“แต่บริเวณรอบนอกมีหมู่บ้านคน” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆ ก็รู้ หานหรงเหยาไม่อยากให้ปีศาจสาวลำบากใจจึงชิงอธิบายก่อน “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมากินข้าวเที่ยงในเมืองได้” “อาวุธตัวอย่างถูกส่งมาแล้ว ข้าให้ส่งไปที่จวนเลยจะกลับไปดู” ซุนเจ้าเฟิงคลั่งไคล้อาวุธทุกชนิด เขาเสียเงินทองไปมากมายเกินกว่าจะนับได้หวาดไหว เพื่อซื้ออาวุธชั้นเลิศมาไว้ในครอบครอง “เช่นนั้นข้าจะกลับไปดูพร้อมเจ้า” ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้าม “วันนี้เจ้าหยุดนี่ พาเข่อซิงเที่ยวเล่นเถิด” “ข้าไม่ได้เที่ยวเล่นนะ” เข่อซิงรีบพูดแก้ไขไม่ให้ซุนเจ้าเฟิงเข้าใจผิด ผู้อื่นเกรงกลัวชายผู้นี้ แต่นางไม่ เพราะเขาไม่เป็น ‘เจ้านาย’ของนางเสียหน่อย ‘ขนาดนี้แล้วไม่เรียกเที่ยวเล่นจะให้เรียกว่าอะไร’ เป็นอีกครั้งที่ซุนเจ้าเฟิงต้องกลั้นหัวเราะ เขารู้ว่าสหายหน้าบางเรื่องสตรี ตั้งแต่มีเรื่องหลัวซู่เหมยกลายเป็นพี่สะใภ้ เขาก็ไม่เคยเห็นหานหรงเหยายิ้มกับใครอีก โดยเฉพาะกับสตรี แต่พอมีหลิวเข่อซิงเข้ามาในชีวิต หานหรงเหยาก็ทำราวกับเก็บสัตว์เลี้ยงเล็กๆ มาดูแล ช่างเถอะ นางจะเป็นอ
ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแค่...น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น “เขาคิดอะไรอยู่” หลิวชิงเซียงพึมพำกับตนเองแล้วยึดกายขึ้นยืนบนกิ่งไม้ หานหรงเหยามิใช่นักพรตและมิใช่นักปราบมาร เขาเป็นเพียงบัณฑิตอมโรคที่รอวันตายเพราะหัวใจอ่อนแอ ทว่ากลับเอ็นดูปีศาจอย่างเข่อซิง ยอมให้กินพลังชีวิตของตนเอง แต่แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสุข คนแบบไหนกันที่ยอมบั่นทอนอายุตนเองให้ปีศาจตนหนึ่ง ‘รัก?’ ไม่มีทาง ปีศาจกับมนุษย์นี้นะจะรักกัน ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และนางอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตานั้น ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ดวงตาคมหรี่ตามองที่หนึ่งคนและหนึ่งปีศาจจิ้งจอกแดงที่อยู่ร่วมกันในเรือนหลังนั้น มุมปากยกยิ้มหยามเหยียดแล้วพลิ้วกายในความมืดมุ่งหมายกลับไปที่หอชมบุหลัน ทว่าเมื่อผ่านมาถึงลานกว้าง ดวงตางามมองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่กำลังร่ายรำเพลงทวน ปลายทวนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์ การเคลื่อนไหวสอดประสานกับลำทวน ทุกท่วงท่าทรงพลัง หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจได้กลิ่นอายบุรุษเพศผสนกับกลิ่นความทะเยอทะยานและกระหายเลือด นางเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว
ซุนเจ้าเฟิงมองหญิงสาวก้าวเดินจากไป เขายกมือขึ้นกอดอก นางมาจากทางใดกัน เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่นางเพียงใด นางไม่เหมือนคนมีวรยุทธ์ แต่ท่าทีสงบนิ่งนั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน ไอสังหารในตัวเขาทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นางกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว และยังคงมีสติต่อปากต่อคำกับเขาได้อีก ปกติเขาไม่ชอบสตรีพูดมากน่ารำคาญ แต่น้ำเสียงนางราบรื่นดุจสายน้ำและพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาให้องครักษ์เงาสืบเรื่องของนาง แต่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ความเป็นปกตินั้นมากเกินไป เหมือนซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หวังว่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายสหายเขาจะไม่ใช่คนที่นางส่งหลอกลวงหานหรงเหยา เขามีสหายรักเพียงคนเดียว เกรงว่าจะถูกความไร้เดียงสานั้นทำให้ปวดใจอีกครา หญิงงามในชุดกระโปรงสีแดงสดใส วิ่งไปมาในจวนแม่ทัพจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในจวน แม้กระทั่งในค่ายทหาร นางก็ติดตามหานหรงเหยาไปด้วย โดยที่แม่ทัพใหญ่เห็นดีเห็นงามให้เหตุผลเรื่องสุขภาพของที่ปรึกษาหานต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่กุมขมับไม่คิดว่าสหายจริงจังถึงเพียงนี้
“แต่หุบเขาจื่อเซ่ออันตรายมาก มนุษย์เข้าไปไม่ได้” “ข้ารู้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่ต้องใช้เส้นทางลัดเลาะรอบนอก แต่เราจำเป็นต้องรู้ภูมิประเทศ อีกอย่าง ข้าได้อ่านบันทึกของเมืองนี้ เคยเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ทั้งเสบียงอาหารยารักษาโรค กว่าจะใช้เส้นทางได้ก็นานนับเดือน” “ข้าจำได้ ข้าเคยเห็น” “นั้นมั้นตั้งยี่สิบปีมาแล้ว” “ก็ข้าอายุหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว ก็ต้องเคยเห็นสิ” นางแยกเขี้ยวใส่ “ข้าอายุมากกว่านายท่านนะ อย่าลืมสิ” คราวนี้เขาหลุดหัวเราะมาอีกครั้ง “เป็นข้าที่ผิดเอง” นางผงกศีรษะรับคำขอโทษ แล้วจิบน้ำชา รสชาติดีชุ่มคอเหลือเกิน “ความจริงเส้นทางในหุบเขาไม่ใช่ความลับอะไร ท่านแม่บอกว่าห้ามคนนอกรู้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เส้นทางเหล่านี้ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับเข้าใจคำพูดของนาง ที่นั้นเสมือนบ้านของนางหากให้ผู้อื่นรู้เส้นทางเข้าออกบ้านย่อมไม่ปลอดภัย “จริงสิ” หลิวเข่อซิงร้องขึ้นอย่างนึกได้ “ท่านก็เป็นคนในครอบครัวข้าสิ ข้าจะได้บอกเส้นทางให้ท่านรู
“นายท่าน! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าเห็นจิ้ง...จอก...” จูอี้ซินวิ่งตามจิ้กจอกแดง เห็นชัดเต็มสองตาว่ามันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง นางจึงรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้รายงานก่อน ทว่าสิ่งที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน และที่สำคัญ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่ “กรี๊ดดดด” เสียงหวีดร้องของจูอี้ซินทำให้หลิวเข่อซิงได้สติ หานหรงเหยายอมถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อออกจากอ่างน้ำแต่เขาโอบกอดนางมาแนบชิดและยกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะนางให้ซบลงซอกคอของเขา พลางส่งเสียงกระซิบ “อย่าเพิ่งขยับ เจ้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า” เข่อซิงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จะว่าไปนางเปลือยกายต่อหน้าของเขาหลายครั้ง เมื่อนางกลายร่างจากจิ้งจอกแดงมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย นางจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาสั่ง “เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงที่ฝึกเพลงกระบี่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงหวีดร้องจึงรีบทะยานเข้ามาดู เห็นจูอี้ซินยกมือขึ้นปิดหน้า เขามองเลยไปด้านหล
“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?” “ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า” เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร “ข้าลืมตาได้หรือยัง” “ยัง” “อา...” นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า” ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” “นานเพียงนั้นเชียว” “เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน” “ดี ห้ามเข
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย “เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้ “อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียง
หานหรงเหยารับเสื้อคลุมมาห่มร่างที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางมักยิ้มเสมอ “นางน่ารักดี” ซุนเจ้าเฟิงเอ่ยชมอย่างจริงใจ แรกทีเดียวเขาก็หวั่นเกรงว่านางจะมาหลอกลวงสหายรัก แต่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน นางเป็นคนจริงใจใสซื่อ เขาไม่เคยมีสหายเป็นสตรี และสตรีที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครนิสัยเช่นนี้ ทำให้เขาอดเอ็นดูนางไม่ได้จริงๆ “ถึงอำเภอข้างหน้า ข้าจะขี่ม้าแยกไปก่อน ส่วนเจ้าก็นั่งรถม้าชมทิวทัศน์กับเข่อซิงกันเอง ข้าแบ่งองครักษ์ไว้ให้เจ้าแล้ว” “เหตุใดแยกเดินทางเล่ามีเรื่องร้ายรึ” “มี” ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าจริงจังแล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะตัวเตี้ยที่วางหนังสือรายงานต่างๆ “ภาพเจ้ากับเข่อซิงรบกวนสายตาข้า ข้าขี่ม้าไปเองปลอดภัยกว่า” “ไร้สาระ” หานหรงเหยายิ้มมุมปาก คร้านจะต่อปากต่อคำกับสหายจึงก้มหน้าอ่านรายงานต่อไป แต่ในขณะที่มือหนึ่งวางบนศีรษะของหญิงสาวแล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หลิวเข่อซิงถูกปลุกเมื่อรถม้าหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง นางงัวเงียขึ้นยกมือขึ้นขยี้ตาราวเด็กน้อย แต่หานหรง
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ
“ข้า...” ราวกับมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ หานลี่จูพูดอะไรไม่ออก หรือบางที อาจไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เพราะยามนี้แค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้หมดสิ้นแล้ว เสียงโวยวายด้านนอก เรียกความสนใจจากหานลี่จูและหานหรงเหยา บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างของหานหลี่เจี๋ยที่ประคองหลัวซู่เหมยเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาอยู่นี่เอง!” หานลี่จูสาวเท้าเข้าไปประคองหลัวซู่เหมยทันที เขาพาร่างสั่นเทามานั่งที่เก้าอี้แล้วตวัดสายตามองเสี่ยวจิ้งที่วิ่งตามมา “เกิดอะไรขึ้นฮูหยินน้อย!” หานลี่จูตวาดเสียงดังทำให้เสี่ยวจิ้งถึงกับเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าเบื้องหน้า “เข่อซิง...” หลัวซู่เหมยรีบพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” หานหรงเหยาหายใจไม่ทั่วท้อง “เข่อซิงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยา “บังอาจ! ใครกล้าแตะต้องคนสกุลหานของเรา!” หานลี่จูจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ้ง “ทุกครั้งที่ออกไปนอกจวนก็ให้มีผู้ติดตามไปมิใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” “ข้าเพิ่งกลับจากตลาดม้า พบพี่สะใภ้เกิดเรื่องที
หานลี่จูนั่งมองห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ว หานหรงเหยาเอ่ยปากบอกคนเป็นพี่อย่างเขาว่า ใกล้จะแต่งงาน อยากบำรุงร่างกายเพื่อว่าที่เจ้าสาวจึงมาขอรับยาจากเขา ทั้งที่ไม่ได้กินยามานาน น้องชายคนรองจะแต่งงาน กำลังจะสร้างครอบครัวของตนเอง น้องชายคนเล็กกำลังจะเข้ากองทัพ ท่านพ่อท่านแม่อายุก็มาก เวลานี้เขาคือคนเดียวที่ดูแลทุกอย่างในจวน บอกตัวเองให้ทำใจปล่อยวาง แต่หลายปีผ่านมาเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จนวันนี้ที่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว นานเพียงใดแล้วที่ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ยิ่งเห็นหานหรงเหยามีความสุขกับหลิวเข่อซิง ก็ยิ่งรู้ว่าคนที่ปวดใจก็คือเขากับหลัวซู่เหมย เป็นเช่นนี้แล้ว จะต่างอะไรจากการหันคมมีดเข้าหาตนเอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บก็คือเขา เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี หานหรงเหยาเข้ามาอย่างเงียบๆ หานลี่จูที่เหม่อลอยอยู่ไม่รู้ว่าน้องชายเข้ามา จนกระทั่งหานหรงเหยาเอื้อมมือไปหยิบห่อยาเบื้องหน้าขึ้นมา “ดีจริง พี่ใหญ่เตรียมยาให้ข้าแล้วหรือ”
หานหรงเหยาไม่เคยเล่าความหลังของเขากับหญิงในดวงใจ นางรู้ว่าเขามีบางเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ แต่เมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่เคยฝืนค้นสิ่งที่ซ่อนไว้ใน หรือเพราะนางได้กินพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอและยังได้เสพพลังหยางเพิ่มความสมดุลให้ตนเอง นางจึง ‘สัมผัส’ ความลับในใจของผู้คนได้มากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้ต้องการรู้มันเลย “น้ำชากับของว่างมาแล้ว” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้นแล้วรับถาดของว่างมาจากเด็กรับใช้ของร้าน เมื่อวางของบนโต๊ะแล้ว เสี่ยวจิ้งก็หันพูดให้เด็กรับใช้ของร้านออกไป “มีขนมด้วย” เข่อซิงเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “อื้ม ก็ฮูหยินน้อยเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้และที่สำคัญ พวกเราเป็นคนของจวนหานกั๋วกง เถ้าแก่ก็ย่อมให้ความสำคัญมากกว่าลูกค้าทั่วไปอยู่แล้ว” “เป็นเช่นนี้เอง พี่เสี่ยวจิ้งนี่รอบรู้จริงๆ” “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้” เสี่ยวจิ้งรินน้ำชาส่งให้หลัวซู่เหมยและเข่อซิง ฐานะของหลิวเข่อซิงยังไม่ชัดเจน นางไม่อยากก้มหัวให้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ “ดื่มซิ” เสี่ยวจิ้งคะยั้นคะยอให้หลิวเข่อซิงดื่มชา ใบหน้าของหลัว