ชาติก่อนเพราะความโง่เขลา จ้าวหลินอีจึงยอมเสียสละส่งคนรักอย่างกู้เหวินเฟยเรียนต่อเพราะหวังจะสร้างครอบครัวด้วยกัน โดยให้เขาดูแลตนเองยอมเป็นภรรยาที่คอยเพียงเขา ทว่าสุดท้ายสามีกลับนำผู้หญิงคนอื่นกลับมาและหย่าขาดกับเธอ เพราะว่าเธอไม่มีอะไรเหมาะสมกับเขา แม้แต่ลูกสาวของตนเองก็ปกป้องไม่ได้ สุดท้ายลูกสาวของเธอก็ทนรับความบอบซ้ำทางใจไม่ไหวจึงได้ฆ่าตัวตาย เธอมีชีวิตอยู่อย่างละอายใจ ทว่าร่างกายที่ทำงานหนักมาตั้งแต่เยาว์วัยเสื่อมโทรม จึงได้ตายตามบุตรสาวไปเพียงไม่นาน แต่แล้วด้วยโชคชะตาหรือสิ่งใดก็ไม่อาจทราบได้ จ้าวหลินอีได้ย้อนเวลากลับมาในตอนที่เธออายุได้สิบเจ็ดปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่เธอจะตัดสินใจไม่เรียนต่อ และแน่นอนเธอจะต้องสร้างชีวิตใหม่ของตนเองให้ได้ ด้วยความหวังอันแน่วแน่ว่า ลูกสาวที่เธอไม่อาจปกป้องได้ในชาติก่อน มาชาตินี้เธอจะไม่มีวันปล่อยให้ลูกสาวที่จะเกิดมาถูกรังแกได้อีก ตัวอย่างในเล่ม “ลูกชายฉันทั้งเป็นคนดีอีกทั้งเรียนเก่งขนาดนี้ ยอมแต่งลูกสาวบ้านหล่อนก็บุญเท่าไหร่แล้ว” คำพูดของอดีตแม่สามีทำให้จ้าวหลิงอีหลุดหัวเราะเบา ๆ ลูกชายฉันเป็นคนดี? ช่างน่าขำเสียจริง แล้วลูกคนอื่นไม่ใช่คนดี
View More“นั่นสิ แม่ฉันอยากได้เธอมาเป็นสะ...แค่ก ๆ มาเป็นลูกสาวอีกคน เธอก็เรียกท่านว่าแม่เถอะ” เย่ซินหรานเอ่ยสนับสนุนเพื่อนสาวก่อนจะเผลอหลุดเรียกหล่อนว่าสะใภ้ แต่เมื่อเห็นสายตาพี่ชายมองมาทำให้เธอกลับคำพูดแทบไม่ทัน ก่อนจะถลึงตามองกลับพี่ชาย ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าพี่ชายก็ชอบสหายของเธอ มาทำเป็นวางตัวดี สักวันเถอะสหายเธอจะถูกผู้ชายคนอื่นคาบไปกิน ตอนนั้นเธอจะสมน้ำหน้าเข้า“คุณแม่” เมื่อเห็นทุกคนจ้องมองเธอราวกับต้องการคำตอบ ทำให้จ้าวหลินอีรู้สึกกดดันไม่น้อยก่อนจะเรียกโจวซินหยู่ว่าแม่เสียงเบาอย่างเขินอาย เธอจะไม่เข้าใจความหมายได้อย่างไร“เด็กดี กินเยอะ ๆ จะได้มีน้ำมีนวลหนูเรียนหนักไปใช่ไหม” ว่าแล้วก็ตักอาหารให้ว่าที่ลูกสะใภ้ในใจอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นสายตาลูกสาวมองก็รีบตักให้บ้างเดี๋ยวหล่อนจะน้อยใจไปบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างมีความสุข เสียงพูดคุยกันพร้อมเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่พบเจอให้คนในบ้านฟัง เย่คุนข่ายเองก็เป็นผู้ฟังที่ดีและตอบรับเป็นบางครั้ง แม้จะเป็นครอบครัวทหารแต่ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร
ตู่จื่อหย่าหน้าแดงอย่างอับอาย ก่อนจะลากคู่หมั้นตัวเองจากไปด้วยความโมโห พร้อมข่มขู่เขาหากเขายังไปยุ่งวุ่นวายกับจ้าวหลินอีอีก หล่อนจะไม่ส่งเขาเรียนและยกเลิกการหมั้น ทว่าเพียงโดนคำพูดหวานและออดอ้อนของกู้เหวินเฟยก็พากันกอดแขนคุยกันกระหนุงหนิงจากไป ก่อนจะทันเห็นจ้าวหลินอีขึ้นรถยนต์ไป“นั่นหล่อนยอมเป็นเมียน้อยคนรวยหรือ น่ารังเกียจจริง ๆ” ตู่จื่อหย่าเห็นว่าจ้าวหลินอีขึ้นรถยนต์ไปก็พูดขึ้นด้วยความเกลียดชัง หากหล่อนไม่มายั่วกู้เหวินเฟยมีหรือเขาจะสนใจผู้หญิงแบบนั้น ทำตัวไร้ค่าจริง ๆ บ้านยากจนไม่มีเงินเรียนแล้วยังอยากมาเรียน สุดท้ายก็มาขายตัว หากหล่อนนำเรื่องนี้ไปพูดยัยนั่นคงไม่มีหน้ากลับบ้านแน่ ๆ เมื่อคิดมาถึงเรื่องนี้ก็เหยียดยิ้มอย่างสมใจกู้เหวินเฟยมองตามร่างคนรักเก่าด้วยความเจ็บใจ หากรู้ว่าหล่อนสำส่อนขนาดนี้เขาน่าจะเป็นคนแรกของหล่อน คิดว่าเป็นหญิงสาวเรียบร้อยอ่อนหวาน กลับเป็นผู้หญิงร่านๆ แบบนี้แล้วมาทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว แววตาเข้มขึ้นอย่างเคียดแค้นเขารู้สึกว่าตนเองโดนหักหลัง“อย่าไปสนใจหล่อนเลย เราไปกินข้าวกันเถอะครับ ผมเห็นร้านอาหารดี
แต่เรื่องความรักไม่อาจบังคับกันได้จริง ๆ อีกอย่างชาติก่อนเธอเจ็บมามากจคงทำให้เธอหวาดระแวงและระมัดระวังเรื่องความรักมากขึ้น แต่จะระวังแค่ไหนก็หนีไม่พ้นพรหมลิขิตและธรรมชาติที่ควรจะเป็นหลังทานอาหารเสร็จ จ้าวหลินอีก็ได้ไปเปิดบัญชีธนาคารเอาไว้และเก็บเงินไว้กับตัวเองเท่าพอใช้จ่ายประจำวันเท่านั้น เพราะที่ห้องอยู่ด้วยกันสี่คนแม้จะเป็นสหายกันแต่ก็ยังไม่สามารถไว้ใจใครได้ จึงต้องระมัดระวังตลอดและอาจเป็นเพราะชาติก่อนประสบการณ์สอนเธอมาเยอะทำให้เธอทำอะไรจึงได้คิดและไตร่ตรองอย่างรอบคอบหลังจากวันนั้นที่ขายแบบเสื้อผ้าเธอก็ได้ส่งแบบไปให้ที่ร้านของคุณป้าโจวสัปดาห์ละชุด ทำให้เธอเริ่มมีชื่อเสียงในวงการเสื้อผ้ามากขึ้น ขณะเดียวกันเธอก็ตั้งใจเรียนการบริหารและการจัดการอย่างตั้งใจ ทุก ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์จ้าวหลินอีจะตามเย่ซินหรานออกจากมหาวิทยาลัยทีแรกเธอตั้งใจไปเช่าห้องเพื่อแยกกันอยู่ เธออยากซื้อจักรเย็บผ้าและตัดเย็บเองบ้าง แต่เมื่อคุณป้าทราบข่าวจึงได้ให้เธอมาพักอยู่กับเย่ซินหรานที่เรียนด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อสืบทอดกิจการของมารดา“ถึ
“ได้สิ” โจวซินหยู่เรียกเด็กในร้านให้นำอุปกรณ์มาวางไว้ที่โต๊ะให้ จ้าวหลินอีหยิบดินสอพร้อมร่างภาพในหัวออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะชาติก่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านกับการจากไปของลูกสาว เธอจึงได้ฝึกวาดจนชำนาญหลังย้อนเวลากลับมาเธอก็ฝึกวาดอยู่เป็นประจำทำให้เพียงครึ่งชั่วโมงเธอก็ได้รูปกี่เพ้าที่ทันสมัยและลวดลายหงส์ร่อนมังกรอย่างรวดเร็ว“หลินอีหนูมีพรสวรรค์มาก”“ว้าว สหายรักเธอเก่งมาก ๆ เลย”ทั้งคู่เอ่ยชมด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่เคยเห็นใครวาดรูปได้รวดเร็วขนาดนี้และยังสมบูรณ์แบบมาก จ้าวหลินอียื่นรูปให้ทั้งสองดู ความจริงชาติก่อนเธอออกแบบได้มากกว่านี้ เพียงแต่เธอไม่มีเส้นสายและยังถูกกู้เหวินเฟยกับตู่จื่อหย่าขัดขวางทางเดินจนแทบไม่มีที่ให้เธอไป ทำให้เธอไม่มีโอกาสฟื้นกลับมาแก้แค้นให้ลูกสาวได้“ชุดนี้ฉันให้หนึ่งร้อยหยวน และชุดที่วาดเมื่อครู่ฉันให้หนึ่งร้อยห้าสิบหยวนหนูคิดว่าไง” โจวซินหยู่เอ่ยถามอย่างระวัง การค้าขายต้องมีความเสี่ยงแต่เห็นว่าหล่อนมีความตั้งใจอีกทั้งบุตรสาวบุตรชายเป็นคนพา
จ้าวหลินอีไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีคนอิจฉาเธออยู่เบื้องหลัง เธอนั่งรถมาด้วยความตื่นเต้นนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเธอที่ได้นั่งรถยนต์แบบนี้ แม้จะพยายามระงับอาการแต่ดวงตาก็พอประกายสดใสทำให้เย่คุนข่ายรู้สึกว่าเธอเหมือนสาวน้อยวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ทั้งสามคนนั่งรถมาครึ่งชั่วโมงก็มาย่านการค้าขนาดใหญ่“นั่นร้านแม่ฉัน แม่ฉันไม่ชอบเป็นคุณนายทหารอบยู่บ้านเฉย ๆ เหมือนผู้หญิงคนอื่นจึงได้มาเปิดร้านเป็นของตัวเอง” เมื่อจอดรถที่หน้าร้าน เย่ซินหรานก็ได้ชี้นิ้วแนะนำเพื่อนสาวอย่างภาคภูมิใจ มารดาของเธอทั้งสวยและเก่งไม่ยอมนั่งเล่นไพ่เดินช้อปปิ้งเหมือนคุณนายบ้านอื่น“แม่เธอเก่งมาก” จ้าวหลินอีกล่าวชมจากใจจริง เธอมองดูร้านขายเสื้อขนาดใหญ่แล้วรู้สึกอยากเปิดร้านแบบนี้บ้าง ไว้ให้เธอเก็บเงินสักระยะก่อน หลังเรียนจบค่อยออกมาทำตามความฝัน ระหว่างนี้ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปก่อน“เข้าไปเถอะ” เย่คุนข่ายบอกทั้งคู่ก่อนจะก้าวนำเข้าไปในร้านอย่างคุ้นเคย พนักงานในร้านต่างมองไปที่ลูกชายเจ้านายอย่างเขินอาย และมองหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ
จ้าวหลินอีเรียนบริหารคนเดียวส่วนคนอื่นเรียนต่างสาขาเวลาเจอกันคือเวลานอน ในช่วงวันหยุดถ้าจะออกจากมหาวิทยาลัยต้องมีคนเซ็นรับ และจ้าวหลินอีต้องการออกไปติดต่อหาคนซื้อแบบเสื้อผ้าทำให้ต้องหาคนมาเซ็นชื่อให้ ซึ่งคนที่สามารถทำเรื่องออกจากมหาลัยได้เป็นพี่ชายของเย่ซินหราน “พี่ชายทางนี้ค่ะ” เย่ซินหรานส่งเสียงเรียกพร้อมโบกไม้โบกมือให้พี่ชายอย่างร่าเริง จ้าวชิงหรานมองตามสายตาเพื่อนสาวจึงได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งใบหน้าหล่อเข้มรูปร่างสูงใหญ่ดูมีสง่าราศีเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่คมมองเธออย่างสำรวจจ้าวหลินอีก้มหน้าหลบสายตาอย่างเก้อเขินใบหน้าแดงระเรื่อราวกับสาวน้อยริเริ่มมีความรัก “พี่ชายนี่สหายคนสนิทฉันชื่อจ้าวหลินอี หลินอีนี่พี่ชายฉันชื่อเย่คุนข่ายพี่เขาเป็นทหาร” “สวัสดีค่ะพี่ใหญ่เย่” จ้าวหลินอีทักทายอย่างมีมารยาท เธอยิ้มอ่อนหวานอย่างเขินอาย ดวงตาคู่คมมองเธอราวกับกำลังจ้องจับผิดยิ่งทำให้เธอรู้สึกประหม่ามากขึ้น ไม่ใช่ว่าเธอแสดงไม่เหมือนสาวน้อยเหมือนสหายหรอกนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาได้พบกันคงไม่คิดว่าแปลกประหลาดไปจากสหายรุ่นเดียวกันหรอกกระมัง แต่ทำอย่างไรได้ชาติก่อนเธอตายตอนอายุสามสิบเก้าปี ช่
“เดี๋ยวพี่จะทำงานเพิ่ม ไว้มีเงินแล้วพี่จะซื้อโทรศัพท์ให้” “ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่ดูแลสุขภาพตัวเองอย่าหักโหมมากเกินไปค่ะ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นไว้ฉันจะใช้โทรศัพท์สาธารณะแทนได้ค่ะ” จ้าวหลินอีเอ่ยบอกอย่างหนักแน่น ราคาโทรศัพท์ในยุคสมัยนี้แพงมากเงินหนึ่งพันหยวนสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปี อีกอย่างเธอไม่อยากทำให้เขาทำงานหนักจนอวัยวะภายในเสื่อมโทรมเหมือนเธอชาติที่แล้ว ก่อนจะตายมันทรมานมากการไอออกมาเป็นเลือดมันเจ็บไปทั้งตัวจนแทบขยับตัวแทบไม่ไหว เธอจึงไม่อยากให้เขาเป็นอย่างเธอชาติก่อน อีกอย่างเธอวาดรูปเสื้อผ้าไว้หลายแบบหากหาคนที่น่าเชื่อถือได้น่าจะขายได้เงินสำหรับเล่าเรียนได้ ปู๊นนนน~~~ “รถไฟมาแล้ว พี่ดูแลตัวเองแล้วก็ดูแลพ่อกับแม่ด้วยนะคะ” จ้าวหลินอีบอกพี่ชายพร้อมเดินขึ้นรถไฟด้วยความหวัง ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเธอทำให้จ้าวเทียนอี้รู้สึกวางใจ หลายเดือนมานี้จ้าวหลินอีเปลี่ยนไปมาก และเปลี่ยนไปในทางที่ดี บางครั้งเขายังรู้สึกว่าหล่อนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขาเสียอีก ร่างบอบบางหันกลับมามองพร้อมโบกมือลาก่อนจะหายลับไปกับรถไฟที่เขาใช้เงินเกือบทั้งหมดที่มีจองแบบตั๋วนอนให้น้องสาว หวังว่าเธอจะได้ไม่ต้
“เข้าบ้านกันเถอะ” จ้าวเผิงเฉิงบอกภรรยากับลูกสาว หน้าบ้านของพวกเขาตอนนี้ต่างก็มีชาวบ้านมามุงดูและแทะเมล็ดแตงโมชมเรื่องสนุกกัน เขาเข้าใจว่ายุคสมัยนี้ด้อยค่าผู้หญิงและเพราะแบบนี้เขาถึงอยากให้ลูกสาวเรียนจบให้สูงมีการงานทำที่ดี ไม่ใช่เป็นเพียงชาวไร่ชาวนาหาเช้ากินค่ำเหมือนตนเอง “หนูจะตั้งใจเรียนและไม่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังค่ะ” จ้าวหลินอีกอดแขนพ่อกับแม่เข้าบ้านพร้อมเอ่ยบอกให้พวกเขามั่นใจว่าจะไม่เสียใจแน่นอนที่สงลูกสาวอย่างเธอเรียนให้จบ ตอนนี้พี่ชายทำงานในเมืองวันหยุดถึงจะกลับมาเธอจะไม่ทำให้พวกเขาต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายฟรี ๆ “เด็กดี” อินเยว่เจียลูบศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู เธอเลี้ยงลูกสาวมาอย่างถนุถนอมแล้วบ้านตระกูลกู้คิดว่าตนเองเป็นใครถึงคิดจะเหยียบย่ำลูกสาวของเธอแบบนี้ จ้าวหลินอีมองพ่อกับแม่ด้วยหัวใจอบอุ่น ชาติที่แล้วเพราะความโง่งมถึงมองไม่เห็นความรักและความห่วงใยของพวกท่าน แต่ไม่เป็นไรเธอได้ย้อนกลับมาแล้ว เธอจะทำให้พ่อกับแม่มีความสุขและมีชีวิตที่สุขสบาย... หลังจากที่วันนั้นครอบครัวบ้านตระกูลกู้ไม่ได้มารังคราญครอบครัวจ้าวหลินอีอีก ซึ่งทำให้ชีวิตเธอสุขสงบขึ้นมาก เวลาที่พ่อกับแม่ไปไร
ระหว่างรอเดินทางไปมหาวิทยาลัยที่จะเปิดอีกสามเดือนข้างหน้า จ้าวหลินอีเปลี่ยนแปลงตนเองให้สวยกว่าเดิมเพราะประสบการณ์จากชาติก่อนทำให้เธอรู้ว่าคนหน้าตาดีจะสามารถทำให้คนรักและเอ็นดูได้มาก ชาติก่อนเธอทำงานตรากตรำจนตัวดำไม่เคยได้บำรุงใบหน้าหรือร่างกายเลย สุดท้ายก็ถูกต่อว่าไม่เหมาะสมกับกู้เหวินเฟย และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาครอบครัวกู้เหวินเฟยต่างก็มาที่บ้านของเธอพร้อมตัดเพ้อต้องการให้เธอส่งเขาเรียน จนทำให้ชาวบ้านต่างรู้กันเกือบทุกบ้านแล้วว่าคนบ้านกู้ต้องการให้เธอเสียสละตัวเอง บ้างก็เห็นดีด้วยเพราะผู้หญิงเรียนสูงไปก็ไร้ประโยชน์ บางคนก็ไม่เห็นด้วยเพราะไม่ใช่ญาติพี่น้องกันเสียหน่อยทำไมต้องส่งเสียลูกชายบ้านอื่นเรียนด้วย และตลอดเวลาจ้าวหลินอีหลบหน้าหลบตากู้เหวินเฟยตลอด เพราะกลัวว่าจะอดใจไม่ไหววิ่งเอามีดไปแทงอีกฝ่ายตายด้วยความแค้น ชาติที่แล้วเพราะอีกฝ่ายอยู่ตำแหน่งที่สูง ผู้คนรุมล้อมทำให้ไม่มีโอกาสแม้จะเข้าใกล้ แต่เวลานี้เขาเป็นเพียงชายหนุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์อะไร และไม่ได้มีอำนาจอะไร เธอกลัวจะเผลอไปทำร้ายเขาจนตัวเองถูกโทษประหาร เวลาไม่เห็นเขาทำให้จ้าวหลินอีใจเย็นมากขึ้น และช่วงหลังมานี้เขาไม่ได
จ้าวหลินอีไอสำรอกเลือดสีแดงเข้มออกมาจนถ้าเช็ดหน้าสีขาวเปลี่ยนเป็นสีชาด ใบหน้าที่มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาขณะนี้ซีดเผือด ดวงตาของเธอกลับไร้ประกายสดใสมันมีแต่เพียงความเจ็บปวดและความเสียใจ แม้จะเสียใจแค่ไหนแต่กลับไร้กำลังที่จะแก้แค้นให้บุตรสาวอันเป็นที่รัก มือหยาบกร้านที่ทำงานมาหลายปีพยายามเช็ดป้ายสุสานของลูกสาวอย่างถนุถนอม แต่มือที่เปื้อนเลือดกลับทำให้ป้ายสุสานที่ฝังร่างบุตรสาวแปดเปื้อนสีแดงเข้มนี้ไปด้วยจนเธอต้องหยุดมือแค่ก ๆ ๆ จ้าวหลินอีไออีกครั้งและไอติดต่อกันหลายครั้งจนแทบหายใจไม่ทัน พร้อมสำรอกก้อนเลือดสีแดงเข้มออกไปทางดำคล้ำออกมาอีกครั้ง เธอพิงศีรษะกับป้ายสุสานอย่างอ่อนแรง ความเสียใจกับการเดินเส้นทางผิดทำให้เธอเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งหัวใจ เพราะหลงเชื่อคารมคนรักจนต้องพบจุดจบที่น่าอนาถเช่นนี้ อยากตายก็ไม่สามารถตายได้ หากเธอตายใครเล่าจะมาปัดกวาดเช็ดถูให้สุสานให้กับหย่าหลิงของเธอ จ้าวหลินอีเหม่อมองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย เธอหวนคิดถึงอดีตที่ผิดพลาด เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างสมเพชตัวเอง เพราะความอ่อนแอและโง่เขลาทำให้เธอหลงเชื่อคนผิด เธอเป็นคนเรียนเก่งและมีอนาคตสดใสรออยู่ แต่เพราะชอบพอกับกู้เหวิ...
Comments