“ชุดเจ้าสาวของข้า...”
หลิวเข่อซิงเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง สองวันมานี่หานหรงเหยามีงานลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยให้นางรู้ กว่าจะกลับถึงจวนก็ค่ำมืด เขาไม่เล่านางก็ไม่ถาม ด้วยรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องงานแล้ว หานหรงเหยาทุ่มเทแรงกายและใจอย่างสุดกำลัง นางจึงไม่เคยเซ้าซี้ถามเอาเรื่องราวใด เขาให้นางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมและเรียนรู้กฎระเบียบในบ้านกับหลัวซู่เหมย นางก็ยินดีทำตามที่เขาสั่ง
วันนี้ก็เช่นกัน หลัวซู่เหมยกับสาวใช้ชื่อเสี่ยวจิ้งเข้ามาหาหลิวเข่อซิง พูดคุยเรื่องชุดเจ้าสาว นางยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะศิษย์พี่หลิวชิงเซียงบอกว่าจะจัดการให้
“ขอพูดตามตรง ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นกำพร้า เกรงว่าจะเตรียมชุดวิวาห์ไม่ทันจึงถือวิสาสะเข้ามาสอบถามเจ้า”
“วันวิวาห์ยังไม่ได้กำหนด ข้าเลยคิดว่าจะรอก่อนเจ้าค่ะ” หลิว เข่อซิงตอบไปตามตรง ใบหน้าระบายยิ้มจนดวงตาหยี่เล็ก
“เรื่องแบบนี้รอได้ที่ไหนกัน” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้น “ฮูหยินน้อยกว้างขวางในเมืองหลวง รู้จักร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ชุดเจ้าสาวจะเร่งรีบเกินไปก็ไม่ดี ฮูหยินน้อยจึงคิดว่า เจ้าควรเตรียมตัวเสียตั้งแต่วันนี้จะดีที่สุด”
“เป็นเช่นนี้เอง” หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับอย่างใส่ซื่อ “ข้าต้องทำอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“ออกไปร้านผ้ากับข้า” หลัวซู่เหมยพูดด้วยรอยยิ้ม “เลือกผ้าไหมสวยๆ ให้สมกับที่เจ้าจะเข้ามาเป็นฮูหยินของหรงเหยา เสื้อผ้าเจ้ามีไม่กี่ชุดเองนี่ อย่างไรก็ดูไว้ตัดเสื้อผ้าอีกสิ”
“เจ้าอย่าปฏิเสธความหวังดีของฮูหยินน้อยเลย อีกหน่อยก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เรื่องแค่นี้เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว” เสี่ยวจิ้งพูดเสริมทำให้หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับเห็นด้วย
“ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวงยิ้มกว้าง นางลุกขึ้นจากเก้าอี้กลมด้วยท่าทีกระตือรือร้นเหมือนเด็กที่จะได้ออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน
วูบหนึ่งในใจรู้สึกผิด แต่หลัวซู่เหมยก็สลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวแล้วยันกายขึ้นจากเก้าอี้ นางรู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย หลิวเข่อซิงยื่นมือไปประคองรวดเร็วกว่าเสี่ยวจิ้ง ปลายนิ้วที่สัมผัสผิวกายของหลัวซู่เหมยทำให้ดวงตาของเข่อซิงกระตุกเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังคงแย้มยิ้มราวกับไม่รับรู้เรื่องใด
“ระวังด้วยเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก” หลัวซู่เหมยสูดลมหายใจลึก มาถึงขั้นนี้แล้ว นางจะถอยไม่ได้ เพื่อหานหรงเหยาและคนสกุลหาน นางต้องทำ...
รถม้าหรูหราสมฐานะสกุลหานพาคนทั้งสามไปร้านผ้าแห่งหนึ่ง ผ้าม่านที่หน้าต่างรถม้าขยับไหวตามแรงลม หลิวเข่อซิงมองออกไปเห็นอีกาบินผ่านไป นางดึงสายตากลับมาแล้วฉีกยิ้มกว้างให้หลัวซู่เหมยเช่นทุกครั้ง โดยที่นางไม่เคยรู้เลยว่ารอยยิ้มของนางนั้น สร้างระลอกคลื่นความริษยาในใจใครบางคน และในขณะเดียวกัน ความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามาในอก ทำให้หลัวซู่เหมยนั่งบีบมือตัวเองอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งเข่อซิงเอื้อมมือมาแตะหลังมือของนางเบาๆ
“ข้าขอบคุณฮูหยินน้อยที่ดูแลข้าอย่างดียิ่ง”
จู่ๆ หลิวเข่อซิงก็เอ่ยขึ้นมาทำให้หลัวซู่เหมยทำอะไรไม่ถูก ท่าทางไร้เดียงสาขนาดนี้ บางที... เงาภาพที่เห็นในคืนนั้นนางอาจเข้าใจผิดไปเอง นางลังเลและคิดเปลี่ยนใจไม่ไปพบนักพรตผู้นั้น แต่รถม้าก็มาถึงที่หมายแล้ว สาวใช้ประคองผู้เป็นนายลงจากรถม้ารวมทั้งหลิวเข่อซิง สายตาหลายคู่จับจ้องที่หลัวซู่เหมยที่พาหลิวเข่อซิงเข้ามาเลือกผ้าไหม โดยปกติจะมีคนนำผ้ามาให้นางเลือกที่จวน แต่ครั้งนี้ก็เพื่อหาทางให้หลิวเข่อซิงออกมานอกจวนจึงต้องมาถึงร้านด้วยตนเอง
“พบกันครั้งแรก เจ้าก็สวมเสื้อผ้าสีแดงสด เจ้าคงชอบสีแดงเอามากสินะ” หลัวซู่เหมยเห็นสีหน้าตื่นเต้นของหลิวเข่อซิงแล้วก็อดยิ้มขันไม่ได้ ก็นางทั้งลูบทั้งคลำทำตาโตเป็นประกายราวกับเด็กน้อย
“ข้าชอบมากเจ้าค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ “ข้าไม่เคยมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ เอ่อ...ไม่สิ ก็มีเสื้อผ้าดีๆ แต่เป็นเสื้อผ้าที่ศิษย์พี่ยกให้ จนกระทั่งได้พบกับหรงเหยา เขาเห็นข้ามีเสื้อผ้าแค่สองชุดจึงซื้อให้ข้าใหม่ตั้งหลายชุด”
“เสื้อผ้าของเจ้า หรงเหยาเลือกให้รึ” นางถามน้ำเสียงเจือความริษยาอยู่หลายส่วน
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา “ข้าเลือกเอง”
“นั้นสินะ เขาเป็นคนชอบสีอ่อนแบบเรียบง่าย แต่เจ้า...”
หลัวซู่เหมยอดกวาดตามองเข่อซิงไม่ได้ สตรีส่วนใหญ่ล้วนชอบเสื้อผ้าสีสันสดใส รวมทั้งนางด้วย แต่เพราะรู้ว่าหานหรงเหยาชอบแบบเรียบๆ สบายตา เสื้อผ้าของนางจึงมีแต่สีอ่อนและปักลายน้อยนิด เน้นการตัดเย็บประณีตและเนื้อผ้าชั้นดี
เสี่ยวจิ้งหยิบผ้าพับหนึ่งขึ้นแล้วคลี่ออกมาทาบบนตัวของเข่อซิง “ผืนนี้ก็เหมาะกับเจ้า”
“มากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” หลิวเข่อซิงยอมรับว่าตนเองชอบผ้าที่เสี่ยวจิ้งเลือกให้ แต่ผ้าสำหรับตัดชุดเจ้าสาวและที่หลัวซู่เหมยเลือกให้ไว้ตัดเย็บชุดลำลองได้อีกหลายชุด ยังไม่นับรวมเสื้อผ้าที่มีอยู่ก่อนแล้ว นางไม่เคยมีเสื้อผ้ามากมายขนาดนี้มาก่อน
“ถ้าเจ้าชอบก็เอาไปเถิด ถือว่า...ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องไปอยู่เรือนคนรับใช้” หลัวซู่เหมยพูดออกมาแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้ เหตุใดนางต้องขอโทษเข่อซิง นางไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย แม่สามีเองก็ยังเห็นดีกับสิ่งที่นางตัดสินใจทำเช่นนั้น
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา “อย่าขอโทษข้าเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยเป็นผู้ดูแลกฎบ้าน หรงเหยาบอกว่าต่อไปข้าต้องเรียนรู้จากท่านและเชื่อฟังท่านให้มาก”
“หรงเหยา...พูด..เช่นนั้นเหรอ”
หญิงสาวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ”
ในใจของเขา...ไม่มีนางแล้วหรือ? เวลาเพียงสามปีเขาลืมนางได้แล้วจริงๆ หรือ? เขาไม่รู้เลยหรือไรว่านางปวดใจมากเพียงใดที่รู้ว่าข้างกายของเขามีหญิงอื่น หัวใจนางเจ็บราวถูกมีดกรีดที่เห็นเขามอบรอยยิ้มให้หลิวเข่อซิง
หลิวเข่อซิงเห็นหลัวซู่เหมยนิ่งงันไป ก็เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย ในดวงตางดงามของหลัวซู่เหมยเปิดเผยความนัยที่ซุกซ่อนไว้ ทำให้เข่อซิงผงะถอยหลังไปครึ่งก้าว แต่นางเรียกสติกลับมาได้และแย้มยิ้มราวกับไม่รู้ถึงสายตาของอีกฝ่าย ทว่านางกลับยกมือขึ้นกุมหัวใจ
หานหรงเหยาไม่เคยเล่าความหลังของเขากับหญิงในดวงใจ นางรู้ว่าเขามีบางเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ แต่เมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่เคยฝืนค้นสิ่งที่ซ่อนไว้ใน หรือเพราะนางได้กินพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอและยังได้เสพพลังหยางเพิ่มความสมดุลให้ตนเอง นางจึง ‘สัมผัส’ ความลับในใจของผู้คนได้มากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้ต้องการรู้มันเลย “น้ำชากับของว่างมาแล้ว” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้นแล้วรับถาดของว่างมาจากเด็กรับใช้ของร้าน เมื่อวางของบนโต๊ะแล้ว เสี่ยวจิ้งก็หันพูดให้เด็กรับใช้ของร้านออกไป “มีขนมด้วย” เข่อซิงเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “อื้ม ก็ฮูหยินน้อยเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้และที่สำคัญ พวกเราเป็นคนของจวนหานกั๋วกง เถ้าแก่ก็ย่อมให้ความสำคัญมากกว่าลูกค้าทั่วไปอยู่แล้ว” “เป็นเช่นนี้เอง พี่เสี่ยวจิ้งนี่รอบรู้จริงๆ” “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้” เสี่ยวจิ้งรินน้ำชาส่งให้หลัวซู่เหมยและเข่อซิง ฐานะของหลิวเข่อซิงยังไม่ชัดเจน นางไม่อยากก้มหัวให้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ “ดื่มซิ” เสี่ยวจิ้งคะยั้นคะยอให้หลิวเข่อซิงดื่มชา ใบหน้าของหลัว
หานลี่จูนั่งมองห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ว หานหรงเหยาเอ่ยปากบอกคนเป็นพี่อย่างเขาว่า ใกล้จะแต่งงาน อยากบำรุงร่างกายเพื่อว่าที่เจ้าสาวจึงมาขอรับยาจากเขา ทั้งที่ไม่ได้กินยามานาน น้องชายคนรองจะแต่งงาน กำลังจะสร้างครอบครัวของตนเอง น้องชายคนเล็กกำลังจะเข้ากองทัพ ท่านพ่อท่านแม่อายุก็มาก เวลานี้เขาคือคนเดียวที่ดูแลทุกอย่างในจวน บอกตัวเองให้ทำใจปล่อยวาง แต่หลายปีผ่านมาเขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้อย่างแท้จริง จนวันนี้ที่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว นานเพียงใดแล้วที่ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ ยิ่งเห็นหานหรงเหยามีความสุขกับหลิวเข่อซิง ก็ยิ่งรู้ว่าคนที่ปวดใจก็คือเขากับหลัวซู่เหมย เป็นเช่นนี้แล้ว จะต่างอะไรจากการหันคมมีดเข้าหาตนเอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บก็คือเขา เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี หานหรงเหยาเข้ามาอย่างเงียบๆ หานลี่จูที่เหม่อลอยอยู่ไม่รู้ว่าน้องชายเข้ามา จนกระทั่งหานหรงเหยาเอื้อมมือไปหยิบห่อยาเบื้องหน้าขึ้นมา “ดีจริง พี่ใหญ่เตรียมยาให้ข้าแล้วหรือ”
“ข้า...” ราวกับมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ หานลี่จูพูดอะไรไม่ออก หรือบางที อาจไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เพราะยามนี้แค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้หมดสิ้นแล้ว เสียงโวยวายด้านนอก เรียกความสนใจจากหานลี่จูและหานหรงเหยา บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างของหานหลี่เจี๋ยที่ประคองหลัวซู่เหมยเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาอยู่นี่เอง!” หานลี่จูสาวเท้าเข้าไปประคองหลัวซู่เหมยทันที เขาพาร่างสั่นเทามานั่งที่เก้าอี้แล้วตวัดสายตามองเสี่ยวจิ้งที่วิ่งตามมา “เกิดอะไรขึ้นฮูหยินน้อย!” หานลี่จูตวาดเสียงดังทำให้เสี่ยวจิ้งถึงกับเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าเบื้องหน้า “เข่อซิง...” หลัวซู่เหมยรีบพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” หานหรงเหยาหายใจไม่ทั่วท้อง “เข่อซิงถูกจับตัวไป” หลัวซู่เหมยเงยหน้าสบตากับหานหรงเหยา “บังอาจ! ใครกล้าแตะต้องคนสกุลหานของเรา!” หานลี่จูจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวจิ้ง “ทุกครั้งที่ออกไปนอกจวนก็ให้มีผู้ติดตามไปมิใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้” “ข้าเพิ่งกลับจากตลาดม้า พบพี่สะใภ้เกิดเรื่องที
หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงกับซุนเจ้าเฟิง นางจึงหันไปพูดหานหรงเหยาที่ควบม้าขนาบข้าง“ดูแลสหายของเจ้าให้ดี หากได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เจ้าก็รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” ซุนเจ้าเฟิงรู้สึกถ้อยคำของนางแปลกหู ไม่ใช่คำพูดนอบน้อมและยังบังอาจสั่งสหาของเขาอีก หานหรงเหยาสบตากับซุนเจ้าเฟิง เขาไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด และไม่รู้ว่าสหายจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ทั้งสามมาถึงอารามฝั่งตะวันตก มองผิวเผินด้านนอกดูสงบร่มรื่นแต่คนที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนอย่างซุนเจ้าเฟิงย่อมรู้ดีว่า ที่นี่ไม่ใช่อารามธรรมดาอย่างแน่นอน เขาหันไปสบตากับหานหรงเหยาที่กระชับกระบี่ในมือ หลิวชิงเซียงไม่มีเวลาสนใจเรื่องใดอีก นางก้าวเท้าเข้าไปในอาราม ยังไม่ทันยกเท้าข้ามธรณีประตูก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งออกมาทำให้นางผงะถอยหลัง ยันต์กระดาษสีเหลืองมีอักขระสีแดงพุ่งเข้าใส่หญิงสาวราวลูกศร นางเบี่ยงตัวหลบแต่ยันต์แผ่นนั้นปาดแขนเสื้อของนางขาด “บัดซบ! เจ้านักพรตชั่วทำเสื้อข้าขาดเรอะ!” หลิวชิงเซียงกระทืบ เท้าอย่างไม่พอใจ “วันนั้นข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอดตายเลย” หญ
ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายมนุษย์ “ข้า...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร...ท่าน ปะ...ปล่อยข้าไปเถิด” “ปีศาจอย่างพวกเจ้า หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์จะอยู่ได้อย่างไร” เขายังคงใบหน้าแย้มยิ้ม “และหากไม่ได้เสพพลังหยางจากบุรุษจะมีพลังได้อย่างไร” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่...” “เจ้าจะปฏิเสธไปไย ในเมื่อตัวเจ้าก็รู้ดีว่าตนเองมีปราณหยางไหลเวียนในกาย” เขาลดมือลงจากปลายคางของปีศาจสาว “ทำชั่วมามากแล้ว ข้าจะขอหัวใจของเจ้าเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็แล้วกัน” “หัวใจของข้า...” นางยกมือกุมหัวใจตนเอง นางลืมไปได้อย่างไรว่าหัวใจของจิ้งจอกคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปีศาจจิ้งจอกแดงที่กินพลังพลังวิญญาณของมนุษย์ และจะยิ่งดีขึ้นเมื่อปีศาจตนนั้นได้กินพลังหยางบริสุทธิ์ ไม่หรอก นางไม่ได้ลืม แต่ทำเป็นจำไม่ได้ เดิมนางเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แต่ถูก ‘ท่านแม่’ มอบปราณปิศาจให้กลายเป็นปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เพื่อที่นางจะได้สะสมพลังหยาง ทว่านางขลาดกลัวจนเกินไป จึงเป
“ข้าไม่เป็นอะไร พวกท่านรีบไปเสีย” “พูดบ้าอะไร!” หลิวชิงเซียงที่ประมือกับนักพรตซีห่าวอยู่ตะคอกออกมา “เจ้าจะถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปหมด เจ้าจะสลายกลายเป็นธุลี!” “อย่าห่วงไป ก่อนนางจะสลายไป ข้าจะควักหัวใจออกมาเช่นเดียวกับที่จะทำกับเจ้า” “ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าทำไม่เสร็จ วันนี้เจ้าก็คิดว่าจะทำได้เรอะ!” นางสะแขนเสื้อขึ้นรับแส้หางม้าที่ฟาดลงมา ครั้งนี้เสื้อของนางฉีกขาดและเลือดสีสดกระเซ็นออกมา “เจ้าอยู่หอนางโลมแต่ไม่กินพลังหยางของบุรุษหรือไร เรี่ยวแรงจึงมีเพียงแค่นี้” นักพรตซีห่าวหัวเราะ “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน ห้าร้อยปีใช่หรือไม่ ยังคงเชื่อใจว่ามนุษย์จะรักกับปีศาจอย่างเจ้าได้อยู่อีกเหรอ” เพราะถูกสะกิดแผลเก่า หลิวชิงเซียงพุ่งเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ไม่สิ! นางไม่ยอมตายเพราะนักพรตชั่วที่เคยเปิดโปงร่างปีศาจของนางต่อหน้าชายคนรัก มันทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งนาง ทั้งที่นางเคยช่วยชีวิตเขา สิ่งที่นางไม่ยอมรับคือหลิวเข่อซิงเหมือนกับนางในอดีต แต่หลิวเข่อซิงไม่เหมือนนาง เพราะหานหรงเหยามีความจริงใจและมั่นรักอย่างแท้จริง แม้รู้ว่านางเป็น
“ท่านแม่ รีบช่วยเข่อซิงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หญิงงามในชุดสีม่วงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปทางหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิง นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย โซ่ที่รัดรอบลำคอก็หลุดออก แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตามีแววหวั่นวิตก “อุ้มนางลงมา” หานหรงเหยาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของหลิวเข่อซิงลงจากเตียงหยกโลหิตแล้วประคองนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “ท่าน...ท่านแม่...” “เด็กโง่ เหตุใดทำตัวเองเจ็บเช่นนี้” นางพูดด้วยสีหน้าเวทนา “นางจะดีขึ้นใช่ไหม” หานหรงเหยาเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาหน้าซีดลงไปทันที “นางถูกหยกโลหิตดูดพลังชีวิตไปจนพร่องแล้ว เดิมทีนางก็เป็นเพียงจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่ข้าชุบชีวิตให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และพลังชีวิตของนางก็ถ่ายเทไปที่ตัวเจ้าเสียครึ่งหนึ่งแล้ว” “อะไรนะ...เข่อซิง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้” เขาก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่หายใจแผ่วเบา แต่นางยังคงฝืนยิ้มให้เขา “ข้า...ข้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว แต่ท่านเพิ่งใช้ชีวิตได้แค่ยี่สิบปีเอง ข้าจึงแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าให้ท่าน”
เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที “เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่ “ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้” “ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร” “ให้นางนอนหลับเช่นนี้ ห