มารดาเห็นสายตาของลูกชายและลูกสะใภ้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าพาใครมาด้วยรึ”
“ท่านแม่ นางคือ...”
“ข้าหลัวเข่อซิง เป็นสาวใช้ของนายท่านเจ้าค่ะ ข้ามาจากชายแดน หากทำกิริยาไม่เหมาะสมขอได้โปรดลงโทษเบาๆ นะเจ้าคะ ข้าเป็นคนเรียนรู้ไว้ จะพยายามไม่ทำผิดเป็นครั้งที่สองสามสี่ห้า”
นางพูดรวดเร็วเกรงว่าหานหรงเหยาจะแย่งนางพูดอีก นางจะทำตัวเป็นภาระไม่ได้ แต่ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“นางตลกดี” หานหลี่เจี๋ยหัวเราะเสียงดัง
“หลี่เจี๋ยอย่าเสียมารยาท อย่างไรนางก็เป็นคนของหรงเหยา” หานลี่จูเอ่ยปรามน้องเล็ก แต่สายตายังคงมองที่ภรรยา ราวกับประโยคนี้เขาพูดกับนาง
มารดาแปลกใจที่เห็นบุตรชายคนรองพาสตรีเข้าบ้าน แม้ปากพูดว่าเป็นหญิงรับใช้ กิริยามารยาทไร้ความเรียบร้อย แต่รูปร่างอรชรและใบหน้างดงามยิ่งนัก ซ้ำยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ไหมสีแดงสวยสดไม่ใช่ชุดของสาวใช้เลยสักนิด เอาเถิด ถ้าปรนนิบัติดูแลลูกชายของนางได้ดี นางก็ไม่คิดก้าวก่าย
“เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด สักประเดี๋ยวมากินข้าวด้วยกัน” คนเป็นพ่อพูดขึ้น เขาเป็นบุรุษการเห็นบุตรชายมีสตรีข้างกายก็ไม่นับว่าแปลกอันใด บ้านไหนก็มีสตรีอุ่นเตียงกันทั้งนั้น
หานหรงเหยาพยักหน้ารับ เขาเพียงปรายตามองหลัวซู่เหมยเล็กน้อยแล้วจับมือเรียวเล็กของเข่อซิงให้เดินไปที่เรือนของตน ไม่ได้กลับบ้านมาสามปี ดูเหมือนบ้านจะมีการเปลี่ยนแปลงที่มองไม่เห็นเกิดขึ้นแล้ว.
หลิวเข่อซิงทำตัวราวเด็กน้อย นางวิ่งถลาเข้าห้องนั้นออกห้องนี้ แล้วโผเข้ามากอดเอวชายหนุ่มจากด้านหลัง
“ข้าอยู่ที่นี่ได้จริงๆ หรือ? ท่านไม่โกหกใช่ไหม?”
“เจ้าเคยพูดว่า ข้าอยู่ที่ไหน เจ้าก็จะอยู่ที่นั้น ที่นี่คือบ้านของข้า หากเจ้าไม่อยู่ที่นี่แล้วจะไปอยู่ที่ใดได้ หรือเจ้าไม่อยากอยู่กับข้าแล้ว”
“ข้าจะอยู่กับท่าน ท่านอยู่ที่ไหนต้องมีข้าที่นั้น” นางกอดเอวเขาแน่นขึ้นแทบจะฝั่งหน้ากับแผ่นหลังของเขา
“เจ้าเหนื่อยหรือไม่ หากยังไม่เหนื่อยไปกินข้าวพร้อมข้า”
“ข้าไม่เหนื่อย”
“ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าใจดี เจ้าไม่ต้องกลัว”
“อื้ม!”
“ไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด ข้าจะรอเจ้า”
“ให้ข้าช่วยท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าดีไหม” นางยื่นหน้ามาจากด้านหลัง คำถามง่ายๆ นี่ทำให้หานหรงเหยาอดเหลียวมองรอบกายไม่ได้ ดีที่ไม่มีผู้อื่นอยู่ เขากระแอมไอเบาๆ แกะมือที่โอบกอดเขาออกแล้วหันมาเผชิญหน้ากับนาง
“ที่นี่ไม่เหมือนที่ชายแดน จะทำอะไรต้องระวังด้วย”
“ระวัง...” สีหน้านางงุนงงฉายชัดว่าไม่เข้าใจ แต่ทำให้ชายหนุ่มยิ่งใบหน้าแดงจัด
“เช่นเรื่องที่เจ้าจะกินพลังชีวิตข้า ต้องไม่ให้ผู้อื่นเห็น”
“อ่อ...ท่านเคยบอกข้าแล้วนี่” นางพยักหน้ารับ “แล้วอย่างเรื่องบนรถม้าหรือว่าบน...”
หานหรงเหยารีบยกมือขึ้นปิดปากหญิงสาว ตอนนี้ความร้อนลามไปทั่วกระทั่งใบหูของเขาก็ยังแดงราวย้อมสี หลิวเข่อซิงเห็นแล้วก็ได้แต่เลียริมฝีปากตนเอง นึกถึงรสชาตผิวกายที่เคยแทะเล็มแล้วก็เผลอเขย่งปลายเท้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“พวกท่าน...”
เสียงของหลัวซู่เหมยทำให้หานหรงเหยาดันร่างหลิวเข่อซิงออกสุดแขน แต่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัวจึงเสียหลักล้มลงก้นกระแทกพื้น
“โอ๊ย!” หลิวเข่อซิงร้องออกมาแล้วลูบก้นตัวเอง “ท่าน เอ่อ นายท่านผลักข้าทำไม”
“ข้า...” หานหรงเหยาได้สติ รีบยื่นมือเข้าไปช่วยประคองนางขึ้นมา “เจ็บมากหรือไม่”
หลิวเข่อซิงฝืนยิ้มและส่ายหน้าไปมา “ไม่เจ็บเจ้าค่ะ”
ท่าทางสนิทสนมของทั้งสอง ทำเอาหลัวซู่เหมยกำมือแน่นจนเล็บจิกกลางฝ่ามือ แต่ใบหน้ายังแย้มยิ้มอ่อนโยน
“ข้าเกรงว่าจะไม่มีคนค่อยปรนนิบัติท่าน จึงพาสาวใช้ทั้งสองมารับใช้ท่าน นางชื่อหวาเหนียนและตู้เจวียน”
สาวใช้ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มน้อยๆ แล้วทั้งสองย่อตัวคารวะ “คารวะคุณชายรองเจ้าค่ะ”
“ข้าเคยพูดแล้วไม่ต้องการให้ใครมาวุ่นวายที่นี่”
“จะเรียกว่าวุ่นวายได้อย่างไร ท่านเป็นถึงคุณชายรองสกุลหาน อย่างไรก็ต้องมีบ่าวไพร่คอยรับใช้”
“ไม่เป็นไร ข้าคนเดียวจัดการได้” หลิวเข่อซิงตบอกตัวเองอย่างแข็งขัน “เมื่อครั้งที่อยู่ชายแดน ข้าก็ทำเองหมดทุกอย่าง”
“งานที่นี่มีมากนัก เกรงว่าแม่นางหลิวจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง” หลัวซู่เหมยพูดด้วยท่าทีอ่อนโยน
“เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเอง เจ้าพาสาวใช้สองคนนี้กลับไปเถิด” หานหรงเหยาถอนหายใจเบาๆ
“แต่ว่า... ท่านแม่มอบหมายให้ข้าจัดการงานน้อยใหญ่ในจวน ในฐานะที่เป็น...”
“เจ้าเป็นพี่สะใภ้ข้า เป็นภรรยาของพี่ใหญ่ ฐานะของเจ้านั้นข้าไม่มีวันลืม แต่เรื่องนี้ข้าไม่สามารถตัดสินใจเองได้เชียวรึ”
น้ำเสียงเฉียบขาดทำเอาหลัวซู่เหมยตัวแข็งไปครู่หนึ่ง ทว่านางยังระบายยิ้มกลบเกลื่อน แล้วเอ่ยปนหัวเราะน้อยๆ แล้วพยักหน้าให้สาวใช้ทั้งสอง
“ท่านคงอยู่ชายแดนนานเกินไปจึงหลงลืมธรรมเนียมในบ้านเสียแล้ว แต่ช่างเถิด ท่านเพิ่งมาถึงอย่างไรยังมีเวลาปรับตัว ท่านแม่ให้พ่อครัวเตรียมอาหารที่ท่านโปรดไว้มากมาย อย่างไรเราค่อยคุยกันอีกที”
ชายหนุ่มมองอดีตคนรักเดินออกไป จึงหันมาทางหลิวเข่อซิงที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่เคยเล่าเรื่องเขากับหลัวซู่เหมยให้นางฟัง นางรู้เพียงแค่ว่าหลัวซู่เหมยคือพี่สะใภ้ของเขา เห็นดวงตาไร้เดียงสาคู่นี้ เขาก็ยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะอย่างเอ็นดู
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด พ่อครัวที่บ้านข้าทำอาหารอร่อยมาก เจ้าต้องชอบแน่นอน”
“มีเนื้อหรือไม่” นางถามแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว
“มีเท่าที่เจ้าต้องการ”
“ได้ๆ ข้าจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ท่านรอข้านะ ห้ามหนีไปกินเนื้อก่อนข้านะ”
หานหรงเหยาพยักหน้ารับ เขามองนางที่รีบวิ่งไปห้องเล็กที่ติดกับห้องนอน ชายหนุ่มกวาดตามอง ทุกอย่างในห้องที่จัดไว้เรียบร้อยเหมือนครั้งที่ยังไม่เดินทาง ทุกชิ้นอยู่ในตำแหน่งเดิม ทว่าเขากลับรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า เมื่อคิดถึงเรื่องระหว่างเขากับเจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงน้อยตัวนั้น เขาไม่เคยเสียการควบคุมตนเอง และกลายเป็นคนตะกละตะกลามเช่นนี้ แต่นางช่างหอมหวานเย้ายวนเหลือเกิน แม้นางบ่ายเบี่ยงอยู่บ้าง เพราะเกรงว่าร่างกายเขารับไม่ไหว แต่น่าแปลกเขากลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีกำลังวังชากว่าเดิม โดยเฉพาะหัวใจเขาที่สัมผัสได้ว่าเต้นแรงขึ้น เรื่องนี้เขาเองก็ไม่รู้จะเอ่ยปากปรึกษาใครได้ หากผู้อื่นรู้ว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดง เกรงว่าทุกคนคงพยายามพรากนางไปจากเขา
แค่คิดว่าข้างกายไร้เงาซุกซน หัวใจก็เจ็บแปลบอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ็บปวดมากกว่าครั้งที่เขาสูญเสียหลัวซู่เหมยไปเสียอีก เขาต้องหาทางพูดกับบิดามารดาเรื่องฐานะของหลิวเข่อซิง เพราะไม่ต้องการให้นางเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายอีกแล้ว หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานใบหน้าระบายยิ้มดูงดงามราวเทพธิดาเดินตามแผ่นหลังของคุณชายรองสกุลหาน บ่าวไพร่ต่างลอบมองด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดเรื่องนี้ หานหลี่เจี๋ยเห็นหลิวเข่อซิงเดินตามหลังพี่รองด้วยสายตาตื่นตะลึง แม้เขาไม่ใช่บุรุษเสเพล แต่พบหญิงงามมาไม่น้อย แอบย่องเข้าหอนางโลมก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยพบหญิงงามอย่างหลิวเข่อซิงมาก่อน เขารู้สึกโง่เขลาที่ไม่อาจบรรยายความงามนี้ได้ นางดูไร้เดียงสาและเย้ายวน แม้นางเอ่ยย้ำฐานะว่าเป็น ‘สาวใช้’ แต่เขาเชื่อว่าฐานะของนางในใจพี่รองต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน “สำรวมหน่อยหลี่เจี๋ย” หานลี่จูส่ายหน้าไปมาแล้วพยักหน้าให้หานหรงเหยา “ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเช่นนี้นานมากแล้วจริงๆ” “อืม” หานหรงเหยาขานรับเบาๆ สามปีแล้วที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัว
“รู้สึกว่าสุรายาที่ข้ามอบให้จะทำให้เจ้าแข็งแรงขึ้นจริงๆ”ซุนเจ้าเฟิงอดหยอกสหายไม่ได้ ความจริงเรื่องระหว่างหานหรงเหยากับหลิวเข่อซิงนั้น องครักษ์ที่เขาทิ้งไว้ให้นั้นส่งข่าวมารายงานเป็นระยะๆ แม้ใจอยากเห็นกับตาแต่ก็ต้องทนอดกลั้นไว้ เพราะเกรงว่าสหายจะหน้าบางไม่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้คุ้มค่า “เจ้านี่นะ” หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ “ความจริงข้าตั้งใจไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่เห็นสีหน้าเจ้าในเวลานี้คงไม่มีอะไรให้กังวล เรื่องเจ้ากับหลัวซู่เหมยคงกลายเป็นอดีตไปแล้วสินะ” “ข้ากับนางจบไปนานแล้ว ยามนี้นางคือพี่สะใภ้ข้าและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป” “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ อยู่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ อยากกลับชายแดน จะกลับไปทำแผนที่หุบเขาจื่อเซ่อให้สำเร็จ” “เจ้าจะกลับชายแดนรึ” หานหรงเหยาเบิกตากว้าง “อืม แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยากให้ข้าอภิเษก แต่ข้ายังไม่เจอสตรีถูกใจ”‘สตรีที่เลือกให้ แค่เห็นก็ทำให้ปวดหัว คนอย่างซุนเจ้าเฟิงจะหาสตรีถูกใจไม่ได้เชียวรึ’ “เจ้าจะกลับเมื่อใดกัน” “นี่ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิ
“พี่ใหญ่เคยเชิญท่านหมอมาตรวจพี่สะใภ้แล้วหรือ?” “อืม ก็ให้นางกินยาบำรุงร่างกาย ข้าคิดว่าถ้าเชิญหมอหลวงมาตรวจสุขภาพเจ้าก็จะให้ดูซู่เหมยไปพร้อมกัน” “เป็นเช่นนั้นก็ดี” หานหรงเหยาพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่า เจ้าอย่าพูดเรื่องกลับชายแดนให้ท่านแม่ได้ยินก็พอ” พี่ใหญ่ดักคอไว้อย่างรู้ทัน “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีงานการให้ช่วยแบ่งเบาภาระ กิจการของสกุลหานมีมากมาย ข้าเองก็วุ่นวายจนปลีกตัวไม่ได้ เจ้าหลี่เจี๋ยก็ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต จนป่านนี้ยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันจนท่านพ่ออยากให้เขาไปอยู่ค่ายทหารเผื่อฝึกฝนให้มีความรับผิดชอบ” “ได้ ข้ากลับมาแล้วจะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพี่ใหญ่” “ดีแล้ว” เขาพยักหน้ารับ “เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนเถิด มีอะไรข้าจะให้คนไปตาม” “ขอรับพี่ใหญ่” หานหรงเหยาลุกขึ้นแล้วเดินออกมาเงียบๆ มีเรื่องมากมายที่เขาต้องวางลำดับความสำคัญและจัดการให้ลุล่วง เห็นที่ว่าเขาคงไม่ได้กลับชายแดนง่ายๆ เป็นแน่ ทว่าเมื่อเดินมาถึงเรือนของตนกลับได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านใน หัวคิ้วขมวดยุ่งแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปทั
แต่ละวันนางถูกเรียกใช้งานจนหัวหมุนแต่กระนั้นนางก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ แม้บางมื้ออาหารของนางจะมีเพียงข้าวกับผัดผัก หรือแค่หมั่นโถว แต่นางก็ยังคงแย้มยิ้มอยู่เสมอ ปัญหาเดียวของนางคือกลางวันจะง่วงนอนมาก นางต้องแอบหยิกตัวเองให้ตื่นตลอดเวลา และกลางคืนนางไม่สามารถกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปอุ่นเตียงให้หานหรงเหยา หลิวเข่อซิงตากผ้าเรียบร้อยแล้วก็ก้มมองฝ่ามือขาวซีดของตนเอง เมื่อครั้งที่อยู่หุบเขาจื่อเซ่อนางก็ทำงานเหล่านี้ แลกกับเศษพลังชีวิตที่บรรดาศิษย์พี่มอบให้ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่จวน หานหรงเหยาไม่มีเวลาอยู่กับนางนัก นางไม่คิดน้อยใจอันใด เพราะเขาเป็นคนเก่งมากความสามารถย่อมมีเรื่องต้องทำมาก ทว่าหลังจากเรื่องในคืนนั้น นางยังไม่ได้พบหน้าเขาเลย แต่ได้ยินว่า มารดาของเขาไม่ค่อยสบาย หานหรงเหยาต้องดูแลอย่างใกล้ชิด นางเข้าใจและไม่คิดเรียกร้องเอาสิ่งใด นางตากผ้าเสร็จแล้ว แดดเจิดจ้าเช่นนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเสื้อผ้าก็คงแห้งสนิท ไม่เหมือนที่หุบเขาจื่อเซ่อที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดเวลา นางอ้าปากหาวคำโต แอบมองรอบกายไม่มีผู้อื่นอยู่บริเวณนี้ นางจึงหาที่นั่งเพิ
แม้ได้เพียงเศษพลังชีวิตเล็กน้อยจากหลิวชิงเซียง แต่เข่อซิงก็สดชื่นขึ้นมาก เอาล่ะ! เพื่อให้หานหรงเหยาไม่ต้องเป็นกังวลเพราะนาง นางจะทำหน้าที่สาวใช้ให้ดีที่สุด! นางเดินไปกระโดดไปหวังจะไปช่วยงานบ่าวรับใช้ผู้อื่นอีก ทว่ากลิ่นซาลาเปาไส้เนื้อหอมเย้ายวนชักจูงให้นางเดินไปตามกลิ่น จนมาหยุดตรงหน้าเจ้าซาลาเปาลูกโต นางจ้องเจ้าก้อนขาวๆ พลางแลบลิ้นริมฝีปาก แต่ไม่กล้ายื่นมือไปจับ ดวงตาดลมโตค่อยๆ ช้อนขึ้นมองคนที่ถือซาลาเปาในมือ “คุณชายหานหลี่เจี๋ย” หลิวเข่อซิงยืดตัวขึ้นจ้องมองหานหลี่เจี๋ยที่ยืนยิ้มมองนางอยู่ก่อนแล้ว “เจ้าต้องเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ของข้าเลยหรือ” เขาหัวเราะกับท่าทางไร้เดียงสาของนาง ในมือประคองซาลาเปาสองลูก ยังดีที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อมาไม่อย่างนั้นมือของเขาต้องแดงแน่ๆ “คุณชายสาม...” นางเปลี่ยนคำเรียกใหม่ “ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะ” “มี” เขาพูดหนักแน่น “ยื่นมือมารับซาลาเปาไปเร็วๆ มันร้อน” “เอ๋?” “เร็ว!” “เจ้าค่ะ!” นางยื่นสองมือไปรับซาลาเปา มันยังอุ่นร้อนอยู่จริงๆ นางเอียงคอมองอีกฝ่ายอย
หานหรงเหยาขยับตัวออกห่างเล็กน้อย กวาดตามองทั่วร่างนาง“เจ้าไม่กินพลังชีวิตจากข้ามาหลายวัน เหตุใดเจ้าไม่ดูอ่อนแอเลยสักนิด หรือว่า...” “นั้นเพราะศิษย์พี่แบ่งพลังชีวิตให้ข้ากินเล็กน้อย ข้าจึงฟื้นฟูกำลังตนเองไม่กลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปเสียก่อน” “ศิษย์พี่? ผู้ดูแลหลิวมาที่นี่หรือ?” หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับ “นางบอกว่าท่านแม่เป็นห่วงข้าจึงให้ศิษย์พี่มาดู” หานหรงเหยาผ่อนลมหายใจ เขาคลายมือที่ตรึงข้อมือนางไว้กับบานประตู ทว่าเขาสัมผัสได้ว่า นิ้วมือของนางเปลี่ยนไป ปลายนิ้วลอกและขาวซีด “เหตุใดเจ้าเป็นเช่นนี้” เขาลูบนิ้วมือนางอย่างเป็นกังวล “ข้าจะเชิญหมอมาตรวจดู” “ซักผ้าก็เป็นเช่นนี้แหละ” นางพยายามดึงมือกลับแต่เขาไม่ยอมปล่อย “ตอนอยู่หุบเขาจื่อเซ่อข้าก็ทำงานเหล่านี้ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป” “ทำไมเจ้าต้องไปทำงานซักผ้า ก็ท่านแม่กับซูเหม่ยรับปากว่าจะให้ความเป็นอยู่ที่ดีกับเจ้า” เขาเพิ่งสังเกตว่านางสวมเสื้อผ้ามอซอราวกับขอทาน “พวกเขารังแกเจ้าถึงเพียงนี้ ทำไมไม่มาหาข้า ” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา “ไม่มี
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางไม่อาจรับความเสียดเสียวนี้ได้อีก ร่างกายสั่นระริกและหอบหายใจจนตัวโยน เสียงหายทางปากเป็นเสียงครางปนสะอื้น หานหรงเหยายื่นมือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าแล้วยิ้มอ่อนโยน“อดทนหน่อยนะ ภรรยาตัวน้อยของข้า”หลิวเข่อซิงยังหูอื้อตาพร่า เห็นเพียงปากเขาขยับแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร มือใหญ่จับเรียวขาขึ้นพาดบ่าแล้วเริ่มขยับเอวสอบนำพาความเสียวซ่านมาอีกครั้ง เข่อซิงสะบัดหน้าไปมา คงเพราะอัดอั้นมานานทำให้ชายหนุ่มใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง แก่นกายของเขายังแข็งแกร่งและดุดัน เข่อซิงร้องครางจนเสียงแหบแห้งอย่างน่าสงสาร แต่เขาก็ยังโยกเอวถี่กระชั้น ร่างกายหญิงสาวร้อนเร่ายิ่งกว่าเดิมหลั่งน้ำหวานอาบไล้แก่นกายของเขาจนฉ่ำเยิ้มเปื้อนเปรอะต้นขา กลิ่นหอมหวานเย้ายวน ความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่างรวมถึงปลายนิ้วเท้า ช่องทางอ่อนนุ่มรัดแน่นส่งให้ชายหนุ่มไม่อาจอดทนได้อีก เขาส่งแก่นกายเข้าไปจนสุดรัดเอวนางไว้แนบแน่นและปลดปล่อยน้ำรักขาวขุ่นออกมาในที่สุดเสียงคำรามครางสุขสมและน้ำรักอุ่นร้อนของหานหรงเหยาทำให้นางรู้ว่าเขาถึงปลายทางแล้ว ชายหนุ่มมองคนใต้ร่างที่หอบหายใจแรง ดวงตากลมโตมีคราบน้ำตาฉ่ำวาว เขาโน้มหน้
เมื่อถึงถนนเส้นหลัก หลิวชิงเซียงก็ลงมาเดินเหมือนคนปกติทั่วไป ในหัวครุ่นคิดเรื่องหลิวเข่อซิงจนไม่รู้ว่ามีบุรุษยืนขวางทางเดินอยู่ นางหงุดหงิดใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตวัดสายตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ทว่าคนที่ถูกสายตาพุ่งเข้าใส่ราวกับลูกธนูกลับคลี่ยิ้มอย่างพอใจ ใบหน้างามยามขึงตาใส่กลับยิ่งชวนให้ลุ่มหลงเสียจริง “ไม่คิดว่าจะได้พบกับผู้ดูแลหลิวที่เมืองหลวง” ซุนเจ้าเฟิงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางกะพริบตาแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวานแต่รอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา ย่อกายคารวะบุรุษตรงหน้า “คารวะองค์ชายสามเพคะ” แม่ทัพใหญ่อดกวาดตามองหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวใบไผ่ นางไม่ได้แต่งกายสีสันฉูดฉาดแต่กลับขับเน้นให้นางดูสูงส่งทั้งที่นางมาจากหอนางโลม“ไม่เอาน่า อย่าทำเป็นคนอื่นเลย เจ้ากับข้าก็คุ้นเคยกันตั้งแต่อยู่ชายแดน” เขาโบกมือไปมาแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “หรือว่าผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวงเพราะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” “หรืออาจเป็นเพราะองค์ชายที่มีใจถวิลหาหม่อมฉัน จนมาพบกันกลางถนนเช่นนี้” แม้นางจะแสดงท่าทีอ่อนน้อมแต่แววตากลับตรงข้าม