หญิงงามอันดับหนึ่งอันดับหนึ่งแห่งหอชมบุหลันนามหลิวชิงเซียงกำลังยืนข่มโทสะอยู่หน้าประตูทางเข้าหอนางโลม
แม้หลิวชิงเซียงครอบครองความงามเกินคำบรรยาย แต่เวลานี้ทุกคนย่อมรู้ว่านางเปี่ยมไปด้วยไฟโทสะ จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ มือเรียวกอดอกนิ่งงันแต่ปลายนิ้วเคาะที่แขนของตนด้วยความหงุดหงิด
‘ข้าส่งเข่อซิงไปให้เจ้าอบรมสั่งสอน ในฐานะศิษย์พี่เจ้าก็เมตตาเอ็นดูนางสักนิดเถิด’
‘ทำไมท่านแม่ให้ข้าดูแลจิ้งจอกปัญญาอ่อนนั่น!’
‘ชิงเซียง...เจ้าเองก็เคยถูกผู้อื่นตราหน้าเป็นปีศาจชั้นต่ำมาก่อน เจ้าควรเข้าใจนาง’
‘ท่านแม่...’
‘วาจาเรียกข้าท่านแม่ ยังมีความเชื่อฟังหรือไม่’
‘ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว’
นั้นเป็นเรื่องที่นางสนทนากับ ‘ท่านแม่’ ผ่านทูตอีกาสื่อสารที่ท่านแม่ส่งมา ความจริงเข่อซิงไม่ใช่ปีศาจตนแรกที่ท่านแม่ส่งมา ในหอชมบุหลันนี้เป็นที่อาศัยของเหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิว แม้มิใช่พี่น้องแต่ก็นับเป็นพี่น้อง ในหุบเขาจื่อเซ่อจะเรียกกันตามอายุหรือพลังปีศาจของแต่ละตน ส่วนนางนั้นทุกตนเรียกศิษย์พี่ใหญ่ ได้รับมอบหมายให้ดูแลหอชมบุหลันแห่งนี้ ไม่มีปีศาจตนใดกล้ายั่วโทสะนาง แต่ก็มีปีศาจใจกล้าตนแรกที่ทำให้เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ ก็คือ...
เงาร่างเล็กวิ่งกระหืดกระหอบมาตรงมาทางหอชมบุหลัน ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อกำลังพุ่งตรงมาทางหญิงสาว ทันทีที่เจ้าของร่างเล็กเห็นว่ามีคนยืนคอยอยู่ ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกไปมา มืออีกข้างยังกอดห่อผ้าแนบอก
“ศิษย์...”
“หุบปาก!”
หลิวเข่อซิงลดมือลงมาปิดปากตัวเองแล้วหยุดยืนตรงประตู นางใช้ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองป้าย ‘หอชมบุหลัน’ พลันนางเห็นตัวอักษรขยับเคลื่อนไหวเป็นรูปจิ้งจอกสีแดงสะบัดหาง นางกะพริบปริบๆ เพียงครู่เดียวตัวอักษรเหล่านั้นก็เป็นปกติ หรือพลังชีวิตนางเหลือน้อยเกินไปจึงเห็นสิ่งแปลกประหลาด
“จากหุบเขาจื่อเซ่อมาถึงที่นี่ใช้เวลาเดินทางแค่ครึ่งวัน แต่เจ้าใช้เวลาสองวัน!”
“อ้อ...เรื่องนั้น ข้า...”
“ข้ายังไม่อนุญาตให้พูดก็หุบปากเสีย!”
หลิวเข่อซิงยกมือปิดปากพยักหน้าหงึกหงัก ทำตามอย่างเชื่อฟัง ‘ท่านแม่’ ย้ำหนักหนาให้นางเชื่อฟังศิษย์พี่ใหญ่ อย่าดื้อดึงและเรียนรู้ให้มาก เพื่อเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิวอย่างเต็มภาคภูมิ ให้สมกับที่ท่านแม่เก็บนางมาชุบเลี้ยง
“เจ้าทำให้ข้าเสียโอกาสได้พบแม่ทัพซุน” หลิวชิงเซียงพยายามข่มโทสะของตน ความโกรธจะทำให้ผิวพรรณหม่นหมอง ใบหน้ามีริ้วรอย แม้นางเป็นปีศาจสามารถจำแลงกายให้งดงามหมดจดอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องเหล่านั้นกินพลังไปมาก เพื่อก้าวถึงจุดสูงสุดแห่งปีศาจ นางต้องกักเก็บพลังไว้ใช้ยามจำเป็น
“เอาล่ะ มาแล้วก็เข้าไปด้านในเถอะ” หลิวชิงเซียงที่ปรับอารมณ์ให้สงบละลายไฟโทสะในกายแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวาน หมุนตัวด้วยท่วงทีงดงามราวร่ายรำเดินนำเข้าไปด้านใน
หลิวเข่อซิงลดมือลงแต่กอดห่อผ้าแน่นขึ้น นางเดินตามร่างอรชรของศิษย์พี่ แต่ก็อดเหลียวมองรอบกายไม่ได้ นางรู้ว่าหอชมบุหลันคือหอนางโลมแต่การตบแต่งของที่นี้สวยงามตระการตา แต่ละเรือนจัดเป็นสัดส่วน ในที่นี่มีทั้งที่เป็นมนุษย์และปีศาจปะปนกันไป แน่นอนว่านางย่อมเข้าใจว่าเผื่อมิให้นักล่าปีศาจได้กลิ่นไอปีศาจเช่นนาง ถึงแม้นางมีไอปีศาจอยู่น้อยนิดก็เถอะ
“มาอยู่ที่นี้ต้องเชื่อฟังข้า” ชิงเซียงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ เพียงยื่นมือออกไปก็มีบ่าวรับใช้รินน้ำชาส่งให้ถึงมือนาง
หลิวเข่อซิงพยักหน้าหงึกหงัก จ้องมองท่วงท่าของศิษย์พี่ใหญ่ด้วยสายตาชื่นชม สมแล้วที่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของหอชมบุหลันและเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่มีพลังปีศาจเปี่ยมล้น จนนางอดแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเองไม่ได้ หากได้เศษพลังสักเล็กน้อยแค่ปลายนิ้วก้อย นางคงมีเรี่ยวแรงมากกว่านี้และไม่กลายร่างกลับเป็นจิ้งจอกแดงอย่างแน่นอน
“ข้าพูดกับเจ้า เจ้าก็ขานรับสักคำไม่ได้หรือไร!”
“ก็ศิษย์พี่ใหญ่ให้ข้าหุบปาก”
หลิวเข่อซิงพูดเสียงเบา ดวงตาใสซื่อแสดงชัดว่านางไม่ได้ประชดประชัน ทำให้หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจลึก ข่มไฟโทสะที่พร้อมจะพวยพุ่งออกมาจากสองตาของนาง
“เจ้าพูดได้” นางยกมือขึ้นกุมขมับ ท่านแม่บอกว่าเข่อซิงเหมือนกับนางในวันวาน นางอยากกางเล็บตะกุยโต๊ะไม้นี้เสียจริง เหมือนนางตรงไหนกัน! ต่อให้ห้าร้อยปีก่อนนางก็ไม่เคยทำตัวปัญญาทึบขนาดนี้! “แล้วห้ามเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่อีก ให้เรียกข้าผู้ดูแลหลิว!”
ใครบังอาจเรียกนางว่าแม่เล้า นางจะตบปากตามอายุเลยทีเดียว!
“ผู้ดูแลหลิว” หลิวเข่อซิงเรียกตามอย่างว่าง่าย
“ท่านแม่บอกว่าเจ้ายังไม่เคยฆ่ามนุษย์ ล่อลวงมนุษย์ก็ไม่สำเร็จ ที่ผ่านมาได้แต่กินเศษพลังชีวิตที่ศิษย์พี่น้องแบ่งปันให้แลกกับที่เจ้าทำงานรับใช้พวกเขา ถูกต้องหรือไม่”
“ถูกต้อง!” นางตอบรับและยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก
“น่าอนาถถึงเพียงนี้เจ้ายังกล้ายิ้มรับอีก!” หลิวชิงเซียงขึงตาใส่อย่างดุดัน “อยู่ที่นี่หากเจ้ายังไม่รับแขกเพื่อเสพพลังวิญญาณก็ต้องมีฐานะเป็นเพียงบ่าวรับใช้”
“จริงรึ! ศิษย์..เอ่อ ผู้ดูแลหลิวพูดจริงรึ?”
“เจ้าอยากเป็นบ่าวรับใช้ขนาดนั้นเลยเรอะ” นางก็ไม่เคยเห็นปีศาจตนใดอยากเป็นบ่าวรับใช้มาก่อน แน่นอนว่าทุกตนอยากสะสมพลังเพื่อก้าวสู่ความเป็นจอมปีศาจ หรืออย่างน้อยก็ไม่ถูกปีศาจตนอื่นดูแคลนและขยี้ด้วยปลายเท้า
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้น” เข่อซิงส่ายหน้าไปเร็วๆ “ยามอยู่ที่หุบเขาจื่อ เซ่อ บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องให้ข้าศึกษาจากหนังสือภาพวังวสันต์มาก่อน และเคยแอบดูพวกเขาเสพพลังหยางมาบ้าง...ข้าเพียรพยายามแล้วจริงๆนะ แต่ยังทำไม่สำเร็จเท่านั้นเอง”
“พยายามแล้ว! เจ้าก็กล้าพูดออกมาได้! หากพยายามแล้วท่านแม่จะส่งเจ้ามาอยู่กับข้าอย่างนี้เรอะ!”
หลิวชิงเซียนเผลอตวาดออกมา บรรดาบ่าวรับใช้ที่อยู่ใกล้ถึงกับตัวสั่นลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น แต่หลิวเข่อซิงยังยืนกอดห่อผ้าทำตาปริบๆ อย่างงุนงงว่าพูดอะไรผิดไป เหตุใดศิษย์พี่ใหญ่ เอ่อไม่ใช่สิ ผู้ดูแลหลิวต้องพูดจาเสียงดังใส่นางด้วยนะ
“ไม่ได้ ท่านแม่ให้ข้าฝึกฝนเจ้า เจ้าก็ต้องออกรับแขกด้วยตนเอง”“แต่มันน่ากลัวนี่น่า ไหนจะเสียงร้องสยอดสยองนั้นอีก ข้า...ข้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้”“เสียงร้องสยอดสยองอันใด นั้นเรียกเสียงครวญกระเส่าต่างหาก!” หลิวชิงเซียงถลึงตาใส่อีกครั้ง สวรรค์! นางทำผิดอันใดถึงต้องมาสั่งสอนเข่อซิง พลังชีวิตที่สะสมมาต้องสิ้นเปลืองไปเพราะเจ้าตัวโง่งมตนนี้แล้ว นางสูดลมหายใจอีกเฮือกใหญ่แล้วกัดฟันคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา“เอาเป็นว่า เจ้าทำตามที่ข้าสอน ต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าที่เคยทำมา ไม่เช่นนั้นจะเสียชื่อเสียงข้าหมด เจ้าเข้าใจหรือไม่”“อื้ม! ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามสุดความสามารถ จะต้องเก่งกาจให้เหมือนผู้ดูแลหลิวให้ได้!”“ได้แค่ปลายเล็บของข้าก่อนค่อยคุยโม้โอ้อวดตน” หลิวชิงเซียงส่ายหน้าระอาใจ “เจ้าเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำ พลังก็น้อยนิด หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จะกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดง อยู่ที่นี่แม้พวกเราเป็นปีศาจแต่ด้านนอกก็มีนักล่าปีศาจและนักพรตปราบมารอยู่มากมายที่จ้องสังหารพวกเรา เจ้าต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้กลิ่นไอปีศาจจากตัวเจ้า”หลิวชิงเซียงกล่าวเป็นการเป็นงานไม่ได้ตวาดอีก ทำให้หลิวเข่อซิงฟังด้ว
ซุนเจ้าเฟิงเป่าลมออกทางปากทำหน้าบูดบึงแล้วเอ่ยขึ้น “เพราะเหตุนี้เจ้าจึงเป็นห่วงนางใช่หรือไม่” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ย “เจ้าคงนึกหัวเราะเยาะข้าอยู่ในใจสินะ พบกันเพียงครู่เดียวกลับเป็นกังวลเช่นนี้” “ไม่ๆ เหตุใดข้าต้องหัวเราะเจ้าด้วย” ซุนเจ้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พบกันล้วนเกิดจากวาสนา เจ้าเป็นห่วงนางก็เป็นเรื่องดี เอาอย่างนี้ ลองแวะไปเยี่ยมนางดูสักครา หากนางต้องการให้ช่วยเหลือก็ทำตามสมควรเถิด” “ถ้าเช่นนั้น...” “ไป ไปกัน” “ไปไหน?” “ไปหอชมบุหลันอย่างไรเล่า” “ไปกลางวันแสกๆ อย่างนี้รึ” “วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้วนี่” เขาเองก็กลับมาที่จวนเพราะสั่งงานที่ค่ายทหารเรียบร้อยดีแล้ว “ยาเจ้าก็กินแล้วไปกันตอนนี้เลย” หานหรงเหยากระดากใจเล็กน้อย มิใช่ว่าไม่เคยย่างเท้าเข้าหอนางโลม แต่ทุกครั้งที่ไปก็พาเหล่าทหารไปผ่อนหลังทำภารกิจสำคัญลุล่วง แต่ครั้งนี้.... ซุนเจ้าเฟิงไม่รอให้หานหรงเหยาคิดนาน คว้าข้อมือของสหายได้ก็แทบลากตัวปลิวมุ่งหน้าไปหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองทันที ปลายนิ
“เข่อซิง” หญิงสาวได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นางลุกขึ้นจากเตียงแต่ไร้เรี่ยวแรงและนึกได้ว่าหูกับหางจิ้งจอกแดงโผล่ออกมาแล้ว นางอยากขยับตัวหาที่ซ่อนแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงยกมือขึ้นปิดหูของตน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” หลิวชิงเซียงและหานหรงเหยาเอ่ยออกมาแทบพร้อมกัน หลิวชิงเซียงปรายตามองทางชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ดูท่าทางเขาห่วงใยเจ้าตัวโง่งมนั้นจริงจัง เอ๊ะ? เขารู้หรือไม่ว่านางเป็น.... หานหรงเหยาไม่ได้สนใจใครอื่น ในสายตาของเขามีเพียงเจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่นั่งบนเตียงและยกมือขึ้นปิดหู เขาสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วไม่สนใจท่าทีตื่นตะลึงของซุนเจ้าเฟิง รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกคลี่คลุมศีรษะของนาง แล้วโน้มหน้าลงประกบริมฝีปากกับหญิงสาวที่เบิกตากว้าง ลมหายใจอุ่นร้อนไหลเวียนเข้ามาในกายพร้อมกับพลังชีวิตทำให้หลิวเข่อซิงที่แทบหมดแรงสูดลมหายใจของเขาไปเฮือกใหญ่ นางหิวโหยและละโมบจนต้องยกมือขึ้นประกบใบหน้าของเขาไว้ไม่ยอมให้ถอยหนี ก็นางหิวนี่...หิวมากๆ ซุนเจ้าเฟิงอ้าปากค้าง เขาไม่เคยเห็นสหายจู่โจมสตรีเช่นนี้มาก่อน อย่าว
“สาวใช้?” หลิวเข่อซิงทวนคำแล้วก็เห็นว่าตำแหน่งนี้นางน่าจะทำได้ดี จากที่นาง ‘พยายาม’ เรียรรู้จากพี่เลี้ยงที่หลิวชิงเซียงส่งมาอบรมสั่งสอนแล้ว นางมั่นใจว่าตนเองเหมาะที่จะรับใช้ผู้อื่นเพื่อแลกกับการกินเศษพลังชีวิตเล็กๆ น้อยๆ เหมือนที่เคยอยู่ในหุบเขา“ได้ๆ ข้าเป็นสาวใช้ให้เจ้าเอง” นางรีบเสนอตัวแล้วหันไปถามหลิวชิงเซียง “ข้าไปเป็นสาวใช้ของเขาได้ไหม”“สาวใช้อะไรกัน ยังเรียกเจ้านายว่าเจ้านั้นเจ้านี้ ไร้มารยาทเสียจริง”“ได้ๆ ข้าจะพยายาม” นางไม่ถือสาที่ซุนเจ้าเฟิงตำหนินาง “ข้าต้องเรียกเจ้าว่าอะไร”“ใต้เท้า นายท่าน หรือที่ปรึกษาหาน ห้ามเรียกเจ้าๆ อย่างที่ผ่านมาอีก” ซุนเจ้าเฟิงทำตาดุใส่ ทำไมนางโง่งมขนาดนี้ เขาฝึกทหารเป็นหมื่นเป็นแสนยังไม่ยากเท่ากับคุยกับนางเลย“ได้ เช่นนั้น ข้าเรียกเจ้าว่านายท่าน”หานหรงเหยายิ้มและพยักหน้าให้ “ตามใจเจ้าเถิด”“จะพานางไปก็จ่ายค่าไถ่ตัวนางเสียก่อน” หลิวชิงเซียงยังคงยิ้มอ่อนหวานแต่แววตามีความรื่นเริง แน่นอนว่านางหาวิธีกำจัดเจ้าตัวโง่งม ออกไปพ้นหูพ้นตา และอีกทาง นางยังสามารถหาเหตุผลไปเยี่ยมเยือนเข่อซิงที่จวนแม่ทัพซุนได้ คนผู้นี้มีพลังชีวิตกล้าแกร่ง หากได้กลืนกินย
“ข้าจำได้ว่า ผู้ดูแลหลิวบอกว่า ข้ามีวิญญาณพิสุทธิ์ นั้นหมายความว่าข้าเป็นคนดีหรือ?” “ถูกต้อง” นางพยักหน้ายืนยัน “เหล่าภูตผีปีศาจชอบวิญญาณพิสุทธิ์ หากได้กลืนกินจะเพิ่มพลังให้แก่ตนเอง” “เช่นนั้น เป็นคนดีย่อมไม่ปลอดภัยสินะ” เขายิ้มขำ คนอย่างเขานะหรือ?ที่เรียกว่า “คนดี” หากเรียกว่า “เจ้าเล่ห์เพทุบาย” น่าจะได้อยู่ “ไม่ๆ” นางส่ายหน้าไปมา “เพราะเป็นคนดี สวรรค์จึงคุ้มครอง ไม่ให้มารปีศาจตนใดจะแตะต้องได้ง่ายๆ” “แล้วเจ้าเล่า ไม่ใช่ปีศาจหรือไร” “ข้า... “ นางยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “เพราะร่างเดิมข้าคือจิ้งจอกแดง ท่านแม่ข้าเป็นจอมปีศาจชุบเลี้ยงข้าด้วยปราณปีศาจ ข้าจึงเป็นปีศาจ แต่ข้ายังไม่กล้าแกร่ง ไอปีศาจเบาบาง เจ้าเลยไม่รู้ว่าข้าเป็นปีศาจอย่างไรเล่า” “เช่นนั้น ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของเจ้าสร้างขึ้น” “ถูกต้อง ข้าถึงเรียกนางว่าท่านแม่อย่างไร” นาวพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกว่า จริงๆ พวกเราต้องเรียกท่านแม่ว่าอาจารย์ แต่ท่านแม่ไม่ชอบ ท่านแม่แสดงให้เห็นว่ารักทุกตนเท่าเทียมกันจึงให้เรีย
อยู่ชายแดนมานาน ต่างรู้กันว่าที่ปรึกษาหานเป็นผู้รักสันโดษ น้อยครั้งที่จะพบเขาเดินซื้อของในตลาดเช่นวันนี้ และยิ่งต้องแปลกใจเมื่อข้างกายมีสตรีงดงามเดินเคียง ท่าทางอยากรู้อยากเห็นไปทุกสิ่งทำให้ใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เป็นนิตย์ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น หากไม่นับเรื่องสุขภาพแล้ว หานหรงเหยานับเป็นบัณฑิตรูปงาม รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาแฝงความอ่อนโยนที่ชวนให้สตรีเฝ้าถวิลหา แต่เพราะใช้ชีวิตนับถอยหลังรอวันตายทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ใครเล่าจะอยากเป็นม่ายแต่เยาว์วัย แต่ยามนี้ข้างกายบุรุษใกล้ตายผู้นั้นมีสตรีเกาะแขนกึ่งลากกึ่งจูงดูข้าวของสองข้างทาง เดิมทีคิดแค่ซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้หลิวเข่อซิง แต่นางเหมือนเด็กที่เห็นสิ่งใดก็ใคร่รู้ไปเสียหมด นอกจากนางมาจากหุบเขาจื่อ เซ่อแล้ว นางยังเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่แทบไม่เคยรู้จักมนุษย์ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าตลาดเบื้องหน้านาง “เข่อซิง เดินดีๆ ประเดี๋ยวหกล้ม” “ข้าไม่ล้มๆ” นางหันมายิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “เจ้า เอ๊ย ท่าน เอ่อ นายท่าน เดินเร็วๆสิ” “ข้าวของไม่หนีเจ้าไปไหน ไม่ต้องรีบ
“แต่บริเวณรอบนอกมีหมู่บ้านคน” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆ ก็รู้ หานหรงเหยาไม่อยากให้ปีศาจสาวลำบากใจจึงชิงอธิบายก่อน “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมากินข้าวเที่ยงในเมืองได้” “อาวุธตัวอย่างถูกส่งมาแล้ว ข้าให้ส่งไปที่จวนเลยจะกลับไปดู” ซุนเจ้าเฟิงคลั่งไคล้อาวุธทุกชนิด เขาเสียเงินทองไปมากมายเกินกว่าจะนับได้หวาดไหว เพื่อซื้ออาวุธชั้นเลิศมาไว้ในครอบครอง “เช่นนั้นข้าจะกลับไปดูพร้อมเจ้า” ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้าม “วันนี้เจ้าหยุดนี่ พาเข่อซิงเที่ยวเล่นเถิด” “ข้าไม่ได้เที่ยวเล่นนะ” เข่อซิงรีบพูดแก้ไขไม่ให้ซุนเจ้าเฟิงเข้าใจผิด ผู้อื่นเกรงกลัวชายผู้นี้ แต่นางไม่ เพราะเขาไม่เป็น ‘เจ้านาย’ของนางเสียหน่อย ‘ขนาดนี้แล้วไม่เรียกเที่ยวเล่นจะให้เรียกว่าอะไร’ เป็นอีกครั้งที่ซุนเจ้าเฟิงต้องกลั้นหัวเราะ เขารู้ว่าสหายหน้าบางเรื่องสตรี ตั้งแต่มีเรื่องหลัวซู่เหมยกลายเป็นพี่สะใภ้ เขาก็ไม่เคยเห็นหานหรงเหยายิ้มกับใครอีก โดยเฉพาะกับสตรี แต่พอมีหลิวเข่อซิงเข้ามาในชีวิต หานหรงเหยาก็ทำราวกับเก็บสัตว์เลี้ยงเล็กๆ มาดูแล ช่างเถอะ นางจะเป็นอ
ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแค่...น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น “เขาคิดอะไรอยู่” หลิวชิงเซียงพึมพำกับตนเองแล้วยึดกายขึ้นยืนบนกิ่งไม้ หานหรงเหยามิใช่นักพรตและมิใช่นักปราบมาร เขาเป็นเพียงบัณฑิตอมโรคที่รอวันตายเพราะหัวใจอ่อนแอ ทว่ากลับเอ็นดูปีศาจอย่างเข่อซิง ยอมให้กินพลังชีวิตของตนเอง แต่แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสุข คนแบบไหนกันที่ยอมบั่นทอนอายุตนเองให้ปีศาจตนหนึ่ง ‘รัก?’ ไม่มีทาง ปีศาจกับมนุษย์นี้นะจะรักกัน ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และนางอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตานั้น ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ดวงตาคมหรี่ตามองที่หนึ่งคนและหนึ่งปีศาจจิ้งจอกแดงที่อยู่ร่วมกันในเรือนหลังนั้น มุมปากยกยิ้มหยามเหยียดแล้วพลิ้วกายในความมืดมุ่งหมายกลับไปที่หอชมบุหลัน ทว่าเมื่อผ่านมาถึงลานกว้าง ดวงตางามมองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่กำลังร่ายรำเพลงทวน ปลายทวนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์ การเคลื่อนไหวสอดประสานกับลำทวน ทุกท่วงท่าทรงพลัง หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจได้กลิ่นอายบุรุษเพศผสนกับกลิ่นความทะเยอทะยานและกระหายเลือด นางเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว