นิ้วเรียวยาวแยกกลีบดอกไม้ที่คล้ำไปเล็กน้อยแต่ภายในยังคงคับแน่นดึงดูดผีเสื้อหนุ่ม ฟันคมขบกัดที่ยอดอกจนเปียกชุ่มและบวมขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่สองนิ้วแทรกในร่องรักที่บีบรัด เร่งเร้าให้คายน้ำหวานออกมา หานลี่จูถอนริมฝีปากจากเต้าคู่งามที่ช้ำเป็นจ้ำเลือดเพราะริมฝีปากของเขา แล้วยื่นหน้าไปกระซิบเสียงพร่า
“เจ้าคิดถึงหรงเหยาอยู่สินะ แต่ร่างกายเจ้าเป็นของข้า ต่อให้เจ้าตายก็ยังเป็นคนของข้า”
หลัวซู่เหมยได้แต่ครางสะอื้นร่างกายเกร็งกระตุกด้วยนิ้วร้ายของเขา หานลี่จูดึงนิ้วออกจากร่องรักแล้วดึงผ้าออกจากปากนาง ส่งนิ้วที่เปื้อนคาวรักส่งเข้าในไปโพรงปากที่น้ำลายเปื้อนเปรอะมุมปาก หยดน้ำตาใสหลั่งริน เขาขยับนิ้วเข้าออกในโพรงปากสวยหรี่ตามองราวกับปีศาจร้ายไม่เหลือเค้าบุรุษผู้อ่อนโยนที่ใครต่อใครกล่าวถึง มือข้างหนึ่งกระตุกสายรัดเอวแล้วปลดกางเกงให้เลื่อนลงเผยแก่นกายที่แข็งขัน เขาจับมือนุ่มมากุมลำเอ็นของตนแล้วกุมมือนางอีกทีเพื่อชักนำให้นางขยับมือสาวแก่นกายที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ หานหลี่จูครางเสียงต่ำในลำคออย่างพอใจ กวาดนิ้วในโพรงปากของนางและเย้าแย่ลิ้นน้อยๆ นางครางปนสะอื้นแล้วเขาก็ถอนนิ้วมือออก แล้วประคองแท่งหยกร้อนแทรกในร่องรักที่เปียกชุ่ม
“อ่า...เจ้าฉ่ำแฉะมากถึงเพียงนี้ ชอบที่ข้าทำหรือเจ้าคิดถึงหรงเหยากันแน่”
เขาพูดเสียงต่ำแล้วกดกระแทกแก่นกายเข้าไปจนสุด ร่างเล็กผวาเฮือก นางสะบัดหน้าไปมา ทั้งจุกและเสียวซ่าน แก่นกายของเขาใหญ่โต แต่ก่อนนั้นเขาทะนุถนอมนาง นอกจากคืนแรกที่ร่วมหอแล้ว หลังจากนั้นหากนางไม่ยินยอมเขาก็ไม่แตะต้อง แต่คืนนั้นนางดื่มสุราเป็นเพื่อนเขาและพลั้งปากเรียกเขาว่า ‘หรงเหยา’ นับตั้งแต่นั้น ความอ่อนโยนที่เคยมีก็มลายหายไปสิ้น
เอวสอบขยับเคลื่อนไหวรุนแรงกระแทกกระทั้นจนร่างสั่นไหว ทรวงอกคู่งามกระเพื่อมเย้ายวน จนเขาต้องเอื้อมมือไปขยำอย่างมันมือ นางหลุดเสียงหวีดร้องออกมา ร่างกายเกร็งกระตุกและร่องรักตอดรัดแน่นจนอีกฝ่ายคำรามอย่างพอใจ เขาถอนแก่นกายออกแล้วจับร่างที่หมดเรี่ยวแรงต่อต้านให้พลิกค่ำในท่าหมอบคลาน เขาคุกเข่าอยู่ด้านหลัง ยกสะโพกนางขึ้นสูงแล้วแบะแก้มก้นของนางออกเผยร่องรักที่เปียกจนน้ำรักฉ่ำเยิ้ม แท่งหยกร้อนระอุถูกส่งเข้าไปอีกครั้ง แม้จะเสียวซ่านจนไม่อาจต่อต้านได้แต่แรงกระหน่ำจากด้านหลังในท่วงท่าที่น่าอายนี้ ทำให้หลัวซู่เหมยได้แต่หลั่งน้ำตา เขาโยกเอวบดคลึงและฟาดฝ่ามือใส่แก้มก้นจนกลายเป็นรอยแดง
“ซู่เหมย...”
เขาเรียกนางเสียงพร่าทั้งที่ยังกระแทกกระทั้นเอวดุดันในร่องรักที่รัดลำเอ็นแน่น แต่ไม่อาจทำให้เขาลืมความปวดใจที่นางสร้างแผลใจให้แก่เขา เขารักนางไม่น้อยกว่าหานหรงเหยา รักตั้งแต่ครั้งแรกที่นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย แต่นางกลับปักใจรักน้องชายอ่อนแอขี้โรค และเป็นเขาที่ค่อยพูดกับบิดามารดาของหลัวซู่เหมยเรื่องร่างกายที่ทรุดโทรมใกล้ตายไปทุกขณะ เป็นเขาที่ทำให้คนทั้งเมืองหลวงเชื่อว่า หานหรงเหยาจะมีชีวิตได้ไม่นาน เขาต้องทุ่มเทแรงกายและใจเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนหมายปอง ไม่ใช่เพียงแค่เป็นผู้ปกครองจวนต่อจากบิดาเท่านั้น รวมถึงหญิงสาวที่เขาหมายปองอีกด้วย
ไม่ว่าสิ่งใดที่เขาต้องการ เขาต้องได้มา เขาต้องครอบครองสิ่งนั้นไม่ว่าจะเป็นวิธีต่ำช้าเลวทรามเพียงใดก็ตาม
“ท่าน...ท่านพี่... ข้า...ข้าไม่ไหวแล้ว”
“อดทนหน่อยซู่เหมย หากเจ้าทำตัวดีๆ ข้าจะมอบบุตรให้เจ้า”
นางใจร้ายกับเขาเหลือเกิน เขารักนางมากถึงเพียงนี้แต่นางก็ยังรักหานหรงเหยา ความเสียใจและโทสะผสมปนเปจนเขาแทบคลั่ง หลัวซู่เหมยพยายามคลานหนี แต่มือใหญ่จับเอวนางไว้มั่นจนเอวนางเป็นรอยยิ้มมือ นั้นคือสาเหตุที่ผิวกายดุจหิมะของนางเป็นรอยช้ำไปทั่วร่าง
เพราะต้องการมีบุตร นางจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำตามอำเภอใจ
นางถึงจุดสุขสมอีกครั้งแล้ว เขารู้ดี หานลี่จูก้มมองลำเอ็นที่ผลุบเข้าออกในร่องรักที่คับแน่น เขาสาวลำเอ็นดุดันกระแทกเขาไปจนสุด ปลดปล่อยน้ำรักในตัวนาง ยามเมื่อถอนแก่นกายออกพร้อมเสียงครางต่ำของตน เขามองน้ำรักที่ไหลเยิ้มจนเปื้อนเปรอะโคนขาที่เป็นรอยแดงเพราะถูกเสียดสี นางพยายามขมิบกักเก็บน้ำรักของเขาไว้ การมีลูกคือความมั่นคงเดียวในการอยู่จวนแห่งนี้ หากนางยังไม่สามารถมีลูกได้อีก เห็นทีว่าแม่สามีต้องรับอนุมาให้สามีของนาง ยังมีหญิงสาวในเมืองอีกมากที่อยากได้ตำแหน่งภรรยารองของหานลี่จู นางไม่อาจยอมให้ใครมาข่มเหงนางได้
หลังพายุอารมณ์สงบนิ่ง หานลี่จูก้มมองร่างภรรยาที่ขดตัวสั่นเทาอย่างน่าสงสาร เขาปวดใจที่เห็นภรรยารักเป็นเช่นนี้ มือที่ยื่นไปหมายจะลูบผมปลอบประโลมแต่ชะงักกลางอากาศ เส้นทางที่เขาเลือกเดินไม่อาจถอยหลังได้อีก เขาดึงมือกลับแล้วจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่แล้วก้าวออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจเสียงสะอึกสะอื้นนั้นอีก
แต่หัวใจของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน.
หานลี่จูเดินออกมาด้านนอก เสี่ยวจิ้ง-สาวใช้ที่ติดตามหลัวซู่เหมยมาอยู่ที่จวนนี้ด้วยนั้น นางยืนเฝ้าด้านนอกด้วยท่าทีกระสับกระส่าย เมื่อนางเห็นเขาเข้าก็รีบก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา
“เขาไปดูแลนาง”
“เจ้าค่ะ”
“เอายาไปทาให้นางด้วย”
“เจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากมา ไม่รู้เหตุใดสองเท้าพาร่างที่เหม่อลอยมาที่ศาลาริมน้ำ ยามนี้มีเพียงแสงจากโคมไฟทีแขวนให้ความสว่างตรงทางเดิน สายลมเย็นพัดผ่านลูบไล้หัวใจที่รุ่มร้อนให้เย็นลง เขายกมือขึ้นดูฝ่ามือตนเอง เรื่องราวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกัน หานลี่จูเกิดก่อนหานหรงเหยาถึงแปดปี แปดปีที่เขาใช้ชีวิตลูกชายคนเดียวของสกุลหาน เป็นที่รักและถูกตามใจมาตลอด จนกระทั้งมารดาคลอดหานหรงเหยาก่อนกำหนด หลังจากนั้นสามปีมารดาให้กำเนิดหานหลี่เจี๋ยที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกประการ น้องชายคนรองสุขภาพไม่ดีบิดามารดาทุ่มเทความสนใจไปที่หานหรงเหยาจนละเลยเขาและน้องสาม ไม่ว่าจะทำสิ่งใด หานหรงเหยาต้องมาก่อนเสมอ แม้กระทั่งหญิงสาวที่ตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ นางกลับมีใจให้หานหรงเหยา ความริษยาที่เคยกดทับในใจกลายเป็นเพลิงเผาไหม้ให้เขารุ่มร้อนทุกข์ทรมาน เพื่อให้ได้ครอบครองหญิงงามที่ตนหมายปอง เขาจึงกลายเป็นคนชั่วช้าถึงเพียงนี้
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ทำให้หานลี่จูตื่นจากภวังค์ เขาหมุนตัวกลับไปก็พบหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินจับมือกันเข้ามาทางเขาพอดี “พี่ใหญ่” หานหรงเหยาเอ่ยทักทาย หลังจากพบหลิวชิงเซียงแล้ว เขาก็พาเข่อซิงเที่ยวเล่นในเมืองจึงกลับเข้าจวนค่ำมืดไปหน่อย “พวกเจ้าเพิ่งกลับมากันรึ” “ขอรับ” หานหรงเหยายิ้มแล้วก้มมองเข่อซิงที่มือข้างหนึ่งยังถือขนมถังหูลู่อยู่ “นางติดตามข้าเข้าเมืองหลวงมาเกือบเดือนแล้ว ข้าไม่มีเวลาพานางไปเที่ยวชมเมืองหลวงเลย วันนี้พอมีเวลาจึงพานางเดินชมตลาด” หานลี่จูยิ้มให้น้องชายแล้วเดินเข้าใกล้ ภายใต้แสงสลัวคือใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นพี่ ทว่าหลิวเข่อซิงกลับตัวเกร็งขึ้นมาแล้วค่อยๆ ขยับตัวใช้ร่างของหานหรงเหยาบังตนเองไว้ “เข่อซิง เจ้าทำอะไร” หานหรงเหยาหัวเราะน้อยๆ เข้าใจว่านางคงกลัวพี่ใหญ่จะตำหนินาง “เข่อซิง” หานลี่จูเรียกนางปนหัวเราะ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มาเป็นน้องสะใภ้ของข้าแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรือซู่เหมยเลย หรือแม้แต่หลี่เจี๋ยก็ด้วย พวกเราแม้เกิดในตระกูลหานอันเป็นตระกูลเก
“เข่อซิง...” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้กลัวนาง แต่...ร่างกายตื่นตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สะโพกกลมกลึงบดเบียดแท่งหยกที่ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน หางยาวปัดป่ายบนตัวเขายิ่งทำให้กระสับกระส่าย คาดหวังและรอคอยให้นางทำมากกว่านี้ นางรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวนางในร่างนี้ แววตาและท่าทางของเขาประกาศชัดว่าปรารถนานางมากเพียงใด เรียวลิ้นตวัดหยอกล้อพันเกี่ยวหาความหวานอันหวามไหว สะโพกงามยกขึ้นเพื่อครอบครองแก่นกายที่ร้อนระอุ นางเปล่งเสียงครางชิดริมฝีปากเมื่อยินยอมให้ตัวตนของบุรุษที่นางรักเข้าไปในร่างจนสุดลำ สวรรค์! หานหรงเหยาคำรามออกมา นางปล่อยข้อมือของเขาแล้วหยัดกายขึ้น ทรวงอกงดงามกระเพื่อมตามแรงหายใจ ปลายถันสีหวานชูชันท้าท้ายสายตา นางเริ่มขยับสะโพกเคลื่อนไหวราวร่ายรำนำเสียวซ่านรัญจวนมาสู่ทั้งนางและเขา มือแกร่งลูบไล้บั้นเอวไปสัมผัสหางฟูสีแดงที่ส่ายไปมา “เร็วอีกซิงเอ๋อร์” เขาแทบสำลักความสุขแล้ว เป็นฝ่ายอ้อนวอนให้นางควบขี่เขาเร็วขึ้นพร้อมกับหยัดสะโพกรับจังหวะกดลงของนาง คาวรักอาบไล้แก่นกายจนเป็นมันวาวทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ถี่กระชั้น เ
หลัวซู่เหมยรับน้ำชามาดื่ม ชามะลิแสนธรรมดาแต่ส่งกลิ่นหอมอวลในปาก จนนางเอ่ยชม “เป็นเพียงชาธรรมดา แต่ที่ฮูหยินน้อยรู้สึกรสชาติดีเพราะจิตใจสงบ ก่อนหน้านี้คงมีเรื่องให้ใจขุ่นมัว ไม่ทราบว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรให้ข้าพอช่วยเหลือได้หรือไม่” “ประเสริฐนัก ราวกับมีญาณทิพย์เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ระวังกิริยาด้วย” หลัวซู่เหมยแสร้งดุสาวใช้ แต่นางก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรเรื่องปัญหาของนาง “ฮูหยินน้อยประสงค์จะมีลูก และลูกของฮูหยินก็รอมาเกิดแล้ว แต่ว่า...” “แต่อะไรเจ้าคะ” ยังคงเป็นสาวใช้ที่รีบพูดขึ้นทันที “ต้องขออภัยที่ต้องพูดตามตรง บนกายฮูหยินมีกลิ่นอายปีศาจ ในบ้านของฮูหยินรับเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามา บุตรที่รอมาสู่ครรภ์ของฮูหยินจึงไม่อาจถือกำเนิดในครรภ์ได้” “ปะ...ปี...ปีศาจ...ปีศาจอันใดกัน” ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งตกตะลึง หลัวซู่เหมยหน้าไร้สีเลือด นางคิดถึงเงาดำในห้องของหานหรงเหยาที่นางเห็นวันก่อน...หรือว่าจะเป็น... “จะทำอย่างไรถึงขับไล่มันไปได้” เสี่ยวจิ้งเอ่ยถามทันที ‘ใช่! เข่อซิงเป็นนาง
“ชุดเจ้าสาวของข้า...” หลิวเข่อซิงเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง สองวันมานี่หานหรงเหยามีงานลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยให้นางรู้ กว่าจะกลับถึงจวนก็ค่ำมืด เขาไม่เล่านางก็ไม่ถาม ด้วยรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องงานแล้ว หานหรงเหยาทุ่มเทแรงกายและใจอย่างสุดกำลัง นางจึงไม่เคยเซ้าซี้ถามเอาเรื่องราวใด เขาให้นางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมและเรียนรู้กฎระเบียบในบ้านกับหลัวซู่เหมย นางก็ยินดีทำตามที่เขาสั่ง วันนี้ก็เช่นกัน หลัวซู่เหมยกับสาวใช้ชื่อเสี่ยวจิ้งเข้ามาหาหลิวเข่อซิง พูดคุยเรื่องชุดเจ้าสาว นางยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะศิษย์พี่หลิวชิงเซียงบอกว่าจะจัดการให้ “ขอพูดตามตรง ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นกำพร้า เกรงว่าจะเตรียมชุดวิวาห์ไม่ทันจึงถือวิสาสะเข้ามาสอบถามเจ้า” “วันวิวาห์ยังไม่ได้กำหนด ข้าเลยคิดว่าจะรอก่อนเจ้าค่ะ” หลิว เข่อซิงตอบไปตามตรง ใบหน้าระบายยิ้มจนดวงตาหยี่เล็ก “เรื่องแบบนี้รอได้ที่ไหนกัน” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้น “ฮูหยินน้อยกว้างขวางในเมืองหลวง รู้จักร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ชุดเจ้าสาวจะเร่งรีบเกินไปก็ไม่ดี ฮูหยินน้อยจึง
หานหรงเหยาไม่เคยเล่าความหลังของเขากับหญิงในดวงใจ นางรู้ว่าเขามีบางเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ แต่เมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่เคยฝืนค้นสิ่งที่ซ่อนไว้ใน หรือเพราะนางได้กินพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอและยังได้เสพพลังหยางเพิ่มความสมดุลให้ตนเอง นางจึง ‘สัมผัส’ ความลับในใจของผู้คนได้มากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้ต้องการรู้มันเลย “น้ำชากับของว่างมาแล้ว” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้นแล้วรับถาดของว่างมาจากเด็กรับใช้ของร้าน เมื่อวางของบนโต๊ะแล้ว เสี่ยวจิ้งก็หันพูดให้เด็กรับใช้ของร้านออกไป “มีขนมด้วย” เข่อซิงเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “อื้ม ก็ฮูหยินน้อยเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้และที่สำคัญ พวกเราเป็นคนของจวนหานกั๋วกง เถ้าแก่ก็ย่อมให้ความสำคัญมากกว่าลูกค้าทั่วไปอยู่แล้ว” “เป็นเช่นนี้เอง พี่เสี่ยวจิ้งนี่รอบรู้จริงๆ” “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้” เสี่ยวจิ้งรินน้ำชาส่งให้หลัวซู่เหมยและเข่อซิง ฐานะของหลิวเข่อซิงยังไม่ชัดเจน นางไม่อยากก้มหัวให้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ “ดื่มซิ” เสี่ยวจิ้งคะยั้นคะยอให้หลิวเข่อซิงดื่มชา ใบหน้าของหลัว
หานลี่จูนั่งมองห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ว หานหรงเหยาเอ่ยปากบอกคนเป็นพี่อย่างเขาว่า ใกล้จะแต่งงาน อยากบำรุงร่างกายเพื่อว่าที่เจ้าสาวจึงมาขอรับยาจากเขา ทั้งที่ไม่ได้กินยามานาน น้องชายคนรองจะแต่งงาน กำลังจะสร้างครอบครัวของตนเอง น้องชายคนเล็กกำลังจะเข้ากองทัพ ท่านพ่อท่านแม่อายุก็มาก เวลานี้เขาคือคนเดียวที่ดูแลทุกอย่างในจวน บอกตัวเองให้ทำใจปล่อยวาง แต่หลายปีผ่านมาเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จนวันนี้ที่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว นานเพียงใดแล้วที่ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ยิ่งเห็นหานหรงเหยามีความสุขกับหลิวเข่อซิง ก็ยิ่งรู้ว่าคนที่ปวดใจก็คือเขากับหลัวซู่เหมย เป็นเช่นนี้แล้ว จะต่างอะไรจากการหันคมมีดเข้าหาตนเอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บก็คือเขา เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี หานหรงเหยาเข้ามาอย่างเงียบๆ หานลี่จูที่เหม่อลอยอยู่ไม่รู้ว่าน้องชายเข้ามา จนกระทั่งหานหรงเหยาเอื้อมมือไปหยิบห่อยาเบื้องหน้าขึ้นมา “ดีจริง พี่ใหญ่เตรียมยาให้ข้าแล้วหรือ”
“ข้า...” ราวกับมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ หานลี่จูพูดอะไรไม่ออก หรือบางที อาจไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เพราะยามนี้แค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้หมดสิ้นแล้ว เสียงโวยวายด้านนอก เรียกความสนใจจากหานลี่จูและหานหรงเหยา บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างของหานหลี่เจี๋ยที่ประคองหลัวซู่เหมยเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาอยู่นี่เอง!” หานลี่จูสาวเท้าเข้าไปประคองหลัวซู่เหมยทันที เขาพาร่างสั่นเทามานั่งที่เก้าอี้แล้วตวัดสายตามองเสี่ยวจิ้งที่วิ่งตามมา “เกิดอะไรขึ้นฮูหยินน้อย!” หานลี่จูตวาดเสียงดังทำให้เสี่ยวจิ้งถึงกับเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าเบื้องหน้า “เข่อซิง...” หลัวซู่เหมยรีบพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” หานหรงเหยาหายใจไม่ทั่วท้อง “เข่อซิงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยา “บังอาจ! ใครกล้าแตะต้องคนสกุลหานของเรา!” หานลี่จูจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ้ง “ทุกครั้งที่ออกไปนอกจวนก็ให้มีผู้ติดตามไปมิใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” “ข้าเพิ่งกลับจากตลาดม้า พบพี่สะใภ้เกิดเรื่องที
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ