หานหรงเหยาขยับตัวออกห่างเล็กน้อย กวาดตามองทั่วร่างนาง
“เจ้าไม่กินพลังชีวิตจากข้ามาหลายวัน เหตุใดเจ้าไม่ดูอ่อนแอเลยสักนิด หรือว่า...”
“นั้นเพราะศิษย์พี่แบ่งพลังชีวิตให้ข้ากินเล็กน้อย ข้าจึงฟื้นฟูกำลังตนเองไม่กลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปเสียก่อน”
“ศิษย์พี่? ผู้ดูแลหลิวมาที่นี่หรือ?”
หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับ “นางบอกว่าท่านแม่เป็นห่วงข้าจึงให้ศิษย์พี่มาดู”
หานหรงเหยาผ่อนลมหายใจ เขาคลายมือที่ตรึงข้อมือนางไว้กับบานประตู ทว่าเขาสัมผัสได้ว่า นิ้วมือของนางเปลี่ยนไป ปลายนิ้วลอกและขาวซีด
“เหตุใดเจ้าเป็นเช่นนี้” เขาลูบนิ้วมือนางอย่างเป็นกังวล “ข้าจะเชิญหมอมาตรวจดู”
“ซักผ้าก็เป็นเช่นนี้แหละ” นางพยายามดึงมือกลับแต่เขาไม่ยอมปล่อย “ตอนอยู่หุบเขาจื่อเซ่อข้าก็ทำงานเหล่านี้ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป”
“ทำไมเจ้าต้องไปทำงานซักผ้า ก็ท่านแม่กับซูเหม่ยรับปากว่าจะให้ความเป็นอยู่ที่ดีกับเจ้า” เขาเพิ่งสังเกตว่านางสวมเสื้อผ้ามอซอราวกับขอทาน “พวกเขารังแกเจ้าถึงเพียงนี้ ทำไมไม่มาหาข้า ”
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา “ไม่มีใครรังแกข้า ข้ายินดีทำงานเหล่านั้นเอง”
“เจ้ายังแก้ตัวแทนพวกเขาอีกหรือ” เขาปวดใจเหลือเกิน ไม่คิดว่าคนในครอบครัวจะทำกับนางเช่นนี้ ทั้งที่เขากำชับว่านางเป็น ‘คนพิเศษ’ ของเขา ขอเพียงท่านแม่แข็งแรงขึ้นและเขาช่วยสะสางงานของพี่ใหญ่ ทุกคนจะไม่กีดกันเรื่องระหว่างเขากับหลิวเข่อซิง
“ท่านอย่าโกรธพวกเขาสิ พวกเขาเป็นครอบครัวของท่านนะ”
“ไม่ได้ พวกเขาไม่ให้เกียรติเจ้าก็เท่ากับหมิ่นเกียรติข้าเช่นกัน ข้าไม่สนใจเรื่องใดทั้งสิ้น เราไปจากที่นี่ไปจากเมืองหลวง อยู่ชายแดนด้วยกันเหมือนแต่เดิม หรือถ้าเจ้าไม่ชอบ เจ้าอยากไปที่ใด เราเดินทางท่องเที่ยว ค่ำไหนนอนนั้น หาที่สักที่ปักหลักเลี้ยงชีพ ข้าพอมีความรู้ สอนหนังสือแลกเงินได้ ไม่ทำให้เจ้าลำบาก”
นางผ่ายผอมลงด้วยใช่ไหม เพราะเขาแท้ๆ ที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้
“ไม่ได้นะ” เข่อซิงส่ายหน้ารัวๆ “ข้าเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติพี่น้อง แม้ท่านแม่เอ็นดูมอบพลังให้ร่างกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่...แต่ข้าก็ไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกับพวกเขา ท่านมีครอบครัวที่ดี มีบิดามารดาที่ควรกตัญญู มีพี่ชายน้องชายที่ห่วงใย มีพี่สะใภ้ที่ใส่ใจ บ่าวรับใช้ในจวนก็เทิดทูนท่าน พวกเขาคือสิ่งล้ำค่าของท่าน ท่านไม่ควรโกรธหรือไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้า”
เห็นเขาอ้าปากจะโต้เถียง นางรีบยื่นมือไปประคองใบหน้าแล้วเขย่งปลายเท่าขึ้นใช้ริมฝีปากปิดปากไม่ให้เขาพูดจาเหลวไหลอันใดอีก
สำหรับนางแล้ว เขาสำคัญที่สุด และครอบครัวของเขาก็คือครอบครัวของนาง นางจะให้เขาต้องสูญเสียครอบครัวไปเพราะนางเป็นอันขาด
ชายหนุ่มครางเสียงต่ำในลำคอ นางงับริมฝีปากของเขาก่อนแทรกลิ้นน้อยๆ เข้ามาในโพรงปากหยอกเย้าลิ้นร้อนของเขา มือแกร่งโอบรัดร่างเล็กไว้แนบแน่นจนปลายเท้าลอยเหนือพื้น เมื่อเป็นฝ่ายจูบนางกลับบ้าง
“คิดถึงข้าบ้างไหม” หานหรงเหยาถามเสียงพร่า ปลายนิ้วคลายสายรัดเอวของนางออก เผยทรวงอกกลมกลึงขาวผ่องที่เคยสัมผัส
“อืม” นางครางตอบเสียงแผ่ว ปลายนิ้วของเขาสร้างความหวามไหวไปทั่วร่าง
“ซิงเอ๋อร์” เขาเรียกนางอย่างสนิทสนม ทำราวกับไม่ได้ยินคำตอบของนาง ปลายนิ้วไล้บัวคู่งามทำเอาร่างบอบบางสั่นสะท้าน “ว่าอย่างไร เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือเปล่า”
ถูกเย้ายวนจนไม่อาจทนได้ เข่อซิงครางเสียงหวานพลางพยักหน้ารับ
“คิด...คิดถึง ขะ ข้า คิดถึงท่าน”
เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ต้องการ หานหรงเหยาก็ช้อนร่างเล็กอุ้มตัวลอยพานางเข้าไปในห้องนอน เพียงแผ่นหลังสัมผัสฟูกนอน ความเขินอายก็ทำใบหน้างามผ่าวร้อน ดวงตากลมจ้องมองชายหนุ่มที่ผละจากร่างนางแล้วเปลื้องเสื้อผ้า ดูภายนอกหานหรงเหยาเป็นผู้ชายรูปแบบบาง แต่เมื่อถอดเสื้อผ้าออกกลับเผยแผงอกกำยำและท่อนขาที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ นางมองเขาจนแทบลืมหายใจจนกระทั่งเขาทาบร่างกายลงมาแล้วจูบนางอีกครั้ง
“ยัง...ยังสว่างอยู่...เลย” หลิวเข่อซิงขยับตัวพยายามถอยหนี แต่นิ้วมือร้ายผลักเสื้อผ้าออกจากร่างนางอย่างรวดเร็ว
“ตอนอยู่ในรถม้าก็สว่างเช่นนี้ ไม่เห็นเจ้าห้ามเลยนี่” เขายิ้มยั่วเย้า
“เพราะท่าน...ท่านยั่วยวนข้า...”
“ได้ เป็นความผิดข้าเอง” เขาก้มลงจูบตำแหน่งหัวใจ สองมือกอบกุมทรวงอกขาวผ่องแล้วส่งปลายถันเข้าในอุ้งปาก ดูดดึงสลับไล้เลียจนหญิงครางเสียงหวานด้วยความเสียวซ่าน กลิ่นหอมละมุนจากกายสาวปลุกเร้าเลือดในกายให้เดือดพล่าน ลิ้นร้อนปรนเปรอปลายถันทว่ากลับทำให้ดอกไม้สาวหลั่งน้ำหวานจนฉ่ำเยิ้ม ชายหนุ่มเลื่อนมือข้างหน้าลูบไล้ผิวกายอ่อนนุ่มสัมผัสกับดอกไม้สาวที่ผลิกลีบรอการสัมผัส
“อื้อ...ท่าน...” หลิวเข่อซิงบิดกายเร่า เขาละจากยอดอกของนางแต่พรมจูบทั่วหน้าท้องจนถึงจุดอ่อนไหวของกายสาว เรียวขาขยับแยกออกอย่างรอคอย และเขาก็มอบความเสียวซ่านรัญจวนด้วยปลายลิ้นหยอกเย้ากลีบดอกไม้สาว หัวสมองขาวโพลนไปหมด นางไม่อาจคิดสิ่งใดได้อีก แต่กระนั้นสะโพกผายก็ยกขึ้นเพื่อรับสัมผัสของเขา มันช่างน่าอายแต่เย้ายวนจนไม่อาจต้านทานได้ เขาใช้ลิ้นแยกกลีบดอกไม้สาวเพื่อค้นพบไข่มุกล่ำค่าที่ซ่อนอยู่ เพียงการขบเม้มเบาๆ ก็เรียกเสียงครวญครางให้ดังขึ้น เขาเร่งเร้าส่งนางให้ถึงจุดสุขสม ร่างอ่อนนุ่มที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อถึงกับเกร็งกระตุกและหวีดร้องออกมา
หานหรงเหยาหยัดกายเหนือร่างที่หอบหายใจแรง ริมฝีปากของเขายังเปื้อนคราบวาวใส หญิงเขินอายไม่กล้าสบตา ผิวกายนางแดงระเรื่อ เขาโน้มตัวลงจูบกลีบปากหวาน ให้นางได้รับรู้รสชาติน้ำรักของตนเอง เขาอยากอ่อนโยนกว่านี้ แต่ไม่อาจต้านทานความปรารถนาที่เอ่อล้นนี่ได้ ประคองแก่นกายที่แข็งขันเข้าสู่กายสาวที่ยังสั่นระริก ร่างที่เริ่มผ่อนคลายกลับเกร็งขึ้นมาอีกครั้งและหวีดร้องเมื่อเขาส่งตัวตนเข้าไปจนสุดทาง
“อ๊า!”
เสียงร้องครางอยู่ในปากของชายหนุ่ม เขาขยับสะโพกสอบอย่างช้าๆ แม้จะร้อนรุ่มไปทั้งตัว และเหมือนจะมอดไหม้หากไม่ครอบครองนาง ความปรารถนาควบคุมการเคลื่อนไหวของเรือนร่าง เขาผละจากริมฝีปากสวยแล้วคำรามในลำคอ ขณะโยกเอวหนักหน่วงจนร่างนางสั่นไหวตามแรงกระแทก มือกร้านยื่นไปบีบเคล้นทรวงอก หญิงสาวเสียวซ่านได้แต่บิดกายรับแรงปรารถนาของเขา ผนังอ่อนนุ่มโบรัดแก่นกายบุรุษแน่น เขาดื่มด่ำกับความเสียวซ่านที่ได้รับ ขยับเอวเร็วขึ้นจนร่องรักรัดรึงด้วยถึงจุดสุขสมอีกครั้ง
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางไม่อาจรับความเสียดเสียวนี้ได้อีก ร่างกายสั่นระริกและหอบหายใจจนตัวโยน เสียงหายทางปากเป็นเสียงครางปนสะอื้น หานหรงเหยายื่นมือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าแล้วยิ้มอ่อนโยน“อดทนหน่อยนะ ภรรยาตัวน้อยของข้า”หลิวเข่อซิงยังหูอื้อตาพร่า เห็นเพียงปากเขาขยับแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร มือใหญ่จับเรียวขาขึ้นพาดบ่าแล้วเริ่มขยับเอวสอบนำพาความเสียวซ่านมาอีกครั้ง เข่อซิงสะบัดหน้าไปมา คงเพราะอัดอั้นมานานทำให้ชายหนุ่มใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง แก่นกายของเขายังแข็งแกร่งและดุดัน เข่อซิงร้องครางจนเสียงแหบแห้งอย่างน่าสงสาร แต่เขาก็ยังโยกเอวถี่กระชั้น ร่างกายหญิงสาวร้อนเร่ายิ่งกว่าเดิมหลั่งน้ำหวานอาบไล้แก่นกายของเขาจนฉ่ำเยิ้มเปื้อนเปรอะต้นขา กลิ่นหอมหวานเย้ายวน ความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่างรวมถึงปลายนิ้วเท้า ช่องทางอ่อนนุ่มรัดแน่นส่งให้ชายหนุ่มไม่อาจอดทนได้อีก เขาส่งแก่นกายเข้าไปจนสุดรัดเอวนางไว้แนบแน่นและปลดปล่อยน้ำรักขาวขุ่นออกมาในที่สุดเสียงคำรามครางสุขสมและน้ำรักอุ่นร้อนของหานหรงเหยาทำให้นางรู้ว่าเขาถึงปลายทางแล้ว ชายหนุ่มมองคนใต้ร่างที่หอบหายใจแรง ดวงตากลมโตมีคราบน้ำตาฉ่ำวาว เขาโน้มหน้
เมื่อถึงถนนเส้นหลัก หลิวชิงเซียงก็ลงมาเดินเหมือนคนปกติทั่วไป ในหัวครุ่นคิดเรื่องหลิวเข่อซิงจนไม่รู้ว่ามีบุรุษยืนขวางทางเดินอยู่ นางหงุดหงิดใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตวัดสายตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ทว่าคนที่ถูกสายตาพุ่งเข้าใส่ราวกับลูกธนูกลับคลี่ยิ้มอย่างพอใจ ใบหน้างามยามขึงตาใส่กลับยิ่งชวนให้ลุ่มหลงเสียจริง “ไม่คิดว่าจะได้พบกับผู้ดูแลหลิวที่เมืองหลวง” ซุนเจ้าเฟิงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางกะพริบตาแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวานแต่รอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา ย่อกายคารวะบุรุษตรงหน้า “คารวะองค์ชายสามเพคะ” แม่ทัพใหญ่อดกวาดตามองหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวใบไผ่ นางไม่ได้แต่งกายสีสันฉูดฉาดแต่กลับขับเน้นให้นางดูสูงส่งทั้งที่นางมาจากหอนางโลม“ไม่เอาน่า อย่าทำเป็นคนอื่นเลย เจ้ากับข้าก็คุ้นเคยกันตั้งแต่อยู่ชายแดน” เขาโบกมือไปมาแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “หรือว่าผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวงเพราะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” “หรืออาจเป็นเพราะองค์ชายที่มีใจถวิลหาหม่อมฉัน จนมาพบกันกลางถนนเช่นนี้” แม้นางจะแสดงท่าทีอ่อนน้อมแต่แววตากลับตรงข้าม
บิดามารดาลอบสบตากันแล้วถอนหายใจ บุตรชายคนรองนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับหญิงสาวที่บุตรชายประกาศว่าจะแต่งเป็นภรรยา ที่ผ่านมาสองภรรยาหวังใจให้ลูกชายได้แต่งงานมีครอบครัวเฉกเช่นผู้อื่น แต่เพราะหัวใจที่อ่อนแอแต่กำเนิด คอยประคับประคองชีวิตให้ผ่านแต่ละวันได้ก็แสนยากเข็น ที่สำคัญ พวกเขาก็เคยทำร้ายจิตใจหานหรงเหยามาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งที่รู้ว่าหานหรงเหยามั่นรักกับหลัวซู่เหมย แต่สองตระกูลก็ลงความเห็นว่า ควรให้นางเข้าสกุลหานด้วยการแต่งงานกับหานลี่จู ครั้งนั้นหานหรงเหยาถึงกับไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีก แม้ปากเอ่ยแสดงความยินดีแต่ในใจย่อมเจ็บปวด ประจวบกับองค์ชายสามเปรยว่าต้องการกุนซือช่วยวางแผนการรบที่ชายแดน หานหรงเหยาฝืนคำห้ามปรามของบิดาเดินทางเข้ากองทัพในฐานะที่ปรึกษา แรกทีเดียวคิดว่าหานหรงเหยาจะอยู่เพียงไม่กี่เดือน แต่กลายเป็นสามปีไม่กลับบ้าน มีเพียงจดหมายโต้ตอบและคอยส่งยาให้ต้มดื่มเป็นประจำ คนเป็นพ่อแม่ย่อมดีใจที่รู้ว่าลูกชายจะแต่งงาน ทว่าหากหญิงสาวที่ลูกเลือกสมฐานะกันสักหน่อยคงไม่มีปัญหาอันใด แต่หญิงสาวที่หานหรงเหยาต้องการให้เป็นภรรยา เป็นหญิงกำพร้าที่ไม่รู้หัว
“นั้นสินะ ตอนนั้นหลี่เจี๋ยยังอ้อนวอนขอขี่คอลี่จูเพื่อไปเก็บว่าวที่ติดอยู่บนกิ่งไม้อยู่เลย” มารดาหัวเราะออกมา “วันนี้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว” “เสียดายก็แต่ซู่เหมย แต่งมาสามปียังไม่มีบุตร แต่นางก็ไม่เคยบกพร่องเรื่องใดเลย ข้าเองก็เห็นใจนางที่ต้องหาอนุให้ลี่จู” “หรงเหยาสุขภาพดีวันดีคืน ให้เขากลับมาช่วยดูแลเรื่องในจวน ลี่จูจะได้มีเวลาเอาใจซู่เหมย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็คงต้องครรภ์” “นั้นสินะ”“เจ้าก็ต้องรักษาตัวให้แข็งแรง จะได้มีแรงอุ้มหลาน”สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างมีความหวัง คนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากเห็นลูกๆ มีความสุข และจะดียิ่งถ้าได้มีชีวิตอยู่เลี้ยงดูหลานๆหลัวซู่เหมยชักมือกลับจากมือสามีที่เกาะกุมอย่างหลวมๆ นางยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามีธุระเล็กน้อย จะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมขอพรเรื่องมีลูกเจ้าค่ะ”“เจ้าไปเถิด” เขายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบผมของนางอย่างรักใคร่พลางก้มหน้ากระซิบได้ยินเพียงสองคน “คงปวดใจมากสินะที่เห็นหรงเหยาแต่งงาน”“ท่าน!” หลัวซูเหมยขึงตาใส่ หานลี่จูยังคงยิ้มอ่อนโยนแต่ดวงตามีแววเยาะเย้ย“ลำบากเจ้าแล้ว”หานหรงเหยาและเข่อซิงที่เดินตามออก
“ยินดีด้วยๆ ข่าวมงคลเช่นนี้ ข้าขอแสดงความยินดีจากใจจริง”หานหรงเหยาเพียงแค่ยิ้มรับ ยังไม่ทันเอ่ยเล่าสิ่งใด บานประตูก็เปิดออก ร่างอรชรของหลิวชิงเซียงก็ก้าวเข้ามา นางคารวะซุนเจ้าเฟิงอย่างเต็มพิธีแล้วจึงย่อกายคารวะหานหรงเหยา“คารวะองค์ชายสามเพคะ ที่ปรึกษาหาน”ซุนเจ้าเฟิงสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจที่นางวางตัวเหินห่างแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากโบกมือไปมา “เพิ่งรู้ว่าผู้ดูแลหลิวเล่นเพลงพิณได้ไพเราะยิ่งนัก เห็นทีโอกาสหน้าข้าต้องขอมาฟังเจ้าบรรเลงพิณที่นี่อีก”“หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ที่นี่ก็มีนักดนตรีเล่นพิณได้ไพเราะหลายคน องค์ชายสามชอบก็เชิญมาฟังได้ทุกเวลาเพคะ”หลิวเข่อซิงกระตุกแขนเสื้อหาหานหรงเหยาแล้วเอ่ยถาม “ข้าต้องพูดกับเจ้าคนนิสัยไม่ดีเหมือนศิษย์พี่หรือไม่”“ไม่ต้อง! ข้าไม่ชอบ!” ซุนเจ้าเฟิงรีบตอบทันที “แต่ห้ามเรียกข้าว่า ‘เจ้าคนนิสัยไม่ดี’อีก ถ้าข้านิสัยไม่ดีจริง เจ้าไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอก”“ความจริงเรียกคนนิสัยไม่ดีก็ถูกแล้ว คนนิสัยดีที่ไหนมาทวงบุญคุณผู้อื่นกันเล่า” หลิวเข่อซิงบ่นพึมพำ“นี่เจ้ากล้าว่าข้ารึ ถ้าไม่ใช่เพราะร้อยตำลึงของข้า นางก็คงอยู่ในหอนางโลมที่ชายแดนนั้น”“ถ้า
“นี่ท่านไม่รู้รึ เดิมที่หัวใจก็อ่อนแออยู่แล้ว แต่ร่างกายกลับได้รับพิษทำให้ร่างกายเย็นกว่าคนปกติทั่วไป ข้าเองไม่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษา แต่เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้น หากบำรุงตัวเองให้ดีอีกครึ่งปีท่านก็จะหายเป็นปกติ” หลิวชิงเซียงหัวเราะน้อยๆ แล้วรินน้ำชาให้ตนเอง“ขอพูดตามตรง ปีศาจอย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะชอบมีเรื่องกับมนุษย์ พวกเรากินพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้ถึงตาย ก็เหมือนที่มนุษย์เลี้ยงสัตว์เล็กๆ ไว้เป็นอาหาร ปีศาจอย่างพวกเราก็สามารถเลี้ยงมนุษย์ไว้ค่อยๆ กินพลังชีวิตของพวกเขาไปเรื่อยๆ หากเข่อซิงกินพลังชีวิตของท่านอย่างพอเหมาะ ข้ารับรองได้ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีกห้าสิบปี แต่ถ้าท่านเที่ยวเอาชีวิตไปเสี่ยงคมหอกคมดาบเหมือนสหายของท่าน ไม่ต้องพึ่งหมอดูที่ไหนข้าก็ทำนายได้ว่าไม่ได้แก่ตายอย่างแน่นอน”“ศิษย์พี่หมายความว่า...เขาจะไม่ตายเพราะข้าใช่ไหม”“มีผู้ใดหนีความตายได้บ้างเล่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้า สักวันก็ต้องตายแต่ข้าอยู่มาห้าร้อยห้าสิบปี เจ้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปี อย่างไรก็มีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์อยู่แล้ว”“เรื่องดีจริงๆ ขอบคุณผู้ดูแลหลิวที่ให้ความกระจ่างแก่ข้ากับเข่อซิง”“หา
นิ้วเรียวยาวแยกกลีบดอกไม้ที่คล้ำไปเล็กน้อยแต่ภายในยังคงคับแน่นดึงดูดผีเสื้อหนุ่ม ฟันคมขบกัดที่ยอดอกจนเปียกชุ่มและบวมขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่สองนิ้วแทรกในร่องรักที่บีบรัด เร่งเร้าให้คายน้ำหวานออกมา หานลี่จูถอนริมฝีปากจากเต้าคู่งามที่ช้ำเป็นจ้ำเลือดเพราะริมฝีปากของเขา แล้วยื่นหน้าไปกระซิบเสียงพร่า “เจ้าคิดถึงหรงเหยาอยู่สินะ แต่ร่างกายเจ้าเป็นของข้า ต่อให้เจ้าตายก็ยังเป็นคนของข้า” หลัวซู่เหมยได้แต่ครางสะอื้นร่างกายเกร็งกระตุกด้วยนิ้วร้ายของเขา หานลี่จูดึงนิ้วออกจากร่องรักแล้วดึงผ้าออกจากปากนาง ส่งนิ้วที่เปื้อนคาวรักส่งเข้าในไปโพรงปากที่น้ำลายเปื้อนเปรอะมุมปาก หยดน้ำตาใสหลั่งริน เขาขยับนิ้วเข้าออกในโพรงปากสวยหรี่ตามองราวกับปีศาจร้ายไม่เหลือเค้าบุรุษผู้อ่อนโยนที่ใครต่อใครกล่าวถึง มือข้างหนึ่งกระตุกสายรัดเอวแล้วปลดกางเกงให้เลื่อนลงเผยแก่นกายที่แข็งขัน เขาจับมือนุ่มมากุมลำเอ็นของตนแล้วกุมมือนางอีกทีเพื่อชักนำให้นางขยับมือสาวแก่นกายที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ หานหลี่จูครางเสียงต่ำในลำคออย่างพอใจ กวาดนิ้วในโพรงปากของนางและเย้าแย่ลิ้นน้อยๆ นางครางปนสะอื้นแล้วเ
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ทำให้หานลี่จูตื่นจากภวังค์ เขาหมุนตัวกลับไปก็พบหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินจับมือกันเข้ามาทางเขาพอดี “พี่ใหญ่” หานหรงเหยาเอ่ยทักทาย หลังจากพบหลิวชิงเซียงแล้ว เขาก็พาเข่อซิงเที่ยวเล่นในเมืองจึงกลับเข้าจวนค่ำมืดไปหน่อย “พวกเจ้าเพิ่งกลับมากันรึ” “ขอรับ” หานหรงเหยายิ้มแล้วก้มมองเข่อซิงที่มือข้างหนึ่งยังถือขนมถังหูลู่อยู่ “นางติดตามข้าเข้าเมืองหลวงมาเกือบเดือนแล้ว ข้าไม่มีเวลาพานางไปเที่ยวชมเมืองหลวงเลย วันนี้พอมีเวลาจึงพานางเดินชมตลาด” หานลี่จูยิ้มให้น้องชายแล้วเดินเข้าใกล้ ภายใต้แสงสลัวคือใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นพี่ ทว่าหลิวเข่อซิงกลับตัวเกร็งขึ้นมาแล้วค่อยๆ ขยับตัวใช้ร่างของหานหรงเหยาบังตนเองไว้ “เข่อซิง เจ้าทำอะไร” หานหรงเหยาหัวเราะน้อยๆ เข้าใจว่านางคงกลัวพี่ใหญ่จะตำหนินาง “เข่อซิง” หานลี่จูเรียกนางปนหัวเราะ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มาเป็นน้องสะใภ้ของข้าแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรือซู่เหมยเลย หรือแม้แต่หลี่เจี๋ยก็ด้วย พวกเราแม้เกิดในตระกูลหานอันเป็นตระกูลเก