หลัวซู่เหมยรับน้ำชามาดื่ม ชามะลิแสนธรรมดาแต่ส่งกลิ่นหอมอวลในปาก จนนางเอ่ยชม
“เป็นเพียงชาธรรมดา แต่ที่ฮูหยินน้อยรู้สึกรสชาติดีเพราะจิตใจสงบ ก่อนหน้านี้คงมีเรื่องให้ใจขุ่นมัว ไม่ทราบว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรให้ข้าพอช่วยเหลือได้หรือไม่”
“ประเสริฐนัก ราวกับมีญาณทิพย์เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างตื่นเต้น
“ระวังกิริยาด้วย” หลัวซู่เหมยแสร้งดุสาวใช้ แต่นางก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรเรื่องปัญหาของนาง
“ฮูหยินน้อยประสงค์จะมีลูก และลูกของฮูหยินก็รอมาเกิดแล้ว แต่ว่า...”
“แต่อะไรเจ้าคะ” ยังคงเป็นสาวใช้ที่รีบพูดขึ้นทันที
“ต้องขออภัยที่ต้องพูดตามตรง บนกายฮูหยินมีกลิ่นอายปีศาจ ในบ้านของฮูหยินรับเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามา บุตรที่รอมาสู่ครรภ์ของฮูหยินจึงไม่อาจถือกำเนิดในครรภ์ได้”
“ปะ...ปี...ปีศาจ...ปีศาจอันใดกัน” ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งตกตะลึง หลัวซู่เหมยหน้าไร้สีเลือด นางคิดถึงเงาดำในห้องของหานหรงเหยาที่นางเห็นวันก่อน...หรือว่าจะเป็น...
“จะทำอย่างไรถึงขับไล่มันไปได้” เสี่ยวจิ้งเอ่ยถามทันที
‘ใช่! เข่อซิงเป็นนางมาร เป็นปีศาจร้าย คนอย่างหรงเหยาไม่มีทางหลงเสน่ห์หญิงใดได้ เขามั่นรักในตัวนาง ชั่วชีวิตไม่มีทางมีหญิงใดได้อีกนอกจากนาง! นางต้องกำจัดหญิงชั่วผู้นั้นออกไป!’
“นับเป็นเรื่องดียิ่ง การกำจัดมารปีศาจนับเป็นการสร้างผลบุญให้ตนเองและเพื่อนมนุษย์ กำจัดภัยร้ายที่จะก่อกรรมทำชั่วต่อผู้อื่น หากเป็นไปได้ ฮูหยินน้อยหาทางหลอกล่อให้ปีศาจจิ้งจอกแดงตนนั้นออกมาขอเพียงพานางมาได้ ที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็น...” หลัวซู่เหมยไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกมา “ขอแค่ข้าพานางมาใช่ไหม”
“ขอเพียงนางปีศาจมา ข้าจะลงมือเองมิให้ฮูหยินน้อยต้องแปดเปื้อน”
หลัวซู่เหมยดื่มน้ำชาจนหมด นางพยักหน้าให้สาวใช้ นางหยิบถุงเงินมอบให้แต่อีกฝ่ายไม่รับ ทั้งสองจึงเดินออกมาอย่างเงียบๆ
นักพรตหนุ่มเดินออกมาส่งที่หน้าอารามด้วยท่าทีสงบนิ่งราวกับผู้ตัดขาดทางโลก ทว่าเมื่อรถม้าจวนหานกั๋วกงจากไป ใบหน้านั้นก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ณ จวนขององค์ชายสาม
หานหรงเหยายังครุ่นคิดเรื่องยาพิษ จึงแสร้งเป็นว่าต้องการดื่มยาบำรุงร่างกายเตรียมตัวก่อนถึงงานมงคล แต่นำยาเหล่านั้นออกมาให้หมอทหารที่ไว้ใจได้ตรวจสอบ แน่นอนว่าเรื่องนี้อยู่ในสายตาของซุนเจ้าเฟิงด้วย
“สมุนไพรทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษ ยาที่นำมาตรวจสอบนี้ มองผิวเผินเป็นสมุนไพรบำรุงหัวใจกระตุ้นลมปราณ แต่มีบางชนิดเมื่อกินรวมกันกลับให้โทษขอรับ”
หมอทหารรายงานไปตามตรง หานหรงเหยาเพียงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซุนเจ้าเฟิงโบกมือไล่หมอทหารจึงถอยออกไป แม้หานหรงเหยาจะไม่ได้เล่าสิ่งใดออกมาแต่เขาก็พอคาดเดาได้
“เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือผู้ใด” ซุนเจ้าเฟิงที่ยังไม่สามารถกลับชายแดนได้เอ่ยปากถามแล้วรินสุราให้สหายรัก
หานหรงเหยารับสุรามาดื่ม ปกติเขาไม่ค่อยดื่มสุรานัก แต่ในเวลานี้รสสุราอุ่นร้อนช่วยขับไล่ความขมขื่นในใจลงได้บ้าง สิ่งที่เขาคิดไม่อาจพูดออกมาได้ ก่อนหน้านี้เขาตามสืบและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งหมด คิดแม้กระทั้งมีการสับเปลี่ยนยาของเขา แต่ข้าวของของเขากับซุนเจ้าเฟิงล้วนที่ส่งมาจากเมืองหลวงถูกคุ้มกันมาอย่างดี แน่นอนว่าอาศัยบารมี ‘องค์ชายสาม’ ผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ไม่เคยปรานีผู้ใด ไม่ใครกล้าแตะต้องสิ่งของเหล่านั้นแล้ว เขาปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดแล้วสุดท้ายมันโยงกลับไปที่...คนที่เขาไม่เชื่อว่าจะลงมือกับเขาได้
“เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
ซุนเจ้าเฟิงโคลงศีรษะไปมา หากสหายไม่พูด ต่อให้ใช้เครื่องมือลงทัณฑ์ก็ไม่มีวันปริปากพูด “ถ้าเช่นนั้นข้าถามเรื่องแต่งงานได้หรือไม่ เจ้าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว”
“ต้องเตรียมอะไรมากมาย ข้าไม่ได้เป็นองค์ชายเหมือนเจ้า” หานหรงเหยาพูดยิ้มๆ กลบเกลื่อนเรื่องไม่สบายใจของตนเอง
“ข้ายังไม่เจอสตรีถูกใจเรื่องแต่งงานก็รอไปก่อน”
“แม้แต่ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็ยังพ่ายแพ้เลยรึ” เขารู้ว่าทั้งสองพระองค์ต้องการให้ซุนเจ้าเฟิงอภิเษกมีชายาเสียที
“สารภาพกับเจ้าเลยนะ แต่ก่อนข้าก็คิดว่าจะไปอยู่ชายแดนเพื่อสร้างสมชื่อเสียง แต่พอได้อยู่ที่นั้นจริงๆ กลับพบว่าตัวเองมีความสุขกับสถานที่แห่งนั้นมากกว่าในเมืองหลวงแห่งนี้”
“ข้าก็เช่นกัน”
“พิชิตศึกมานับครั้งไม่ถ้วนแต่กลับไม่สามารถพิชิตหุบเขาจื่อเซ่อได้เลย” ซุนเจ้าเฟิงหัวเราะร่วนแล้วยกสุราขึ้นดื่ม
“เจ้าอาจแค่อยากเอาชนะ”
ที่นั้นก็เปรียบเสมือนบ้านของหลิวเข่อซิง นางต้องปกป้องบ้านของนาง การให้คนนอกรู้อาจทำให้เหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงอยู่ในหุบเขาไม่ปลอดภัย จะว่าไป เขาอยู่ชายแดนมาสามปี ยังไม่เคยได้ยินเรื่องเลวร้ายอะไรจากหุบเขาแห่งนั้น ผู้คนล้มตายด้วยภัยสงครามและความภัยพิบัติทางธรรรมชาติมากกว่าได้ยินข่าวการตายปริศนา หรือไม่เป็นธรรมชาติเสียอีก
“คงจะเป็นเช่นนั้น” แม่ทัพใหญ่ตอบพลันคิดถึงใบหน้าหยิ่งทะนงของหญิงสาวผู้นั้น หรือบางทีเขาอาจอยากพิชิตใจหลิวชิงเซียงมากกว่า ยิ่งนางทำตัวลึกลับมากเพียงใด ก็ยิ่งเย้ายวนมากขึ้นเท่านั้น
“เอาล่ะ เจ้าอย่าพูดเรื่องของข้าเลย เจ้าจะละเลยเรื่องแต่งงานไม่ได้”
“เรื่องนั้นข้ารู้” หานหรงเหยารับดื่มสุราอีกจอก “ซู่เหมยออกปากจัดการให้ ย่อมไม่มีสิ่งใดผิดพลาด”
“นาง..เอ่อ พี่สะใภ้เจ้านี่นะ”
“ทำไมรึ”
“ข้าแอบเห็นสายตานางยังอาวรณ์เจ้าอยู่เลย เจ้าให้นางจัดพิธีวิวาห์ของเจ้ากับหญิงอื่น นางไม่ล่มงานแต่งของเจ้าหรอกหรือ”
“นางเป็นพี่สะใภ้ข้าและพี่ใหญ่ก็เป็นคนออกปากให้ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับเข่อซิง ไม่มีเหตุผลที่นางจะ...” หานหรงเหยานิ่งงันไปชั่วขณะแล้วตัดสินใจวางจอกสุราลง “ข้าจะกลับจวน”
“อ้าว!” ซุนเจ้าเฟิงกำลังดื่มติดพันได้ที่ ได้ยินว่าสหายจะกลับก็เปลี่ยนอารมณ์ไม่ทันเลยทีเดียว “มีอะไรให้ข้าช่วยก็บอกมาได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
หานหรงเหยารู้สึกใจร้อนรุ่มว้าวุ่นนัก เขามัวแต่วิ่งวุ่นสืบเรื่องยาของตนจนลืมเรื่องสำคัญไป เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงตัวน้อยไร้เดียงสาอาจไม่ทันเล่ห์กลของผู้อื่น เขาได้แต่ภาวนาให้ตนเองคิดมากไปฝ่ายเดียว
รวมทั้ง...เรื่องพี่ใหญ่ของเขาด้วย.
“ชุดเจ้าสาวของข้า...” หลิวเข่อซิงเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง สองวันมานี่หานหรงเหยามีงานลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยให้นางรู้ กว่าจะกลับถึงจวนก็ค่ำมืด เขาไม่เล่านางก็ไม่ถาม ด้วยรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องงานแล้ว หานหรงเหยาทุ่มเทแรงกายและใจอย่างสุดกำลัง นางจึงไม่เคยเซ้าซี้ถามเอาเรื่องราวใด เขาให้นางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมและเรียนรู้กฎระเบียบในบ้านกับหลัวซู่เหมย นางก็ยินดีทำตามที่เขาสั่ง วันนี้ก็เช่นกัน หลัวซู่เหมยกับสาวใช้ชื่อเสี่ยวจิ้งเข้ามาหาหลิวเข่อซิง พูดคุยเรื่องชุดเจ้าสาว นางยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะศิษย์พี่หลิวชิงเซียงบอกว่าจะจัดการให้ “ขอพูดตามตรง ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นกำพร้า เกรงว่าจะเตรียมชุดวิวาห์ไม่ทันจึงถือวิสาสะเข้ามาสอบถามเจ้า” “วันวิวาห์ยังไม่ได้กำหนด ข้าเลยคิดว่าจะรอก่อนเจ้าค่ะ” หลิว เข่อซิงตอบไปตามตรง ใบหน้าระบายยิ้มจนดวงตาหยี่เล็ก “เรื่องแบบนี้รอได้ที่ไหนกัน” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้น “ฮูหยินน้อยกว้างขวางในเมืองหลวง รู้จักร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ชุดเจ้าสาวจะเร่งรีบเกินไปก็ไม่ดี ฮูหยินน้อยจึง
หานหรงเหยาไม่เคยเล่าความหลังของเขากับหญิงในดวงใจ นางรู้ว่าเขามีบางเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ แต่เมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่เคยฝืนค้นสิ่งที่ซ่อนไว้ใน หรือเพราะนางได้กินพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอและยังได้เสพพลังหยางเพิ่มความสมดุลให้ตนเอง นางจึง ‘สัมผัส’ ความลับในใจของผู้คนได้มากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้ต้องการรู้มันเลย “น้ำชากับของว่างมาแล้ว” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้นแล้วรับถาดของว่างมาจากเด็กรับใช้ของร้าน เมื่อวางของบนโต๊ะแล้ว เสี่ยวจิ้งก็หันพูดให้เด็กรับใช้ของร้านออกไป “มีขนมด้วย” เข่อซิงเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “อื้ม ก็ฮูหยินน้อยเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้และที่สำคัญ พวกเราเป็นคนของจวนหานกั๋วกง เถ้าแก่ก็ย่อมให้ความสำคัญมากกว่าลูกค้าทั่วไปอยู่แล้ว” “เป็นเช่นนี้เอง พี่เสี่ยวจิ้งนี่รอบรู้จริงๆ” “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้” เสี่ยวจิ้งรินน้ำชาส่งให้หลัวซู่เหมยและเข่อซิง ฐานะของหลิวเข่อซิงยังไม่ชัดเจน นางไม่อยากก้มหัวให้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ “ดื่มซิ” เสี่ยวจิ้งคะยั้นคะยอให้หลิวเข่อซิงดื่มชา ใบหน้าของหลัว
หานลี่จูนั่งมองห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ว หานหรงเหยาเอ่ยปากบอกคนเป็นพี่อย่างเขาว่า ใกล้จะแต่งงาน อยากบำรุงร่างกายเพื่อว่าที่เจ้าสาวจึงมาขอรับยาจากเขา ทั้งที่ไม่ได้กินยามานาน น้องชายคนรองจะแต่งงาน กำลังจะสร้างครอบครัวของตนเอง น้องชายคนเล็กกำลังจะเข้ากองทัพ ท่านพ่อท่านแม่อายุก็มาก เวลานี้เขาคือคนเดียวที่ดูแลทุกอย่างในจวน บอกตัวเองให้ทำใจปล่อยวาง แต่หลายปีผ่านมาเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จนวันนี้ที่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว นานเพียงใดแล้วที่ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ยิ่งเห็นหานหรงเหยามีความสุขกับหลิวเข่อซิง ก็ยิ่งรู้ว่าคนที่ปวดใจก็คือเขากับหลัวซู่เหมย เป็นเช่นนี้แล้ว จะต่างอะไรจากการหันคมมีดเข้าหาตนเอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บก็คือเขา เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี หานหรงเหยาเข้ามาอย่างเงียบๆ หานลี่จูที่เหม่อลอยอยู่ไม่รู้ว่าน้องชายเข้ามา จนกระทั่งหานหรงเหยาเอื้อมมือไปหยิบห่อยาเบื้องหน้าขึ้นมา “ดีจริง พี่ใหญ่เตรียมยาให้ข้าแล้วหรือ”
“ข้า...” ราวกับมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ หานลี่จูพูดอะไรไม่ออก หรือบางที อาจไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เพราะยามนี้แค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้หมดสิ้นแล้ว เสียงโวยวายด้านนอก เรียกความสนใจจากหานลี่จูและหานหรงเหยา บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างของหานหลี่เจี๋ยที่ประคองหลัวซู่เหมยเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาอยู่นี่เอง!” หานลี่จูสาวเท้าเข้าไปประคองหลัวซู่เหมยทันที เขาพาร่างสั่นเทามานั่งที่เก้าอี้แล้วตวัดสายตามองเสี่ยวจิ้งที่วิ่งตามมา “เกิดอะไรขึ้นฮูหยินน้อย!” หานลี่จูตวาดเสียงดังทำให้เสี่ยวจิ้งถึงกับเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าเบื้องหน้า “เข่อซิง...” หลัวซู่เหมยรีบพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” หานหรงเหยาหายใจไม่ทั่วท้อง “เข่อซิงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยา “บังอาจ! ใครกล้าแตะต้องคนสกุลหานของเรา!” หานลี่จูจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ้ง “ทุกครั้งที่ออกไปนอกจวนก็ให้มีผู้ติดตามไปมิใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” “ข้าเพิ่งกลับจากตลาดม้า พบพี่สะใภ้เกิดเรื่องที
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”