“นั้นสินะ ตอนนั้นหลี่เจี๋ยยังอ้อนวอนขอขี่คอลี่จูเพื่อไปเก็บว่าวที่ติดอยู่บนกิ่งไม้อยู่เลย” มารดาหัวเราะออกมา “วันนี้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว”
“เสียดายก็แต่ซู่เหมย แต่งมาสามปียังไม่มีบุตร แต่นางก็ไม่เคยบกพร่องเรื่องใดเลย ข้าเองก็เห็นใจนางที่ต้องหาอนุให้ลี่จู”
“หรงเหยาสุขภาพดีวันดีคืน ให้เขากลับมาช่วยดูแลเรื่องในจวน ลี่จูจะได้มีเวลาเอาใจซู่เหมย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็คงต้องครรภ์”
“นั้นสินะ”
“เจ้าก็ต้องรักษาตัวให้แข็งแรง จะได้มีแรงอุ้มหลาน”
สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างมีความหวัง คนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากเห็นลูกๆ มีความสุข และจะดียิ่งถ้าได้มีชีวิตอยู่เลี้ยงดูหลานๆ
หลัวซู่เหมยชักมือกลับจากมือสามีที่เกาะกุมอย่างหลวมๆ นางยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามีธุระเล็กน้อย จะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมขอพรเรื่องมีลูกเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปเถิด” เขายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบผมของนางอย่างรักใคร่พลางก้มหน้ากระซิบได้ยินเพียงสองคน “คงปวดใจมากสินะที่เห็นหรงเหยาแต่งงาน”
“ท่าน!” หลัวซูเหมยขึงตาใส่ หานลี่จูยังคงยิ้มอ่อนโยนแต่ดวงตามีแววเยาะเย้ย
“ลำบากเจ้าแล้ว”
หานหรงเหยาและเข่อซิงที่เดินตามออกมาเห็นเพียง พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้กระซิบพูดคุยก็หยุดยืนมอง หัวใจเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดกับภาพตรงหน้าอีกแล้ว เห็นพี่ใหญ่ห่วงใยหลัวซู่เหมยอย่างดี เขากลับสบายใจ ก้อนหินที่เคยกดทับหัวใจเขามันสลายหายไปตั้งแต่เมื่อใดกัน ปลายแขนเสื้อของเขาถูกกระตุก หานหรงเหยาก้มมองหญิงสาวที่ยืนเคียงข้าง นางส่งยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกาย คงเป็นนางสินะ ที่ทำให้หัวใจของเขาไม่เจ็บปวดอีกแล้ว
"ในที่สุด เจ้าก็จะมาเป็นพี่สะใภ้ข้าแล้วนะ" หานหลี่เจี๋ยยื่นมือไปแตะไหล่เข่อซิงเบาๆ “คราวนี้เจ้าไม่ต้องแย่งซาลาเปาข้าแล้ว”
“ข้าเคยแย่งของเจ้าที่ไหน” นางทำปากยื่น “เจ้าให้ข้าเองนะ”
“ข้าจะให้เจ้าลูกเดียวแต่เจ้าคว้าไปสองลูกเลยต่างหากล่ะ” หาน หลี่เจี๋ยฟ้องพี่รอง “พี่รอง ท่านมีภรรยาแล้วอย่าลืมน้องชายคนนี้ล่ะ”
“พูดจาเหลวไหล” หานหรงเหยาหัวเราะออกมาแล้วพูดกับหานลี่จู “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าขอเกเรไม่ไปช่วยงานท่านสักวัน พรุ่งนี้ข้าจะทำงานชดเชยให้”
“มีอะไรก็ไปทำเถิด” หานลี่จูส่งยิ้มให้น้องชายทั้งสองแล้วโอบไหล่ภรรยาอย่างรักใคร่
หลิวเข่อซิงส่งยิ้มให้หลัวซู่เหมยอย่างจริงใจ จนป่านนี้นางก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลัวซู่เหมยจึงชิงชังนางนัก แม้กระทั่งตอนนี้ นางก็ยังสัมผัสได้
“ไปเถิดเข่อซิง” หานหรงเหยากุมมือนางไว้ ไออุ่นจากฝ่ามือของเขาทำให้หลิวเข่อซิงสลัดความคิดเรื่องหลัวซู่เหมยทิ้งไป
“ไปไหนเจ้าคะ”
“เจ้าบอกว่าผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวงใช่ไหม” เขาถามขณะพานางเดินออกมาจากบริเวณนั้น
นางพยักหน้าแต่ยังมองเขาด้วยแววตาสงสัย
“ข้าคิดว่าจะไปพบนางเสียหน่อย มีเรื่องอยากปรึกษา” เขาอยากรู้ว่าที่เขาแข็งแรงขึ้นนี้เกี่ยวกับเข่อซิงหรือไม่ ทำไมเขาไม่อ่อนแอลงอย่างที่หลิวเข่อซิงเป็นกังวล
“ปรึกษาเรื่องใด” เข่อซิงยังงุนงงตามเขาไม่ทัน
“เจ้าจะเป็นภรรยาข้า ข้าก็ต้องปรึกษาผู้ดูแลหลิวหรืออย่างน้อยก็ต้องแจ้งข่าวให้ท่านแม่ของเจ้าทราบ”
“เรื่องนั้น...” นางลืมไปเสียสิ้น นางเป็นกำพร้าแต่ ‘ท่านแม่’ ก็ชุบชีวิตนางให้กลายร่างเป็นมนุษย์ แม้นางเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำแต่ ‘ท่านแม่’ ก็เลี้ยงดูนางมา วันนี้นางจะออกเรือนแล้ว อย่างไรก็ต้องแจ้งข่าวให้ ‘ท่านแม่’ รับรู้จะดีกว่า
“พวกเจ้าจะไปพบหลิวชิงเซียงเหรอ”
หานหรงเหยาประหลาดใจที่เห็นซุนเจ้าเฟิงมาเยือนถึงจวน ตั้งแต่กลับมาพบกันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่เป็นครั้งแรกที่องค์ชายสามมาถึงจวน
“เจ้ามาเมื่อไหร่กัน”
“ก็ทันได้ยินเจ้าพูดว่าจะไปพบผู้ดูแลหลิว”
“ไว้ครั้งหน้าเถิด วันนี้ไม่สะดวกนัก” เพราะคิดจะพูดคุยหลิวเข่อซิงจึงไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอกแดง
“อะไรกัน ข้ากับเจ้าเป็นสหายกันนะ เราผ่านศึกสงคราม ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน แค่ข้าขอตามเจ้าไป เอ่อ..พบผู้ดูแลหลิวด้วยไม่ได้หรือไง”
หลิวเข่อซิงหลุดหัวเราะออกมา ไม่คิดว่าจะได้เห็น ‘คนนิสัยไม่ดี’ ต้องมาอ้อนวอนหานหรงเหยาเช่นนี้
หานหรงเหยาถอนหายใจเบาๆ เห็นทีเขาคงปฏิเสธไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นคงผิดปกติทำให้ซุนเจ้าเฟิงจับพิรุธได้
ปลายนิ้วพร่างพรมราวร่ายมนตร์เกิดเสียงพิณสะกดใจผู้คน สาวใช้เดินนำทางคนทั้งสามไปที่ห้องพิเศษ ซุนเจ้าเฟิงถึงกับลมหายใจสะดุดเมื่อหลิวชิงเซียงเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาพอดี ใบหน้างามไร้รอยยิ้มแต่เขาเห็นแววตาเป็นประกายเล็กน้อย เมื่อครั้งอยู่ชายแดนเคยได้ยินว่า หญิงงามที่หอชมบุหลันบรรเลงเพลงพิณได้ไพเราะยิ่งนัก หรือนางจะคือคนที่ผู้คนกล่าวถึง
“เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้คนเดิมเรียกซุนเจ้าเฟิงอีกครั้งทำให้ชายหนุ่มได้สติ เดินตามขึ้นไปชั้นสองของเรือนดอกท้อ แม้จะไม่ใช่หอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่เล่าลือกันว่าหญิงงามที่นี้นอกจากรูปโฉมงดงามแล้วยังมากความสามารถ ที่สำคัญต้อนรับเฉพาะขุนนางและเศรษฐีเท่านั้น
ห้องพิเศษถูกตบแต่งเรียบง่ายกว่าที่หานหรงเหยาคิด ทว่าข้าวของเครื่องใช้ล้วนเป็นของดีราคาสูง หลิวเข่อซิงเดินไปโต๊ะกลมมีของว่างวางรออยู่ก่อนแล้ว
“อีกสักครู่แม่นางหลิวชิงเซียงจะมาพบเจ้าค่ะ”
“ข้ากินได้ไหม” หลิวเข่อซิงชี้ไปที่ขนมบนโต๊ะ
“เชิญเจ้าค่ะ”
สาวใช้ออกไปแล้ว หลิวเข่อซิงจึงเอื้อมมือหยิบขนมดอกกุ้ยขึ้นมากัดกิน หานหรงเหยายิ้มเอ็นดู ยื่นนิ้วโป้งไปเช็ดมุมปากให้นาง แต่ซุนเจ้าเฟิงทำหน้าเหย รู้สึกหวานเลี่ยนพิลึกจนต้องรินน้ำชาให้ตนเอง
“พวกเจ้านี่นะ” ซุนเจ้าเฟิงเบ้ปากใส่ แต่หลิวเข่อซิงไม่ยอมแพ้แลบลิ้นโต้กลับ ซุนเจ้าเฟิงไม่ใช่คนไม่โต้กลับ เขาแย่งขนมดอกกุ้ยมาแล้วยัดเข้าปากทันที
“เจ้าคนนิสัยไม่ดี!”
“อบรมนางหน่อยสิ หรงเหยา นางเป็นสาวใช้ของเจ้าไม่ใช่เหรอ”
“นางไม่ใช่สาวใช้แล้ว” หานหรงเหยาเป็นคนกลางได้แต่หัวเราะอย่างอ่อนใจ ใครจะกล้าคิดว่าแม่ทัพใหญ่พิทักษ์ชายแดนจะมาทะเลาะกับหญิงสาวตัวเล็กๆ อย่างนางได้เล่า “นางเป็นว่าที่ภรรยาของข้า”
“ภรรยา...เจ้าจะแต่งงานกับนาง” ซุนเจ้าเฟิงเบิกตากว้าง “บิดามารดายอมรับนางแล้วรึ”
คำถามตรงไปตรงมาและสีหน้าไม่เชื่อของซุนเจ้าเฟิงทำให้เหลิวข่อซิงหน้าหมองลงทันที แม่ทัพหนุ่มรู้ตัวว่าพลาดไปแล้วจึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“ยินดีด้วยๆ ข่าวมงคลเช่นนี้ ข้าขอแสดงความยินดีจากใจจริง”หานหรงเหยาเพียงแค่ยิ้มรับ ยังไม่ทันเอ่ยเล่าสิ่งใด บานประตูก็เปิดออก ร่างอรชรของหลิวชิงเซียงก็ก้าวเข้ามา นางคารวะซุนเจ้าเฟิงอย่างเต็มพิธีแล้วจึงย่อกายคารวะหานหรงเหยา“คารวะองค์ชายสามเพคะ ที่ปรึกษาหาน”ซุนเจ้าเฟิงสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจที่นางวางตัวเหินห่างแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากโบกมือไปมา “เพิ่งรู้ว่าผู้ดูแลหลิวเล่นเพลงพิณได้ไพเราะยิ่งนัก เห็นทีโอกาสหน้าข้าต้องขอมาฟังเจ้าบรรเลงพิณที่นี่อีก”“หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ที่นี่ก็มีนักดนตรีเล่นพิณได้ไพเราะหลายคน องค์ชายสามชอบก็เชิญมาฟังได้ทุกเวลาเพคะ”หลิวเข่อซิงกระตุกแขนเสื้อหาหานหรงเหยาแล้วเอ่ยถาม “ข้าต้องพูดกับเจ้าคนนิสัยไม่ดีเหมือนศิษย์พี่หรือไม่”“ไม่ต้อง! ข้าไม่ชอบ!” ซุนเจ้าเฟิงรีบตอบทันที “แต่ห้ามเรียกข้าว่า ‘เจ้าคนนิสัยไม่ดี’อีก ถ้าข้านิสัยไม่ดีจริง เจ้าไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอก”“ความจริงเรียกคนนิสัยไม่ดีก็ถูกแล้ว คนนิสัยดีที่ไหนมาทวงบุญคุณผู้อื่นกันเล่า” หลิวเข่อซิงบ่นพึมพำ“นี่เจ้ากล้าว่าข้ารึ ถ้าไม่ใช่เพราะร้อยตำลึงของข้า นางก็คงอยู่ในหอนางโลมที่ชายแดนนั้น”“ถ้า
“นี่ท่านไม่รู้รึ เดิมที่หัวใจก็อ่อนแออยู่แล้ว แต่ร่างกายกลับได้รับพิษทำให้ร่างกายเย็นกว่าคนปกติทั่วไป ข้าเองไม่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษา แต่เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้น หากบำรุงตัวเองให้ดีอีกครึ่งปีท่านก็จะหายเป็นปกติ” หลิวชิงเซียงหัวเราะน้อยๆ แล้วรินน้ำชาให้ตนเอง“ขอพูดตามตรง ปีศาจอย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะชอบมีเรื่องกับมนุษย์ พวกเรากินพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้ถึงตาย ก็เหมือนที่มนุษย์เลี้ยงสัตว์เล็กๆ ไว้เป็นอาหาร ปีศาจอย่างพวกเราก็สามารถเลี้ยงมนุษย์ไว้ค่อยๆ กินพลังชีวิตของพวกเขาไปเรื่อยๆ หากเข่อซิงกินพลังชีวิตของท่านอย่างพอเหมาะ ข้ารับรองได้ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีกห้าสิบปี แต่ถ้าท่านเที่ยวเอาชีวิตไปเสี่ยงคมหอกคมดาบเหมือนสหายของท่าน ไม่ต้องพึ่งหมอดูที่ไหนข้าก็ทำนายได้ว่าไม่ได้แก่ตายอย่างแน่นอน”“ศิษย์พี่หมายความว่า...เขาจะไม่ตายเพราะข้าใช่ไหม”“มีผู้ใดหนีความตายได้บ้างเล่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้า สักวันก็ต้องตายแต่ข้าอยู่มาห้าร้อยห้าสิบปี เจ้าอยู่มาหนึ่งร้อยสิบหกปี อย่างไรก็มีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์อยู่แล้ว”“เรื่องดีจริงๆ ขอบคุณผู้ดูแลหลิวที่ให้ความกระจ่างแก่ข้ากับเข่อซิง”“หา
นิ้วเรียวยาวแยกกลีบดอกไม้ที่คล้ำไปเล็กน้อยแต่ภายในยังคงคับแน่นดึงดูดผีเสื้อหนุ่ม ฟันคมขบกัดที่ยอดอกจนเปียกชุ่มและบวมขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่สองนิ้วแทรกในร่องรักที่บีบรัด เร่งเร้าให้คายน้ำหวานออกมา หานลี่จูถอนริมฝีปากจากเต้าคู่งามที่ช้ำเป็นจ้ำเลือดเพราะริมฝีปากของเขา แล้วยื่นหน้าไปกระซิบเสียงพร่า “เจ้าคิดถึงหรงเหยาอยู่สินะ แต่ร่างกายเจ้าเป็นของข้า ต่อให้เจ้าตายก็ยังเป็นคนของข้า” หลัวซู่เหมยได้แต่ครางสะอื้นร่างกายเกร็งกระตุกด้วยนิ้วร้ายของเขา หานลี่จูดึงนิ้วออกจากร่องรักแล้วดึงผ้าออกจากปากนาง ส่งนิ้วที่เปื้อนคาวรักส่งเข้าในไปโพรงปากที่น้ำลายเปื้อนเปรอะมุมปาก หยดน้ำตาใสหลั่งริน เขาขยับนิ้วเข้าออกในโพรงปากสวยหรี่ตามองราวกับปีศาจร้ายไม่เหลือเค้าบุรุษผู้อ่อนโยนที่ใครต่อใครกล่าวถึง มือข้างหนึ่งกระตุกสายรัดเอวแล้วปลดกางเกงให้เลื่อนลงเผยแก่นกายที่แข็งขัน เขาจับมือนุ่มมากุมลำเอ็นของตนแล้วกุมมือนางอีกทีเพื่อชักนำให้นางขยับมือสาวแก่นกายที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ หานหลี่จูครางเสียงต่ำในลำคออย่างพอใจ กวาดนิ้วในโพรงปากของนางและเย้าแย่ลิ้นน้อยๆ นางครางปนสะอื้นแล้วเ
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ทำให้หานลี่จูตื่นจากภวังค์ เขาหมุนตัวกลับไปก็พบหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงเดินจับมือกันเข้ามาทางเขาพอดี “พี่ใหญ่” หานหรงเหยาเอ่ยทักทาย หลังจากพบหลิวชิงเซียงแล้ว เขาก็พาเข่อซิงเที่ยวเล่นในเมืองจึงกลับเข้าจวนค่ำมืดไปหน่อย “พวกเจ้าเพิ่งกลับมากันรึ” “ขอรับ” หานหรงเหยายิ้มแล้วก้มมองเข่อซิงที่มือข้างหนึ่งยังถือขนมถังหูลู่อยู่ “นางติดตามข้าเข้าเมืองหลวงมาเกือบเดือนแล้ว ข้าไม่มีเวลาพานางไปเที่ยวชมเมืองหลวงเลย วันนี้พอมีเวลาจึงพานางเดินชมตลาด” หานลี่จูยิ้มให้น้องชายแล้วเดินเข้าใกล้ ภายใต้แสงสลัวคือใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นพี่ ทว่าหลิวเข่อซิงกลับตัวเกร็งขึ้นมาแล้วค่อยๆ ขยับตัวใช้ร่างของหานหรงเหยาบังตนเองไว้ “เข่อซิง เจ้าทำอะไร” หานหรงเหยาหัวเราะน้อยๆ เข้าใจว่านางคงกลัวพี่ใหญ่จะตำหนินาง “เข่อซิง” หานลี่จูเรียกนางปนหัวเราะ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็มาเป็นน้องสะใภ้ของข้าแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรือซู่เหมยเลย หรือแม้แต่หลี่เจี๋ยก็ด้วย พวกเราแม้เกิดในตระกูลหานอันเป็นตระกูลเก
“เข่อซิง...” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้กลัวนาง แต่...ร่างกายตื่นตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สะโพกกลมกลึงบดเบียดแท่งหยกที่ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน หางยาวปัดป่ายบนตัวเขายิ่งทำให้กระสับกระส่าย คาดหวังและรอคอยให้นางทำมากกว่านี้ นางรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวนางในร่างนี้ แววตาและท่าทางของเขาประกาศชัดว่าปรารถนานางมากเพียงใด เรียวลิ้นตวัดหยอกล้อพันเกี่ยวหาความหวานอันหวามไหว สะโพกงามยกขึ้นเพื่อครอบครองแก่นกายที่ร้อนระอุ นางเปล่งเสียงครางชิดริมฝีปากเมื่อยินยอมให้ตัวตนของบุรุษที่นางรักเข้าไปในร่างจนสุดลำ สวรรค์! หานหรงเหยาคำรามออกมา นางปล่อยข้อมือของเขาแล้วหยัดกายขึ้น ทรวงอกงดงามกระเพื่อมตามแรงหายใจ ปลายถันสีหวานชูชันท้าท้ายสายตา นางเริ่มขยับสะโพกเคลื่อนไหวราวร่ายรำนำเสียวซ่านรัญจวนมาสู่ทั้งนางและเขา มือแกร่งลูบไล้บั้นเอวไปสัมผัสหางฟูสีแดงที่ส่ายไปมา “เร็วอีกซิงเอ๋อร์” เขาแทบสำลักความสุขแล้ว เป็นฝ่ายอ้อนวอนให้นางควบขี่เขาเร็วขึ้นพร้อมกับหยัดสะโพกรับจังหวะกดลงของนาง คาวรักอาบไล้แก่นกายจนเป็นมันวาวทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ถี่กระชั้น เ
หลัวซู่เหมยรับน้ำชามาดื่ม ชามะลิแสนธรรมดาแต่ส่งกลิ่นหอมอวลในปาก จนนางเอ่ยชม “เป็นเพียงชาธรรมดา แต่ที่ฮูหยินน้อยรู้สึกรสชาติดีเพราะจิตใจสงบ ก่อนหน้านี้คงมีเรื่องให้ใจขุ่นมัว ไม่ทราบว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรให้ข้าพอช่วยเหลือได้หรือไม่” “ประเสริฐนัก ราวกับมีญาณทิพย์เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ระวังกิริยาด้วย” หลัวซู่เหมยแสร้งดุสาวใช้ แต่นางก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรเรื่องปัญหาของนาง “ฮูหยินน้อยประสงค์จะมีลูก และลูกของฮูหยินก็รอมาเกิดแล้ว แต่ว่า...” “แต่อะไรเจ้าคะ” ยังคงเป็นสาวใช้ที่รีบพูดขึ้นทันที “ต้องขออภัยที่ต้องพูดตามตรง บนกายฮูหยินมีกลิ่นอายปีศาจ ในบ้านของฮูหยินรับเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามา บุตรที่รอมาสู่ครรภ์ของฮูหยินจึงไม่อาจถือกำเนิดในครรภ์ได้” “ปะ...ปี...ปีศาจ...ปีศาจอันใดกัน” ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งตกตะลึง หลัวซู่เหมยหน้าไร้สีเลือด นางคิดถึงเงาดำในห้องของหานหรงเหยาที่นางเห็นวันก่อน...หรือว่าจะเป็น... “จะทำอย่างไรถึงขับไล่มันไปได้” เสี่ยวจิ้งเอ่ยถามทันที ‘ใช่! เข่อซิงเป็นนาง
“ชุดเจ้าสาวของข้า...” หลิวเข่อซิงเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง สองวันมานี่หานหรงเหยามีงานลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยให้นางรู้ กว่าจะกลับถึงจวนก็ค่ำมืด เขาไม่เล่านางก็ไม่ถาม ด้วยรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องงานแล้ว หานหรงเหยาทุ่มเทแรงกายและใจอย่างสุดกำลัง นางจึงไม่เคยเซ้าซี้ถามเอาเรื่องราวใด เขาให้นางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมและเรียนรู้กฎระเบียบในบ้านกับหลัวซู่เหมย นางก็ยินดีทำตามที่เขาสั่ง วันนี้ก็เช่นกัน หลัวซู่เหมยกับสาวใช้ชื่อเสี่ยวจิ้งเข้ามาหาหลิวเข่อซิง พูดคุยเรื่องชุดเจ้าสาว นางยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะศิษย์พี่หลิวชิงเซียงบอกว่าจะจัดการให้ “ขอพูดตามตรง ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นกำพร้า เกรงว่าจะเตรียมชุดวิวาห์ไม่ทันจึงถือวิสาสะเข้ามาสอบถามเจ้า” “วันวิวาห์ยังไม่ได้กำหนด ข้าเลยคิดว่าจะรอก่อนเจ้าค่ะ” หลิว เข่อซิงตอบไปตามตรง ใบหน้าระบายยิ้มจนดวงตาหยี่เล็ก “เรื่องแบบนี้รอได้ที่ไหนกัน” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้น “ฮูหยินน้อยกว้างขวางในเมืองหลวง รู้จักร้านตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ชุดเจ้าสาวจะเร่งรีบเกินไปก็ไม่ดี ฮูหยินน้อยจึง
หานหรงเหยาไม่เคยเล่าความหลังของเขากับหญิงในดวงใจ นางรู้ว่าเขามีบางเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ แต่เมื่อเขาไม่พูด นางก็ไม่เคยฝืนค้นสิ่งที่ซ่อนไว้ใน หรือเพราะนางได้กินพลังชีวิตอย่างสม่ำเสมอและยังได้เสพพลังหยางเพิ่มความสมดุลให้ตนเอง นางจึง ‘สัมผัส’ ความลับในใจของผู้คนได้มากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้ต้องการรู้มันเลย “น้ำชากับของว่างมาแล้ว” เสี่ยวจิ้งรีบพูดขึ้นแล้วรับถาดของว่างมาจากเด็กรับใช้ของร้าน เมื่อวางของบนโต๊ะแล้ว เสี่ยวจิ้งก็หันพูดให้เด็กรับใช้ของร้านออกไป “มีขนมด้วย” เข่อซิงเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “อื้ม ก็ฮูหยินน้อยเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้และที่สำคัญ พวกเราเป็นคนของจวนหานกั๋วกง เถ้าแก่ก็ย่อมให้ความสำคัญมากกว่าลูกค้าทั่วไปอยู่แล้ว” “เป็นเช่นนี้เอง พี่เสี่ยวจิ้งนี่รอบรู้จริงๆ” “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้” เสี่ยวจิ้งรินน้ำชาส่งให้หลัวซู่เหมยและเข่อซิง ฐานะของหลิวเข่อซิงยังไม่ชัดเจน นางไม่อยากก้มหัวให้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ “ดื่มซิ” เสี่ยวจิ้งคะยั้นคะยอให้หลิวเข่อซิงดื่มชา ใบหน้าของหลัว