“แต่บริเวณรอบนอกมีหมู่บ้านคน” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆ ก็รู้ หานหรงเหยาไม่อยากให้ปีศาจสาวลำบากใจจึงชิงอธิบายก่อน “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมากินข้าวเที่ยงในเมืองได้”
“อาวุธตัวอย่างถูกส่งมาแล้ว ข้าให้ส่งไปที่จวนเลยจะกลับไปดู” ซุนเจ้าเฟิงคลั่งไคล้อาวุธทุกชนิด เขาเสียเงินทองไปมากมายเกินกว่าจะนับได้หวาดไหว เพื่อซื้ออาวุธชั้นเลิศมาไว้ในครอบครอง
“เช่นนั้นข้าจะกลับไปดูพร้อมเจ้า”
ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้าม “วันนี้เจ้าหยุดนี่ พาเข่อซิงเที่ยวเล่นเถิด”
“ข้าไม่ได้เที่ยวเล่นนะ” เข่อซิงรีบพูดแก้ไขไม่ให้ซุนเจ้าเฟิงเข้าใจผิด ผู้อื่นเกรงกลัวชายผู้นี้ แต่นางไม่ เพราะเขาไม่เป็น ‘เจ้านาย’ของนางเสียหน่อย
‘ขนาดนี้แล้วไม่เรียกเที่ยวเล่นจะให้เรียกว่าอะไร’
เป็นอีกครั้งที่ซุนเจ้าเฟิงต้องกลั้นหัวเราะ เขารู้ว่าสหายหน้าบางเรื่องสตรี ตั้งแต่มีเรื่องหลัวซู่เหมยกลายเป็นพี่สะใภ้ เขาก็ไม่เคยเห็นหานหรงเหยายิ้มกับใครอีก โดยเฉพาะกับสตรี แต่พอมีหลิวเข่อซิงเข้ามาในชีวิต หานหรงเหยาก็ทำราวกับเก็บสัตว์เลี้ยงเล็กๆ มาดูแล
ช่างเถอะ นางจะเป็นอะไรก็ช่าง แค่ทำให้สหายของเขากลับมามีความสุขอีกครั้งก็พอ
“เข่อซิงซื้อของเสร็จแล้ว ประเดี๋ยวก็จะกลับ”
“ตามใจเจ้า” ซุนเจ้าเฟิงกินอาหารวดเร็ว แม้เป็นองค์ชาย แต่เขาใช้ชีวิตนอกวังมาตั้งแต่อายุสิบสาม อายุสิบสี่ก็เข้ากองทัพ อายุสิบห้าก็มือเปื้อนเลือดสังหารคนครั้งแรก แล้วก็รู้ตัวว่าตนเองไม่เหมาะกับชีวิตในวังหลวง ผู้อื่นมองว่าเขาเป็นไม่เป็นที่โปรดปรานจึงส่งมาอยู่ชายแดน แต่เขากลับขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทำให้ไม่ต้องอึดอัดใจตายในวัง
หลิวเข่อซิงเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าบุรุษร่างใหญ่จะกินข้าวรวดเร็วราวกับกวาดโต๊ะไปอย่างนี้ นางกลัวหานหรงเหยาจะกินไม่อิ่มเพราะละเลียดกินที่ละคำ มือเรียวเล็กยื่นไปคว้าจานปลานึ่งยกขึ้นหนีตะเกียบของซุนเจ้าเฟิงทันที
แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้ว พลิกข้อมือที่จับตะเกียบหมายจะช่วงชิงเนื้อปลาแสนโอชะ แต่หลิวเข่อซิงประคองจานยกขึ้นหลบหลีกคล่องแคล่ว ดูไม่เป็นกระบวนท่าแต่อาศัยความว่องไว หญิงสาวที่ปกป้องปลานึ่งด้วยชีวิตถึงกับหมุนตัวหลบชูจานปลาขึ้นสุดแขน เพื่อไม่ให้ซุนเจ้าเฟิงได้ปลาไปกิน
“เจ้ากินเยอะแล้ว หาน เอ๊ย นายท่านของข้าได้กินแต่ผักเท่านั้น”
ซุนเจ้าเฟิงตะลึงงันไปเล็กน้อย เขาสบตากับสหายที่ยังนั่งหน้านิ่งละเอียดกินอาหารอย่างใจเย็น เขาเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ก็จริง แต่ไม่ใช่จะให้ใครมาเรียกเจ้านั้น เจ้านี้ได้ แต่นางทำไปก็เพราะเกรงว่าหานหรงเหยาจะกินไม่อิ่ม เขาใช้ชีวิตกับคนผู้นี้มาหลายปีย่อมรู้ดีว่าหานหรงเหยาเป็นสัตว์กินพืช นานๆ จะเห็นกินเนื้อสักคำสองคำ จึงไม่รู้สึกผิดที่ตนเองกินไปมาก และที่สำคัญ ไม่อิ่มก็แค่สั่งเพิ่ม ไม่ได้ยากจนจนต้องแย่งอาหารกันกิน
“เข่อซิงวางจานอาหารลงเถิด”
“แต่นายท่านได้กินนิดเดียวเอง”
“ถ้าไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มได้” หานหรงเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอยากกินอะไรอีกไหม”
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมาแล้ววางจานปลานึ่งลงอย่างเดิม “ที่บ้านข้า ข้ากินไม่ทันผู้อื่น ได้กินแค่ที่เหลือติดถ้วยชาม ข้าก็เลย...กลัวนายท่านจะไม่อิ่ม”
ความห่วงใยของนางทำให้บุรุษทั้งสองซาบซึ้งใจไม่น้อย นางคงประสบเรื่องร้ายมามาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ไปเป็น...หญิงคณิกาที่หอชมบุหลัน หานหรงเหยาช่วยสตรีไร้เดียงสาเช่นนี้ก็นับว่าสร้างบุญกุศลให้ตนเองแล้ว ซุนเจ้าเฟิงพยักหน้าให้ความคิดของตนเองแล้ววางตะเกียบ ยุติศึกชิงปลานึ่งกับนาง เขายกชาขึ้นดื่มแล้วพยักหน้าให้หานหรงเหยาแล้วลุกขึ้นยืน
“เจอกันที่จวน”
“อืม” หานหรงเหยาพยักหน้ารับ
ซุนเจ้าเฟิงกวาดตามองหลิวเข่อซิงแล้วยกมุมปากยิ้มไม่ได้อะไรแล้วเดินจากไปเงียบๆ หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วรินน้ำชาให้หานหรงเหยา
“เขาหยอกเจ้าเล่นเท่านั้น ไม่คิดทำร้ายเจ้า”
“ข้ารู้” นางพยักหน้ารับ “คนผู้นั้นมีไอสังหาร ดวงจิตอำมหิต มีพลังชีวิตกล้าแกร่ง ศิษย์พี่ของข้าหมายปองเขาอยู่”
“ศิษย์พี่ของเจ้า ...หลิวชิงเซียงรึ?”
“อื้ม” นางพยักหน้าอีกครั้ง “นายท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป คนผู้นั้นเป็นอะไรไปง่ายๆ ถ้าเขาเป็นปีศาจก็ระดับจอมมารเลยล่ะ”
หานหรงเหยาเบาใจไปเปราะหนึ่ง “เรื่องที่หุบเขาจื่อเซ่อเจ้าไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ ในการเดินทัพ หุบเขาแห่งนั้นเป็นสถานที่อันตราย พวกเราไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้...”
“หมอกสีม่วง” หลิวเข่อซิงพูดเสียงเบา “หุบเขาจื่อเซ่อมีหมอกสีม่วงเป็นหมอกที่มีพิษต่อมนุษย์เท่านั้น แต่ไม่มีผลอะไรกับปีศาจอย่างข้าหรือสัตว์ทั่วไปที่อาศัยในหุบเขา พวกท่านต้องระวังให้ดี”
“ข้ารู้ ขอบใจเจ้ามาก”
“ก็นายท่านดีกับข้า ข้าก็จะดีกับนาย” นางยิ้มกว้าง คิดว่าทำถูกแล้วที่ตนเตือนหานหรงเหยาเรื่องนี้
แต่ที่นางไม่รู้คือหานหรงเหยาไม่พอใจที่นางเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ จนเริ่มคุ้นปาก เขาไม่อยากเห็นนางเป็นสาวใช้ และไม่อยากเป็นเจ้านายของนาง เขาเองก็ไม่เข้าใจตนเองนัก รู้เพียงแค่ว่าอยากปกป้องเจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยนี้นัก
แม้ว่านางจะเป็นปีศาจที่หมายกินชีวิตของเขาก็ตาม.
หญิงสาวในชุดสีม่วงงดงามนั่งเท้าคางอยู่บนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ สายตาจับจ้องไปยังการเคลื่อนไหวในเรือนหลังนั้น แม้มีเพียงแสงจากเทียนไข ก็ยังเห็นได้ชัดว่ามีจิ้งจอกแดงตัวน้อยกระโดดไปมาข้างกายบุรุษอมโรคผู้หนึ่ง
ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วที่หลิวเข่อซิงมาอยู่กับหานหรงเหยา ชาวเมืองต่างพากันซุบซิบเป็นเรื่องสนุกปาก ซึ่งนางก็คร้านจะใส่ใจฟัง อยู่ชายแดนจะมีอะไรให้น่าสนใจมากนินทาพวกที่ร่ำรวยและขุนนางท้องถิ่น เดิมทีนางมิได้สนใจหานหรงเหยา แต่เมื่อเขากล้าบุกมาขอตัวคนของนาง นางย่อมใส่ใจ แต่ชีวิตของเขาก็น่าสนใจมิน้อย หานหรงเหยาคุณชายรองสกุลหาน หญิงสาวที่รักใคร่แต่วัยเยาว์กลายเป็นพี่สะใภ้ของตนเอง ปัญหาเล็กน้อยเพียงแค่นี้ถึงกับเนรเทศตัวเองมาไกลถึงชายแดนอันทุรกันดาร เหอะ! นางทำเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน หาก ‘ท่านแม่’ ไม่ได้มอบหมายให้นางดูแลหอชมบุหลัน นางคงหาทางไปอยู่เมืองหลวงแล้ว
ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแค่...น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น “เขาคิดอะไรอยู่” หลิวชิงเซียงพึมพำกับตนเองแล้วยึดกายขึ้นยืนบนกิ่งไม้ หานหรงเหยามิใช่นักพรตและมิใช่นักปราบมาร เขาเป็นเพียงบัณฑิตอมโรคที่รอวันตายเพราะหัวใจอ่อนแอ ทว่ากลับเอ็นดูปีศาจอย่างเข่อซิง ยอมให้กินพลังชีวิตของตนเอง แต่แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสุข คนแบบไหนกันที่ยอมบั่นทอนอายุตนเองให้ปีศาจตนหนึ่ง ‘รัก?’ ไม่มีทาง ปีศาจกับมนุษย์นี้นะจะรักกัน ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และนางอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตานั้น ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ดวงตาคมหรี่ตามองที่หนึ่งคนและหนึ่งปีศาจจิ้งจอกแดงที่อยู่ร่วมกันในเรือนหลังนั้น มุมปากยกยิ้มหยามเหยียดแล้วพลิ้วกายในความมืดมุ่งหมายกลับไปที่หอชมบุหลัน ทว่าเมื่อผ่านมาถึงลานกว้าง ดวงตางามมองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่กำลังร่ายรำเพลงทวน ปลายทวนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์ การเคลื่อนไหวสอดประสานกับลำทวน ทุกท่วงท่าทรงพลัง หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจได้กลิ่นอายบุรุษเพศผสนกับกลิ่นความทะเยอทะยานและกระหายเลือด นางเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว
ซุนเจ้าเฟิงมองหญิงสาวก้าวเดินจากไป เขายกมือขึ้นกอดอก นางมาจากทางใดกัน เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่นางเพียงใด นางไม่เหมือนคนมีวรยุทธ์ แต่ท่าทีสงบนิ่งนั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน ไอสังหารในตัวเขาทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นางกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว และยังคงมีสติต่อปากต่อคำกับเขาได้อีก ปกติเขาไม่ชอบสตรีพูดมากน่ารำคาญ แต่น้ำเสียงนางราบรื่นดุจสายน้ำและพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาให้องครักษ์เงาสืบเรื่องของนาง แต่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ความเป็นปกตินั้นมากเกินไป เหมือนซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หวังว่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายสหายเขาจะไม่ใช่คนที่นางส่งหลอกลวงหานหรงเหยา เขามีสหายรักเพียงคนเดียว เกรงว่าจะถูกความไร้เดียงสานั้นทำให้ปวดใจอีกครา หญิงงามในชุดกระโปรงสีแดงสดใส วิ่งไปมาในจวนแม่ทัพจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในจวน แม้กระทั่งในค่ายทหาร นางก็ติดตามหานหรงเหยาไปด้วย โดยที่แม่ทัพใหญ่เห็นดีเห็นงามให้เหตุผลเรื่องสุขภาพของที่ปรึกษาหานต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่กุมขมับไม่คิดว่าสหายจริงจังถึงเพียงนี้
“แต่หุบเขาจื่อเซ่ออันตรายมาก มนุษย์เข้าไปไม่ได้” “ข้ารู้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่ต้องใช้เส้นทางลัดเลาะรอบนอก แต่เราจำเป็นต้องรู้ภูมิประเทศ อีกอย่าง ข้าได้อ่านบันทึกของเมืองนี้ เคยเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ทั้งเสบียงอาหารยารักษาโรค กว่าจะใช้เส้นทางได้ก็นานนับเดือน” “ข้าจำได้ ข้าเคยเห็น” “นั้นมั้นตั้งยี่สิบปีมาแล้ว” “ก็ข้าอายุหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว ก็ต้องเคยเห็นสิ” นางแยกเขี้ยวใส่ “ข้าอายุมากกว่านายท่านนะ อย่าลืมสิ” คราวนี้เขาหลุดหัวเราะมาอีกครั้ง “เป็นข้าที่ผิดเอง” นางผงกศีรษะรับคำขอโทษ แล้วจิบน้ำชา รสชาติดีชุ่มคอเหลือเกิน “ความจริงเส้นทางในหุบเขาไม่ใช่ความลับอะไร ท่านแม่บอกว่าห้ามคนนอกรู้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เส้นทางเหล่านี้ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับเข้าใจคำพูดของนาง ที่นั้นเสมือนบ้านของนางหากให้ผู้อื่นรู้เส้นทางเข้าออกบ้านย่อมไม่ปลอดภัย “จริงสิ” หลิวเข่อซิงร้องขึ้นอย่างนึกได้ “ท่านก็เป็นคนในครอบครัวข้าสิ ข้าจะได้บอกเส้นทางให้ท่านรู
“นายท่าน! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าเห็นจิ้ง...จอก...” จูอี้ซินวิ่งตามจิ้กจอกแดง เห็นชัดเต็มสองตาว่ามันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง นางจึงรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้รายงานก่อน ทว่าสิ่งที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน และที่สำคัญ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่ “กรี๊ดดดด” เสียงหวีดร้องของจูอี้ซินทำให้หลิวเข่อซิงได้สติ หานหรงเหยายอมถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อออกจากอ่างน้ำแต่เขาโอบกอดนางมาแนบชิดและยกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะนางให้ซบลงซอกคอของเขา พลางส่งเสียงกระซิบ “อย่าเพิ่งขยับ เจ้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า” เข่อซิงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จะว่าไปนางเปลือยกายต่อหน้าของเขาหลายครั้ง เมื่อนางกลายร่างจากจิ้งจอกแดงมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย นางจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาสั่ง “เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงที่ฝึกเพลงกระบี่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงหวีดร้องจึงรีบทะยานเข้ามาดู เห็นจูอี้ซินยกมือขึ้นปิดหน้า เขามองเลยไปด้านหล
“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?” “ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า” เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร “ข้าลืมตาได้หรือยัง” “ยัง” “อา...” นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า” ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” “นานเพียงนั้นเชียว” “เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน” “ดี ห้ามเข
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย “เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้ “อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียง
หานหรงเหยารับเสื้อคลุมมาห่มร่างที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางมักยิ้มเสมอ “นางน่ารักดี” ซุนเจ้าเฟิงเอ่ยชมอย่างจริงใจ แรกทีเดียวเขาก็หวั่นเกรงว่านางจะมาหลอกลวงสหายรัก แต่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน นางเป็นคนจริงใจใสซื่อ เขาไม่เคยมีสหายเป็นสตรี และสตรีที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครนิสัยเช่นนี้ ทำให้เขาอดเอ็นดูนางไม่ได้จริงๆ “ถึงอำเภอข้างหน้า ข้าจะขี่ม้าแยกไปก่อน ส่วนเจ้าก็นั่งรถม้าชมทิวทัศน์กับเข่อซิงกันเอง ข้าแบ่งองครักษ์ไว้ให้เจ้าแล้ว” “เหตุใดแยกเดินทางเล่ามีเรื่องร้ายรึ” “มี” ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าจริงจังแล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะตัวเตี้ยที่วางหนังสือรายงานต่างๆ “ภาพเจ้ากับเข่อซิงรบกวนสายตาข้า ข้าขี่ม้าไปเองปลอดภัยกว่า” “ไร้สาระ” หานหรงเหยายิ้มมุมปาก คร้านจะต่อปากต่อคำกับสหายจึงก้มหน้าอ่านรายงานต่อไป แต่ในขณะที่มือหนึ่งวางบนศีรษะของหญิงสาวแล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หลิวเข่อซิงถูกปลุกเมื่อรถม้าหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง นางงัวเงียขึ้นยกมือขึ้นขยี้ตาราวเด็กน้อย แต่หานหรง
“เข่อซิง” เขาพยายามบังคับสายตาให้หันไปทางอื่น แต่พบว่าไม่อาจละสายตาจากใบหน้างามที่ระบายยิ้ม รวมถึงผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส และบัวคู่งามที่ปริ่มน้ำ “ข้าอยากแช่น้ำกับท่าน” นางรีบร้อนกลัวเขาหนีไปก่อนจึงกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเพื่อลดเวลาเปลื้องเสื้อผ้า แต่นางลืมไปว่าเมื่อนางคืนร่างมนุษย์ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า “เข่อซิง” นางจะรู้หรือไม่ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดไม่ให้ตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรทำ “หากเข้าเมืองหลวงแล้ว อย่าทำเช่นนี้อีก ผู้อื่นจะมองเจ้าไม่ดี” “ไม่ดีอย่างไร ท่านเป็นนายของข้า ข้าต้องปรนนิบัติดูแลท่าน อ๊ะ!” นางร้องอย่างนึกได้ “มีเรื่องใด” “รอประเดี๋ยวนะ” นางว่ายน้ำกลับไปที่กองเสื้อผ้า หยิบขวดสุรายาที่ซุนเจ้าเฟิงให้ไว้แล้วกลับมาหาเขา เห็นขวดก็รู้ว่าเป็นสุรา แต่นางไปได้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเอามาจากหอชมบุหลันเหมือนยาบำรุงเลือดลมอะไรนั้นอีก นั้นทำให้หานหรงเหยาผงะหนี แต่เข่อซิงกลับคิดว่าเขาคงกลัวกินยาเช่นที่ผ่านมา นางจึงรีบยกสุราขึ้นจิบหมายใช้ปากป้อนสุราให้หานหรงเหยา แต่เพราะรสสุราแผด