เสียงแหบพร่าของเขาเรียกสตินาง นั้น...นั้นเสียงของเขาหรือ? เขาเรียกชื่อนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้นางตาพร่าไปชั่วขณะ
“ข้าต้องการเจ้า”
“แต่...”
เขารวบนางมากอดไว้ นานเหลือเกินที่หัวใจเขาไม่เคยเปิดรับใคร เขาโกรธหลัวซู่เหมยไม่ได้ สภาพร่างกายเขาไม่ว่าหมอกี่คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี หากนางแต่งงานกับเขาก็กลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เป็นเขาที่ชิงชังตนเองในสภาพนี้ กระทั้งวันนั้นที่สะพานข้ามคลอง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนวิ่งมาสวมกอดจากด้านหลัง ไออุ่นของนางขับไล่ความหมองหม่นในใจ แววตาสุกใสราวกับฉุดเขาขึ้นจากบ่อน้ำลึกที่พยายามปีนป่ายขึ้นมาหลายปี แม้รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ นางไม่เหมือนปีศาจอย่างที่เคยได้ยินหรืออ่านจากหนังสือทั่วไป นางใสซื่อและไร้เดียงสา เขาไม่เคยรู้เลยว่าการมีชีวิตแต่ละวันจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อมานางเข้ามา ชีวิตที่มีนางอยู่ใกล้ มันช่างดีเหลือเกิน
“หรือเจ้า...ไม่ต้องการข้า..”
“ข้าต้องการท่าน!” นางส่ายหน้าไปมา “มีเพียงท่าน...ที่ข้าต้องการ...”
ริมฝีปากอุ่นร้อนทาบทับอีกครั้งและดูดกลืนถ้อยคำน่าอายที่นางพูดไม่ออกไปหมดสิ้น เขากลับรับรู้ความต้องการของนางได้เช่นเดียวกับที่เขารู้สึกต่อนาง สองมือจับเอวคอดยกร่างนางขึ้นจากน้ำให้นั่งริมขอบสระ แล้วโน้มหน้าดูดกลืนยอดอกสีหวานเบื้องหน้า ลิ้นร้อนร้ายกาจทำให้หญิงสาวหลุดเสียงครางออกมา นางรีบยกมือขึ้นปิดปากตนเอง นี่เสียงของนางหรือ? นางเคยได้ยินเสียงศิษย์พี่เสพสังวาสกับบุรุษก็เป็นเสียงเช่นนี้ นางพยายามกลั้นเสียงร้อง แต่ลิ้นและมือที่ปรนเปรอทรวงอกอยู่นั้นทำให้นางไม่อาจทนกลั้นได้
“อ๊า...”
เขาไม่เคยรู้สึกอยากครอบครองมากเท่านี้มาก่อน มือเล็กเกาะไหล่แน่น เสียงครวญครางยิ่งทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน เขาเลื่อนมือลงไปเบื้องล่าง ส่วนที่อ่อนไหวเปียกชุ่มและเพียงเขาสอดนิ้วเข้าไปแตะต้องเพียงแผ่วเบานางก็สะอื้นปนครางกระเส่า เรียวขาแยกออกกว้างอย่างไม่รู้ตัว
“ท่าน...”
“เรียกชื่อข้า” เขากระซิบเสียงพร่าเร่งขยับนิ้วมือเพื่อเบิกทางก่อนนำพาสิ่งที่ใหญ่โตกว่ามาแทนที
“หรง...หรง..หรงเหยา..” เสียงนางขาดห้วง ระลอกความเสียวซ่านสาดซัดจนหวีดร้องและเกร็งกระตุก หานหรงเหยาไม่รั้งรออีกต่อไป จับเอวนางแล้วยกร่างลงมาในน้ำอีกครั้ง
“กอดข้า”
หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับอย่างเขินอาย ใบหน้าซุกซบที่ซอกคอ ขาเรียวงามแยกออกรัดเอวแล้วแก่นกายร้อนระอุก็แทรกเข้ามาในกลีบดอกไม้สาว
“อึก...” นางร้องครางออกมา
“เจ็บหรือไม่” เขาถามพยายามขยับเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าแต่มันทรมานเหลือเกิน นางมอบความรู้สึกที่แสนวิเศษ หอมหวาน อุ่นร้อน คับแน่น และยังหยัดกายเข้าหาเรียกร้องให้เขาเติบเต็ม
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ราวกับได้พบสิ่งที่ขาดหาย แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
“ข้าชอบ...”
“เช่นนั้น..ข้าจะขยับแล้วนะ”
“อื้ม”
นางพยักหน้ากับซอกคอเขา แก่นกายนั้นแข็งแกร่งราวเสาหินทว่ากลับนำพาความอุ่นร้อนเสียวซ่านที่นางไม่เคยรู้จัก ทุกการเคลื่อนไหวทรงพลังแต่อ่อนโยน นางได้ยินเสียงครางต่ำในลำคอของเขา เสียงหวานครางกระเส่าทำให้หานหรงเหยาขยับเอวสอบเร็วขึ้นและถี่กระชั้นขึ้น ระลอกน้ำไหวกระเพื่อม หลิวเข่อซิงเกาะเกี่ยวเขาแน่นเปล่งเสียงครวญหวานเมื่อถูกส่งให้ถึงจุดสุขสมอีกครั้ง เช่นเดียวกับหานหรงเหยาที่คำรามเสียงต่ำ เขามอบตัวตนให้นางจนหมดสิ้นจนกายสั่นสะท้าน
เขาขยับตัวเล็กน้อย ใช้สองมือประคองใบหน้าที่แดงซ่านของนางไว้ ดวงตากลมมีแววเขินอายแต่ยังคงยิ้มให้
นางเป็นเช่นนี้เสมอ ทุกครั้งที่มองนาง นางจะยิ้มให้เขาเสมอ
“ข้า...ข้ากอดท่านได้ไหม”
“อืม” เขาตอบแล้วเป็นฝ่ายกอดนาง
หลิวเข่อซิงเพิ่งตระหนักได้ว่า นางชอบกอดเขามากเพียงใดและในเวลานี้ที่แนบชิดจนแทบไม่มีช่องว่าง หัวใจของเขาแนบชิดหัวใจของนาง ทำให้นางรู้ว่า...
หัวใจของนางที่เต้นจังหวะเดียวกับหัวใจของเขา.
คฤหาสน์สกุลหาน
“ท่านแม่ พี่รองมาถึงแล้วขอรับ”
หานหลี่เจี๋ยบุตรชายคนเล็กของสกุลหานวิ่งกระหืดกระหอบมารายงานมารดาด้วยตนเอง ทันทีที่คนของตนมารายงานว่าหานหรงเหยา-พี่รองของเขาเข้าประตูเมืองมาแล้ว
“มาถึงแล้วรึ” นางหานเจียอีตื่นเต้นดีใจ ไม่ได้พบหน้าลูกชายคนรองมาสามปี ไม่รู้ซูบผอมมากไปเท่าใดแล้ว ตั้งแต่ได้จดหมายว่าจะกลับเมืองหลวง นางเร่งให้บ่าวไพร่จัดเตรียมห้องหับ แม้ปกติทำความสะอาดเป็นประจำอยู่แล้ว กำชับให้พ่อครัวเตรียมอาหารของโปรดรวมไปถึงต้นไม้ดอกไม้ที่ลูกชายคนรองชอบ กระทั้งกำยานในห้องก็ไม่เว้น ทุกอย่างเตรียมพร้อมสรรพเพื่อต้อนรับหานหรงเหยา
“แม่จะไปรับด้วย” มารดายันกายขึ้นจากเก้าอี้แต่ลูกชายคนโตปรามไว้ก่อน
“ท่านแม่รออยู่ที่นี่เถิด สุขภาพท่านไม่ค่อยดี ประเดี๋ยวหกล้มขึ้นมาจะทำให้หรงเหยาทุกข์ใจ”
“อย่างนั้นรึ...ได้ๆ พวกเจ้าสองคนพี่น้องไปรับเหยาเอ๋อร์แทนแม่ที”
“ขอรับ”
หานลี่จูลูกชายคนโตของสกุลหานรับคำสั่งมารดา เขาปรายตามองภรรยาเล็กน้อย แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น หลัวซู่เหมยกำมือแน่นแต่ใบหน้ายิ้มอ่อนหวานไม่ได้ออกไปต้อนรับเหมือนผู้อื่น นางมีหน้าที่ดูแลแม่สามี หากนางออกไปรับ ‘น้องรอง’ ก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนัก
ไม่ได้พบกันสามปี เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง
หานกั๋วกงกลับจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้พอดีจึงรั้งรออยู่หน้าประตูจวน หานหรงเหยาหัวใจอ่อนแอตั้งแต่เด็ก เขาและภรรยาเฝ้าประคบประหงมลูกชายคนรองในอุ้งมือเพื่อให้มียืนยาวให้มากที่สุด อย่างน้อยก็อย่าให้คนเป็นพ่อแม่ต้องเป็นฝ่ายส่งลูกเลย
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือขอรับ” หานลี่จูเอ่ยทักทายบิดา
“เพิ่งมาถึง” หานกั๋วกงพยักหน้ารับ
“ไม่รู้พี่รองจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด”
หานหลี่เจี๋ยในวัยสิบเจ็ดยื่นหน้ามาแทรกระหว่างพี่ชายคนโตและบิดา เขาเป็นลูกชายคนเล็กที่มารดาตามใจเป็นที่สุด บิดาของเขาไม่มีภรรยารองหรือแม้แต่อนุ ทำให้พวกเขามีกันสามคนพี่น้อง สกุลหานเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่นับร้อยปี บัดนี้หานลี่จูเป็นเสนาบดี ส่วนหานลี่จูเป็นหนุ่มเจ้าสำอางที่บรรดาหญิงสาวในเมืองเฝ้าฝันถึง บิดาอยากให้ลูกชายคนเล็กฝึกฝนตนที่ค่ายทหารสักสองสามปี อย่างน้อยก็จะได้สุขุมมากกว่าทุกวันนี้ เสียดายก็เพียงหานหรงเหยา หากไม่เพราะหัวใจอ่อนแอ เขาจะเป็นบุรุษที่ไม่น้อยหน้าผู้ใด นอกจากใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนแล้วยังเปี่ยมความรู้ความสามารถ กลศึกสงครามที่ชายแดนก็เป็นผลงานของลูกชายคนรอง
องครักษ์ที่ซุนเจ้าเฟิงให้อารักขารถม้าของหานรถเหยานำหน้ามาก่อน ทหารสองนายลงจากหลังม้าประสานมือคารวะหานกั๋วกงแล้วตามด้วยคุณชายทั้งสอง แล้วหันกลับไปรอรถม้าที่เคลื่อนมาอย่างช้าๆ จนหยุดที่ประตูจวนสกุลหานชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้าลง ใบหน้าอ่อนโยนคลี่ยิ้มละมุนแล้วคารวะบิดา“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ น้องเล็ก”“พี่รอง!” หานหลี่เจี๋ยปราดเข้าไปรับพี่ชาย “ในที่สุดพี่รองก็กลับมาเสียที”“ท่านแม่เล่า” หานหรงเหยาอดถามถึงมารดาไม่ได้“ท่านแม่ไม่ค่อยสบาย รอเจ้าอยู่ด้านใน” หานลี่จูยื่นมือไปตบไหล่น้องชาย พลันรู้สึกว่าแขนของหานหรงเหยาเต็มไปด้วยความเนื้อจนอดบีบแรงๆไม่ได้“พี่ใหญ่” หานหรงเหยาประหลาดใจที่หานลี่จูบีบต้นแขนตน แต่เพียงครู่เดียวมือข้างนั้นก็ปล่อยออกแล้วเปลี่ยนมาจับชีพจรของเขาแทน“มีอะไรรึพี่ใหญ่” หานหลี่เจี๋ยรู้ดีว่าพี่รองสุขภาพไม่ดีนักแต่เห็นพี่ใหญ่จับชีพจรหน้าบ้านเช่นนี้ก็อดเป็นกังวลไม่ได้“ไม่มีอะไร” หานลี่จูยิ้มกว้าง “อยู่ชายแดนคงลำบากไม่น้อย”“ไม่เลย หากไม่นับเรื่องการศึกแล้ว นับว่าเงียบสงบและงดงามไม่น้อย”“รู้อย่างนี้ข้าตามพี่รองไปด้วยก็ดี” หานหลี่เจี๋ยยิ้มทะเล้น“พอแล้วๆ เข้าไปคุยในบ้านเถิด แม่เ
มารดาเห็นสายตาของลูกชายและลูกสะใภ้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าพาใครมาด้วยรึ”“ท่านแม่ นางคือ...”“ข้าหลัวเข่อซิง เป็นสาวใช้ของนายท่านเจ้าค่ะ ข้ามาจากชายแดน หากทำกิริยาไม่เหมาะสมขอได้โปรดลงโทษเบาๆ นะเจ้าคะ ข้าเป็นคนเรียนรู้ไว้ จะพยายามไม่ทำผิดเป็นครั้งที่สองสามสี่ห้า”นางพูดรวดเร็วเกรงว่าหานหรงเหยาจะแย่งนางพูดอีก นางจะทำตัวเป็นภาระไม่ได้ แต่ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา“นางตลกดี” หานหลี่เจี๋ยหัวเราะเสียงดัง“หลี่เจี๋ยอย่าเสียมารยาท อย่างไรนางก็เป็นคนของหรงเหยา” หานลี่จูเอ่ยปรามน้องเล็ก แต่สายตายังคงมองที่ภรรยา ราวกับประโยคนี้เขาพูดกับนางมารดาแปลกใจที่เห็นบุตรชายคนรองพาสตรีเข้าบ้าน แม้ปากพูดว่าเป็นหญิงรับใช้ กิริยามารยาทไร้ความเรียบร้อย แต่รูปร่างอรชรและใบหน้างดงามยิ่งนัก ซ้ำยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ไหมสีแดงสวยสดไม่ใช่ชุดของสาวใช้เลยสักนิด เอาเถิด ถ้าปรนนิบัติดูแลลูกชายของนางได้ดี นางก็ไม่คิดก้าวก่าย“เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด สักประเดี๋ยวมากินข้าวด้วยกัน” คนเป็นพ่อพูดขึ้น เขาเป็นบุรุษการเห็นบุตรชายมีสตรีข้างกายก็ไม่นับว่าแปลกอันใด บ้านไหนก็มีสตรีอุ่นเตียงกัน
แค่คิดว่าข้างกายไร้เงาซุกซน หัวใจก็เจ็บแปลบอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ็บปวดมากกว่าครั้งที่เขาสูญเสียหลัวซู่เหมยไปเสียอีก เขาต้องหาทางพูดกับบิดามารดาเรื่องฐานะของหลิวเข่อซิง เพราะไม่ต้องการให้นางเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายอีกแล้ว หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานใบหน้าระบายยิ้มดูงดงามราวเทพธิดาเดินตามแผ่นหลังของคุณชายรองสกุลหาน บ่าวไพร่ต่างลอบมองด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดเรื่องนี้ หานหลี่เจี๋ยเห็นหลิวเข่อซิงเดินตามหลังพี่รองด้วยสายตาตื่นตะลึง แม้เขาไม่ใช่บุรุษเสเพล แต่พบหญิงงามมาไม่น้อย แอบย่องเข้าหอนางโลมก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยพบหญิงงามอย่างหลิวเข่อซิงมาก่อน เขารู้สึกโง่เขลาที่ไม่อาจบรรยายความงามนี้ได้ นางดูไร้เดียงสาและเย้ายวน แม้นางเอ่ยย้ำฐานะว่าเป็น ‘สาวใช้’ แต่เขาเชื่อว่าฐานะของนางในใจพี่รองต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน “สำรวมหน่อยหลี่เจี๋ย” หานลี่จูส่ายหน้าไปมาแล้วพยักหน้าให้หานหรงเหยา “ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเช่นนี้นานมากแล้วจริงๆ” “อืม” หานหรงเหยาขานรับเบาๆ สามปีแล้วที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัว
“รู้สึกว่าสุรายาที่ข้ามอบให้จะทำให้เจ้าแข็งแรงขึ้นจริงๆ”ซุนเจ้าเฟิงอดหยอกสหายไม่ได้ ความจริงเรื่องระหว่างหานหรงเหยากับหลิวเข่อซิงนั้น องครักษ์ที่เขาทิ้งไว้ให้นั้นส่งข่าวมารายงานเป็นระยะๆ แม้ใจอยากเห็นกับตาแต่ก็ต้องทนอดกลั้นไว้ เพราะเกรงว่าสหายจะหน้าบางไม่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้คุ้มค่า “เจ้านี่นะ” หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ “ความจริงข้าตั้งใจไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่เห็นสีหน้าเจ้าในเวลานี้คงไม่มีอะไรให้กังวล เรื่องเจ้ากับหลัวซู่เหมยคงกลายเป็นอดีตไปแล้วสินะ” “ข้ากับนางจบไปนานแล้ว ยามนี้นางคือพี่สะใภ้ข้าและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป” “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ อยู่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ อยากกลับชายแดน จะกลับไปทำแผนที่หุบเขาจื่อเซ่อให้สำเร็จ” “เจ้าจะกลับชายแดนรึ” หานหรงเหยาเบิกตากว้าง “อืม แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยากให้ข้าอภิเษก แต่ข้ายังไม่เจอสตรีถูกใจ”‘สตรีที่เลือกให้ แค่เห็นก็ทำให้ปวดหัว คนอย่างซุนเจ้าเฟิงจะหาสตรีถูกใจไม่ได้เชียวรึ’ “เจ้าจะกลับเมื่อใดกัน” “นี่ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิ
“พี่ใหญ่เคยเชิญท่านหมอมาตรวจพี่สะใภ้แล้วหรือ?” “อืม ก็ให้นางกินยาบำรุงร่างกาย ข้าคิดว่าถ้าเชิญหมอหลวงมาตรวจสุขภาพเจ้าก็จะให้ดูซู่เหมยไปพร้อมกัน” “เป็นเช่นนั้นก็ดี” หานหรงเหยาพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่า เจ้าอย่าพูดเรื่องกลับชายแดนให้ท่านแม่ได้ยินก็พอ” พี่ใหญ่ดักคอไว้อย่างรู้ทัน “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีงานการให้ช่วยแบ่งเบาภาระ กิจการของสกุลหานมีมากมาย ข้าเองก็วุ่นวายจนปลีกตัวไม่ได้ เจ้าหลี่เจี๋ยก็ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต จนป่านนี้ยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันจนท่านพ่ออยากให้เขาไปอยู่ค่ายทหารเผื่อฝึกฝนให้มีความรับผิดชอบ” “ได้ ข้ากลับมาแล้วจะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพี่ใหญ่” “ดีแล้ว” เขาพยักหน้ารับ “เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนเถิด มีอะไรข้าจะให้คนไปตาม” “ขอรับพี่ใหญ่” หานหรงเหยาลุกขึ้นแล้วเดินออกมาเงียบๆ มีเรื่องมากมายที่เขาต้องวางลำดับความสำคัญและจัดการให้ลุล่วง เห็นที่ว่าเขาคงไม่ได้กลับชายแดนง่ายๆ เป็นแน่ ทว่าเมื่อเดินมาถึงเรือนของตนกลับได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านใน หัวคิ้วขมวดยุ่งแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปทั
แต่ละวันนางถูกเรียกใช้งานจนหัวหมุนแต่กระนั้นนางก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ แม้บางมื้ออาหารของนางจะมีเพียงข้าวกับผัดผัก หรือแค่หมั่นโถว แต่นางก็ยังคงแย้มยิ้มอยู่เสมอ ปัญหาเดียวของนางคือกลางวันจะง่วงนอนมาก นางต้องแอบหยิกตัวเองให้ตื่นตลอดเวลา และกลางคืนนางไม่สามารถกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปอุ่นเตียงให้หานหรงเหยา หลิวเข่อซิงตากผ้าเรียบร้อยแล้วก็ก้มมองฝ่ามือขาวซีดของตนเอง เมื่อครั้งที่อยู่หุบเขาจื่อเซ่อนางก็ทำงานเหล่านี้ แลกกับเศษพลังชีวิตที่บรรดาศิษย์พี่มอบให้ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่จวน หานหรงเหยาไม่มีเวลาอยู่กับนางนัก นางไม่คิดน้อยใจอันใด เพราะเขาเป็นคนเก่งมากความสามารถย่อมมีเรื่องต้องทำมาก ทว่าหลังจากเรื่องในคืนนั้น นางยังไม่ได้พบหน้าเขาเลย แต่ได้ยินว่า มารดาของเขาไม่ค่อยสบาย หานหรงเหยาต้องดูแลอย่างใกล้ชิด นางเข้าใจและไม่คิดเรียกร้องเอาสิ่งใด นางตากผ้าเสร็จแล้ว แดดเจิดจ้าเช่นนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเสื้อผ้าก็คงแห้งสนิท ไม่เหมือนที่หุบเขาจื่อเซ่อที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดเวลา นางอ้าปากหาวคำโต แอบมองรอบกายไม่มีผู้อื่นอยู่บริเวณนี้ นางจึงหาที่นั่งเพิ
แม้ได้เพียงเศษพลังชีวิตเล็กน้อยจากหลิวชิงเซียง แต่เข่อซิงก็สดชื่นขึ้นมาก เอาล่ะ! เพื่อให้หานหรงเหยาไม่ต้องเป็นกังวลเพราะนาง นางจะทำหน้าที่สาวใช้ให้ดีที่สุด! นางเดินไปกระโดดไปหวังจะไปช่วยงานบ่าวรับใช้ผู้อื่นอีก ทว่ากลิ่นซาลาเปาไส้เนื้อหอมเย้ายวนชักจูงให้นางเดินไปตามกลิ่น จนมาหยุดตรงหน้าเจ้าซาลาเปาลูกโต นางจ้องเจ้าก้อนขาวๆ พลางแลบลิ้นริมฝีปาก แต่ไม่กล้ายื่นมือไปจับ ดวงตาดลมโตค่อยๆ ช้อนขึ้นมองคนที่ถือซาลาเปาในมือ “คุณชายหานหลี่เจี๋ย” หลิวเข่อซิงยืดตัวขึ้นจ้องมองหานหลี่เจี๋ยที่ยืนยิ้มมองนางอยู่ก่อนแล้ว “เจ้าต้องเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ของข้าเลยหรือ” เขาหัวเราะกับท่าทางไร้เดียงสาของนาง ในมือประคองซาลาเปาสองลูก ยังดีที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อมาไม่อย่างนั้นมือของเขาต้องแดงแน่ๆ “คุณชายสาม...” นางเปลี่ยนคำเรียกใหม่ “ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะ” “มี” เขาพูดหนักแน่น “ยื่นมือมารับซาลาเปาไปเร็วๆ มันร้อน” “เอ๋?” “เร็ว!” “เจ้าค่ะ!” นางยื่นสองมือไปรับซาลาเปา มันยังอุ่นร้อนอยู่จริงๆ นางเอียงคอมองอีกฝ่ายอย
หานหรงเหยาขยับตัวออกห่างเล็กน้อย กวาดตามองทั่วร่างนาง“เจ้าไม่กินพลังชีวิตจากข้ามาหลายวัน เหตุใดเจ้าไม่ดูอ่อนแอเลยสักนิด หรือว่า...” “นั้นเพราะศิษย์พี่แบ่งพลังชีวิตให้ข้ากินเล็กน้อย ข้าจึงฟื้นฟูกำลังตนเองไม่กลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปเสียก่อน” “ศิษย์พี่? ผู้ดูแลหลิวมาที่นี่หรือ?” หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับ “นางบอกว่าท่านแม่เป็นห่วงข้าจึงให้ศิษย์พี่มาดู” หานหรงเหยาผ่อนลมหายใจ เขาคลายมือที่ตรึงข้อมือนางไว้กับบานประตู ทว่าเขาสัมผัสได้ว่า นิ้วมือของนางเปลี่ยนไป ปลายนิ้วลอกและขาวซีด “เหตุใดเจ้าเป็นเช่นนี้” เขาลูบนิ้วมือนางอย่างเป็นกังวล “ข้าจะเชิญหมอมาตรวจดู” “ซักผ้าก็เป็นเช่นนี้แหละ” นางพยายามดึงมือกลับแต่เขาไม่ยอมปล่อย “ตอนอยู่หุบเขาจื่อเซ่อข้าก็ทำงานเหล่านี้ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป” “ทำไมเจ้าต้องไปทำงานซักผ้า ก็ท่านแม่กับซูเหม่ยรับปากว่าจะให้ความเป็นอยู่ที่ดีกับเจ้า” เขาเพิ่งสังเกตว่านางสวมเสื้อผ้ามอซอราวกับขอทาน “พวกเขารังแกเจ้าถึงเพียงนี้ ทำไมไม่มาหาข้า ” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา “ไม่มี