เพราะนางหลับใหลไม่ได้สติ แม้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล เขาก็ต้องคอยประคองนางอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกเป็นภาระแต่อย่างใด ร่างเล็กเอียงซบต้นแขนของเขา มือใหญ่เกาะกุมมือเล็กไว้มั่น หลิวชิงเซียง คอยประคองยามที่ต้องคารวะให้กันและกัน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ แต่ขึ้นรถม้าที่ตระเตรียมไว้ออกนอกเมืองทันที
“เจ้าติดค้างคืนเข้าหอของข้าอยู่นะ ซิงเอ๋อร์” เขาลูบใบหน้าน้อยที่หลับตาพริ้ม บางครั้งนางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน แต่คงเป็นฝันดี เพราะนางยิ้มตลอดเวลา
ราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุด หลิวชิงเซียงลงจากรถม้าแล้วส่งเสียงบอกหานหรงเหยาว่าถึงที่หมายแล้ว เขาเปิดผ่านประตูรถม้าก้าวลงมาก่อน กวาดตามองกระท่อมหลังเล็กที่มีดอกไม้นานาพรรณรายล้อม ไม่น่าเชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปีศาจอยู่
“ตำหนักของท่านแม่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านกับเข่อซิงพักที่นี่ หมอกสีม่วงที่ปกคลุมบริเวณนี้ไม่ทำอันตรายท่าน แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจถึงแก่ชีวิตได้”
“ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าต้องดูแลเข่อซิงอย่างไร”
“ให้นางนอนหลับเช่นนี้ หากร่างกายนางฟื้นฟูเต็มที่ นางจะตื่นเอง แต่ข้าหรือท่านแม่ก็ตอบไม่ได้ว่าเข่อซิงจะตื่นเมื่อใด” หลิวชิงเซียงเอ่ยตอบแต่อดยิ้มไม่ได้ “แบบนี้ข้าก็เรียกเจ้าว่าน้องเขยได้แล้วสินะ”
หานหรงเหยาหัวเราะน้อยๆ
“ท่านไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ตลอดเวลา หมอกสีม่วงจะคุ้ยภัยให้ปีศาจทุกตนในหุบเขานี้ ท่านอยากกลับเข้าเมืองเมื่อใดก็ได้ แต่เส้นทางที่เข้าหุบเขาเป็นความลับ ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้ผู้อื่นรู้ รวมทั้งแม่ทัพซุน”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณผู้ดูแลหลิวมาก” หานหรงเหยาอึกอักครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ข้ารบกวนถามอีกสักเรื่อง ข้าอยากทำแผ่นที่สำหรับเดินทาง แต่เป็นเส้นทางเลี่ยงการเข้ามาในบริเวณนี้ ข้าจะทำได้หรือไม่”
หลิวชิงเซียงคลี่ยิ้ม “ข้าก็คิดอยู่ว่าเจ้าจะพูดเรื่องนี้เมื่อใด ท่านแม่เคยพูดเรื่องนี้แล้วเช่นกัน เจ้าจะสำรวจเส้นทางทำแผ่นที่ก็ได้ ขอแค่ไม่เปิดเผยที่ตั้งของพวกเราก็พอ บางทีอาจนับเป็นเรื่องดี เพราะพวกเราก็ไม่ต้องเก็บศพมนุษย์ที่หลงเข้ามาในเขตหมอกสีม่วงนี้ด้วย”
“ขอบคุณมาก”
“ข้าไปล่ะ ที่พักของข้าอยู่ที่นั้น” นางชี้ไปทางเดินเล็กๆ ปลายทางมองเห็นยอดตำหนักอยู่ไม่ไกลนัก “ปกติข้าอยู่ในหอชมบุหลัน แต่ระยะนี้ข้าเองก็ต้องพักฟื้นร่างกาย ในช่วงเวลานี้หากมีเรื่องใดก็ขึ้นไปตามได้ แต่ที่นี่ไม่บ่าวรับใช้ อาหารการกินเกรงว่า...”
“ข้าสามารถทำเองได้ ผู้ดูแลหลิวไม่ต้องกังวลไป” เขายังคงยิ้มอย่างไร้กังวล
“เช่นนั้นข้าขอตัว”
หานหรงเหยามองร่างหลิวชิงเซียงเดินจากไป เขาเข้าไปสำรวจในกระท่อมหลังน้อย แม้เป็นเพียงบ้านหลังเล็กๆ แต่ทำความสะอาดไว้แล้ว เขาจึงหมุนตัวเดินมาที่รถม้า อุ้มร่างที่หลับสนิทลงมาและพานางไปสู่เตียงนอน เขาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ใบหน้านางออกแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ถึงบ้านของเจ้าแล้ว ไม่สิ นี่บ้านของเรา เจ้าเป็นเด็กดีรอที่นี่ ข้าจะจัดเก็บสัมภาระก่อน”
ปากพูดว่าจัดการเองได้ แต่นี้นับเป็นครั้งแรกที่ทำเองทุกสิ่งอย่าง หานหรงเหยาหัวเราะให้ตนเอง ทยอยขนสัมภาระที่ขนมาจากเมืองหลวง นอกจากเสื้อผ้าของใช้ก็มีกระดาษ และเครื่องเขียน ตำราหลายเล่มรวมทั้งข้าวสารอาหารแห้งที่หลัวซู่เหมยตระเตรียมให้
ความสัมพันธ์ครั้งนั้นเหลือเพียงเถ้าธุลีของความทรงจำ
จากที่เคยสวมผ้าไหมเนื้อดีกลายเป็นผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ หลิวเข่อซิงไม่ต้องกินอาหาร เพียงแค่ค่อยๆ ป้อนน้ำดื่มให้นางเท่านั้น แต่เขาต้องกินอาหาร เขาเคยเคี่ยวยาให้ตนเองพอจะจัดการเรื่องก่อไฟในเตาได้แต่การหุงข้าวเตรียมอาหารเป็นเรื่องยุ่งยากสักหน่อย กว่าจะได้โจ๊กถ้วยหนึ่งก็เล่นเอาเหนื่อยเต็มแผ่นหลัง วันต่อมาจึงดีขึ้นมาบ้าง ไม่รู้เลยว่างานในครัวก็ต้องใช้ทักษะความชำนาญอยู่ไม่น้อย เขาพูดคุยกับเข่อซิงทั้งที่นางยังคงหลับสนิท กลางคืนก็โอบกอดนางไว้ในวงแขน ได้กอดร่างอ่อนนุ่มยามหลับนอนนับว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่ไม่สามารถร่วมรักกับภรรยาได้ก็เป็นความทุกข์เช่นกัน เขาก้มลงจุมพิตที่กลางหน้าผากของหญิงสาวแล้วพูดแผ่วเบา
“รีบตื่นเถิดภรรยาตัวน้อยของข้า อย่าให้ข้าต้องลักหลับเจ้าเลยนะ”
วันเวลาผ่านมาสิบวัน หานหรงเหยาทำอาหารง่ายๆ คล่องขึ้น ผิวกายของหลิวเข่อซิงฝาดสีเลือดมากขึ้นเช่นกัน และเมื่อเขามั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดย่างกรายเข้ามาทำร้ายทั้งสองได้ เขาก็เริ่มออกสำรวจผืนป่าบริเวณนี้ แม้เขาเป็นมนุษย์ แต่เป็นเขยที่แต่งเข้าสกุลหลิวจึงสามารถเข้านอกออกในทั่วทั้งป่าได้ ทั้งในและนอกเขตหมอกสีม่วง แต่ละวันเขาออกสำรวจเส้นทำ ทำเครื่องหมาย และเมื่อพบกับดักสัตว์ก็จัดการทำลายมันเสีย ในวันต่อมา เขาก็ทำเช่นเดิม แต่เมื่อกลับถึงบ้าน เขาพบว่ามีผลไม้ป่าวางไว้หน้ากระท่อม เขากวาดตามองแต่ไม่เห็นผู้ใด เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากดูแลเข่อซิงแล้วเขาก็ออกสำรวจป่าเพื่อทำแผนที่ เมื่อเจอกับดักสัตว์ก็กำจัดทิ้ง เขาทำเช่นนี้เป็นประจำ และนั้นทำให้หน้ากระท่อมมีทั้งผักป่าและผลไม้ ซ้ำน้ำในตุ่มก็เต็มเปี่ยมทั้งที่ฝนไม่ได้ตก หานหรงเหยากวาดตามอง พบดวงตาคู่เล็กๆ หลายคู่ จากสัตว์ตัวน้อยที่อาศัยในป่าแอบมองเขาเช่นกัน เขาได้แต่กล่าวขอบคุณและนำเรื่องนี้ไปเล่าให้หลิวเข่อซิงที่ยังหลับอยู่
ผ่านมาหนึ่งเดือน เข่อซิงก็ยังหลับเช่นเดิมแต่สภาพร่างกายดีขึ้น หลิวชิงเซิยงนำข้าวสาร แป้ง เกลือ ของใช้มาส่งที่กระท่อมและดูอาการหลิวเข่อซิง หานหรงเหยาที่ทำแผนที่ในหุบเขาได้ครึ่งทางแล้ว ถึงจะรู้ว่าที่นี่มีปีศาจหลายตนแต่เขาไม่เคยพบใครอื่นอีกนอกจากหลิวชิงเซียง
“แม่ทัพซุนฝากข้ามาถามเจ้าว่า เมื่อไหร่จะไปเยี่ยมเขาบ้าง” นางถามแต่สายตามองที่เข่อซิง ช่างเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงที่โชคดีที่ได้พบบุรุษที่รักใคร่อย่างจริงใจ ดวงตาหลังเปลือกตาที่ปิดสนิทกลอกไปมา ราวกับรับรู้ทุกสิ่งแต่ยังไม่พร้อมจะตื่นฟื้น
“เขากลับมาประจำชายแดนแล้วหรือ?” ก่อนออกจากเมืองหลวง ซุนเจ้าเฟิงมาส่งเขาที่ประตูเมือง แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่เขารู้สหายรักเข้าใจหนทางที่เขาเลือก
“ใช่” หลิวชิงเซียงหัวเราะเสียงใสแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของเข่อซิง “ตื่นได้แล้ว สามีรอเจ้าอยู่”
ชายหนุ่มได้ยินชัด เขาหัวเราะกลบเกลื่อนความเขินอาย หลิวชิงเซียงกลับไปแล้ว เขาใช้ชีวิตเรียบง่าย นำกล้วยไม้ป่ามาปลูกที่บ้าน หวังให้กลิ่นหอมนี้ช่วยให้เข่อซิงอารมณ์ดี เขายังคงเดินทางสำรวจภูเขาเพื่อทำแผ่นที่ เงาร่างของเขาเป็นที่เล่าขานของคนที่มาหาของป่าว่าเป็นภูตผีปีศาจ วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ผ่านไปสองเดือน เขาก็ทำแผนที่เสร็จ
แม้รู้ว่าเข่อซิงยังหลับอยู่ แต่เขาก็เกรงนางจะเบื่อ เช้านี้หลังเช็ดหน้าแปรงผมให้นางแล้ว เขาก็อุ้มนางมานั่งเล่นที่เก้าอี้หน้าบ้าน หมอกสีม่วงจางยังรายล้อมกระท่อมที่พักอาศัย ทว่าแสงแดดยามเช้าสาดส่องมากระทบเปลือกตาของหญิงสาว เขายกมือขึ้นบังแดดอุ่นให้นางพลางคิดว่า ตนเองมีหมวกอยู่ หยิบมาให้นางสวมจะดีกว่า แต่เพียงเขาลดมือลง มือเรียวเล็กก็ยกขึ้นจับมือของเขาไว้
“ท่านจะไปไหน”
น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยถาม ดวงตางดงามจ้องมองเขาพร้อมรอยยิ้ม นางเป็นเช่นนี้เสมอ ทุกครั้งที่เขามองมาทางนาง นางจะยิ้มให้ทุกครั้ง
“เข่อซิง...เจ้าตื่นแล้ว”
“อื้ม...” นางครางตอบรับแล้วยืดแขนขึ้นคล้องคอของเขา “ข้าทำให้ท่านลำบากแล้ว”
“ไม่...ข้าไม่ลำบาก” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือแล้วโอบกอดนางไว้ กลัวว่านี่จะเป็นเพียงฝันไป
“ข้ารักท่าน”
นี่คือสิ่งแรกที่นางอยากทำมากที่สุด ประโยคเดียวที่นางอยากพูดให้เขาได้ยิน
“ข้าก็รักเจ้า”
“ข้ารักท่านมากกว่า”
“อื้ม ข้าสิรักเจ้ามากกว่า”
“ไม่นะ! เป็นข้าที่รักท่านมากกว่า!”
นางยันกายออกจากอกอุ่น เห็นแววตาของเขาเปื้อนน้ำตา หลิวเข่อซิงยื่นริมฝีปากจูบซับน้ำตาของเขา
“ได้..ข้ายอมให้ท่านรักข้ามากกว่าก็ได้”
หานหรงเหยาหัวเราะออกมา แล้วกอดร่างอบอุ่นแน่นขึ้น หลิวเข่อซิงสูดกลิ่นอายของคนรัก เขามีกลิ่นอายอบอุ่นเหมือนแสงแดดยามเช้า ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางโอบเอวเขาเพราะเข้าใจผิดว่าเขาจะกระโดดสะพานฆ่าตัวตาย เขาก็มีกลิ่นอายเช่นนี้
มีเรื่องมากมายอยากเอื้อยเอ่ย แต่นางและเขายังมีเวลา นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นการใช้ชีวิตของคนทั้งสอง
ไม่สิ หนึ่งคนกับปีศาจหนึ่งตนต่างหาก.
ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าผ่านอะไรมามาก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้ เพื่อได้อยู่ดูแลคนรัก หานหรงเหยายอมแต่งเข้าสกุลหลิว ตระกูลวานิชที่มั่งคั่งในเมืองหลวง พิธีแต่งงานจัดใหญ่โตสมฐานะ แต่น้อยคนที่จะสังเกตว่าเจ้าสาวไม่ได้สติ ถูกประคองตลอดเวลา เขาพูดอะไรไม่ออก อยากถามย้ำการตัดสินใจครั้งนี้ แต่แววตาของหานหรงเหยาชัดเจนแล้วว่า ต้องการอยู่เคียงข้างหลิวเข่อซิง เขาทำได้เพียงแค่มองสหายรักเข้าพิธีแต่งงาน จนทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวง เดิมทีเขาควรได้เดินทางกลับชายแดนก่อน แต่กลายเป็นว่าหานหรงเหยาออกเดินทางก่อนเขา และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องนั่งฟังเสด็จพ่อเสด็จแม่ พยายามกล่อมให้เขาเลือกชายาเสียที “จะว่าไปลูกก็มีความดีความชอบไม่น้อย เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชายาของตนเองได้เล่า” ชายหนุ่มบ่นพึมพำแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม “จะบ่ายเบี่ยงไปไย อย่างไรก็ต้องแต่งงาน” “ลูกแค่อยากเลือกคนที่จะมาเป็นชายาด้วยตนเอง” เขาเงยหน้าสบตากับบิดามารดาซึ่งเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา “เสด็จพ่อเสด็จแม่จะกังวลเรื่องลูกไปทำไมกัน ในเมื่อพี่น้องคนอื่นล้วนแต
ว่ากันว่า...เหล่าปีศาจจะกิน ‘พลังชีวิต’ จากมนุษย์เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าได้เสพ ‘พลังหยาง’ จากบุรุษจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้ตน แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอายุไขสั้นลงหรือตายได้ ในขณะเดียวกัน ‘หัวใจ’ของปีศาจจิ้งจอกแดงเป็นตัวยาหายากชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรคปีศาจจิ้งจอกแดงจึงเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าเช่นกันแนะนำตัวละครหลิวเข่อซิง-เข่อซิง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายหนึ่งร้อยสิบหกปีหานหรงเหยา : ที่ปรึกษา(กุนซือ)ของกองทัพ มาทำงานร่วมกับซุนเจ้าเฟิง แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ชายแดนหลิวชิงเซียง -ชิงเซียง : ปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี เป็นศิษย์พี่ของหลิวเข่อซิงซุนเจ้าเฟิง : องค์ชายสามและเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดน เป็นสหายรักของหานหรงเหยา พิธีแต่งงานจัดอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานมงคลของตระกูลหานและเจ้าสาวแสนงามดุจบุปผาสวรรค์ เสียงดนตรี คำอวยพร ของขวัญ วิจิตรตระการตาราวกับงานรื่นเริงของเหล่าปวงเทพ งานมงคลยิ่งใหญ่นี้คงกลายเป็นที่กล่าวถึงไปอีกนานแสนนาน ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวในชุดสีแดงสวยงดงาม ขณะที่เจ้า
พ่อบ้านจูส่ายหน้าไปมา เขาอับอายกับหลานสาวห่างๆ คนนี้นัก แต่จะทำอย่างไรได้ ภรรยาของเขาบังคับขู่เข็ญให้รับนางมาทำงานในจวน หากวันหน้าได้ดี ทั้งสองก็พลอยได้ดีไปด้วย แต่นางมาอยู่ที่นี่ครึ่งปีแล้ว ทั้งพยายามปีนป่ายขึ้นเตียงองค์ชายสามนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ถูกองค์ชายสามขับไล่ก็นับว่าบุญแล้ว“พ่อบ้านจู ให้คนเตรียมสุราอาหารไว้ที่ห้องตำรา ข้ากับที่ปรึกษาหานจะไปที่นั้น”“ขอรับท่านแม่ทัพซุน” เนื่องจากซุนเจ้าเฟิงไม่ชอบให้ใครเรียกเขาว่าองค์ชาย แต่ยินดีให้เรียก ‘ท่านแม่ทัพซุน’ ซุนเจ้าเฟิงประจำการที่ชายแดนมาสามปี ทุกคนจึงคุ้นชินกับคำเรียกขานนี้“ตัวข้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ข้าจะไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยกินข้าวดื่มสุราและคุยงานกันต่อที่ห้องตำรา” ซุนเจ้าเฟิงตบบ่าหานหรงเหยา“ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับแล้วเดินไปที่เรือนของตนซุนเจ้าเฟิงมองแผ่นหลังของสหายรักเผลอถอนหายใจอีกครั้ง คุณชายรองแห่งตระกูลหานแม้ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมดุจไข่ในหิน แต่ในวัยเด็ก ทั้งสองเป็นเด็กจึงซุกซนและเข้ากันได้เป็นอย่างดีจึงกลายเป็นสหายรักกัน แต่เดิมหานหรงเหยามิใช่คนเย็นชาเช่นนี้ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่
นางพยายามแล้วจริงๆ แอบดูบรรดาศิษย์จัดการกับมนุษย์ที่จับมาเป็นอาหาร แต่เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้นางหวาดกลัวจนต้องปิดตาทุกครั้งไป ก็มันน่ากลัวจริงๆนี่ ให้มนุษย์ผู้ชายมานอนทับบนร่างแบบนั้น ไหนจะเสียงครวญครางเจ็บปวดนั้นอีก แค่คิดนางก็ยกมือปิดหูแล้ว “แต่ข้าก็พยายามแล้วนะ” นางยังอดเถียงไม่ได้ แม้น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงยุง “พยายามแล้ว? เจ้าช่างกล้าพูดคำนี้” หญิงสาวหน้าหงายเพราะถูกนิ้วเรียวจิ้มหน้าผากอย่างแรง นางเสียหลักถอยหลังแล้วล้มลงก้นกระแทกพื้น ดวงหน้าเล็กทำหน้าเศร้าพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าสบตากับศิษย์พี่ที่ยืนจ้องมองนางเหมือนนางเป็นยิ่งกว่าหนูสกปรกเสียอีก “ขืนเจ้าทำตัวเช่นนี้ต้องอดตายแน่” “ไม่หรอก ถ้าพวกศิษย์แบ่งเศษพลังชีวิตของมนุษย์ให้ข้ากินบ้าง” นางฉีกยิ้มกว้าง “อีกอย่าง...ข้ากินไม่จุหรอก” “ไม่ได้!!” เหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย ซ้ำยังถลึงตาใส่อย่างไร้เมตตา ถูกตวาดเสียงดังหลิวเข่อซิงได้แต่หดคอเหมือนเต่า แต่นางไม่มีกระดองให้หลบ“แล้ว...แล้วข้าต้องทำอย
หานหรงเหยานั่งลงข้างเตียง เฝ้ามองจิ้งจอกแดงแสนสวยหลับอย่างสบายบนเตียงนอนของเขา คนทั่วไปอาจหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก แต่เขาผู้ได้ยินและได้เห็นเรื่องราวมากมายในใต้หล้ากลับเห็นเป็นธรรมดาสามัญหญิงสาวแปลกหน้าหมดสติในอ้อมแขนของเขา ด้วยเกรงว่าจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงใช้เสื้อคลุมของตนคลุมร่างของนางแล้วอุ้มขึ้นหลังม้า ทว่าระหว่างที่เดินทางกลับมาที่จวนแม่ทัพซุน ร่างที่เขาโอบเอวไว้กันนางหล่นกลับค่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ เสื้อคลุมยวบลงไปตามขนาดของเจ้าของร่างก่อนจะประตูจวน เขาก้มมองด้วยแววตาประหลาดใจ แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของผู้อื่นจึงอุ้มร่างน้อยเข้ามาในห้องตัวเองและปล่อยให้นาง เอ่อ... จิ้งจอกแดงตัวน้อยหลับใหลบนเตียงของเขาถูกแล้ว หญิงสาวผู้นั้นกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงหรือจิ้งจอกแดงกลายร่างเป็นหญิงสาวกันล่ะเขายื่นปลายนิ้วเขี่ยปลายจมูกของจิ้งจอกน้อย เขาเองก็ไม่คิดว่าคืนนี้จะต้องแบ่งปันเตียงนอนให้ผู้อื่นจึงไม่ได้เตรียมที่นอนสำรองไว้ หรือคืนนี้เขาต้องนอนกับเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้แล้ว เพราะสัมผัสอ่อนโยนทำให้หลิวเข่อซิงรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง จนเมื่อดวงตาปรับกับสิ่งรอบตัว จึงเห็นว่ามีดวงต
“ข้าควรกลัวเจ้าหรือ?” เขาหัวเราะในลำคอหันหลังให้นาง แต่กระนั้นประสาทหูรับรู้ว่านางกำลังสวมใส่อาภรณ์อยู่“ข้าไม่น่ากลัวเลยหรือ?” นางถามกลับใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะความหิว นางสาวเท้าเร็วๆ เดินมาที่โต๊ะกลม มีอาหารหลายจานส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนน้ำลายสอ“ก็น่ากลัวอยู่” เขายิ้มขบขัน “นั่งเถิด”“อื้ม” นางรีบนั่งลงและรับตะเกียบจากเขา ไม่รอให้เจ้าของบ้านเชื้อเชิญนางรีบกินข้าวอย่างหิวโหย แม้จะได้พลังชีวิตมาเติมเต็มแต่ร่างกายนางยังต้องการอาหารบำรุงตัวเองเหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นกัน“ค่อยๆ กินไม่ต้องรีบ” เขาเตือนนางแล้วหยิบตะเกียบคอยคีบอาหารใส่ชามข้าวให้นาง นางผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณและยังมีการบุ้ยปากบอกใบ้ให้เขาคีบเนื้อปลาให้นางอีก ชายหนุ่มทำให้อย่างไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังรับใช้นาง“อิ่มหรือไม่ อยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม” เขาถามหลิวเข่อซิงกินอิ่มท้องและยังได้พลังชีวิตจากเขาจึงมีสติคิดวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้น นางกวาดตามองชายหนุ่มแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย“มีอะไรรึ”“เจ้าเป็นใครกัน”“ข้าแซ่หานชื่อหรงเหยา” เขายิ้มแล้วส่งน้ำให้นางดื่ม รอจนนางดื่มน้ำหมดจอกแล้วจึงยื่นผ้าเปียกให้ แต่นางทำหน้างุนงง เขาจึงจั
เรื่องพวกนี้หากเขาไม่ตอบสนอง ในสักวันคงเลิกราไปเอง “อื้ม” นางพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ถึงปลายนิ้วของเขาที่รวบผมนางแล้วปักปิ่นให้ “ยามข้ากินเศษพลังชีวิตที่ศิษย์หลงเหลือไว้ให้ ก็ได้เสพรสชาติเหล่านี้ด้วย ไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ก็ต้องกินไม่เช่นนั้นข้าก็จะทรมานมาก” “อย่างนั้นหรือ” “ข้าเป็นปีศาจอย่างไรเสียก็ต้องกลืนกินความรู้สึกเหล่านี้อยู่แล้ว” นางเบ้ปากแต่เมื่อหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขาแล้ว แล้วก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่เจ้ามีวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรถ้าเจ้าตายแล้วยกให้ข้านะ” “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” “เพราะข้าไม่กล้าฆ่ามนุษย์ ซ้ำยังยั่วยวนมนุษย์ไม่เป็นอีก หากรอกินเพียงเศษพลังชีวิตที่ศิษย์พี่เหลือให้เกรงว่าต้องกลายเป็นปีศาจพิกลพิการไม่สมบูรณ์ ท่านแม่จึงให้ข้ามาหาศิษย์พี่ที่หอชมบุหลัน ให้สั่งสอนการเสพพลังชีวิตมนุษย์และพลังหยางด้วย” “หอชมบุหลัน เจ้าหมายถึงหอนางโลม...” ยังพูดไม่จบประโยคดีนางก็พยักหน้ารับ มิน่าเล่าถึงได้พบกันที่สะพานข้ามคลอง เพราะนางกำลังจะไปที่หอชมบุหลัน “แล้วเจ้าล่ะ ทำไมอยากฆ่าตัวตาย หรือเพราะหัวใจอ่อ
หญิงงามอันดับหนึ่งอันดับหนึ่งแห่งหอชมบุหลันนามหลิวชิงเซียงกำลังยืนข่มโทสะอยู่หน้าประตูทางเข้าหอนางโลม แม้หลิวชิงเซียงครอบครองความงามเกินคำบรรยาย แต่เวลานี้ทุกคนย่อมรู้ว่านางเปี่ยมไปด้วยไฟโทสะ จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ มือเรียวกอดอกนิ่งงันแต่ปลายนิ้วเคาะที่แขนของตนด้วยความหงุดหงิด ‘ข้าส่งเข่อซิงไปให้เจ้าอบรมสั่งสอน ในฐานะศิษย์พี่เจ้าก็เมตตาเอ็นดูนางสักนิดเถิด’ ‘ทำไมท่านแม่ให้ข้าดูแลจิ้งจอกปัญญาอ่อนนั่น!’ ‘ชิงเซียง...เจ้าเองก็เคยถูกผู้อื่นตราหน้าเป็นปีศาจชั้นต่ำมาก่อน เจ้าควรเข้าใจนาง’ ‘ท่านแม่...’ ‘วาจาเรียกข้าท่านแม่ ยังมีความเชื่อฟังหรือไม่’ ‘ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว’ นั้นเป็นเรื่องที่นางสนทนากับ ‘ท่านแม่’ ผ่านทูตอีกาสื่อสารที่ท่านแม่ส่งมา ความจริงเข่อซิงไม่ใช่ปีศาจตนแรกที่ท่านแม่ส่งมา ในหอชมบุหลันนี้เป็นที่อาศัยของเหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิว แม้มิใช่พี่น้องแต่ก็นับเป็นพี่น้อง ในหุบเขาจื่อเซ่อจะเรียกกันตามอายุหรือพลังปีศาจของแต่ละตน ส่วนนางนั้นทุกตนเรียกศิษย์พี่ใหญ่ ได้รับมอบหมายใ