คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว
ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า
ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น
แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย
“เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้
“อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียงใด และยังสวยงามมาก ที่สำคัญมีของอร่อยเลิศรสอีกด้วย ขนาดศิษย์พี่ชิงเซียงยังอยากไปเมืองหลวงเลย ข้าได้ไปเมืองหลวงแสดงว่าข้าก้าวหน้ากว่าศิษย์พี่แล้ว”
“เจ้าจัดเก็บสัมภาระของเจ้าเถิด ข้าต้องไปจัดการงานที่ค้างคาก่อนเดินทาง”
“ได้!”
หานหรงเหยาโคลงศีรษะยิ้มเอ็นดูเจ้าปีศาจตัวน้อย เขาเดินสวนกับจูอี้ซินที่ถูกสั่งมาให้ช่วยเข่อซิงเตรียมตัวกลับเมืองหลวงพร้อมเขา
จูอี้ซินคลี่ยิ้มอ่อนหวานแม้อีกฝ่ายจะไม่ปรายตามอง นางมองจนเห็นแผ่นหลังของหานหรงเหยาลับตา นางเดินเข้าไปหาหลิวเข่อซิงที่กำลังรื้อเสื้อผ้าออกมาเพื่อพับใส่ลังเตรียมตัวเดินทาง
“ที่ปรึกษาหานให้ข้ามาช่วยเจ้าจัดเตรียมข้าวของ”
จูอี้ซินเอ่ยเสียงหวาน แต่สีหน้าเรียบตึงพยายามซ่อนความริษยาไว้ในอก นางยื่นมือไปหยิบเสื้อผ้าของหลิวเข่อซิงเพื่อช่วยพับเก็บ แต่มือเรียวกลับสั่นระริกขึ้นมา จะว่าไปเข่อซิงมีฐานะเป็นสาวใช้เท่านั้น เหตุใดเสื้อผ้าอาภรณ์แต่ละตัวถึงได้งดงามเกินฐานะสาวใช้นัก แต่หลิวเข่อซิงกลับเข้าใจว่าจูอี้ซินอยากได้เสื้อผ้าเหล่านี้ หานหรงเหยาย้ำกับนางว่าไม่ต้องขนข้าวของไปมากนัก หากขาดเหลืออะไรค่อยหาซื้อเอาข้างหน้าได้ นางจึงทำใจกว้างยื่นชุดของนางให้จูอี้ซิน
“ถ้าเจ้าชอบก็เอาไปสิ”
จูอี้ซินเบิกตากว้าง จ้องมองรอยยิ้มของหลิวเข่อซิงพร้อมกับยัดอาภรณ์สีแดงสดใส่มือนาง
“รูปร่างของข้ากับเจ้าพอๆกัน แต่ดูเหมือนหน้าอกข้าจะใหญ่กว่าเจ้านิดหน่อย อ้อ! สะโพกด้วย แต่เจ้าแก้ไขเล็กน้อยก็ใส่ได้พอดีแน่นอน”
จูอี้ซินคว้าเสื้อผ้าชุดนั้นมาแล้วปาใส่เข่อซิงอย่างเหลืออด
“เจ้ากล้าว่าข้าเรอะ!”
“ข้า?” เข่อซิงชี้นิ้วที่หน้าตนเอง ดวงตากลมฉายแววฉงน มิได้สนใจชุดสีแดงที่คลุมศีรษะไปครึ่งหนึ่ง
“ไม่ต้องมาแกล้งทำหน้าซื่อ! เจ้าจะพูดว่าตนเองหน้าอกใหญ่ข้า รูปร่างดีกว่าอย่างนั้นเรอะ!”
หลิวเข่อซิงเอียงคอมองจูอี้ซินที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด พลางทบทวนสิ่งที่ได้ยิน แล้วก็เอียงคอกลับมาอีกข้าง แล้วยกมือขึ้นประคองทรวงอกของตนเอง
“เท่าที่ดูด้วยตา หน้าอกข้าใหญ่กว่าจริงๆ นะ” หลิวเข่อซิงมั่นใจเช่นนั้น “หรือถ้าเจ้าไม่อยากแก้เสื้อผ้าของข้า ก็เอาของชิ้นอื่นดีหรือไม่ ข้า ยังมีชาดทาปากที่ไม่ได้ใช้ ปากข้าแดงอยู่แล้ว หาน เอ๊ย นายท่านไม่ชอบให้ข้าทาชาด เจ้าเอาไว้ใช้ดีหรือไม่ อ้อ! ยังมีแป้งผัดหน้า นี่ข้าชอบมากแต่นายท่านก็สั่งห้ามอีก จริงสิ ยังมี...”
“เจ้า! เจ้ามันหญิงแพศยา! ไร้ยางอาย! ล่อลวงบุรุษ! นัง...นังปีศาจ!”
“จูอี้ซิน!”
น้ำเสียงเฉียบขาดของหานหรงเหยาทำเอาจูอี้ซินสะดุ้งเฮือก นางหมุนตัวกลับมาก็เจอใบหน้าทมึนของที่ปรึกษาหาน
หานหรงเหยาลืมจดหมายสำคัญไว้จึงเดินกลับมาเอาด้วยตนเอง ไม่คิดว่าจะกลับมาได้พบได้ยินอะไรเช่นนี้ เขาไม่เคยรู้สึกโกรธมากขนาดนี้มาก่อน ทว่ามือเรียวเล็กกระตุกแขนเสื้อเรียกสติเขาไว้ได้ก่อนจะพลั้งมือทำอะไรรุนแรงลงไป
ดวงตากลมโตมีประกายตื่นเต้นดีใจ นางกลั้นอาการดีใจไม่กระโดดออกมาจึงได้แต่กระตุกแขนเสื้อเขาแรงๆ สองสามที
“นายท่านได้ยินใช่ไหม” นางย้ำ “พี่อี้ซินเรียกข้าหญิงแพศยา”
จูอี้ซินหน้าซีดเผือด ร่างทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น คราวนี้นางไม่รอดแน่!
หลิวเข่อซิงคิดไปว่าหานหรงเหยายังไม่เข้าใจ จึงเขย่งปลายเท้าขึ้นป้องปากกระซิบ ลมหายใจอุ่นร้อนจึงปะทะใบหูของเขาอย่างไม่ตั้งใจ
“ตอนที่อยู่หอชมบุหลัน บรรดาศิษย์พี่บอกว่าข้าต้องฝึกยั่วเย้าบุรุษ ทำตัวไร้ยางอายเป็นหญิงแพศยาจึงจะได้กินพลังชีวิตของบุรุษได้ พี่อี้ซินพูดกับข้าเช่นนี้แสดงว่าข้าฝึกฝนสำเร็จแล้ว!”
นี่คือเหตุผลที่นางดีใจจนดวงตาเป็นประกายเชียวหรือ?
นี่มันมันเหตุผลอันใดกัน
หานหรงเหยาได้แต่ตวัดสายตาคมกริบจ้องมองจูอี้ซินแล้วเอ่ย “ไสหัวออกไป อย่าให้ข้าได้ยินถ้อยคำร้ายกาจนี้อีก”
“เจ้าค่ะ” จูอี้ซินรีบคลานเข่าออกไปทันที
หลิวเข่อซิงชะเง้อมองจนจูอี้ซินหายไปพ้นบานประตูแล้ว นางก็กระโดดไปกระโดดมา หันมายิ้มกว้างจนดวงตาโค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยว
“ข้าพร้อมจะไปเมืองหลวงแล้ว!”
ในการเดินทางกลับเมืองหากใช้ม้าเร็วจะใช้เวลาเจ็ดวัน แต่ถ้าเลือกเดินทางด้วยรถม้าจะใช้เวลาถึงสิบวัน แต่ครั้งนี้ต้องพา ‘สาวใช้’ ติดตามไปด้วย บุรุษทั้งสองคนจึงเลือกเดินทางด้วยรถม้าคันเดียวกัน ระหว่างทาง ซุนเจ้าเฟิงกับหานหรงเหยาถือโอกาสนี้ปรึกษาเรื่องงาน แต่สาวใช้ตัวน้อยที่ต้องคอยปรนนิบัตินายท่าน กลับนั่งโงนเงนจนสุดท้ายก็พิงไหล่หานหรงเหยา
ซุนเจ้าเฟิงกลั้นหัวเราะสุดกำลังขณะที่หญิงสาวฝืนไม่ไหวค่อยๆ ร่วงผล็อยลงบนตักของหานหรงเหยา
“เข่อซิง” หานหรงเหยาก้มมองใบหน้างามเข้าสู่ห้วงนิทรา รถม้าโยกเยกไปมาคงคล้ายเปลทำให้นางทนง่วงงุนไม่ไหว และโดยปกติจิ้งจอกมันใช้ชีวิตหากินยามค่ำคืนและหลับในกลางวัน แค่นางฝืนนั่งฝนหมึกและรินน้ำชาให้ก็นับว่ามากแล้ว
“ไม่ต้องปลุกนางหรอก” ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้ามแล้วหันซ้ายหันขวา จนพบเสื้อคลุมของหานหรงเหยาพับไว้ใกล้มือ จึงหยิบแล้วยื่นส่งให้
หานหรงเหยารับเสื้อคลุมมาห่มร่างที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางมักยิ้มเสมอ “นางน่ารักดี” ซุนเจ้าเฟิงเอ่ยชมอย่างจริงใจ แรกทีเดียวเขาก็หวั่นเกรงว่านางจะมาหลอกลวงสหายรัก แต่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน นางเป็นคนจริงใจใสซื่อ เขาไม่เคยมีสหายเป็นสตรี และสตรีที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครนิสัยเช่นนี้ ทำให้เขาอดเอ็นดูนางไม่ได้จริงๆ “ถึงอำเภอข้างหน้า ข้าจะขี่ม้าแยกไปก่อน ส่วนเจ้าก็นั่งรถม้าชมทิวทัศน์กับเข่อซิงกันเอง ข้าแบ่งองครักษ์ไว้ให้เจ้าแล้ว” “เหตุใดแยกเดินทางเล่ามีเรื่องร้ายรึ” “มี” ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าจริงจังแล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะตัวเตี้ยที่วางหนังสือรายงานต่างๆ “ภาพเจ้ากับเข่อซิงรบกวนสายตาข้า ข้าขี่ม้าไปเองปลอดภัยกว่า” “ไร้สาระ” หานหรงเหยายิ้มมุมปาก คร้านจะต่อปากต่อคำกับสหายจึงก้มหน้าอ่านรายงานต่อไป แต่ในขณะที่มือหนึ่งวางบนศีรษะของหญิงสาวแล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หลิวเข่อซิงถูกปลุกเมื่อรถม้าหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง นางงัวเงียขึ้นยกมือขึ้นขยี้ตาราวเด็กน้อย แต่หานหรง
“เข่อซิง” เขาพยายามบังคับสายตาให้หันไปทางอื่น แต่พบว่าไม่อาจละสายตาจากใบหน้างามที่ระบายยิ้ม รวมถึงผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส และบัวคู่งามที่ปริ่มน้ำ “ข้าอยากแช่น้ำกับท่าน” นางรีบร้อนกลัวเขาหนีไปก่อนจึงกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเพื่อลดเวลาเปลื้องเสื้อผ้า แต่นางลืมไปว่าเมื่อนางคืนร่างมนุษย์ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า “เข่อซิง” นางจะรู้หรือไม่ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดไม่ให้ตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรทำ “หากเข้าเมืองหลวงแล้ว อย่าทำเช่นนี้อีก ผู้อื่นจะมองเจ้าไม่ดี” “ไม่ดีอย่างไร ท่านเป็นนายของข้า ข้าต้องปรนนิบัติดูแลท่าน อ๊ะ!” นางร้องอย่างนึกได้ “มีเรื่องใด” “รอประเดี๋ยวนะ” นางว่ายน้ำกลับไปที่กองเสื้อผ้า หยิบขวดสุรายาที่ซุนเจ้าเฟิงให้ไว้แล้วกลับมาหาเขา เห็นขวดก็รู้ว่าเป็นสุรา แต่นางไปได้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเอามาจากหอชมบุหลันเหมือนยาบำรุงเลือดลมอะไรนั้นอีก นั้นทำให้หานหรงเหยาผงะหนี แต่เข่อซิงกลับคิดว่าเขาคงกลัวกินยาเช่นที่ผ่านมา นางจึงรีบยกสุราขึ้นจิบหมายใช้ปากป้อนสุราให้หานหรงเหยา แต่เพราะรสสุราแผด
เสียงแหบพร่าของเขาเรียกสตินาง นั้น...นั้นเสียงของเขาหรือ? เขาเรียกชื่อนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้นางตาพร่าไปชั่วขณะ “ข้าต้องการเจ้า” “แต่...” เขารวบนางมากอดไว้ นานเหลือเกินที่หัวใจเขาไม่เคยเปิดรับใคร เขาโกรธหลัวซู่เหมยไม่ได้ สภาพร่างกายเขาไม่ว่าหมอกี่คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี หากนางแต่งงานกับเขาก็กลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เป็นเขาที่ชิงชังตนเองในสภาพนี้ กระทั้งวันนั้นที่สะพานข้ามคลอง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนวิ่งมาสวมกอดจากด้านหลัง ไออุ่นของนางขับไล่ความหมองหม่นในใจ แววตาสุกใสราวกับฉุดเขาขึ้นจากบ่อน้ำลึกที่พยายามปีนป่ายขึ้นมาหลายปี แม้รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ นางไม่เหมือนปีศาจอย่างที่เคยได้ยินหรืออ่านจากหนังสือทั่วไป นางใสซื่อและไร้เดียงสา เขาไม่เคยรู้เลยว่าการมีชีวิตแต่ละวันจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อมานางเข้ามา ชีวิตที่มีนางอยู่ใกล้ มันช่างดีเหลือเกิน “หรือเจ้า...ไม่ต้องการข้า..” “ข้าต้องการท่าน!” นางส่ายหน้าไปมา “มีเพียงท่าน...ที่ข้าต้องการ...” ริมฝีปาก
องครักษ์ที่ซุนเจ้าเฟิงให้อารักขารถม้าของหานรถเหยานำหน้ามาก่อน ทหารสองนายลงจากหลังม้าประสานมือคารวะหานกั๋วกงแล้วตามด้วยคุณชายทั้งสอง แล้วหันกลับไปรอรถม้าที่เคลื่อนมาอย่างช้าๆ จนหยุดที่ประตูจวนสกุลหานชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้าลง ใบหน้าอ่อนโยนคลี่ยิ้มละมุนแล้วคารวะบิดา“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ น้องเล็ก”“พี่รอง!” หานหลี่เจี๋ยปราดเข้าไปรับพี่ชาย “ในที่สุดพี่รองก็กลับมาเสียที”“ท่านแม่เล่า” หานหรงเหยาอดถามถึงมารดาไม่ได้“ท่านแม่ไม่ค่อยสบาย รอเจ้าอยู่ด้านใน” หานลี่จูยื่นมือไปตบไหล่น้องชาย พลันรู้สึกว่าแขนของหานหรงเหยาเต็มไปด้วยความเนื้อจนอดบีบแรงๆไม่ได้“พี่ใหญ่” หานหรงเหยาประหลาดใจที่หานลี่จูบีบต้นแขนตน แต่เพียงครู่เดียวมือข้างนั้นก็ปล่อยออกแล้วเปลี่ยนมาจับชีพจรของเขาแทน“มีอะไรรึพี่ใหญ่” หานหลี่เจี๋ยรู้ดีว่าพี่รองสุขภาพไม่ดีนักแต่เห็นพี่ใหญ่จับชีพจรหน้าบ้านเช่นนี้ก็อดเป็นกังวลไม่ได้“ไม่มีอะไร” หานลี่จูยิ้มกว้าง “อยู่ชายแดนคงลำบากไม่น้อย”“ไม่เลย หากไม่นับเรื่องการศึกแล้ว นับว่าเงียบสงบและงดงามไม่น้อย”“รู้อย่างนี้ข้าตามพี่รองไปด้วยก็ดี” หานหลี่เจี๋ยยิ้มทะเล้น“พอแล้วๆ เข้าไปคุยในบ้านเถิด แม่เ
มารดาเห็นสายตาของลูกชายและลูกสะใภ้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าพาใครมาด้วยรึ”“ท่านแม่ นางคือ...”“ข้าหลัวเข่อซิง เป็นสาวใช้ของนายท่านเจ้าค่ะ ข้ามาจากชายแดน หากทำกิริยาไม่เหมาะสมขอได้โปรดลงโทษเบาๆ นะเจ้าคะ ข้าเป็นคนเรียนรู้ไว้ จะพยายามไม่ทำผิดเป็นครั้งที่สองสามสี่ห้า”นางพูดรวดเร็วเกรงว่าหานหรงเหยาจะแย่งนางพูดอีก นางจะทำตัวเป็นภาระไม่ได้ แต่ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา“นางตลกดี” หานหลี่เจี๋ยหัวเราะเสียงดัง“หลี่เจี๋ยอย่าเสียมารยาท อย่างไรนางก็เป็นคนของหรงเหยา” หานลี่จูเอ่ยปรามน้องเล็ก แต่สายตายังคงมองที่ภรรยา ราวกับประโยคนี้เขาพูดกับนางมารดาแปลกใจที่เห็นบุตรชายคนรองพาสตรีเข้าบ้าน แม้ปากพูดว่าเป็นหญิงรับใช้ กิริยามารยาทไร้ความเรียบร้อย แต่รูปร่างอรชรและใบหน้างดงามยิ่งนัก ซ้ำยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ไหมสีแดงสวยสดไม่ใช่ชุดของสาวใช้เลยสักนิด เอาเถิด ถ้าปรนนิบัติดูแลลูกชายของนางได้ดี นางก็ไม่คิดก้าวก่าย“เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด สักประเดี๋ยวมากินข้าวด้วยกัน” คนเป็นพ่อพูดขึ้น เขาเป็นบุรุษการเห็นบุตรชายมีสตรีข้างกายก็ไม่นับว่าแปลกอันใด บ้านไหนก็มีสตรีอุ่นเตียงกัน
แค่คิดว่าข้างกายไร้เงาซุกซน หัวใจก็เจ็บแปลบอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ็บปวดมากกว่าครั้งที่เขาสูญเสียหลัวซู่เหมยไปเสียอีก เขาต้องหาทางพูดกับบิดามารดาเรื่องฐานะของหลิวเข่อซิง เพราะไม่ต้องการให้นางเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายอีกแล้ว หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานใบหน้าระบายยิ้มดูงดงามราวเทพธิดาเดินตามแผ่นหลังของคุณชายรองสกุลหาน บ่าวไพร่ต่างลอบมองด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดเรื่องนี้ หานหลี่เจี๋ยเห็นหลิวเข่อซิงเดินตามหลังพี่รองด้วยสายตาตื่นตะลึง แม้เขาไม่ใช่บุรุษเสเพล แต่พบหญิงงามมาไม่น้อย แอบย่องเข้าหอนางโลมก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยพบหญิงงามอย่างหลิวเข่อซิงมาก่อน เขารู้สึกโง่เขลาที่ไม่อาจบรรยายความงามนี้ได้ นางดูไร้เดียงสาและเย้ายวน แม้นางเอ่ยย้ำฐานะว่าเป็น ‘สาวใช้’ แต่เขาเชื่อว่าฐานะของนางในใจพี่รองต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน “สำรวมหน่อยหลี่เจี๋ย” หานลี่จูส่ายหน้าไปมาแล้วพยักหน้าให้หานหรงเหยา “ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเช่นนี้นานมากแล้วจริงๆ” “อืม” หานหรงเหยาขานรับเบาๆ สามปีแล้วที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัว
“รู้สึกว่าสุรายาที่ข้ามอบให้จะทำให้เจ้าแข็งแรงขึ้นจริงๆ”ซุนเจ้าเฟิงอดหยอกสหายไม่ได้ ความจริงเรื่องระหว่างหานหรงเหยากับหลิวเข่อซิงนั้น องครักษ์ที่เขาทิ้งไว้ให้นั้นส่งข่าวมารายงานเป็นระยะๆ แม้ใจอยากเห็นกับตาแต่ก็ต้องทนอดกลั้นไว้ เพราะเกรงว่าสหายจะหน้าบางไม่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้คุ้มค่า “เจ้านี่นะ” หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ “ความจริงข้าตั้งใจไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่เห็นสีหน้าเจ้าในเวลานี้คงไม่มีอะไรให้กังวล เรื่องเจ้ากับหลัวซู่เหมยคงกลายเป็นอดีตไปแล้วสินะ” “ข้ากับนางจบไปนานแล้ว ยามนี้นางคือพี่สะใภ้ข้าและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป” “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ อยู่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ อยากกลับชายแดน จะกลับไปทำแผนที่หุบเขาจื่อเซ่อให้สำเร็จ” “เจ้าจะกลับชายแดนรึ” หานหรงเหยาเบิกตากว้าง “อืม แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยากให้ข้าอภิเษก แต่ข้ายังไม่เจอสตรีถูกใจ”‘สตรีที่เลือกให้ แค่เห็นก็ทำให้ปวดหัว คนอย่างซุนเจ้าเฟิงจะหาสตรีถูกใจไม่ได้เชียวรึ’ “เจ้าจะกลับเมื่อใดกัน” “นี่ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิ
“พี่ใหญ่เคยเชิญท่านหมอมาตรวจพี่สะใภ้แล้วหรือ?” “อืม ก็ให้นางกินยาบำรุงร่างกาย ข้าคิดว่าถ้าเชิญหมอหลวงมาตรวจสุขภาพเจ้าก็จะให้ดูซู่เหมยไปพร้อมกัน” “เป็นเช่นนั้นก็ดี” หานหรงเหยาพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่า เจ้าอย่าพูดเรื่องกลับชายแดนให้ท่านแม่ได้ยินก็พอ” พี่ใหญ่ดักคอไว้อย่างรู้ทัน “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีงานการให้ช่วยแบ่งเบาภาระ กิจการของสกุลหานมีมากมาย ข้าเองก็วุ่นวายจนปลีกตัวไม่ได้ เจ้าหลี่เจี๋ยก็ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต จนป่านนี้ยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันจนท่านพ่ออยากให้เขาไปอยู่ค่ายทหารเผื่อฝึกฝนให้มีความรับผิดชอบ” “ได้ ข้ากลับมาแล้วจะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพี่ใหญ่” “ดีแล้ว” เขาพยักหน้ารับ “เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนเถิด มีอะไรข้าจะให้คนไปตาม” “ขอรับพี่ใหญ่” หานหรงเหยาลุกขึ้นแล้วเดินออกมาเงียบๆ มีเรื่องมากมายที่เขาต้องวางลำดับความสำคัญและจัดการให้ลุล่วง เห็นที่ว่าเขาคงไม่ได้กลับชายแดนง่ายๆ เป็นแน่ ทว่าเมื่อเดินมาถึงเรือนของตนกลับได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านใน หัวคิ้วขมวดยุ่งแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปทั