แต่ละวันนางถูกเรียกใช้งานจนหัวหมุนแต่กระนั้นนางก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ แม้บางมื้ออาหารของนางจะมีเพียงข้าวกับผัดผัก หรือแค่หมั่นโถว แต่นางก็ยังคงแย้มยิ้มอยู่เสมอ ปัญหาเดียวของนางคือกลางวันจะง่วงนอนมาก นางต้องแอบหยิกตัวเองให้ตื่นตลอดเวลา และกลางคืนนางไม่สามารถกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปอุ่นเตียงให้หานหรงเหยา หลิวเข่อซิงตากผ้าเรียบร้อยแล้วก็ก้มมองฝ่ามือขาวซีดของตนเอง เมื่อครั้งที่อยู่หุบเขาจื่อเซ่อนางก็ทำงานเหล่านี้ แลกกับเศษพลังชีวิตที่บรรดาศิษย์พี่มอบให้
ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่จวน หานหรงเหยาไม่มีเวลาอยู่กับนางนัก นางไม่คิดน้อยใจอันใด เพราะเขาเป็นคนเก่งมากความสามารถย่อมมีเรื่องต้องทำมาก ทว่าหลังจากเรื่องในคืนนั้น นางยังไม่ได้พบหน้าเขาเลย แต่ได้ยินว่า มารดาของเขาไม่ค่อยสบาย หานหรงเหยาต้องดูแลอย่างใกล้ชิด นางเข้าใจและไม่คิดเรียกร้องเอาสิ่งใด
นางตากผ้าเสร็จแล้ว แดดเจิดจ้าเช่นนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเสื้อผ้าก็คงแห้งสนิท ไม่เหมือนที่หุบเขาจื่อเซ่อที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดเวลา นางอ้าปากหาวคำโต แอบมองรอบกายไม่มีผู้อื่นอยู่บริเวณนี้ นางจึงหาที่นั่งเพิ่งต้นไม้ใหญ่ นางง่วงเหลือเกิน ซ้ำยังไม่ได้กินพลังชีวิตมาหลายวัน ผละกำลังเริ่มถดถอยลงมาก ความจริงนางไม่ต้องพึ่งพาหานหรงเหยาก็ได้ แม้อยู่ท่ามกลางมนุษย์มากมาย แต่นางยังขลาดกลัวไม่กล้ากินพลังชีวิตของผู้อื่นอยู่ดี ถ้าคืนนั้นไม่เกิดเรื่องเสียก่อน นางคงได้กินพลังชีวิตจากหานหรงเหยาแล้ว
เรื่องคืนนั้น...หลิวเข่อซิงระบายลมหายใจเบาๆ คืนนั้นนางคืนร่างเป็นจิ้งจอกแดงกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงของเขา หวังใจว่ายามเขากลับมาจะได้พบที่นอนอันอบอุ่น ซึ่งนางก็ทำเช่นนี้เป็นประจำทุกคืน ร่างกายของหานหรงเหยาค่อนข้างเย็น นางจะขดตัวกลมให้ไออุ่นกับเขา แต่คืนนั้นหานหรงเหยายังไม่กลับ นางคืนร่างเป็นจิ้งจอกแดงอยู่บนเตียงทว่างได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ซึ่งนางรู้ว่าไม่ใช่คนที่เฝ้ารอ นางรีบร้อนคืนร่างมนุษย์แต่ยังไม่ทันสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย บานประตูก็เปิดออกเสียก่อน หลัวซู่เหมยและสาวใช้เข้ามาเห็นนางในสภาพเกือบเปลือยเปล่า คนเหล่านั้นคิดว่าปีนป่ายขึ้นเตียงหานหรงเหยา จึงพุ่งเข้ามาฉุดกระชากลงเตียง นางที่ตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยกมือลูบหัวคลำหางว่าเก็บซ่อนไว้มิดชิดหรือไม่ สิ่งที่นางไม่เข้าใจคือหลัวซู่เหมยเกลียดนาง กลิ่นอายความเกลียดชังนั้นแผ่กระจายจนนางผงะถอยหนี หากไม่เพราะหานหรงเหยากลับมาทันเวลา นางอาจถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ก็เป็นได้
“เจ้านี่ช่างกล้านัก ไม่เก็บหูเก็บหางเอาเสียเลย”
หลิวเข่อซิงสะดุ้งสุดตัว นางยกมือขึ้นแตะศีรษะตนเองและพบว่าหูจิ้งจอกโผล่ขึ้นมาแล้ว
“ศิษย์พี่ เอ่อ...ผู้ดูแลหลิว” หลิวเข่อซิงไม่คิดว่าจะได้พบหลิวชิงเซียงที่เมืองหลวง และยังยืนกอดกอดมองนางด้วยสายตาเอือมระอา
“อยู่ร่วมกับมนุษย์มากมาย ทำไมไม่กินพลังชีวิตจากมนุษย์เหล่านั้น คนที่มันรังแกเจ้าก็ลากคอมาสูบพลังชีวิตเสียให้หมด!”
“ไม่มีใครรังแกข้าเสียหน่อย ข้า...ข้าเต็มใจทำเองต่างหาก”
“ยังมีหน้ามาพูดแก้ตัวอีก!” หลิวชิงเซียงเดินเข้ามาใกล้แล้วค้อมเอวลงจ้องมองหลิวเข่อซิงที่ผายผอมลงมาก “ข้านึกว่าเจ้าอยู่เมืองหลวงคงจะได้กินอิ่มใช้ชีวิตสุขสำราญ เหตุใดกลายเป็นสาวใช้น่าอนาถเช่นนี้ไปได้”
“ข้าเป็นสาวใช้อยู่แล้วนี่” นางเถียงเสียงเบาแต่ดีใจที่ได้พบศิษย์พี่ นางยื่นมือไปจับท่อนแขนอีกฝ่ายส่งสายตาเว้าวอน “ข้าไม่ได้กินพลังชีวิตหลายวันแล้ว ข้าไม่สามารถควบคุมร่างนี้ได้ ศิษย์พี่เมตตามอบพลังชีวิตให้ข้าสักนิดเถอะนะ”
“ถ้าข้าไม่ยืนอยู่ตรงนี้เจ้าจะทำอย่างไร คืนร่างเป็นจิ้งจอกแดงแล้วไม่สามารถกลับมาร่างมนุษย์ได้อีกหรือ? เข่อซิง ข้าสอนเจ้าจนเมื่อยปากแล้ว สิ่งที่ข้าสอนเคยเข้าไปในสมองของเจ้าบ้างหรือไม่ มนุษย์เป็นได้แค่อาหารของพวกเราเท่านั้น เจ้าอย่าได้ฝันใฝ่ใช้ชีวิตครองคู่ไปถึงวันตายเลย!”
“ข้าไม่เคยคิดเรื่องนั้น ข้าแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนเขาจนกว่าเขาจะตาย”
“มารดาเถอะ! มันต่างจากที่ข้าพูดตรงไหน ยังไงเจ้าก็อยากอยู่ข้างกายเขาจนกว่าเขาจะตายนั้นแหละ”
หลิวชิงเซียงระอาใจ นางยื่นนิ้วไปทำท่าจะดีดหน้าผาก หลิวเข่อซิงกลัวจนหลับตาแน่น ซ้ำยังหดคอเหมือนเต่าตัวน้อย ทว่าปลายนิ้วของหลิวชิงเซียงเชยคางหญิงสาวขึ้นเล็กน้อย นางยื่นปากเข้าไปใกล้ เป่าพลังชีวิตใส่ปากของเข่อซิง ร่างกายที่อ่อนแรงพลันได้รับพลังอีกครั้ง หูจิ้งจอกหดหายกลับกลายเป็นใบหูของมนุษย์ รวมถึงหางจิ้งจอกด้วย หลิวเข่อซิงผู้หิวโหยยื่นปากเข้าไปใกล้ แต่หลิวชิงเซียงเงยตัวขึ้นเสียก่อนทำให้ร่างเล็กหน้าคะมำไปกับพื้นดิน
“อย่าโลภมาก ข้าให้เจ้าได้แค่นี้” นางมองอย่างดูแคลน “เจ้าควรตระหนักไว้ว่าปีศาจที่อยู่ในเมืองหลวงไม่ได้มีแค่เจ้ากับข้าหรือเผ่าพันธุ์จิ้งจอกแดงสกุลหลิวเท่านั้น นอกจากปีศาจอย่างพวกเราแล้วยังมีเหล่านักพรตปราบปีศาจบ้าบออะไรนั้นอีก จะทำอะไรก็ให้ระวังหน่อย อย่าให้สกุลหลิวของเราต้องเดือดร้อนเพราะเจ้า”
“เจ้าค่ะ ข้าจะจำใส่ใจไว้ให้ดี”
“แต่วันๆ เจ้าทำงานในจวนคงไม่ได้ออกไปเจอผู้คน คงไม่โชคร้ายพบคนพวกนั้นหรอก”
หลิวชิงเซียงมองอย่างดูแคลน เข่อซิงไม่ได้สวมเสื้อผ้างดงามเหมือนอยู่ชายแดน และยังต้องนอนในเรือนคนรับใช้ นางก็หลงคิดว่าหานหรงเหยาคงเป็น ‘คนดี’ แต่เห็นแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่ต่างจากบุรุษที่นางรู้จัก ยิ่งได้เสพสมเรือนร่างจนพอใจก็เบื่อหน่ายไม่สนใจใยดี
“ท่านแม่ส่งข้ามาเมืองหลวง ตอนนี้ข้าอยู่ที่หอนางโลมเรือนดอกท้อ ถ้ามีเรื่องใดก็ไปหาข้าที่นั้น” นางไม่ได้ ‘สงสาร’ เข่อซิงเลย นางแค่ทำหน้าที่ศิษย์พี่เท่านั้น
“ข้าทราบแล้ว” หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับ ดวงตากลมจ้องมองหลิวชิงเซียงกระโดดตัวลอยราวเหาะเหินหายลับไปจากตา นางยันกายขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นตามเนื้อตัว มุมปากยกยิ้มจนเกือบจะเป็นหัวเราะ ศิษย์พี่ปากร้ายแต่ใจดี ปีศาจในหุบเขาจื่อเซ่อก็เป็นเช่นนี้ คนที่นี่ก็เช่นกัน หลัวซู่เหมยชิงชังนางอย่างไร้เหตุผล แต่ก็ยังให้คนส่งอาหารให้ครบทั้งสามมื้อ รวมทั้งเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับการทำงานหนักได้ อย่างนี้แล้วจะไม่เรียกว่าเป็นคนดีได้อย่างไร
แม้ได้เพียงเศษพลังชีวิตเล็กน้อยจากหลิวชิงเซียง แต่เข่อซิงก็สดชื่นขึ้นมาก เอาล่ะ! เพื่อให้หานหรงเหยาไม่ต้องเป็นกังวลเพราะนาง นางจะทำหน้าที่สาวใช้ให้ดีที่สุด! นางเดินไปกระโดดไปหวังจะไปช่วยงานบ่าวรับใช้ผู้อื่นอีก ทว่ากลิ่นซาลาเปาไส้เนื้อหอมเย้ายวนชักจูงให้นางเดินไปตามกลิ่น จนมาหยุดตรงหน้าเจ้าซาลาเปาลูกโต นางจ้องเจ้าก้อนขาวๆ พลางแลบลิ้นริมฝีปาก แต่ไม่กล้ายื่นมือไปจับ ดวงตาดลมโตค่อยๆ ช้อนขึ้นมองคนที่ถือซาลาเปาในมือ “คุณชายหานหลี่เจี๋ย” หลิวเข่อซิงยืดตัวขึ้นจ้องมองหานหลี่เจี๋ยที่ยืนยิ้มมองนางอยู่ก่อนแล้ว “เจ้าต้องเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ของข้าเลยหรือ” เขาหัวเราะกับท่าทางไร้เดียงสาของนาง ในมือประคองซาลาเปาสองลูก ยังดีที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อมาไม่อย่างนั้นมือของเขาต้องแดงแน่ๆ “คุณชายสาม...” นางเปลี่ยนคำเรียกใหม่ “ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะ” “มี” เขาพูดหนักแน่น “ยื่นมือมารับซาลาเปาไปเร็วๆ มันร้อน” “เอ๋?” “เร็ว!” “เจ้าค่ะ!” นางยื่นสองมือไปรับซาลาเปา มันยังอุ่นร้อนอยู่จริงๆ นางเอียงคอมองอีกฝ่ายอย
หานหรงเหยาขยับตัวออกห่างเล็กน้อย กวาดตามองทั่วร่างนาง“เจ้าไม่กินพลังชีวิตจากข้ามาหลายวัน เหตุใดเจ้าไม่ดูอ่อนแอเลยสักนิด หรือว่า...” “นั้นเพราะศิษย์พี่แบ่งพลังชีวิตให้ข้ากินเล็กน้อย ข้าจึงฟื้นฟูกำลังตนเองไม่กลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปเสียก่อน” “ศิษย์พี่? ผู้ดูแลหลิวมาที่นี่หรือ?” หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับ “นางบอกว่าท่านแม่เป็นห่วงข้าจึงให้ศิษย์พี่มาดู” หานหรงเหยาผ่อนลมหายใจ เขาคลายมือที่ตรึงข้อมือนางไว้กับบานประตู ทว่าเขาสัมผัสได้ว่า นิ้วมือของนางเปลี่ยนไป ปลายนิ้วลอกและขาวซีด “เหตุใดเจ้าเป็นเช่นนี้” เขาลูบนิ้วมือนางอย่างเป็นกังวล “ข้าจะเชิญหมอมาตรวจดู” “ซักผ้าก็เป็นเช่นนี้แหละ” นางพยายามดึงมือกลับแต่เขาไม่ยอมปล่อย “ตอนอยู่หุบเขาจื่อเซ่อข้าก็ทำงานเหล่านี้ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป” “ทำไมเจ้าต้องไปทำงานซักผ้า ก็ท่านแม่กับซูเหม่ยรับปากว่าจะให้ความเป็นอยู่ที่ดีกับเจ้า” เขาเพิ่งสังเกตว่านางสวมเสื้อผ้ามอซอราวกับขอทาน “พวกเขารังแกเจ้าถึงเพียงนี้ ทำไมไม่มาหาข้า ” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา “ไม่มี
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางไม่อาจรับความเสียดเสียวนี้ได้อีก ร่างกายสั่นระริกและหอบหายใจจนตัวโยน เสียงหายทางปากเป็นเสียงครางปนสะอื้น หานหรงเหยายื่นมือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าแล้วยิ้มอ่อนโยน“อดทนหน่อยนะ ภรรยาตัวน้อยของข้า”หลิวเข่อซิงยังหูอื้อตาพร่า เห็นเพียงปากเขาขยับแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร มือใหญ่จับเรียวขาขึ้นพาดบ่าแล้วเริ่มขยับเอวสอบนำพาความเสียวซ่านมาอีกครั้ง เข่อซิงสะบัดหน้าไปมา คงเพราะอัดอั้นมานานทำให้ชายหนุ่มใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง แก่นกายของเขายังแข็งแกร่งและดุดัน เข่อซิงร้องครางจนเสียงแหบแห้งอย่างน่าสงสาร แต่เขาก็ยังโยกเอวถี่กระชั้น ร่างกายหญิงสาวร้อนเร่ายิ่งกว่าเดิมหลั่งน้ำหวานอาบไล้แก่นกายของเขาจนฉ่ำเยิ้มเปื้อนเปรอะต้นขา กลิ่นหอมหวานเย้ายวน ความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่างรวมถึงปลายนิ้วเท้า ช่องทางอ่อนนุ่มรัดแน่นส่งให้ชายหนุ่มไม่อาจอดทนได้อีก เขาส่งแก่นกายเข้าไปจนสุดรัดเอวนางไว้แนบแน่นและปลดปล่อยน้ำรักขาวขุ่นออกมาในที่สุดเสียงคำรามครางสุขสมและน้ำรักอุ่นร้อนของหานหรงเหยาทำให้นางรู้ว่าเขาถึงปลายทางแล้ว ชายหนุ่มมองคนใต้ร่างที่หอบหายใจแรง ดวงตากลมโตมีคราบน้ำตาฉ่ำวาว เขาโน้มหน้
เมื่อถึงถนนเส้นหลัก หลิวชิงเซียงก็ลงมาเดินเหมือนคนปกติทั่วไป ในหัวครุ่นคิดเรื่องหลิวเข่อซิงจนไม่รู้ว่ามีบุรุษยืนขวางทางเดินอยู่ นางหงุดหงิดใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตวัดสายตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ทว่าคนที่ถูกสายตาพุ่งเข้าใส่ราวกับลูกธนูกลับคลี่ยิ้มอย่างพอใจ ใบหน้างามยามขึงตาใส่กลับยิ่งชวนให้ลุ่มหลงเสียจริง “ไม่คิดว่าจะได้พบกับผู้ดูแลหลิวที่เมืองหลวง” ซุนเจ้าเฟิงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางกะพริบตาแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวานแต่รอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา ย่อกายคารวะบุรุษตรงหน้า “คารวะองค์ชายสามเพคะ” แม่ทัพใหญ่อดกวาดตามองหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวใบไผ่ นางไม่ได้แต่งกายสีสันฉูดฉาดแต่กลับขับเน้นให้นางดูสูงส่งทั้งที่นางมาจากหอนางโลม“ไม่เอาน่า อย่าทำเป็นคนอื่นเลย เจ้ากับข้าก็คุ้นเคยกันตั้งแต่อยู่ชายแดน” เขาโบกมือไปมาแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “หรือว่าผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวงเพราะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” “หรืออาจเป็นเพราะองค์ชายที่มีใจถวิลหาหม่อมฉัน จนมาพบกันกลางถนนเช่นนี้” แม้นางจะแสดงท่าทีอ่อนน้อมแต่แววตากลับตรงข้าม
บิดามารดาลอบสบตากันแล้วถอนหายใจ บุตรชายคนรองนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับหญิงสาวที่บุตรชายประกาศว่าจะแต่งเป็นภรรยา ที่ผ่านมาสองภรรยาหวังใจให้ลูกชายได้แต่งงานมีครอบครัวเฉกเช่นผู้อื่น แต่เพราะหัวใจที่อ่อนแอแต่กำเนิด คอยประคับประคองชีวิตให้ผ่านแต่ละวันได้ก็แสนยากเข็น ที่สำคัญ พวกเขาก็เคยทำร้ายจิตใจหานหรงเหยามาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งที่รู้ว่าหานหรงเหยามั่นรักกับหลัวซู่เหมย แต่สองตระกูลก็ลงความเห็นว่า ควรให้นางเข้าสกุลหานด้วยการแต่งงานกับหานลี่จู ครั้งนั้นหานหรงเหยาถึงกับไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีก แม้ปากเอ่ยแสดงความยินดีแต่ในใจย่อมเจ็บปวด ประจวบกับองค์ชายสามเปรยว่าต้องการกุนซือช่วยวางแผนการรบที่ชายแดน หานหรงเหยาฝืนคำห้ามปรามของบิดาเดินทางเข้ากองทัพในฐานะที่ปรึกษา แรกทีเดียวคิดว่าหานหรงเหยาจะอยู่เพียงไม่กี่เดือน แต่กลายเป็นสามปีไม่กลับบ้าน มีเพียงจดหมายโต้ตอบและคอยส่งยาให้ต้มดื่มเป็นประจำ คนเป็นพ่อแม่ย่อมดีใจที่รู้ว่าลูกชายจะแต่งงาน ทว่าหากหญิงสาวที่ลูกเลือกสมฐานะกันสักหน่อยคงไม่มีปัญหาอันใด แต่หญิงสาวที่หานหรงเหยาต้องการให้เป็นภรรยา เป็นหญิงกำพร้าที่ไม่รู้หัว
“นั้นสินะ ตอนนั้นหลี่เจี๋ยยังอ้อนวอนขอขี่คอลี่จูเพื่อไปเก็บว่าวที่ติดอยู่บนกิ่งไม้อยู่เลย” มารดาหัวเราะออกมา “วันนี้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว” “เสียดายก็แต่ซู่เหมย แต่งมาสามปียังไม่มีบุตร แต่นางก็ไม่เคยบกพร่องเรื่องใดเลย ข้าเองก็เห็นใจนางที่ต้องหาอนุให้ลี่จู” “หรงเหยาสุขภาพดีวันดีคืน ให้เขากลับมาช่วยดูแลเรื่องในจวน ลี่จูจะได้มีเวลาเอาใจซู่เหมย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็คงต้องครรภ์” “นั้นสินะ”“เจ้าก็ต้องรักษาตัวให้แข็งแรง จะได้มีแรงอุ้มหลาน”สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างมีความหวัง คนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากเห็นลูกๆ มีความสุข และจะดียิ่งถ้าได้มีชีวิตอยู่เลี้ยงดูหลานๆหลัวซู่เหมยชักมือกลับจากมือสามีที่เกาะกุมอย่างหลวมๆ นางยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามีธุระเล็กน้อย จะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมขอพรเรื่องมีลูกเจ้าค่ะ”“เจ้าไปเถิด” เขายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบผมของนางอย่างรักใคร่พลางก้มหน้ากระซิบได้ยินเพียงสองคน “คงปวดใจมากสินะที่เห็นหรงเหยาแต่งงาน”“ท่าน!” หลัวซูเหมยขึงตาใส่ หานลี่จูยังคงยิ้มอ่อนโยนแต่ดวงตามีแววเยาะเย้ย“ลำบากเจ้าแล้ว”หานหรงเหยาและเข่อซิงที่เดินตามออก
“ยินดีด้วยๆ ข่าวมงคลเช่นนี้ ข้าขอแสดงความยินดีจากใจจริง”หานหรงเหยาเพียงแค่ยิ้มรับ ยังไม่ทันเอ่ยเล่าสิ่งใด บานประตูก็เปิดออก ร่างอรชรของหลิวชิงเซียงก็ก้าวเข้ามา นางคารวะซุนเจ้าเฟิงอย่างเต็มพิธีแล้วจึงย่อกายคารวะหานหรงเหยา“คารวะองค์ชายสามเพคะ ที่ปรึกษาหาน”ซุนเจ้าเฟิงสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจที่นางวางตัวเหินห่างแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากโบกมือไปมา “เพิ่งรู้ว่าผู้ดูแลหลิวเล่นเพลงพิณได้ไพเราะยิ่งนัก เห็นทีโอกาสหน้าข้าต้องขอมาฟังเจ้าบรรเลงพิณที่นี่อีก”“หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ที่นี่ก็มีนักดนตรีเล่นพิณได้ไพเราะหลายคน องค์ชายสามชอบก็เชิญมาฟังได้ทุกเวลาเพคะ”หลิวเข่อซิงกระตุกแขนเสื้อหาหานหรงเหยาแล้วเอ่ยถาม “ข้าต้องพูดกับเจ้าคนนิสัยไม่ดีเหมือนศิษย์พี่หรือไม่”“ไม่ต้อง! ข้าไม่ชอบ!” ซุนเจ้าเฟิงรีบตอบทันที “แต่ห้ามเรียกข้าว่า ‘เจ้าคนนิสัยไม่ดี’อีก ถ้าข้านิสัยไม่ดีจริง เจ้าไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอก”“ความจริงเรียกคนนิสัยไม่ดีก็ถูกแล้ว คนนิสัยดีที่ไหนมาทวงบุญคุณผู้อื่นกันเล่า” หลิวเข่อซิงบ่นพึมพำ“นี่เจ้ากล้าว่าข้ารึ ถ้าไม่ใช่เพราะร้อยตำลึงของข้า นางก็คงอยู่ในหอนางโลมที่ชายแดนนั้น”“ถ้า
“นี่ท่านไม่รู้รึ เดิมที่หัวใจก็อ่อนแออยู่แล้ว แต่ร่างกายกลับได้รับพิษทำให้ร่างกายเย็นกว่าคนปกติทั่วไป ข้าเองไม่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษา แต่เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้น หากบำรุงตัวเองให้ดีอีกครึ่งปีท่านก็จะหายเป็นปกติ” หลิวชิงเซียงหัวเราะน้อยๆ แล้วรินน้ำชาให้ตนเอง“ขอพูดตามตรง ปีศาจอย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะชอบมีเรื่องกับมนุษย์ พวกเรากินพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้ถึงตาย ก็เหมือนที่มนุษย์เลี้ยงสัตว์เล็กๆ ไว้เป็นอาหาร ปีศาจอย่างพวกเราก็สามารถเลี้ยงมนุษย์ไว้ค่อยๆ กินพลังชีวิตของพวกเขาไปเรื่อยๆ หากเข่อซิงกินพลังชีวิตของท่านอย่างพอเหมาะ ข้ารับรองได้ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีกห้าสิบปี แต่ถ้าท่านเที่ยวเอาชีวิตไปเสี่ยงคมหอกคมดาบเหมือนสหายของท่าน ไม่ต้องพึ่งหมอดูที่ไหนข้าก็ทำนายได้ว่าไม่ได้แก่ตายอย่างแน่นอน”“ศิษย์พี่หมายความว่า...เขาจะไม่ตายเพราะข้าใช่ไหม”“มีผู้ใดหนีความตายได้บ้างเล่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้า สักวันก็ต้องตายแต่ข้าอยู่มาห้าร้อยห้าสิบปี เจ้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปี อย่างไรก็มีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์อยู่แล้ว”“เรื่องดีจริงๆ ขอบคุณผู้ดูแลหลิวที่ให้ความกระจ่างแก่ข้ากับเข่อซิง”“หา