ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแค่...น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น
“เขาคิดอะไรอยู่” หลิวชิงเซียงพึมพำกับตนเองแล้วยึดกายขึ้นยืนบนกิ่งไม้ หานหรงเหยามิใช่นักพรตและมิใช่นักปราบมาร เขาเป็นเพียงบัณฑิตอมโรคที่รอวันตายเพราะหัวใจอ่อนแอ ทว่ากลับเอ็นดูปีศาจอย่างเข่อซิง ยอมให้กินพลังชีวิตของตนเอง แต่แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสุข คนแบบไหนกันที่ยอมบั่นทอนอายุตนเองให้ปีศาจตนหนึ่ง
‘รัก?’
ไม่มีทาง ปีศาจกับมนุษย์นี้นะจะรักกัน ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และนางอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตานั้น ซุกซ่อนสิ่งใดไว้
ดวงตาคมหรี่ตามองที่หนึ่งคนและหนึ่งปีศาจจิ้งจอกแดงที่อยู่ร่วมกันในเรือนหลังนั้น มุมปากยกยิ้มหยามเหยียดแล้วพลิ้วกายในความมืดมุ่งหมายกลับไปที่หอชมบุหลัน ทว่าเมื่อผ่านมาถึงลานกว้าง ดวงตางามมองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่กำลังร่ายรำเพลงทวน ปลายทวนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์ การเคลื่อนไหวสอดประสานกับลำทวน ทุกท่วงท่าทรงพลัง หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจได้กลิ่นอายบุรุษเพศผสนกับกลิ่นความทะเยอทะยานและกระหายเลือด นางเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว
ซุนเจ้าเฟิงรับรู้ถึงการมาเยือนของคนแปลกหน้า กลิ่นหอมหวานเย้ายวนรบกวนสมาธิการฝึกวรยุทธ์ ปลายทวนสีเงินวาววาดไปเบื้องหน้าหญิงสาว ทว่านางกลับไม่แสดงท่าทีหวาดกลัว ไม่แม้แต่จะกะพริบตา
น่าสนใจ
นั้นคือสิ่งแรกที่ซุนเจ้าเฟิงคิด เขารู้จักนาง นางคือผู้ดูแลหอชมบุหลันเลื่องชื่อผู้นั้น
“เหตุใดผู้ดูแลหลิวมาอยู่ในจวนของข้ายามวิกาลเช่นนี้”
หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนหวานแต่ดวงตาแข็งกร้าวไม่ยอมก้มหัว ไอสังหารของคนผู้นี้ทำให้นางรู้สึกหิวกระหายมากกว่าหวาดกลัว บุรุษผู้นี้พบคนพินอบพิเทามามาก ยังไม่นับรวมผู้คนที่เสแสร้งเข้าหา เพราะเขาคือองค์ชายสามและแม่ทัพประจำชายแดนตะวันตกที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น นางไม่จำเป็นต้องทำตัวอ่อนน้อมให้ชายผู้นี้ และที่สำคัญนางคือปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี ไม่จำเป็นต้องลดตัวก้มหัวให้มนุษย์
“ยามวิกาลคือเวลาตื่นของข้า ได้พบข้ายามนี้ก็นับว่าถูกต้องแล้ว” นางเพียงแค่ปรายตามองด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
“แต่ผู้ดูแลหลิวคงลืมไปว่านี่คือจวนของข้า”
“เช่นนั้นท่านแม่ทัพคงลืมไปว่า คนของข้าอยู่ที่นี่ ข้าจึงมาเยี่ยมนาง” นิ้วเรียวงามแตะปลายทวนเบาๆ เพื่อผลักไปให้พ้นปลายจมูกของนาง
เมื่อข่มขู่ไม่สำเร็จซุนเจ้าเฟิงจึงตวัดทวนกลับมาข้างกาย
“คนของเจ้า? ผู้ดูแลหลิวลืมไปอีกแล้วว่าสหายข้าจ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึงทองเพื่อเป็นค่าตัวแม่นางหลิวเข่อซิงไปแล้ว”
“เรื่องนั้นย่อมไม่ลืม แต่ท่านคงไม่รู้ว่าข้าได้ทำข้อตกลงกับที่ปรึกษาหานแล้วว่า สามารถมาเยี่ยมเข่อซิงได้ทุกเวลา” นางมองเขาด้วยสายตาคนที่เหนือกว่า “เห็นได้ชัดว่า การที่ข้ามายืนตรงนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”
“นี่เจ้าคงไม่คิดว่าจวนข้าเป็นบ้านของเจ้าหรอกนะ”
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว” นางหัวเราะเบาๆ “หากเป็นบ้านข้าจริงคงไม่ปล่อยให้ซอมซ่อเช่นนี้”
“เจ้า!” ถูกดูแคลนว่าจวนแม่ทัพซอมซ่อ ซุนเจ้าเฟิงถึงกับยื่นมือไปหมายบีบลำคอคนช่างพูด ทว่าเพียงปลายนิ้วสัมผัสลำคอขาวผ่อง เขาก็ได้สติ ถูกยั่วยุเพียงเล็กน้อยถึงขั้นลงมือกับสตรีไร้อาวุธได้ ทว่านางก็ไม่มีท่าทีเกรงกลัวเขาสักนิด ยังคงใบหน้าแย้มยิ้มยั่วโมโหเขาเช่นเดิม
“ผู้ดูแลหลิวนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ” เขาปล่อยมือจากลำคอของนางแล้วหมุนตัวเดินเอาทวนไปเก็บที่เดิม
“แม่ทัพซุนกล่าวชมเช่นนี้ข้าปลื้มใจยิ่ง” นางยังคงสนุกสนานกับการเย้าแหย่ “ทวนเป็นศัสตราวุธที่นับได้ว่าเป็นราชาของอาวุธยาว ใช้พลิกแพลงได้หลายกระบวนท่า สู้รบบนหลังม้าและบนพื้น ท่านแม่ทัพใช้ทวนได้คล่องแคล่วแสดงว่าฝึกฝนหลายปีจนเชี่ยวชาญ ข้าเลื่อมใสยิ่ง”
“ข้าไม่รู้ว่าหญิงงามแห่งหอชมบุหลันมีความรู้ในเพลงยุทธ์ไม่น้อย” เขาหรี่ตามองอย่างประเมิน
“เป็นคณิกาต้องหูตากว้างขวาง เรื่องที่ข้ารู้แค่ผิวเผิน หากท่านแม่ทัพเมตตาโปรดหาเวลาชี้แนะให้ข้ากระจ่างใจบ้างคงดีไม่น้อย”
“มิกล้า ข้ามิบังอาจชี้แนะผู้ดูแลหลิว”
“เช่นนั้นข้าขอบังอาจชี้แนะท่านแม่ทัพ” หญิงสาวเดินมาที่ด้านหลังใช้สองมือแตะที่ไหล่สองข้างเขา “ท่านเกร็งไหล่เกินไป การเคลื่อนไหวยังติดขัด อาวุธยังไม่ผสานเป็นร่างกาย ท่านคิดว่าตนเองเป็นนายเหนือผู้อื่น แต่อย่าลืมว่าการเป็นอันหนึ่งอันเดียวสำคัญกว่า”
“นี่เจ้า...”
“ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องวรยุทธ์ ถือว่าข้าพูดเล่นก็แล้วกัน”
“เจ้าพูดเล่นกับข้า” เขาหันกลับมาเผชิญหน้านาง “นี่รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
หลิวชิงเซียงก้าวถอยหลังแล้วคารวะเต็มพิธีการ “คารวะองค์ชายสาม”
ซุนเจ้าเฟิงแหงนหน้าหัวเราะ “เสียดายที่เจ้าเป็นสตรี ไม่เช่นนั้นข้าจะคบเจ้าเป็นสหาย”
“แค่ท่านแม่ทัพไม่รังเกียจหญิงคณิกาเช่นข้าก็เพียงพอแล้ว” นางกลับมาแสดงท่าทีนอบน้อมอีกครั้ง “คนของข้าไม่ประสีประสา หากทำสิ่งใดล่วงเกิน โปรดท่านแม่ทัพอย่าถือสา”
แม่ทัพไหวไหล่เล็กน้อย “ข้าจะไปถือโทษโกรธนิสัยเด็กๆ ของนางได้อย่างไร เพราะนางที่ทำให้สหายของข้ากลับมายิ้มได้อีกครั้ง”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็นับเป็นวาสนาของเข่อซิงแล้ว”
“จริงสิ” เขาเอ่ยอย่างพึ่งนึกได้ “ได้ยินว่านางมาจากหุบเขาจื่อเซ่อ”
แววตาของหลิวชิงเซียงกระตุกแต่ยังคงยิ้มกลบเกลื่อน “นางพูดเช่นนั้นหรือ?”
“ข้าบังเอิญได้ยินนางพูดคุยกับหรงเหยา”
“อ่อ...นางมาจากหุบเขาจื่อเซ่อ แต่นางคงพูดไม่ชัดเจนว่าแท้จริงนางเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูจากคนในหมู่บ้านเชิงเขาไม่ใช่ในหุบเขา”
“ข้ารู้ จะมีใครไปอยู่ในหุบเขาได้” เขาพยักหน้า “ข้าสนใจเส้นทางในหุบเขาจื่อเซ่อ หากผู้ดูแลหลิวพอรู้จักคนที่ชำนาญเส้นทางก็อยากให้ช่วยแนะนำให้ข้าด้วย”
“เหตุใดท่านสนใจหุบเขาจื่อเซ่อ ที่นั้นมีเรื่องเล่าขานมากมาย ทั้งหมอกพิษและสัตว์ร้าย”
“ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า” เขาจ้องนางอย่างจับผิด
“คงเป็นเรื่องทางการทหาร” นางแสร้งทำเป็นพูดลอยๆ “ถ้ามีพรานป่าเข้ามาขายของในเมือง ข้าจะให้เขาเข้ามาคุยกับท่าน”
“ตกลงตามนั้น”
“แค่นี้รึ?”
“ต้องการสิ่งใดอีก”
“ข้าช่วยท่านอย่างไรเล่า”
“ให้ได้คนมาก่อน แล้วจะเรียกค่าตอบแทนอย่างไรก็ค่อยว่ากัน”
นางคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาจึงไม่เอ่ยโต้เถียงอีก “เช่นนั้น คืนนี้หลิวชิงเซียงขอลา”
ซุนเจ้าเฟิงมองหญิงสาวก้าวเดินจากไป เขายกมือขึ้นกอดอก นางมาจากทางใดกัน เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่นางเพียงใด นางไม่เหมือนคนมีวรยุทธ์ แต่ท่าทีสงบนิ่งนั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน ไอสังหารในตัวเขาทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นางกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว และยังคงมีสติต่อปากต่อคำกับเขาได้อีก ปกติเขาไม่ชอบสตรีพูดมากน่ารำคาญ แต่น้ำเสียงนางราบรื่นดุจสายน้ำและพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาให้องครักษ์เงาสืบเรื่องของนาง แต่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ความเป็นปกตินั้นมากเกินไป เหมือนซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หวังว่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายสหายเขาจะไม่ใช่คนที่นางส่งหลอกลวงหานหรงเหยา เขามีสหายรักเพียงคนเดียว เกรงว่าจะถูกความไร้เดียงสานั้นทำให้ปวดใจอีกครา หญิงงามในชุดกระโปรงสีแดงสดใส วิ่งไปมาในจวนแม่ทัพจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในจวน แม้กระทั่งในค่ายทหาร นางก็ติดตามหานหรงเหยาไปด้วย โดยที่แม่ทัพใหญ่เห็นดีเห็นงามให้เหตุผลเรื่องสุขภาพของที่ปรึกษาหานต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่กุมขมับไม่คิดว่าสหายจริงจังถึงเพียงนี้
“แต่หุบเขาจื่อเซ่ออันตรายมาก มนุษย์เข้าไปไม่ได้” “ข้ารู้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่ต้องใช้เส้นทางลัดเลาะรอบนอก แต่เราจำเป็นต้องรู้ภูมิประเทศ อีกอย่าง ข้าได้อ่านบันทึกของเมืองนี้ เคยเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ทั้งเสบียงอาหารยารักษาโรค กว่าจะใช้เส้นทางได้ก็นานนับเดือน” “ข้าจำได้ ข้าเคยเห็น” “นั้นมั้นตั้งยี่สิบปีมาแล้ว” “ก็ข้าอายุหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว ก็ต้องเคยเห็นสิ” นางแยกเขี้ยวใส่ “ข้าอายุมากกว่านายท่านนะ อย่าลืมสิ” คราวนี้เขาหลุดหัวเราะมาอีกครั้ง “เป็นข้าที่ผิดเอง” นางผงกศีรษะรับคำขอโทษ แล้วจิบน้ำชา รสชาติดีชุ่มคอเหลือเกิน “ความจริงเส้นทางในหุบเขาไม่ใช่ความลับอะไร ท่านแม่บอกว่าห้ามคนนอกรู้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เส้นทางเหล่านี้ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับเข้าใจคำพูดของนาง ที่นั้นเสมือนบ้านของนางหากให้ผู้อื่นรู้เส้นทางเข้าออกบ้านย่อมไม่ปลอดภัย “จริงสิ” หลิวเข่อซิงร้องขึ้นอย่างนึกได้ “ท่านก็เป็นคนในครอบครัวข้าสิ ข้าจะได้บอกเส้นทางให้ท่านรู
“นายท่าน! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าเห็นจิ้ง...จอก...” จูอี้ซินวิ่งตามจิ้กจอกแดง เห็นชัดเต็มสองตาว่ามันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง นางจึงรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้รายงานก่อน ทว่าสิ่งที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน และที่สำคัญ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่ “กรี๊ดดดด” เสียงหวีดร้องของจูอี้ซินทำให้หลิวเข่อซิงได้สติ หานหรงเหยายอมถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อออกจากอ่างน้ำแต่เขาโอบกอดนางมาแนบชิดและยกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะนางให้ซบลงซอกคอของเขา พลางส่งเสียงกระซิบ “อย่าเพิ่งขยับ เจ้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า” เข่อซิงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จะว่าไปนางเปลือยกายต่อหน้าของเขาหลายครั้ง เมื่อนางกลายร่างจากจิ้งจอกแดงมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย นางจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาสั่ง “เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงที่ฝึกเพลงกระบี่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงหวีดร้องจึงรีบทะยานเข้ามาดู เห็นจูอี้ซินยกมือขึ้นปิดหน้า เขามองเลยไปด้านหล
“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?” “ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า” เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร “ข้าลืมตาได้หรือยัง” “ยัง” “อา...” นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า” ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” “นานเพียงนั้นเชียว” “เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน” “ดี ห้ามเข
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงมิใช่มีแค่หานหรงเหยา ซุนเจ้าเฟิงลอบถอนหายใจ เขาก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับว่าที่พระชายาเหมือนกัน หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน อ้างศึกสงครามไม่ยอมแต่งชายาเสียที แต่สตรีที่เสด็จพ่อเลือกนั้นแต่ละนางก็ดูนุ่มนิ่มเป็นตุ๊กตาผ้า คนที่จะมาเป็นชายาบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามอย่างเขาควรฉลาด รู้หลบหลีกและกล้าสบตากับเขา พลันใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ท่าทางเย่อหยิ่งของนางรบกวนจิตใจเขา แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว ไม่สิ ทำไมเขาต้องคิดถึงผู้ดูแลหอชมบุหลันด้วยเล่า ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา ขับไล่ความคิดไร้สาระไปจากหัวตนเอง แต่กลับทำให้คิดถึงนางมากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเข่อซิง หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทหารแล้ว หานหรงเหยากลับมาที่จวนและบอกเรื่องนี้กับนาง เจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงที่มักจะนอนกลางวันอยู่นั้น ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นกระโดดไปกระโดดมาจนแทบตาลาย “เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากหรือ?” หานหรงเหยาอดประหลาดใจไม่ได้ “อื้ม! ข้าได้ยินบรรดาศิษย์พี่พูดกันว่าเมืองหลวงมีเรื่องน่าสนุกเพียง
หานหรงเหยารับเสื้อคลุมมาห่มร่างที่นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นราวกับกำลังยิ้ม นางมักยิ้มเสมอ “นางน่ารักดี” ซุนเจ้าเฟิงเอ่ยชมอย่างจริงใจ แรกทีเดียวเขาก็หวั่นเกรงว่านางจะมาหลอกลวงสหายรัก แต่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานนับเดือน นางเป็นคนจริงใจใสซื่อ เขาไม่เคยมีสหายเป็นสตรี และสตรีที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครนิสัยเช่นนี้ ทำให้เขาอดเอ็นดูนางไม่ได้จริงๆ “ถึงอำเภอข้างหน้า ข้าจะขี่ม้าแยกไปก่อน ส่วนเจ้าก็นั่งรถม้าชมทิวทัศน์กับเข่อซิงกันเอง ข้าแบ่งองครักษ์ไว้ให้เจ้าแล้ว” “เหตุใดแยกเดินทางเล่ามีเรื่องร้ายรึ” “มี” ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าจริงจังแล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะตัวเตี้ยที่วางหนังสือรายงานต่างๆ “ภาพเจ้ากับเข่อซิงรบกวนสายตาข้า ข้าขี่ม้าไปเองปลอดภัยกว่า” “ไร้สาระ” หานหรงเหยายิ้มมุมปาก คร้านจะต่อปากต่อคำกับสหายจึงก้มหน้าอ่านรายงานต่อไป แต่ในขณะที่มือหนึ่งวางบนศีรษะของหญิงสาวแล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หลิวเข่อซิงถูกปลุกเมื่อรถม้าหยุดที่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง นางงัวเงียขึ้นยกมือขึ้นขยี้ตาราวเด็กน้อย แต่หานหรง
“เข่อซิง” เขาพยายามบังคับสายตาให้หันไปทางอื่น แต่พบว่าไม่อาจละสายตาจากใบหน้างามที่ระบายยิ้ม รวมถึงผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส และบัวคู่งามที่ปริ่มน้ำ “ข้าอยากแช่น้ำกับท่าน” นางรีบร้อนกลัวเขาหนีไปก่อนจึงกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเพื่อลดเวลาเปลื้องเสื้อผ้า แต่นางลืมไปว่าเมื่อนางคืนร่างมนุษย์ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า “เข่อซิง” นางจะรู้หรือไม่ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดไม่ให้ตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรทำ “หากเข้าเมืองหลวงแล้ว อย่าทำเช่นนี้อีก ผู้อื่นจะมองเจ้าไม่ดี” “ไม่ดีอย่างไร ท่านเป็นนายของข้า ข้าต้องปรนนิบัติดูแลท่าน อ๊ะ!” นางร้องอย่างนึกได้ “มีเรื่องใด” “รอประเดี๋ยวนะ” นางว่ายน้ำกลับไปที่กองเสื้อผ้า หยิบขวดสุรายาที่ซุนเจ้าเฟิงให้ไว้แล้วกลับมาหาเขา เห็นขวดก็รู้ว่าเป็นสุรา แต่นางไปได้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเอามาจากหอชมบุหลันเหมือนยาบำรุงเลือดลมอะไรนั้นอีก นั้นทำให้หานหรงเหยาผงะหนี แต่เข่อซิงกลับคิดว่าเขาคงกลัวกินยาเช่นที่ผ่านมา นางจึงรีบยกสุราขึ้นจิบหมายใช้ปากป้อนสุราให้หานหรงเหยา แต่เพราะรสสุราแผด
เสียงแหบพร่าของเขาเรียกสตินาง นั้น...นั้นเสียงของเขาหรือ? เขาเรียกชื่อนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้นางตาพร่าไปชั่วขณะ “ข้าต้องการเจ้า” “แต่...” เขารวบนางมากอดไว้ นานเหลือเกินที่หัวใจเขาไม่เคยเปิดรับใคร เขาโกรธหลัวซู่เหมยไม่ได้ สภาพร่างกายเขาไม่ว่าหมอกี่คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี หากนางแต่งงานกับเขาก็กลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เป็นเขาที่ชิงชังตนเองในสภาพนี้ กระทั้งวันนั้นที่สะพานข้ามคลอง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนวิ่งมาสวมกอดจากด้านหลัง ไออุ่นของนางขับไล่ความหมองหม่นในใจ แววตาสุกใสราวกับฉุดเขาขึ้นจากบ่อน้ำลึกที่พยายามปีนป่ายขึ้นมาหลายปี แม้รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ นางไม่เหมือนปีศาจอย่างที่เคยได้ยินหรืออ่านจากหนังสือทั่วไป นางใสซื่อและไร้เดียงสา เขาไม่เคยรู้เลยว่าการมีชีวิตแต่ละวันจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อมานางเข้ามา ชีวิตที่มีนางอยู่ใกล้ มันช่างดีเหลือเกิน “หรือเจ้า...ไม่ต้องการข้า..” “ข้าต้องการท่าน!” นางส่ายหน้าไปมา “มีเพียงท่าน...ที่ข้าต้องการ...” ริมฝีปาก