“ยินดีด้วยๆ ข่าวมงคลเช่นนี้ ข้าขอแสดงความยินดีจากใจจริง”
หานหรงเหยาเพียงแค่ยิ้มรับ ยังไม่ทันเอ่ยเล่าสิ่งใด บานประตูก็เปิดออก ร่างอรชรของหลิวชิงเซียงก็ก้าวเข้ามา นางคารวะซุนเจ้าเฟิงอย่างเต็มพิธีแล้วจึงย่อกายคารวะหานหรงเหยา
“คารวะองค์ชายสามเพคะ ที่ปรึกษาหาน”
ซุนเจ้าเฟิงสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจที่นางวางตัวเหินห่างแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากโบกมือไปมา “เพิ่งรู้ว่าผู้ดูแลหลิวเล่นเพลงพิณได้ไพเราะยิ่งนัก เห็นทีโอกาสหน้าข้าต้องขอมาฟังเจ้าบรรเลงพิณที่นี่อีก”
“หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ที่นี่ก็มีนักดนตรีเล่นพิณได้ไพเราะหลายคน องค์ชายสามชอบก็เชิญมาฟังได้ทุกเวลาเพคะ”
หลิวเข่อซิงกระตุกแขนเสื้อหาหานหรงเหยาแล้วเอ่ยถาม “ข้าต้องพูดกับเจ้าคนนิสัยไม่ดีเหมือนศิษย์พี่หรือไม่”
“ไม่ต้อง! ข้าไม่ชอบ!” ซุนเจ้าเฟิงรีบตอบทันที “แต่ห้ามเรียกข้าว่า ‘เจ้าคนนิสัยไม่ดี’อีก ถ้าข้านิสัยไม่ดีจริง เจ้าไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอก”
“ความจริงเรียกคนนิสัยไม่ดีก็ถูกแล้ว คนนิสัยดีที่ไหนมาทวงบุญคุณผู้อื่นกันเล่า” หลิวเข่อซิงบ่นพึมพำ
“นี่เจ้ากล้าว่าข้ารึ ถ้าไม่ใช่เพราะร้อยตำลึงของข้า นางก็คงอยู่ในหอนางโลมที่ชายแดนนั้น”
“ถ้าจำไม่ผิด คนของหม่อมฉันรายงานว่า ที่ปรึกษาหานจะจ่ายเงินเองแต่ท่านปฏิเสธแล้วชิงจ่ายเงินก่อน เพื่อซื้อนางเป็นของขวัญให้ที่ปรึกษาหาน”
หลิวเข่อซิงกระตุกแขนเสื้อหานหรงเหยาอีกครั้ง “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยเหรอ”
“เอ่อ...คือ...” ซุนเจ้าเฟิงนึกอยากตบปากตัวเอง ตอนนี้สถานะของหลิวเข่อซิงไม่ใช่สาวใช้แล้ว เขาอึกอักพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยอมให้หลิวชิงเซียงยิ้มเยาะใส่
“พวกท่านมาหาข้าถึงที่นี่มีเรื่องใดรึ” นางถามพลางเดินมานั่งที่เก้าอี้แล้วรินน้ำชาให้ตนเอง
“ข้าจะแต่งงานกับเข่อซิง มีเรื่องอยากขอคำปรึกษาจากผู้ดูแลหลิว”
“แต่งงาน” หลิวชิงเซียงประหลาดใจเล็กน้อย
หานหรงเหยาเข้าใจไปว่าหลิวชิงเซียงคงคิดว่าเขาไม่จริงใจกับเข่อซิงจึงรีบอธิบาย “เข่อซิงจะเป็นภรรยาเอก และไม่รับหญิงใดอีก ขอผู้ดูแลหลิวโปรดเข้าใจด้วย ข้าต้องการใช้ชีวิตกับนางอย่างแท้จริง”
ซุนเจ้าเฟิงไม่แปลกใจนักที่ได้ยินสหายรักกล่าวเช่นนั้น หานหรงเหยาเป็นคนมั่นรักและตั้งใจมีภรรยาเดียว แต่หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็ยังส่งยิ้มให้ทั้งสอง
“ข้ายินดีด้วย”
“เรามีเรื่องต้องการปรึกษา ศิษย์ เอ่อผู้ดูแลหลิว”
“เรื่อง?”
“เรื่อง...” หลิวเข่อซิงอึกอักปรายตามองไปทางซุนเจ้าเฟิง หลิวชิงเซียงปรายตามองตามแล้วยิ้ม
“เข้าใจแล้ว” หลิวชิงเซียงพยักหน้ารับ
“ก็คุยกันไปสิ ข้าเป็นสหายเขา ฟังด้วยไม่ได้หรือไง”
“ที่หุบเขาจื่อเซ่อก็มีกฎของคนในหุบเขา หากองค์ชายสามต้องการฟังก็ต้องรับหม่อมฉันไว้เป็นชายา เท่านี้องค์ชายสามก็เสมือนเป็นคนในหุบเขาและหม่อมฉันสามารถเล่าเรื่องในนั้นให้ท่านรับรู้ได้”
“เหลวไหล!” ซุนเจ้าเฟิงขึงตาใส่แต่หลิวชิงเซียงยิ้มกึ่งขบขัน และดูท่าทางนางพูดจริง เพราะหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงก็ไม่มีวี่แววว่าจะออกปากแก้ตัวแทน
“พูดจริงรึ”
หลิวเข่อซิงพยักหน้ายืนยัน
“อ้อ! ถ้าเป็นได้แค่อนุ หม่อนฉันไม่รับนะเพคะ”
“พวกเจ้าคุยกันไปเองแล้วกัน ข้าไปหาสุราดื่ม” ซุนเจ้าเฟิงยอมล่าถอยอย่างที่แม่ทัพใหญ่ไม่เคยทำมาก่อน
เพียงแม่ทัพใหญ่ก้าวเท้าออกไปแล้ว หลิวชิงเซียงก็หัวเราะออกมา แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะหลิวเข่อซิงอย่างเอ็นดู
“ข้าจะส่งข่าวให้ท่านแม่ทราบ ท่านแม่ต้องดีใจมากแน่ๆ”
“ท่านแม่จะไม่โกรธข้าเหรอ” นางถามอย่างไม่มั่นใจ
“เด็กโง่ เรื่องดีเช่นนี้ท่านแม่จะโกรธได้อย่างไร” หลิวชิงเซียงหัวเราะออกมาแล้วสบตากับหานหรงเหยา “ท่านต้องการดวงชะตาวันเกิดของนางสินะ”
“ข้ามีวันเกิดด้วยเหรอ” นางทำตาโต
“ถึงเจ้าจะเป็นจิ้งจอกแดงกำพร้า แต่วันที่เจ้ากลายร่างเป็นมนุษย์ได้นั้น นับเป็นวันเกิดของเจ้า อย่างไรข้าจะส่งข่าวให้ท่านแม่ทราบ จะได้เตรียมสินเดิมให้เจ้าด้วย”
“สินเดิม? ข้ามีสินเดิมด้วยเหรอ” นางยังทำหน้างุนงงหนักเข้าไปอีก
“เจ้าแต่งงานเข้าสกุลหาน จะให้น้อยหน้าผู้ใดได้อย่างไร” นางเอ่ยแล้วสบตากับหานหรงเหยา “แม้พวกเราจะเป็นปีศาจ แต่ก็เคยมีบางคนที่แต่งงานอยู่กินกับมนุษย์ แต่ท่านคงรู้ว่าพวกเรามีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์ และใช้ชีวิตได้ไม่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่นางต้องกินพลังชีวิต หากไม่ได้กินจากท่าน นางก็ต้องจากผู้อื่น”
“ข้ายินดีให้นางกินพลังชีวิตของข้า เพียงแต่ว่า...ถ้าวันหนึ่งข้าจากโลกนี้ไป เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดปกป้องนาง ถึงเวลานั้น ข้าหวังใจว่าผู้ดูแลหลิวจะไม่ทอดทิ้งนางให้ต้องอยู่ตามลำพัง”
หลิวเข่อซิงไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดเรื่องนี้ นางย่อมรู้ดีว่าต้องมีวันนั้น เขาต้องจากนางไปก่อน แต่ไม่ว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกัน กี่วัน กี่คืน นางก็ขออยู่เคียงข้างเขาจนลมหายใจสุดท้าย
หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วแล้วย้ายสายตามาจ้องมองที่หลิวเข่อซิง
“ตอนอยู่ที่หอชมบุหลัน เจ้าไม่ได้ศึกษตำราจิ้งจอกแดงสกุลหลิวของเราเลยหรือไร”
“ก็...ก็อ่านอยู่นะเจ้าค่ะ แต่มีหลายเล่ม ข้ายังอ่านไม่ครบทุกเล่ม”
หลิวชิงเซียงกลอกตามองบนแล้วกวักมือเรียกให้หานหรงเหยาเข้ามานั่งใกล้ๆ “ข้าขอจับชีพเจ้าของท่านหน่อย”
“ได้” หานหรงเหยายื่นมือไปวางบนโต๊ะ หลิวชิงเซียงวางนิ้วที่ตำแหน่งชีพจรแล้วพลิกข้อมือของเขาหงายขึ้น ริมฝีปากบางขยับเหมือนท่องมนต์พลันเส้นเลือดบนท่อนแขนปรากฏเด่นชัด หลิวเข่อซิงตื่นตกใจรีบลุกขึ้นไปดูใกล้ๆ
“ไม่ต้องตกใจ” หลิวชิงเซียงเอ่ยแล้วปล่อยมือออกจากจุดชีพจรของชายหนุ่ม พลันทุกสิ่งกลับมาเป็นปกติราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “เดิมทีที่หัวใจของท่านไม่แข็งแรง แต่หลังจากที่ท่านได้เสพสังวาสกับเข่อซิงก็มีการถ่ายเทพลังงาน ท่านมอบพลังหยางให้นาง นางมอบพลังหยินให้ท่าน ร่างกายปรับเปลี่ยนจนเกิดความสมดุล หัวใจของท่านจึงกลับมาเต้นเป็นปกติเช่นคนทั่วไป”
“ผู้ดูแลหลัวหมายความว่า...หัวใจของข้า...”
“อย่างที่ท่านเข้าใจ หัวใจของท่านตอนนี้ปกติดี อีกอย่างพิษในร่างของท่านก็ถูกขับออกจนหมด อีกไม่นานร่างกายของท่านจะฟื้นคืนกำลังได้เต็มที่”
“ถูกพิษ...ข้าถูกพิษอะไรกัน”
“นี่ท่านไม่รู้รึ เดิมที่หัวใจก็อ่อนแออยู่แล้ว แต่ร่างกายกลับได้รับพิษทำให้ร่างกายเย็นกว่าคนปกติทั่วไป ข้าเองไม่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษา แต่เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้น หากบำรุงตัวเองให้ดีอีกครึ่งปีท่านก็จะหายเป็นปกติ” หลิวชิงเซียงหัวเราะน้อยๆ แล้วรินน้ำชาให้ตนเอง“ขอพูดตามตรง ปีศาจอย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะชอบมีเรื่องกับมนุษย์ พวกเรากินพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้ถึงตาย ก็เหมือนที่มนุษย์เลี้ยงสัตว์เล็กๆ ไว้เป็นอาหาร ปีศาจอย่างพวกเราก็สามารถเลี้ยงมนุษย์ไว้ค่อยๆ กินพลังชีวิตของพวกเขาไปเรื่อยๆ หากเข่อซิงกินพลังชีวิตของท่านอย่างพอเหมาะ ข้ารับรองได้ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีกห้าสิบปี แต่ถ้าท่านเที่ยวเอาชีวิตไปเสี่ยงคมหอกคมดาบเหมือนสหายของท่าน ไม่ต้องพึ่งหมอดูที่ไหนข้าก็ทำนายได้ว่าไม่ได้แก่ตายอย่างแน่นอน”“ศิษย์พี่หมายความว่า...เขาจะไม่ตายเพราะข้าใช่ไหม”“มีผู้ใดหนีความตายได้บ้างเล่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้า สักวันก็ต้องตายแต่ข้าอยู่มาห้าร้อยห้าสิบปี เจ้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปี อย่างไรก็มีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์อยู่แล้ว”“เรื่องดีจริงๆ ขอบคุณผู้ดูแลหลิวที่ให้ความกระจ่างแก่ข้ากับเข่อซิง”“หา
นิ้วเรียวยาวแยกกลีบดอกไม้ที่คล้ำไปเล็กน้อยแต่ภายในยังคงคับแน่นดึงดูดผีเสื้อหนุ่ม ฟันคมขบกัดที่ยอดอกจนเปียกชุ่มและบวมขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่สองนิ้วแทรกในร่องรักที่บีบรัด เร่งเร้าให้คายน้ำหวานออกมา หานลี่จูถอนริมฝีปากจากเต้าคู่งามที่ช้ำเป็นจ้ำเลือดเพราะริมฝีปากของเขา แล้วยื่นหน้าไปกระซิบเสียงพร่า “เจ้าคิดถึงหรงเหยาอยู่สินะ แต่ร่างกายเจ้าเป็นของข้า ต่อให้เจ้าตายก็ยังเป็นคนของข้า” หลัวซู่เหมยได้แต่ครางสะอื้นร่างกายเกร็งกระตุกด้วยนิ้วร้ายของเขา หานลี่จูดึงนิ้วออกจากร่องรักแล้วดึงผ้าออกจากปากนาง ส่งนิ้วที่เปื้อนคาวรักส่งเข้าในไปโพรงปากที่น้ำลายเปื้อนเปรอะมุมปาก หยดน้ำตาใสหลั่งริน เขาขยับนิ้วเข้าออกในโพรงปากสวยหรี่ตามองราวกับปีศาจร้ายไม่เหลือเค้าบุรุษผู้อ่อนโยนที่ใครต่อใครกล่าวถึง มือข้างหนึ่งกระตุกสายรัดเอวแล้วปลดกางเกงให้เลื่อนลงเผยแก่นกายที่แข็งขัน เขาจับมือนุ่มมากุมลำเอ็นของตนแล้วกุมมือนางอีกทีเพื่อชักนำให้นางขยับมือสาวแก่นกายที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ หานหลี่จูครางเสียงต่ำในลำคออย่างพอใจ กวาดนิ้วในโพรงปากของนางและเย้าแย่ลิ้นน้อยๆ นางครางปนสะอื้นแล้วเ
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ทำให้หานลี่จูตื่นจากภวังค์ เขาหมุนตัวกลับไปก็พบหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินจับมือกันเข้ามาทางเขาพอดี “พี่ใหญ่” หานหรงเหยาเอ่ยทักทาย หลังจากพบหลิวชิงเซียงแล้ว เขาก็พาเข่อซิงเที่ยวเล่นในเมืองจึงกลับเข้าจวนค่ำมืดไปหน่อย “พวกเจ้าเพิ่งกลับมากันรึ” “ขอรับ” หานหรงเหยายิ้มแล้วก้มมองเข่อซิงที่มือข้างหนึ่งยังถือขนมถังหูลู่อยู่ “นางติดตามข้าเข้าเมืองหลวงมาเกือบเดือนแล้ว ข้าไม่มีเวลาพานางไปเที่ยวชมเมืองหลวงเลย วันนี้พอมีเวลาจึงพานางเดินชมตลาด” หานลี่จูยิ้มให้น้องชายแล้วเดินเข้าใกล้ ภายใต้แสงสลัวคือใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นพี่ ทว่าหลิวเข่อซิงกลับตัวเกร็งขึ้นมาแล้วค่อยๆ ขยับตัวใช้ร่างของหานหรงเหยาบังตนเองไว้ “เข่อซิง เจ้าทำอะไร” หานหรงเหยาหัวเราะน้อยๆ เข้าใจว่านางคงกลัวพี่ใหญ่จะตำหนินาง “เข่อซิง” หานลี่จูเรียกนางปนหัวเราะ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มาเป็นน้องสะใภ้ของข้าแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรือซู่เหมยเลย หรือแม้แต่หลี่เจี๋ยก็ด้วย พวกเราแม้เกิดในตระกูลหานอันเป็นตระกูลเก
“เข่อซิง...” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้กลัวนาง แต่...ร่างกายตื่นตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สะโพกกลมกลึงบดเบียดแท่งหยกที่ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน หางยาวปัดป่ายบนตัวเขายิ่งทำให้กระสับกระส่าย คาดหวังและรอคอยให้นางทำมากกว่านี้ นางรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวนางในร่างนี้ แววตาและท่าทางของเขาประกาศชัดว่าปรารถนานางมากเพียงใด เรียวลิ้นตวัดหยอกล้อพันเกี่ยวหาความหวานอันหวามไหว สะโพกงามยกขึ้นเพื่อครอบครองแก่นกายที่ร้อนระอุ นางเปล่งเสียงครางชิดริมฝีปากเมื่อยินยอมให้ตัวตนของบุรุษที่นางรักเข้าไปในร่างจนสุดลำ สวรรค์! หานหรงเหยาคำรามออกมา นางปล่อยข้อมือของเขาแล้วหยัดกายขึ้น ทรวงอกงดงามกระเพื่อมตามแรงหายใจ ปลายถันสีหวานชูชันท้าท้ายสายตา นางเริ่มขยับสะโพกเคลื่อนไหวราวร่ายรำนำเสียวซ่านรัญจวนมาสู่ทั้งนางและเขา มือแกร่งลูบไล้บั้นเอวไปสัมผัสหางฟูสีแดงที่ส่ายไปมา “เร็วอีกซิงเอ๋อร์” เขาแทบสำลักความสุขแล้ว เป็นฝ่ายอ้อนวอนให้นางควบขี่เขาเร็วขึ้นพร้อมกับหยัดสะโพกรับจังหวะกดลงของนาง คาวรักอาบไล้แก่นกายจนเป็นมันวาวทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ถี่กระชั้น เ
หลัวซู่เหมยรับน้ำชามาดื่ม ชามะลิแสนธรรมดาแต่ส่งกลิ่นหอมอวลในปาก จนนางเอ่ยชม “เป็นเพียงชาธรรมดา แต่ที่ฮูหยินน้อยรู้สึกรสชาติดีเพราะจิตใจสงบ ก่อนหน้านี้คงมีเรื่องให้ใจขุ่นมัว ไม่ทราบว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรให้ข้าพอช่วยเหลือได้หรือไม่” “ประเสริฐนัก ราวกับมีญาณทิพย์เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ระวังกิริยาด้วย” หลัวซู่เหมยแสร้งดุสาวใช้ แต่นางก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรเรื่องปัญหาของนาง “ฮูหยินน้อยประสงค์จะมีลูก และลูกของฮูหยินก็รอมาเกิดแล้ว แต่ว่า...” “แต่อะไรเจ้าคะ” ยังคงเป็นสาวใช้ที่รีบพูดขึ้นทันที “ต้องขออภัยที่ต้องพูดตามตรง บนกายฮูหยินมีกลิ่นอายปีศาจ ในบ้านของฮูหยินรับเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามา บุตรที่รอมาสู่ครรภ์ของฮูหยินจึงไม่อาจถือกำเนิดในครรภ์ได้” “ปะ...ปี...ปีศาจ...ปีศาจอันใดกัน” ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งตกตะลึง หลัวซู่เหมยหน้าไร้สีเลือด นางคิดถึงเงาดำในห้องของหานหรงเหยาที่นางเห็นวันก่อน...หรือว่าจะเป็น... “จะทำอย่างไรถึงขับไล่มันไปได้” เสี่ยวจิ้งเอ่ยถามทันที ‘ใช่! เข่อซิงเป็นนาง
“ชุดเจ้าสาวของข้า...” หลิวเข่อซิงเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง สองวันมานี่หานหรงเหยามีงานลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยให้นางรู้ กว่าจะกลับถึงจวนก็ค่ำมืด เขาไม่เล่านางก็ไม่ถาม ด้วยรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องงานแล้ว หานหรงเหยาทุ่มเทแรงกายและใจอย่างสุดกำลัง นางจึงไม่เคยเซ้าซี้ถามเอาเรื่องราวใด เขาให้นางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมและเรียนรู้กฎระเบียบในบ้านกับหลัวซู่เหมย นางก็ยินดีทำตามที่เขาสั่ง วันนี้ก็เช่นกัน หลัวซู่เหมยกับสาวใช้ชื่อเสี่ยวจิ้งเข้ามาหาหลิวเข่อซิง พูดคุยเรื่องชุดเจ้าสาว นางยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะศิษย์พี่หลิวชิงเซียงบอกว่าจะจัดการให้ “ขอพูดตามตรง ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นกำพร้า เกรงว่าจะเตรียมชุดวิวาห์ไม่ทันจึงถือวิสาสะเข้ามาสอบถามเจ้า” “วันวิวาห์ยังไม่ได้กำหนด ข้าเลยคิดว่าจะรอก่อนเจ้าค่ะ” หลิว เข่อซิงตอบไปตามตรง ใบหน้าระบายยิ้มจนดวงตาหยี่เล็ก “เรื่องแบบนี้รอได้ที่ไหนกัน” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้น “ฮูหยินน้อยกว้างขวางในเมืองหลวง รู้จักร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ชุดเจ้าสาวจะเร่งรีบเกินไปก็ไม่ดี ฮูหยินน้อยจึง
หานหรงเหยาไม่เคยเล่าความหลังของเขากับหญิงในดวงใจ นางรู้ว่าเขามีบางเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ แต่เมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่เคยฝืนค้นสิ่งที่ซ่อนไว้ใน หรือเพราะนางได้กินพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอและยังได้เสพพลังหยางเพิ่มความสมดุลให้ตนเอง นางจึง ‘สัมผัส’ ความลับในใจของผู้คนได้มากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้ต้องการรู้มันเลย “น้ำชากับของว่างมาแล้ว” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้นแล้วรับถาดของว่างมาจากเด็กรับใช้ของร้าน เมื่อวางของบนโต๊ะแล้ว เสี่ยวจิ้งก็หันพูดให้เด็กรับใช้ของร้านออกไป “มีขนมด้วย” เข่อซิงเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “อื้ม ก็ฮูหยินน้อยเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้และที่สำคัญ พวกเราเป็นคนของจวนหานกั๋วกง เถ้าแก่ก็ย่อมให้ความสำคัญมากกว่าลูกค้าทั่วไปอยู่แล้ว” “เป็นเช่นนี้เอง พี่เสี่ยวจิ้งนี่รอบรู้จริงๆ” “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้” เสี่ยวจิ้งรินน้ำชาส่งให้หลัวซู่เหมยและเข่อซิง ฐานะของหลิวเข่อซิงยังไม่ชัดเจน นางไม่อยากก้มหัวให้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ “ดื่มซิ” เสี่ยวจิ้งคะยั้นคะยอให้หลิวเข่อซิงดื่มชา ใบหน้าของหลัว
หานลี่จูนั่งมองห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ว หานหรงเหยาเอ่ยปากบอกคนเป็นพี่อย่างเขาว่า ใกล้จะแต่งงาน อยากบำรุงร่างกายเพื่อว่าที่เจ้าสาวจึงมาขอรับยาจากเขา ทั้งที่ไม่ได้กินยามานาน น้องชายคนรองจะแต่งงาน กำลังจะสร้างครอบครัวของตนเอง น้องชายคนเล็กกำลังจะเข้ากองทัพ ท่านพ่อท่านแม่อายุก็มาก เวลานี้เขาคือคนเดียวที่ดูแลทุกอย่างในจวน บอกตัวเองให้ทำใจปล่อยวาง แต่หลายปีผ่านมาเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จนวันนี้ที่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว นานเพียงใดแล้วที่ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ยิ่งเห็นหานหรงเหยามีความสุขกับหลิวเข่อซิง ก็ยิ่งรู้ว่าคนที่ปวดใจก็คือเขากับหลัวซู่เหมย เป็นเช่นนี้แล้ว จะต่างอะไรจากการหันคมมีดเข้าหาตนเอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บก็คือเขา เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี หานหรงเหยาเข้ามาอย่างเงียบๆ หานลี่จูที่เหม่อลอยอยู่ไม่รู้ว่าน้องชายเข้ามา จนกระทั่งหานหรงเหยาเอื้อมมือไปหยิบห่อยาเบื้องหน้าขึ้นมา “ดีจริง พี่ใหญ่เตรียมยาให้ข้าแล้วหรือ”