Share

Chapter 15. เพียงแค่น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น

            ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแค่...น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น

            “เขาคิดอะไรอยู่”  หลิวชิงเซียงพึมพำกับตนเองแล้วยึดกายขึ้นยืนบนกิ่งไม้ หานหรงเหยามิใช่นักพรตและมิใช่นักปราบมาร เขาเป็นเพียงบัณฑิตอมโรคที่รอวันตายเพราะหัวใจอ่อนแอ ทว่ากลับเอ็นดูปีศาจอย่างเข่อซิง ยอมให้กินพลังชีวิตของตนเอง แต่แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสุข คนแบบไหนกันที่ยอมบั่นทอนอายุตนเองให้ปีศาจตนหนึ่ง

            ‘รัก?’

            ไม่มีทาง ปีศาจกับมนุษย์นี้นะจะรักกัน  ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และนางอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตานั้น ซุกซ่อนสิ่งใดไว้

            ดวงตาคมหรี่ตามองที่หนึ่งคนและหนึ่งปีศาจจิ้งจอกแดงที่อยู่ร่วมกันในเรือนหลังนั้น มุมปากยกยิ้มหยามเหยียดแล้วพลิ้วกายในความมืดมุ่งหมายกลับไปที่หอชมบุหลัน ทว่าเมื่อผ่านมาถึงลานกว้าง ดวงตางามมองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่กำลังร่ายรำเพลงทวน ปลายทวนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์ การเคลื่อนไหวสอดประสานกับลำทวน ทุกท่วงท่าทรงพลัง หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจได้กลิ่นอายบุรุษเพศผสนกับกลิ่นความทะเยอทะยานและกระหายเลือด นางเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว

            ซุนเจ้าเฟิงรับรู้ถึงการมาเยือนของคนแปลกหน้า กลิ่นหอมหวานเย้ายวนรบกวนสมาธิการฝึกวรยุทธ์ ปลายทวนสีเงินวาววาดไปเบื้องหน้าหญิงสาว ทว่านางกลับไม่แสดงท่าทีหวาดกลัว ไม่แม้แต่จะกะพริบตา

            น่าสนใจ

            นั้นคือสิ่งแรกที่ซุนเจ้าเฟิงคิด เขารู้จักนาง นางคือผู้ดูแลหอชมบุหลันเลื่องชื่อผู้นั้น

            “เหตุใดผู้ดูแลหลิวมาอยู่ในจวนของข้ายามวิกาลเช่นนี้”

            หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนหวานแต่ดวงตาแข็งกร้าวไม่ยอมก้มหัว  ไอสังหารของคนผู้นี้ทำให้นางรู้สึกหิวกระหายมากกว่าหวาดกลัว บุรุษผู้นี้พบคนพินอบพิเทามามาก ยังไม่นับรวมผู้คนที่เสแสร้งเข้าหา เพราะเขาคือองค์ชายสามและแม่ทัพประจำชายแดนตะวันตกที่ไม่มีใครไม่รู้จัก   เพราะฉะนั้น  นางไม่จำเป็นต้องทำตัวอ่อนน้อมให้ชายผู้นี้ และที่สำคัญนางคือปีศาจจิ้งจอกแดงอายุห้าร้อยห้าสิบปี  ไม่จำเป็นต้องลดตัวก้มหัวให้มนุษย์

            “ยามวิกาลคือเวลาตื่นของข้า ได้พบข้ายามนี้ก็นับว่าถูกต้องแล้ว” นางเพียงแค่ปรายตามองด้วยท่าทีเบื่อหน่าย

            “แต่ผู้ดูแลหลิวคงลืมไปว่านี่คือจวนของข้า”

            “เช่นนั้นท่านแม่ทัพคงลืมไปว่า คนของข้าอยู่ที่นี่ ข้าจึงมาเยี่ยมนาง” นิ้วเรียวงามแตะปลายทวนเบาๆ เพื่อผลักไปให้พ้นปลายจมูกของนาง

เมื่อข่มขู่ไม่สำเร็จซุนเจ้าเฟิงจึงตวัดทวนกลับมาข้างกาย

            “คนของเจ้า? ผู้ดูแลหลิวลืมไปอีกแล้วว่าสหายข้าจ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึงทองเพื่อเป็นค่าตัวแม่นางหลิวเข่อซิงไปแล้ว”

            “เรื่องนั้นย่อมไม่ลืม แต่ท่านคงไม่รู้ว่าข้าได้ทำข้อตกลงกับที่ปรึกษาหานแล้วว่า สามารถมาเยี่ยมเข่อซิงได้ทุกเวลา”  นางมองเขาด้วยสายตาคนที่เหนือกว่า “เห็นได้ชัดว่า การที่ข้ามายืนตรงนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”

            “นี่เจ้าคงไม่คิดว่าจวนข้าเป็นบ้านของเจ้าหรอกนะ”

            “ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว” นางหัวเราะเบาๆ “หากเป็นบ้านข้าจริงคงไม่ปล่อยให้ซอมซ่อเช่นนี้”

            “เจ้า!” ถูกดูแคลนว่าจวนแม่ทัพซอมซ่อ ซุนเจ้าเฟิงถึงกับยื่นมือไปหมายบีบลำคอคนช่างพูด ทว่าเพียงปลายนิ้วสัมผัสลำคอขาวผ่อง เขาก็ได้สติ ถูกยั่วยุเพียงเล็กน้อยถึงขั้นลงมือกับสตรีไร้อาวุธได้  ทว่านางก็ไม่มีท่าทีเกรงกลัวเขาสักนิด ยังคงใบหน้าแย้มยิ้มยั่วโมโหเขาเช่นเดิม

            “ผู้ดูแลหลิวนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ” เขาปล่อยมือจากลำคอของนางแล้วหมุนตัวเดินเอาทวนไปเก็บที่เดิม

            “แม่ทัพซุนกล่าวชมเช่นนี้ข้าปลื้มใจยิ่ง” นางยังคงสนุกสนานกับการเย้าแหย่ “ทวนเป็นศัสตราวุธที่นับได้ว่าเป็นราชาของอาวุธยาว ใช้พลิกแพลงได้หลายกระบวนท่า สู้รบบนหลังม้าและบนพื้น ท่านแม่ทัพใช้ทวนได้คล่องแคล่วแสดงว่าฝึกฝนหลายปีจนเชี่ยวชาญ ข้าเลื่อมใสยิ่ง”

            “ข้าไม่รู้ว่าหญิงงามแห่งหอชมบุหลันมีความรู้ในเพลงยุทธ์ไม่น้อย”  เขาหรี่ตามองอย่างประเมิน

            “เป็นคณิกาต้องหูตากว้างขวาง เรื่องที่ข้ารู้แค่ผิวเผิน หากท่านแม่ทัพเมตตาโปรดหาเวลาชี้แนะให้ข้ากระจ่างใจบ้างคงดีไม่น้อย”

            “มิกล้า ข้ามิบังอาจชี้แนะผู้ดูแลหลิว”

            “เช่นนั้นข้าขอบังอาจชี้แนะท่านแม่ทัพ”  หญิงสาวเดินมาที่ด้านหลังใช้สองมือแตะที่ไหล่สองข้างเขา “ท่านเกร็งไหล่เกินไป การเคลื่อนไหวยังติดขัด อาวุธยังไม่ผสานเป็นร่างกาย ท่านคิดว่าตนเองเป็นนายเหนือผู้อื่น แต่อย่าลืมว่าการเป็นอันหนึ่งอันเดียวสำคัญกว่า”

            “นี่เจ้า...”

            “ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องวรยุทธ์ ถือว่าข้าพูดเล่นก็แล้วกัน”

            “เจ้าพูดเล่นกับข้า” เขาหันกลับมาเผชิญหน้านาง “นี่รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”

            หลิวชิงเซียงก้าวถอยหลังแล้วคารวะเต็มพิธีการ  “คารวะองค์ชายสาม”

            ซุนเจ้าเฟิงแหงนหน้าหัวเราะ “เสียดายที่เจ้าเป็นสตรี ไม่เช่นนั้นข้าจะคบเจ้าเป็นสหาย”

            “แค่ท่านแม่ทัพไม่รังเกียจหญิงคณิกาเช่นข้าก็เพียงพอแล้ว”  นางกลับมาแสดงท่าทีนอบน้อมอีกครั้ง “คนของข้าไม่ประสีประสา หากทำสิ่งใดล่วงเกิน  โปรดท่านแม่ทัพอย่าถือสา”

            แม่ทัพไหวไหล่เล็กน้อย “ข้าจะไปถือโทษโกรธนิสัยเด็กๆ ของนางได้อย่างไร เพราะนางที่ทำให้สหายของข้ากลับมายิ้มได้อีกครั้ง”

            “หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็นับเป็นวาสนาของเข่อซิงแล้ว”

            “จริงสิ” เขาเอ่ยอย่างพึ่งนึกได้ “ได้ยินว่านางมาจากหุบเขาจื่อเซ่อ”

            แววตาของหลิวชิงเซียงกระตุกแต่ยังคงยิ้มกลบเกลื่อน “นางพูดเช่นนั้นหรือ?”

            “ข้าบังเอิญได้ยินนางพูดคุยกับหรงเหยา” 

            “อ่อ...นางมาจากหุบเขาจื่อเซ่อ แต่นางคงพูดไม่ชัดเจนว่าแท้จริงนางเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูจากคนในหมู่บ้านเชิงเขาไม่ใช่ในหุบเขา”

            “ข้ารู้ จะมีใครไปอยู่ในหุบเขาได้” เขาพยักหน้า “ข้าสนใจเส้นทางในหุบเขาจื่อเซ่อ หากผู้ดูแลหลิวพอรู้จักคนที่ชำนาญเส้นทางก็อยากให้ช่วยแนะนำให้ข้าด้วย”

            “เหตุใดท่านสนใจหุบเขาจื่อเซ่อ ที่นั้นมีเรื่องเล่าขานมากมาย ทั้งหมอกพิษและสัตว์ร้าย”

            “ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า” เขาจ้องนางอย่างจับผิด

            “คงเป็นเรื่องทางการทหาร” นางแสร้งทำเป็นพูดลอยๆ “ถ้ามีพรานป่าเข้ามาขายของในเมือง ข้าจะให้เขาเข้ามาคุยกับท่าน”

            “ตกลงตามนั้น”

            “แค่นี้รึ?”

            “ต้องการสิ่งใดอีก”

            “ข้าช่วยท่านอย่างไรเล่า”

            “ให้ได้คนมาก่อน แล้วจะเรียกค่าตอบแทนอย่างไรก็ค่อยว่ากัน”

            นางคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาจึงไม่เอ่ยโต้เถียงอีก “เช่นนั้น คืนนี้หลิวชิงเซียงขอลา”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status