Share

Chapter 20. เผชิญหน้ากับความจริง

            คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน  หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที  แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา  พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว

            ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า

            ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น

            แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น  ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย

            “เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้

            “อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียงใด และยังสวยงามมาก ที่สำคัญมีของอร่อยเลิศรสอีกด้วย ขนาดศิษย์พี่ชิงเซียงยังอยากไปเมืองหลวงเลย ข้าได้ไปเมืองหลวงแสดงว่าข้าก้าวหน้ากว่าศิษย์พี่แล้ว”

             “เจ้าจัดเก็บสัมภาระของเจ้าเถิด  ข้าต้องไปจัดการงานที่ค้างคาก่อนเดินทาง”

            “ได้!”

            หานหรงเหยาโคลงศีรษะยิ้มเอ็นดูเจ้าปีศาจตัวน้อย  เขาเดินสวนกับจูอี้ซินที่ถูกสั่งมาให้ช่วยเข่อซิงเตรียมตัวกลับเมืองหลวงพร้อมเขา

            จูอี้ซินคลี่ยิ้มอ่อนหวานแม้อีกฝ่ายจะไม่ปรายตามอง นางมองจนเห็นแผ่นหลังของหานหรงเหยาลับตา  นางเดินเข้าไปหาหลิวเข่อซิงที่กำลังรื้อเสื้อผ้าออกมาเพื่อพับใส่ลังเตรียมตัวเดินทาง

            “ที่ปรึกษาหานให้ข้ามาช่วยเจ้าจัดเตรียมข้าวของ”

จูอี้ซินเอ่ยเสียงหวาน แต่สีหน้าเรียบตึงพยายามซ่อนความริษยาไว้ในอก  นางยื่นมือไปหยิบเสื้อผ้าของหลิวเข่อซิงเพื่อช่วยพับเก็บ แต่มือเรียวกลับสั่นระริกขึ้นมา จะว่าไปเข่อซิงมีฐานะเป็นสาวใช้เท่านั้น เหตุใดเสื้อผ้าอาภรณ์แต่ละตัวถึงได้งดงามเกินฐานะสาวใช้นัก  แต่หลิวเข่อซิงกลับเข้าใจว่าจูอี้ซินอยากได้เสื้อผ้าเหล่านี้  หานหรงเหยาย้ำกับนางว่าไม่ต้องขนข้าวของไปมากนัก หากขาดเหลืออะไรค่อยหาซื้อเอาข้างหน้าได้  นางจึงทำใจกว้างยื่นชุดของนางให้จูอี้ซิน

“ถ้าเจ้าชอบก็เอาไปสิ”

จูอี้ซินเบิกตากว้าง จ้องมองรอยยิ้มของหลิวเข่อซิงพร้อมกับยัดอาภรณ์สีแดงสดใส่มือนาง

“รูปร่างของข้ากับเจ้าพอๆกัน แต่ดูเหมือนหน้าอกข้าจะใหญ่กว่าเจ้านิดหน่อย อ้อ! สะโพกด้วย แต่เจ้าแก้ไขเล็กน้อยก็ใส่ได้พอดีแน่นอน”

จูอี้ซินคว้าเสื้อผ้าชุดนั้นมาแล้วปาใส่เข่อซิงอย่างเหลืออด

“เจ้ากล้าว่าข้าเรอะ!”

“ข้า?”  เข่อซิงชี้นิ้วที่หน้าตนเอง ดวงตากลมฉายแววฉงน มิได้สนใจชุดสีแดงที่คลุมศีรษะไปครึ่งหนึ่ง

“ไม่ต้องมาแกล้งทำหน้าซื่อ! เจ้าจะพูดว่าตนเองหน้าอกใหญ่ข้า รูปร่างดีกว่าอย่างนั้นเรอะ!”

หลิวเข่อซิงเอียงคอมองจูอี้ซินที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด พลางทบทวนสิ่งที่ได้ยิน แล้วก็เอียงคอกลับมาอีกข้าง แล้วยกมือขึ้นประคองทรวงอกของตนเอง

“เท่าที่ดูด้วยตา หน้าอกข้าใหญ่กว่าจริงๆ นะ”  หลิวเข่อซิงมั่นใจเช่นนั้น “หรือถ้าเจ้าไม่อยากแก้เสื้อผ้าของข้า ก็เอาของชิ้นอื่นดีหรือไม่ ข้า ยังมีชาดทาปากที่ไม่ได้ใช้ ปากข้าแดงอยู่แล้ว หาน เอ๊ย นายท่านไม่ชอบให้ข้าทาชาด เจ้าเอาไว้ใช้ดีหรือไม่ อ้อ! ยังมีแป้งผัดหน้า นี่ข้าชอบมากแต่นายท่านก็สั่งห้ามอีก จริงสิ ยังมี...”

“เจ้า! เจ้ามันหญิงแพศยา! ไร้ยางอาย! ล่อลวงบุรุษ! นัง...นังปีศาจ!”

“จูอี้ซิน!”

น้ำเสียงเฉียบขาดของหานหรงเหยาทำเอาจูอี้ซินสะดุ้งเฮือก นางหมุนตัวกลับมาก็เจอใบหน้าทมึนของที่ปรึกษาหาน

หานหรงเหยาลืมจดหมายสำคัญไว้จึงเดินกลับมาเอาด้วยตนเอง  ไม่คิดว่าจะกลับมาได้พบได้ยินอะไรเช่นนี้ เขาไม่เคยรู้สึกโกรธมากขนาดนี้มาก่อน ทว่ามือเรียวเล็กกระตุกแขนเสื้อเรียกสติเขาไว้ได้ก่อนจะพลั้งมือทำอะไรรุนแรงลงไป

ดวงตากลมโตมีประกายตื่นเต้นดีใจ นางกลั้นอาการดีใจไม่กระโดดออกมาจึงได้แต่กระตุกแขนเสื้อเขาแรงๆ สองสามที

“นายท่านได้ยินใช่ไหม” นางย้ำ “พี่อี้ซินเรียกข้าหญิงแพศยา”

จูอี้ซินหน้าซีดเผือด ร่างทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น คราวนี้นางไม่รอดแน่!

หลิวเข่อซิงคิดไปว่าหานหรงเหยายังไม่เข้าใจ  จึงเขย่งปลายเท้าขึ้นป้องปากกระซิบ ลมหายใจอุ่นร้อนจึงปะทะใบหูของเขาอย่างไม่ตั้งใจ

“ตอนที่อยู่หอชมบุหลัน บรรดาศิษย์พี่บอกว่าข้าต้องฝึกยั่วเย้าบุรุษ ทำตัวไร้ยางอายเป็นหญิงแพศยาจึงจะได้กินพลังชีวิตของบุรุษได้ พี่อี้ซินพูดกับข้าเช่นนี้แสดงว่าข้าฝึกฝนสำเร็จแล้ว!”

นี่คือเหตุผลที่นางดีใจจนดวงตาเป็นประกายเชียวหรือ?

นี่มันมันเหตุผลอันใดกัน

หานหรงเหยาได้แต่ตวัดสายตาคมกริบจ้องมองจูอี้ซินแล้วเอ่ย “ไสหัวออกไป อย่าให้ข้าได้ยินถ้อยคำร้ายกาจนี้อีก”

“เจ้าค่ะ”  จูอี้ซินรีบคลานเข่าออกไปทันที

หลิวเข่อซิงชะเง้อมองจนจูอี้ซินหายไปพ้นบานประตูแล้ว นางก็กระโดดไปกระโดดมา หันมายิ้มกว้างจนดวงตาโค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยว

“ข้าพร้อมจะไปเมืองหลวงแล้ว!”

            ในการเดินทางกลับเมืองหากใช้ม้าเร็วจะใช้เวลาเจ็ดวัน แต่ถ้าเลือกเดินทางด้วยรถม้าจะใช้เวลาถึงสิบวัน แต่ครั้งนี้ต้องพา ‘สาวใช้’ ติดตามไปด้วย  บุรุษทั้งสองคนจึงเลือกเดินทางด้วยรถม้าคันเดียวกัน ระหว่างทาง ซุนเจ้าเฟิงกับหานหรงเหยาถือโอกาสนี้ปรึกษาเรื่องงาน แต่สาวใช้ตัวน้อยที่ต้องคอยปรนนิบัตินายท่าน กลับนั่งโงนเงนจนสุดท้ายก็พิงไหล่หานหรงเหยา

            ซุนเจ้าเฟิงกลั้นหัวเราะสุดกำลังขณะที่หญิงสาวฝืนไม่ไหวค่อยๆ ร่วงผล็อยลงบนตักของหานหรงเหยา

            “เข่อซิง” หานหรงเหยาก้มมองใบหน้างามเข้าสู่ห้วงนิทรา รถม้าโยกเยกไปมาคงคล้ายเปลทำให้นางทนง่วงงุนไม่ไหว  และโดยปกติจิ้งจอกมันใช้ชีวิตหากินยามค่ำคืนและหลับในกลางวัน แค่นางฝืนนั่งฝนหมึกและรินน้ำชาให้ก็นับว่ามากแล้ว

            “ไม่ต้องปลุกนางหรอก” ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้ามแล้วหันซ้ายหันขวา จนพบเสื้อคลุมของหานหรงเหยาพับไว้ใกล้มือ จึงหยิบแล้วยื่นส่งให้ 

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status