อมกัน หลิวชิงเซียงปรายตามองทางชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ดูท่าทางเขาห่วงใยเจ้าตัวโง่งมนั้นจริงจัง เอ๊ะ? เขารู้หรือไม่ว่านางเป็น.... หานหรงเหยาไม่ได้สนใจใครอื่น ในสายตาของเขามีเพียงเจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่นั่งบนเตียงและยกมือขึ้นปิดหู เขาสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วไม่สนใจท่าทีตื่นตะลึงของซุนเจ้าเฟิง รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกคลี่คลุมศีรษะของนาง แล้วโน้มหน้าลงประกบริมฝีปากกับหญิงสาวที่เบิกตากว้าง ลมหายใจอุ่นร้อนไหลเวียนเข้ามาในกายพร้อมกับพลังชีวิตทำให้หลิวเข่อซิงที่แทบหมดแรงสูดลมหายใจของเขาไปเฮือกใหญ่ นางหิวโหยและละโมบจนต้องยกมือขึ้นประกบใบหน้าของเขาไว้ไม่ยอมให้ถอยหนี ก็นางหิวนี่...หิวมากๆ ซุนเจ้าเฟิงอ้าปากค้าง เขาไม่เคยเห็นสหายจู่โจมสตรีเช่นนี้มาก่อน อย่าว
“สาวใช้?” หลิวเข่อซิงทวนคำแล้วก็เห็นว่าตำแหน่งนี้นางน่าจะทำได้ดี จากที่นาง ‘พยายาม’ เรียรรู้จากพี่เลี้ยงที่หลิวชิงเซียงส่งมาอบรมสั่งสอนแล้ว นางมั่นใจว่าตนเองเหมาะที่จะรับใช้ผู้อื่นเพื่อแลกกับการกินเศษพลังชีวิตเล็กๆ น้อยๆ เหมือนที่เคยอยู่ในหุบเขา“ได้ๆ ข้าเป็นสาวใช้ให้เจ้าเอง” นางรีบเสนอตัวแล้วหันไปถามหลิวชิงเซียง “ข้าไปเป็นสาวใช้ของเขาได้ไหม”“สาวใช้อะไรกัน ยังเรียกเจ้านายว่าเจ้านั้นเจ้านี้ ไร้มารยาทเสียจริง”“ได้ๆ ข้าจะพยายาม” นางไม่ถือสาที่ซุนเจ้าเฟิงตำหนินาง “ข้าต้องเรียกเจ้าว่าอะไร”“ใต้เท้า นายท่าน หรือที่ปรึกษาหาน ห้ามเรียกเจ้าๆ อย่างที่ผ่านมาอีก” ซุนเจ้าเฟิงทำตาดุใส่ ทำไมนางโง่งมขนาดนี้ เขาฝึกทหารเป็นหมื่นเป็นแสนยังไม่ยากเท่ากับคุยกับนางเลย“ได้ เช่นนั้น ข้าเรียกเจ้าว่านายท่าน”หานหรงเหยายิ้มและพยักหน้าให้ “ตามใจเจ้าเถิด”“จะพานางไปก็จ่ายค่าไถ่ตัวนางเสียก่อน” หลิวชิงเซียงยังคงยิ้มอ่อนหวานแต่แววตามีความรื่นเริง แน่นอนว่านางหาวิธีกำจัดเจ้าตัวโง่งม ออกไปพ้นหูพ้นตา และอีกทาง นางยังสามารถหาเหตุผลไปเยี่ยมเยือนเข่อซิงที่จวนแม่ทัพซุนได้ คนผู้นี้มีพลังชีวิตกล้าแกร่ง หากได้กลืนกินย
“ข้าจำได้ว่า ผู้ดูแลหลิวบอกว่า ข้ามีวิญญาณพิสุทธิ์ นั้นหมายความว่าข้าเป็นคนดีหรือ?” “ถูกต้อง” นางพยักหน้ายืนยัน “เหล่าภูตผีปีศาจชอบวิญญาณพิสุทธิ์ หากได้กลืนกินจะเพิ่มพลังให้แก่ตนเอง” “เช่นนั้น เป็นคนดีย่อมไม่ปลอดภัยสินะ” เขายิ้มขำ คนอย่างเขานะหรือ?ที่เรียกว่า “คนดี” หากเรียกว่า “เจ้าเล่ห์เพทุบาย” น่าจะได้อยู่ “ไม่ๆ” นางส่ายหน้าไปมา “เพราะเป็นคนดี สวรรค์จึงคุ้มครอง ไม่ให้มารปีศาจตนใดจะแตะต้องได้ง่ายๆ” “แล้วเจ้าเล่า ไม่ใช่ปีศาจหรือไร” “ข้า... “ นางยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “เพราะร่างเดิมข้าคือจิ้งจอกแดง ท่านแม่ข้าเป็นจอมปีศาจชุบเลี้ยงข้าด้วยปราณปีศาจ ข้าจึงเป็นปีศาจ แต่ข้ายังไม่กล้าแกร่ง ไอปีศาจเบาบาง เจ้าเลยไม่รู้ว่าข้าเป็นปีศาจอย่างไรเล่า” “เช่นนั้น ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของเจ้าสร้างขึ้น” “ถูกต้อง ข้าถึงเรียกนางว่าท่านแม่อย่างไร” นาวพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกว่า จริงๆ พวกเราต้องเรียกท่านแม่ว่าอาจารย์ แต่ท่านแม่ไม่ชอบ ท่านแม่แสดงให้เห็นว่ารักทุกตนเท่าเทียมกันจึงให้เรีย
อยู่ชายแดนมานาน ต่างรู้กันว่าที่ปรึกษาหานเป็นผู้รักสันโดษ น้อยครั้งที่จะพบเขาเดินซื้อของในตลาดเช่นวันนี้ และยิ่งต้องแปลกใจเมื่อข้างกายมีสตรีงดงามเดินเคียง ท่าทางอยากรู้อยากเห็นไปทุกสิ่งทำให้ใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เป็นนิตย์ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น หากไม่นับเรื่องสุขภาพแล้ว หานหรงเหยานับเป็นบัณฑิตรูปงาม รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาแฝงความอ่อนโยนที่ชวนให้สตรีเฝ้าถวิลหา แต่เพราะใช้ชีวิตนับถอยหลังรอวันตายทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ใครเล่าจะอยากเป็นม่ายแต่เยาว์วัย แต่ยามนี้ข้างกายบุรุษใกล้ตายผู้นั้นมีสตรีเกาะแขนกึ่งลากกึ่งจูงดูข้าวของสองข้างทาง เดิมทีคิดแค่ซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้หลิวเข่อซิง แต่นางเหมือนเด็กที่เห็นสิ่งใดก็ใคร่รู้ไปเสียหมด นอกจากนางมาจากหุบเขาจื่อ เซ่อแล้ว นางยังเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่แทบไม่เคยรู้จักมนุษย์ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าตลาดเบื้องหน้านาง “เข่อซิง เดินดีๆ ประเดี๋ยวหกล้ม” “ข้าไม่ล้มๆ” นางหันมายิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “เจ้า เอ๊ย ท่าน เอ่อ นายท่าน เดินเร็วๆสิ” “ข้าวของไม่หนีเจ้าไปไหน ไม่ต้องรีบ
“แต่บริเวณรอบนอกมีหมู่บ้านคน” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆ ก็รู้ หานหรงเหยาไม่อยากให้ปีศาจสาวลำบากใจจึงชิงอธิบายก่อน “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมากินข้าวเที่ยงในเมืองได้” “อาวุธตัวอย่างถูกส่งมาแล้ว ข้าให้ส่งไปที่จวนเลยจะกลับไปดู” ซุนเจ้าเฟิงคลั่งไคล้อาวุธทุกชนิด เขาเสียเงินทองไปมากมายเกินกว่าจะนับได้หวาดไหว เพื่อซื้ออาวุธชั้นเลิศมาไว้ในครอบครอง “เช่นนั้นข้าจะกลับไปดูพร้อมเจ้า” ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้าม “วันนี้เจ้าหยุดนี่ พาเข่อซิงเที่ยวเล่นเถิด” “ข้าไม่ได้เที่ยวเล่นนะ” เข่อซิงรีบพูดแก้ไขไม่ให้ซุนเจ้าเฟิงเข้าใจผิด ผู้อื่นเกรงกลัวชายผู้นี้ แต่นางไม่ เพราะเขาไม่เป็น ‘เจ้านาย’ของนางเสียหน่อย ‘ขนาดนี้แล้วไม่เรียกเที่ยวเล่นจะให้เรียกว่าอะไร’ เป็นอีกครั้งที่ซุนเจ้าเฟิงต้องกลั้นหัวเราะ เขารู้ว่าสหายหน้าบางเรื่องสตรี ตั้งแต่มีเรื่องหลัวซู่เหมยกลายเป็นพี่สะใภ้ เขาก็ไม่เคยเห็นหานหรงเหยายิ้มกับใครอีก โดยเฉพาะกับสตรี แต่พอมีหลิวเข่อซิงเข้ามาในชีวิต หานหรงเหยาก็ทำราวกับเก็บสัตว์เลี้ยงเล็กๆ มาดูแล ช่างเถอะ นางจะเป็นอ
ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแค่...น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น “เขาคิดอะไรอยู่” หลิวชิงเซียงพึมพำกับตนเองแล้วยึดกายขึ้นยืนบนกิ่งไม้ หานหรงเหยามิใช่นักพรตและมิใช่นักปราบมาร เขาเป็นเพียงบัณฑิตอมโรคที่รอวันตายเพราะหัวใจอ่อนแอ ทว่ากลับเอ็นดูปีศาจอย่างเข่อซิง ยอมให้กินพลังชีวิตของตนเอง แต่แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสุข คนแบบไหนกันที่ยอมบั่นทอนอายุตนเองให้ปีศาจตนหนึ่ง ‘รัก?’ ไม่มีทาง ปีศาจกับมนุษย์นี้นะจะรักกัน ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และนางอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตานั้น ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ดวงตาคมหรี่ตามองที่หนึ่งคนและหนึ่งปีศาจจิ้งจอกแดงที่อยู่ร่วมกันในเรือนหลังนั้น มุมปากยกยิ้มหยามเหยียดแล้วพลิ้วกายในความมืดมุ่งหมายกลับไปที่หอชมบุหลัน ทว่าเมื่อผ่านมาถึงลานกว้าง ดวงตางามมองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่กำลังร่ายรำเพลงทวน ปลายทวนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์ การเคลื่อนไหวสอดประสานกับลำทวน ทุกท่วงท่าทรงพลัง หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจได้กลิ่นอายบุรุษเพศผสนกับกลิ่นความทะเยอทะยานและกระหายเลือด นางเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว
ซุนเจ้าเฟิงมองหญิงสาวก้าวเดินจากไป เขายกมือขึ้นกอดอก นางมาจากทางใดกัน เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่นางเพียงใด นางไม่เหมือนคนมีวรยุทธ์ แต่ท่าทีสงบนิ่งนั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน ไอสังหารในตัวเขาทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นางกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว และยังคงมีสติต่อปากต่อคำกับเขาได้อีก ปกติเขาไม่ชอบสตรีพูดมากน่ารำคาญ แต่น้ำเสียงนางราบรื่นดุจสายน้ำและพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาให้องครักษ์เงาสืบเรื่องของนาง แต่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ความเป็นปกตินั้นมากเกินไป เหมือนซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หวังว่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายสหายเขาจะไม่ใช่คนที่นางส่งหลอกลวงหานหรงเหยา เขามีสหายรักเพียงคนเดียว เกรงว่าจะถูกความไร้เดียงสานั้นทำให้ปวดใจอีกครา หญิงงามในชุดกระโปรงสีแดงสดใส วิ่งไปมาในจวนแม่ทัพจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในจวน แม้กระทั่งในค่ายทหาร นางก็ติดตามหานหรงเหยาไปด้วย โดยที่แม่ทัพใหญ่เห็นดีเห็นงามให้เหตุผลเรื่องสุขภาพของที่ปรึกษาหานต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่กุมขมับไม่คิดว่าสหายจริงจังถึงเพียงนี้
“แต่หุบเขาจื่อเซ่ออันตรายมาก มนุษย์เข้าไปไม่ได้” “ข้ารู้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่ต้องใช้เส้นทางลัดเลาะรอบนอก แต่เราจำเป็นต้องรู้ภูมิประเทศ อีกอย่าง ข้าได้อ่านบันทึกของเมืองนี้ เคยเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ทั้งเสบียงอาหารยารักษาโรค กว่าจะใช้เส้นทางได้ก็นานนับเดือน” “ข้าจำได้ ข้าเคยเห็น” “นั้นมั้นตั้งยี่สิบปีมาแล้ว” “ก็ข้าอายุหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว ก็ต้องเคยเห็นสิ” นางแยกเขี้ยวใส่ “ข้าอายุมากกว่านายท่านนะ อย่าลืมสิ” คราวนี้เขาหลุดหัวเราะมาอีกครั้ง “เป็นข้าที่ผิดเอง” นางผงกศีรษะรับคำขอโทษ แล้วจิบน้ำชา รสชาติดีชุ่มคอเหลือเกิน “ความจริงเส้นทางในหุบเขาไม่ใช่ความลับอะไร ท่านแม่บอกว่าห้ามคนนอกรู้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เส้นทางเหล่านี้ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับเข้าใจคำพูดของนาง ที่นั้นเสมือนบ้านของนางหากให้ผู้อื่นรู้เส้นทางเข้าออกบ้านย่อมไม่ปลอดภัย “จริงสิ” หลิวเข่อซิงร้องขึ้นอย่างนึกได้ “ท่านก็เป็นคนในครอบครัวข้าสิ ข้าจะได้บอกเส้นทางให้ท่านรู