อยู่ชายแดนมานาน ต่างรู้กันว่าที่ปรึกษาหานเป็นผู้รักสันโดษ น้อยครั้งที่จะพบเขาเดินซื้อของในตลาดเช่นวันนี้ และยิ่งต้องแปลกใจเมื่อข้างกายมีสตรีงดงามเดินเคียง ท่าทางอยากรู้อยากเห็นไปทุกสิ่งทำให้ใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เป็นนิตย์ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น
หากไม่นับเรื่องสุขภาพแล้ว หานหรงเหยานับเป็นบัณฑิตรูปงาม รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาแฝงความอ่อนโยนที่ชวนให้สตรีเฝ้าถวิลหา แต่เพราะใช้ชีวิตนับถอยหลังรอวันตายทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ใครเล่าจะอยากเป็นม่ายแต่เยาว์วัย แต่ยามนี้ข้างกายบุรุษใกล้ตายผู้นั้นมีสตรีเกาะแขนกึ่งลากกึ่งจูงดูข้าวของสองข้างทาง
เดิมทีคิดแค่ซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้หลิวเข่อซิง แต่นางเหมือนเด็กที่เห็นสิ่งใดก็ใคร่รู้ไปเสียหมด นอกจากนางมาจากหุบเขาจื่อ เซ่อแล้ว นางยังเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่แทบไม่เคยรู้จักมนุษย์ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าตลาดเบื้องหน้านาง
“เข่อซิง เดินดีๆ ประเดี๋ยวหกล้ม”
“ข้าไม่ล้มๆ” นางหันมายิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “เจ้า เอ๊ย ท่าน เอ่อ นายท่าน เดินเร็วๆสิ”
“ข้าวของไม่หนีเจ้าไปไหน ไม่ต้องรีบร้อนไป” เขาพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นให้ เจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยของเขาใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มือซ้ายมีถังหูลู่ มือขวามีขนมน้ำตาล หลัวเข่อซิงไม่รู้จะเอามือไหนรับผ้าเช็ดหน้าจึงยื่นหน้าไปหาเขา หานหรงเหยานิ่งงันอย่างทำอะไรถูกและเบือนหน้าไปทางอื่น ทว่าปีศาจสาวกลับคิดว่าเขาไม่เห็นหน้าอันชุ่มเหงื่อจึงขยับยื่นหน้าไปใกล้อีก
“มือข้าไม่ว่าง”
หานหรงเหยารู้ว่านางไร้เดียงสาไม่ได้คิดอื่นใด แต่การกระทำเช่นนี้บนถนนและท่ามกลางสายตาผู้คน แต่นางก็ไม่ลดละความพยายามที่จะให้เขาซับเหงื่อให้ และหากเขาไม่ทำเสียที นางก็คงยื่นหน้าหาเขาไม่หยุด ชายหนุ่มอับจนหนทาง โอดครวญในอกไม่น่ายื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเลย แต่สุดท้ายก็ซับเหงื่อให้นาง
“ขอบคุณ นายท่าน”
ปากบอกว่าจะเป็น ‘สาวใช้’ แต่ออกคำสั่งคนเป็นนายทุกคำ หานหรงเหยาโคลงศีรษะแต่กลับไม่อาจบังคับมุมปากมิให้ยกยิ้มไม่ได้
“หิวหรือไม่ กินข้าวเที่ยงก่อนค่อยกลับเข้าจวนนะ” อย่างไรเสียวันนี้หยุดงานมาเพื่อนางแล้ว ไม่ต้องรีบกลับก็ได้ ปกติหากไม่จำเป็นอะไร แทบไม่เคยหยุดงาน ถึงขนาดซุนเจ้าเฟิงขอร้องให้เขาหยุดคลั่งงานเสียบ้าง
“ได้!” เรื่องกินหลิวเข่อซิงไม่เคยขัด มื้อเช้าเป็นเขาที่ปลุกนางให้ลุกขึ้นมากินอาหารเช้า นางเป็นปีศาจแต่ความอยากอาหารเป็นเรื่องพื้นฐาน ได้ลิ้มรสของอร่อยแม้ไม่เพิ่มพลังให้ตนเองแต่ทำให้นางมีความสุข และนางชอบชีวิตแบบนี้เหลือเกิน! ออกจากหุบเขานี่ดีจริงๆด้วย!
หลิวเข่อซิงรีบกินขนมในมือให้หมดแล้วเดินตามแผ่นหลังของหานหรงเหยาเข้าไปที่โรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง เพียงแค่ยืนหน้าประตูก็ได้กลิ่นอาหารหอมกรุ่นเรียกน้ำลายเต็มกระพุ้งแก้ม เสี่ยวเอ้อร์เข้ามาต้อนรับด้วยรู้ว่าแขกผู้มาเยือนเป็นใครก็เชื้อเชิญไปมุมที่มองเห็นสระน้ำ
“สวยจัง” นางชะเง้อคอยาวมองไปที่แม่น้ำซึ่งในเวลานี้ แสงแดดกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ
“หุบเขาจื่อเซ่อไม่มีสระน้ำหรือ?” เขาถามพลางสั่งอาหารแทนนางที่เอาแต่จ้องมองนอกหน้าต่าง อากาศเย็นแล้วแต่วันนี้มีแสงแดด ทำให้ทุกอย่างล้วนน่ามอง
“ถ้าไม่มีสระน้ำ ข้าจะไปซักผ้าที่ใดเล่า” นางหันมามองเหมือนว่าเขาโง่เหลือเกิน “แต่ที่หุบเขาจื่อเซ่อเต็มไปด้วยหมอกทึบตลอดทั้งปี น้อยครั้งที่จะเห็นแสงแดดเช่นนี้ ทั้งที่อยู่ไม่ไกลกันมาก”
“มีใครมาจากหุบเขาจื่อเซ่อรึ”
ไม่ต้องหันกลับมามองก็รู้ว่าเจ้าของเสียงคือแม่ทัพซุนผู้ที่ไม่ชอบให้ใครเรียกเขาว่าองค์ชายสาม ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ว่าง หานหรงเหยารินน้ำชาให้สหายแล้วรินน้ำชาให้เข่อซิง ซุนเจ้าเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วยิ้มยั่วล้ออีกฝ่าย
“ข้าไม่รู้ว่าคนเป็นนายต้องรินน้ำให้สาวใช้”
เข่อซิงเพิ่งนึกได้ นางยื่นมือไปหมายจะแย่งหน้าที่รินน้ำชาเองแต่หานหรงเหยารินเสร็จแล้วและยื่นถ้วยชาให้นาง
“เขาล้อเจ้าเล่นเท่านั้น”
“ถูกต้อง ล้อเล่นเท่านั้น” ซุนเจ้าเฟิงยกน้ำชาขึ้นดื่ม เขาเพิ่งกลับจากค่ายทหาร หางตาเห็นสหายเดินเข้ามาในโรงเตี้ยมจึงหยุดม้าแล้วตามเข้ามาด้วย “ถ้าข้าจริงจังคงถามว่า ทำไมสาวใช้ถึงนั่งกินข้าวร่วมกับเจ้านาย”
หลิวเข่อซิงมองซุนเจ้าเฟิงสลับกับหานหรงเหยา นางเบ้ปากเหมือนจะร้องไห้ นางผู้มั่นใจในการเป็น ‘สาวใช้อันดับหนึ่งแห่งหุบเขาจื่อ เซ่อ’ กลับเผลอลืมหน้าที่ของตัวเองไปได้
“เจ้าเฟิง”
“โอ้ว เจ้าออกหน้าแทนสาวใช้” ซุนเจ้าเฟิงยังออกหยอกล้อไม่ได้ เสี่ยวเอ้อร์นำอาหารมาวางบนโต๊ะ เมื่อเห็นว่ามีผู้ร่วมโต๊ะเพิ่มจึงรีบไปนำชามและตะเกียบมาเพิ่ม
“อาหารเต็มโต๊ะเช่นนี้ ข้ากินด้วยคงไม่ว่ากระไรหรอกนะ”
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา คราวนี้นางไม่กล้ากินก่อน แต่หานหรงเหยาคีบอาหารใส่ชามข้าวให้นาง
“เนื้อแพะตุ๋นที่นี่อร่อยมาก เจ้าลองกินดูสิ”
“ข้าก็ชอบเนื้อแพะนะ”
“เจ้าเฟิง” ชายหนุ่มปรามเบา เหตุใดวันนี้สหายเขาทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้นะ
หลิวเข่อซิงมองเนื้อแพะตุ๋นในชามข้าวตัว แล้วลอบมองเนื้อแพะที่ยังเหลืออยู่ในจาน นางช้อนตาขึ้นมองซุนเจ้าเฟิงที่อ้าปากเคี้ยวเนื้อแพะคำโต คนผู้นี้ตัวใหญ่อย่างกับภูเขา เนื้อแพะจานนิดเดียวเขากินไม่กี่คำคงกวาดหมดจานแน่ นางเองก็ชอบกินเนื้อ ก็จิ้กจอกแดงที่ไหนจะชอบกินผักแล้ว มีแต่เจ้านายของนางที่คีบผัดผักเข้าปากด้วยท่าทีเรียบง่ายงามสง่า นางเกรงว่าหานหรงเหยาผู้บอบบางจะไม่ได้กินเนื้อแพะแสนอร่อย จึงรีบคีบเนื้อแพะใส่ชามข้าวของเขาหลายชิ้น และใส่ชามข้าวของนางก่อนจะก้มหน้าก้มตากินไม่สบตากับผู้ใด
หานหรงเหยาอ้าปากค้าง ในขณะที่ซุนเจ้าเฟิงกลั้นหัวเราะจนไหล่สะเทือน เอาเถิด นางเป็นห่วงเจ้านายถึงเพียงนี้ก็ดีแล้ว
“ข้าไม่เคยรู้ว่าหุบเขาจื่อเซ่อมีผู้คนอาศัยอยู่” ซุนเจ้าเฟิงเปลี่ยนเรื่องสนทนาวกกลับมาที่หุบเขาจื่อเซ่อ ทำให้หลิวเข่อซิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
“แต่บริเวณรอบนอกมีหมู่บ้านคน” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆ ก็รู้ หานหรงเหยาไม่อยากให้ปีศาจสาวลำบากใจจึงชิงอธิบายก่อน “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมากินข้าวเที่ยงในเมืองได้” “อาวุธตัวอย่างถูกส่งมาแล้ว ข้าให้ส่งไปที่จวนเลยจะกลับไปดู” ซุนเจ้าเฟิงคลั่งไคล้อาวุธทุกชนิด เขาเสียเงินทองไปมากมายเกินกว่าจะนับได้หวาดไหว เพื่อซื้ออาวุธชั้นเลิศมาไว้ในครอบครอง “เช่นนั้นข้าจะกลับไปดูพร้อมเจ้า” ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้าม “วันนี้เจ้าหยุดนี่ พาเข่อซิงเที่ยวเล่นเถิด” “ข้าไม่ได้เที่ยวเล่นนะ” เข่อซิงรีบพูดแก้ไขไม่ให้ซุนเจ้าเฟิงเข้าใจผิด ผู้อื่นเกรงกลัวชายผู้นี้ แต่นางไม่ เพราะเขาไม่เป็น ‘เจ้านาย’ของนางเสียหน่อย ‘ขนาดนี้แล้วไม่เรียกเที่ยวเล่นจะให้เรียกว่าอะไร’ เป็นอีกครั้งที่ซุนเจ้าเฟิงต้องกลั้นหัวเราะ เขารู้ว่าสหายหน้าบางเรื่องสตรี ตั้งแต่มีเรื่องหลัวซู่เหมยกลายเป็นพี่สะใภ้ เขาก็ไม่เคยเห็นหานหรงเหยายิ้มกับใครอีก โดยเฉพาะกับสตรี แต่พอมีหลิวเข่อซิงเข้ามาในชีวิต หานหรงเหยาก็ทำราวกับเก็บสัตว์เลี้ยงเล็กๆ มาดูแล ช่างเถอะ นางจะเป็นอ
ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแค่...น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น “เขาคิดอะไรอยู่” หลิวชิงเซียงพึมพำกับตนเองแล้วยึดกายขึ้นยืนบนกิ่งไม้ หานหรงเหยามิใช่นักพรตและมิใช่นักปราบมาร เขาเป็นเพียงบัณฑิตอมโรคที่รอวันตายเพราะหัวใจอ่อนแอ ทว่ากลับเอ็นดูปีศาจอย่างเข่อซิง ยอมให้กินพลังชีวิตของตนเอง แต่แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสุข คนแบบไหนกันที่ยอมบั่นทอนอายุตนเองให้ปีศาจตนหนึ่ง ‘รัก?’ ไม่มีทาง ปีศาจกับมนุษย์นี้นะจะรักกัน ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และนางอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตานั้น ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ดวงตาคมหรี่ตามองที่หนึ่งคนและหนึ่งปีศาจจิ้งจอกแดงที่อยู่ร่วมกันในเรือนหลังนั้น มุมปากยกยิ้มหยามเหยียดแล้วพลิ้วกายในความมืดมุ่งหมายกลับไปที่หอชมบุหลัน ทว่าเมื่อผ่านมาถึงลานกว้าง ดวงตางามมองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่กำลังร่ายรำเพลงทวน ปลายทวนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์ การเคลื่อนไหวสอดประสานกับลำทวน ทุกท่วงท่าทรงพลัง หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจได้กลิ่นอายบุรุษเพศผสนกับกลิ่นความทะเยอทะยานและกระหายเลือด นางเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว
ซุนเจ้าเฟิงมองหญิงสาวก้าวเดินจากไป เขายกมือขึ้นกอดอก นางมาจากทางใดกัน เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่นางเพียงใด นางไม่เหมือนคนมีวรยุทธ์ แต่ท่าทีสงบนิ่งนั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน ไอสังหารในตัวเขาทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นางกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว และยังคงมีสติต่อปากต่อคำกับเขาได้อีก ปกติเขาไม่ชอบสตรีพูดมากน่ารำคาญ แต่น้ำเสียงนางราบรื่นดุจสายน้ำและพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาให้องครักษ์เงาสืบเรื่องของนาง แต่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ความเป็นปกตินั้นมากเกินไป เหมือนซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หวังว่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายสหายเขาจะไม่ใช่คนที่นางส่งหลอกลวงหานหรงเหยา เขามีสหายรักเพียงคนเดียว เกรงว่าจะถูกความไร้เดียงสานั้นทำให้ปวดใจอีกครา หญิงงามในชุดกระโปรงสีแดงสดใส วิ่งไปมาในจวนแม่ทัพจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในจวน แม้กระทั่งในค่ายทหาร นางก็ติดตามหานหรงเหยาไปด้วย โดยที่แม่ทัพใหญ่เห็นดีเห็นงามให้เหตุผลเรื่องสุขภาพของที่ปรึกษาหานต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่กุมขมับไม่คิดว่าสหายจริงจังถึงเพียงนี้
“แต่หุบเขาจื่อเซ่ออันตรายมาก มนุษย์เข้าไปไม่ได้” “ข้ารู้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่ต้องใช้เส้นทางลัดเลาะรอบนอก แต่เราจำเป็นต้องรู้ภูมิประเทศ อีกอย่าง ข้าได้อ่านบันทึกของเมืองนี้ เคยเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ทั้งเสบียงอาหารยารักษาโรค กว่าจะใช้เส้นทางได้ก็นานนับเดือน” “ข้าจำได้ ข้าเคยเห็น” “นั้นมั้นตั้งยี่สิบปีมาแล้ว” “ก็ข้าอายุหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว ก็ต้องเคยเห็นสิ” นางแยกเขี้ยวใส่ “ข้าอายุมากกว่านายท่านนะ อย่าลืมสิ” คราวนี้เขาหลุดหัวเราะมาอีกครั้ง “เป็นข้าที่ผิดเอง” นางผงกศีรษะรับคำขอโทษ แล้วจิบน้ำชา รสชาติดีชุ่มคอเหลือเกิน “ความจริงเส้นทางในหุบเขาไม่ใช่ความลับอะไร ท่านแม่บอกว่าห้ามคนนอกรู้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เส้นทางเหล่านี้ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับเข้าใจคำพูดของนาง ที่นั้นเสมือนบ้านของนางหากให้ผู้อื่นรู้เส้นทางเข้าออกบ้านย่อมไม่ปลอดภัย “จริงสิ” หลิวเข่อซิงร้องขึ้นอย่างนึกได้ “ท่านก็เป็นคนในครอบครัวข้าสิ ข้าจะได้บอกเส้นทางให้ท่านรู
“นายท่าน! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าเห็นจิ้ง...จอก...” จูอี้ซินวิ่งตามจิ้กจอกแดง เห็นชัดเต็มสองตาว่ามันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง นางจึงรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้รายงานก่อน ทว่าสิ่งที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน และที่สำคัญ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่ “กรี๊ดดดด” เสียงหวีดร้องของจูอี้ซินทำให้หลิวเข่อซิงได้สติ หานหรงเหยายอมถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อออกจากอ่างน้ำแต่เขาโอบกอดนางมาแนบชิดและยกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะนางให้ซบลงซอกคอของเขา พลางส่งเสียงกระซิบ “อย่าเพิ่งขยับ เจ้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า” เข่อซิงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จะว่าไปนางเปลือยกายต่อหน้าของเขาหลายครั้ง เมื่อนางกลายร่างจากจิ้งจอกแดงมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย นางจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาสั่ง “เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงที่ฝึกเพลงกระบี่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงหวีดร้องจึงรีบทะยานเข้ามาดู เห็นจูอี้ซินยกมือขึ้นปิดหน้า เขามองเลยไปด้านหล
“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?” “ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า” เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร “ข้าลืมตาได้หรือยัง” “ยัง” “อา...” นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า” ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” “นานเพียงนั้นเชียว” “เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน” “ดี ห้ามเข
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย “เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้ “อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียง
หานหรงเหยารับเสื้อคลุมมาห่มร่างที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางมักยิ้มเสมอ “นางน่ารักดี” ซุนเจ้าเฟิงเอ่ยชมอย่างจริงใจ แรกทีเดียวเขาก็หวั่นเกรงว่านางจะมาหลอกลวงสหายรัก แต่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน นางเป็นคนจริงใจใสซื่อ เขาไม่เคยมีสหายเป็นสตรี และสตรีที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครนิสัยเช่นนี้ ทำให้เขาอดเอ็นดูนางไม่ได้จริงๆ “ถึงอำเภอข้างหน้า ข้าจะขี่ม้าแยกไปก่อน ส่วนเจ้าก็นั่งรถม้าชมทิวทัศน์กับเข่อซิงกันเอง ข้าแบ่งองครักษ์ไว้ให้เจ้าแล้ว” “เหตุใดแยกเดินทางเล่ามีเรื่องร้ายรึ” “มี” ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าจริงจังแล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะตัวเตี้ยที่วางหนังสือรายงานต่างๆ “ภาพเจ้ากับเข่อซิงรบกวนสายตาข้า ข้าขี่ม้าไปเองปลอดภัยกว่า” “ไร้สาระ” หานหรงเหยายิ้มมุมปาก คร้านจะต่อปากต่อคำกับสหายจึงก้มหน้าอ่านรายงานต่อไป แต่ในขณะที่มือหนึ่งวางบนศีรษะของหญิงสาวแล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หลิวเข่อซิงถูกปลุกเมื่อรถม้าหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง นางงัวเงียขึ้นยกมือขึ้นขยี้ตาราวเด็กน้อย แต่หานหรง