ระหว่างรอเดินทางไปมหาวิทยาลัยที่จะเปิดอีกสามเดือนข้างหน้า จ้าวหลินอีเปลี่ยนแปลงตนเองให้สวยกว่าเดิมเพราะประสบการณ์จากชาติก่อนทำให้เธอรู้ว่าคนหน้าตาดีจะสามารถทำให้คนรักและเอ็นดูได้มาก ชาติก่อนเธอทำงานตรากตรำจนตัวดำไม่เคยได้บำรุงใบหน้าหรือร่างกายเลย สุดท้ายก็ถูกต่อว่าไม่เหมาะสมกับกู้เหวินเฟย
และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาครอบครัวกู้เหวินเฟยต่างก็มาที่บ้านของเธอพร้อมตัดเพ้อต้องการให้เธอส่งเขาเรียน จนทำให้ชาวบ้านต่างรู้กันเกือบทุกบ้านแล้วว่าคนบ้านกู้ต้องการให้เธอเสียสละตัวเอง บ้างก็เห็นดีด้วยเพราะผู้หญิงเรียนสูงไปก็ไร้ประโยชน์ บางคนก็ไม่เห็นด้วยเพราะไม่ใช่ญาติพี่น้องกันเสียหน่อยทำไมต้องส่งเสียลูกชายบ้านอื่นเรียนด้วย และตลอดเวลาจ้าวหลินอีหลบหน้าหลบตากู้เหวินเฟยตลอด เพราะกลัวว่าจะอดใจไม่ไหววิ่งเอามีดไปแทงอีกฝ่ายตายด้วยความแค้น ชาติที่แล้วเพราะอีกฝ่ายอยู่ตำแหน่งที่สูง ผู้คนรุมล้อมทำให้ไม่มีโอกาสแม้จะเข้าใกล้ แต่เวลานี้เขาเป็นเพียงชายหนุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์อะไร และไม่ได้มีอำนาจอะไร เธอกลัวจะเผลอไปทำร้ายเขาจนตัวเองถูกโทษประหาร เวลาไม่เห็นเขาทำให้จ้าวหลินอีใจเย็นมากขึ้น และช่วงหลังมานี้เขาไม่ได้มาหาเธอก็จริง แต่มารดาของเขามาหาครอบครัวเธอทุกวี่ทุกวันต่างพูดหว่านล้อมต่าง ๆ นา ๆ แต่เธอรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น เมื่อไหร่หล่อนหมดความอดทนก็คงถูกหล่อนด่าเหยียบย่ำเหมือนชาติก่อนแน่นอน ทว่าไม่ทันไรสันดานเดิมนางก็ปรากฏให้ครอบครัวเธอได้เห็น“นี่มันใกล้จะหมดการตอบรับของมหาวิทยาลัยแล้วนะ ทำไมยังไม่ยอมส่งเหวินเฟยเรียนอีก เธอจะให้อนาคตของเหวินเฟยจบลงแบบนี้หรือไง!”
เจิ้งฮวาเท้าสะเอวต่อว่าจ้าวหลินอีด้วยความโมโห หลังจากพูดจาดีมาหลายเดือนแต่ไม่มีวี่แววพวกเขาจะใจอ่อน ทำให้นางหมดความอดทนด้วย ลูกชายของหล่อนไม่ได้เรียนแล้วหล่อนมีสิทธิ์อะไรถึงได้เรียน หล่อนเป็นแค่ผู้หญิงที่มีหน้าที่คลอดลูกเท่านั้นทำไมถึงได้ใจจืดใจดำมองลูกชายหล่อนไม่ได้เรียนแบบนี้ เป็นแค่ผู้หญิงจะไปเรียนสูงทำไมกัน หากหล่อนไม่เห็นแก่ที่ลูกชายชอบพอกับจ้าวหลินอีหล่อนคงไม่ต้องมาร้องขอแบบนี้ “แล้วทำไมฉันต้องสละตัวเองให้เหวินเฟยด้วยล่ะคะ” จ้าวหลินอีเอ่ยถามเสียงสูง คู่หมั้นคู่หมายก็ไม่ใช่เพียงแค่เพียงลมปากของกู้เหวินเฟยเธอจำต้องทำตามเขาหรืออย่างไร “เพราะหล่อนเป็นผู้หญิง จะเรียนสูงทำไม แต่งงานมีลูกเลี้ยงลูกอยู่บ้านก็พอแล้ว” คำพูดของเจิ้งฮวาไม่ได้ทำให้จ้าวหลินอีไม่รู้สึกแปลกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่าหล่อนมองผู้หญิงด้อยค่า โดยลืมไปแล้วว่าตัวเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง “ถึงฉันจะแต่งงาน ฉันก็ไม่มีทางแต่งงานกับลูกชายคุณหรอกค่ะ” จ้าวหลินอีตอบโต้ทันควร ความจริงเธออยากจะด่าด้วยถ้อยคำรุนแรงกว่านี้ แต่รู้ดีว่าตอนนี้เธอเป็นเพียงเด็กสาวอายุเพียงสิบเจ็ดปี ชื่อเสียงหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานเป็นสิ่งสำคัญจึงต้องระมัดระวังในการพูด “หล่อนพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง หล่อนรักและคบหาอยู่กับเหวินเฟยลูกฉันแต่บอกว่าจะไม่แต่งงานนี่นะ” “ลูกสาวฉันก็บอกพวกคุณไปตั้งหลายรอบแล้วว่าหล่อนไม่คิดจะแต่งงานกับลูกชายคุณ พวกคุณออกไปได้แล้วหรือจะให้พวกฉันจับโยนออกไป” อินเยว่เจียด่ากลับอย่างหงุดหงิดคนบ้านกู้เห็นบ้านหล่อนเป็นธนาคารเคลื่อนที่หรืออย่างไร แล้วอะไรทำให้พวกหล่อนคิดว่าลูกสาวเธอจะเสียสละส่งผู้ชายที่ดูแล้วไม่ได้เรื่องเรียนแทน“ลูกชายฉันทั้งเป็นคนดีอีกทั้งเรียนเก่งขนาดนี้ ยอมแต่งลูกสาวบ้านหล่อนก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
คำพูดของอดีตแม่สามีทำให้จ้าวหลินอีหลุดหัวเราะเบา ๆ ลูกชายฉันเป็นคนดี? ช่างน่าขำเสียจริง แล้วลูกคนอื่นไม่ใช่คนดีและมีไว้ให้เหยียบย่ำหรืออย่างไร “บุญบ้านมารดาหล่อนสิ ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้” อินเยว่เจียด่ากลับอย่างหมดความอดทน หากเธอไม่ลงมือไล่เองลูกสาวเธอคงออกตัวไล่ตะเพิดไปแล้ว เพื่อชื่อเสียงดีงามของลูก หล่อนจะเป็นคนเลวเอง! “เหอะ! ถึงจะไม่มีลูกสาวหล่อน ลูกฉันได้ดีกว่านี้อีก ที่ฉันยอมรับหล่อนเป็นสะใภ้ดีแค่ไหน พวกตาต่ำไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ” จ้าวหลินอี้ไม่ได้ตกใจ เพราะรู้ก่อนที่จะย้อนกลับมาว่าคนในบ้านของกู้เหวินเฟยเป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้ที่เคยทำดีด้วยก็เพราะต้องการให้ส่งลูกชายของตนเรียน แต่สุดท้ายสันดานเดิมก็เปิดเผยออกมา หล่อนกระฟัดกระเฟียดจากไปอย่างไม่พอใจ “คนอะไรหน้าด้านจริง ๆ ลูกไม่ต้องไปสนใจหล่อน แค่ตั้งใจเรียนก็พอ” อินเยว่เจียเอ่ยปลอบลูกสาวซึ่งจ้าวเผิงเฉิงพยักหน้าเห็นด้วย เขาเป็นผู้ชายจึงไม่สะดวกด่านางกลับเหมือนภรรยา“เข้าบ้านกันเถอะ” จ้าวเผิงเฉิงบอกภรรยากับลูกสาว หน้าบ้านของพวกเขาตอนนี้ต่างก็มีชาวบ้านมามุงดูและแทะเมล็ดแตงโมชมเรื่องสนุกกัน เขาเข้าใจว่ายุคสมัยนี้ด้อยค่าผู้หญิงและเพราะแบบนี้เขาถึงอยากให้ลูกสาวเรียนจบให้สูงมีการงานทำที่ดี ไม่ใช่เป็นเพียงชาวไร่ชาวนาหาเช้ากินค่ำเหมือนตนเอง “หนูจะตั้งใจเรียนและไม่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังค่ะ” จ้าวหลินอีกอดแขนพ่อกับแม่เข้าบ้านพร้อมเอ่ยบอกให้พวกเขามั่นใจว่าจะไม่เสียใจแน่นอนที่สงลูกสาวอย่างเธอเรียนให้จบ ตอนนี้พี่ชายทำงานในเมืองวันหยุดถึงจะกลับมาเธอจะไม่ทำให้พวกเขาต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายฟรี ๆ “เด็กดี” อินเยว่เจียลูบศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู เธอเลี้ยงลูกสาวมาอย่างถนุถนอมแล้วบ้านตระกูลกู้คิดว่าตนเองเป็นใครถึงคิดจะเหยียบย่ำลูกสาวของเธอแบบนี้ จ้าวหลินอีมองพ่อกับแม่ด้วยหัวใจอบอุ่น ชาติที่แล้วเพราะความโง่งมถึงมองไม่เห็นความรักและความห่วงใยของพวกท่าน แต่ไม่เป็นไรเธอได้ย้อนกลับมาแล้ว เธอจะทำให้พ่อกับแม่มีความสุขและมีชีวิตที่สุขสบาย... หลังจากที่วันนั้นครอบครัวบ้านตระกูลกู้ไม่ได้มารังคราญครอบครัวจ้าวหลินอีอีก ซึ่งทำให้ชีวิตเธอสุขสงบขึ้นมาก เวลาที่พ่อกับแม่ไปไร
“เดี๋ยวพี่จะทำงานเพิ่ม ไว้มีเงินแล้วพี่จะซื้อโทรศัพท์ให้” “ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่ดูแลสุขภาพตัวเองอย่าหักโหมมากเกินไปค่ะ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นไว้ฉันจะใช้โทรศัพท์สาธารณะแทนได้ค่ะ” จ้าวหลินอีเอ่ยบอกอย่างหนักแน่น ราคาโทรศัพท์ในยุคสมัยนี้แพงมากเงินหนึ่งพันหยวนสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปี อีกอย่างเธอไม่อยากทำให้เขาทำงานหนักจนอวัยวะภายในเสื่อมโทรมเหมือนเธอชาติที่แล้ว ก่อนจะตายมันทรมานมากการไอออกมาเป็นเลือดมันเจ็บไปทั้งตัวจนแทบขยับตัวแทบไม่ไหว เธอจึงไม่อยากให้เขาเป็นอย่างเธอชาติก่อน อีกอย่างเธอวาดรูปเสื้อผ้าไว้หลายแบบหากหาคนที่น่าเชื่อถือได้น่าจะขายได้เงินสำหรับเล่าเรียนได้ ปู๊นนนน~~~ “รถไฟมาแล้ว พี่ดูแลตัวเองแล้วก็ดูแลพ่อกับแม่ด้วยนะคะ” จ้าวหลินอีบอกพี่ชายพร้อมเดินขึ้นรถไฟด้วยความหวัง ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเธอทำให้จ้าวเทียนอี้รู้สึกวางใจ หลายเดือนมานี้จ้าวหลินอีเปลี่ยนไปมาก และเปลี่ยนไปในทางที่ดี บางครั้งเขายังรู้สึกว่าหล่อนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขาเสียอีก ร่างบอบบางหันกลับมามองพร้อมโบกมือลาก่อนจะหายลับไปกับรถไฟที่เขาใช้เงินเกือบทั้งหมดที่มีจองแบบตั๋วนอนให้น้องสาว หวังว่าเธอจะได้ไม่ต้
จ้าวหลินอีเรียนบริหารคนเดียวส่วนคนอื่นเรียนต่างสาขาเวลาเจอกันคือเวลานอน ในช่วงวันหยุดถ้าจะออกจากมหาวิทยาลัยต้องมีคนเซ็นรับ และจ้าวหลินอีต้องการออกไปติดต่อหาคนซื้อแบบเสื้อผ้าทำให้ต้องหาคนมาเซ็นชื่อให้ ซึ่งคนที่สามารถทำเรื่องออกจากมหาลัยได้เป็นพี่ชายของเย่ซินหราน “พี่ชายทางนี้ค่ะ” เย่ซินหรานส่งเสียงเรียกพร้อมโบกไม้โบกมือให้พี่ชายอย่างร่าเริง จ้าวชิงหรานมองตามสายตาเพื่อนสาวจึงได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งใบหน้าหล่อเข้มรูปร่างสูงใหญ่ดูมีสง่าราศีเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่คมมองเธออย่างสำรวจจ้าวหลินอีก้มหน้าหลบสายตาอย่างเก้อเขินใบหน้าแดงระเรื่อราวกับสาวน้อยริเริ่มมีความรัก “พี่ชายนี่สหายคนสนิทฉันชื่อจ้าวหลินอี หลินอีนี่พี่ชายฉันชื่อเย่คุนข่ายพี่เขาเป็นทหาร” “สวัสดีค่ะพี่ใหญ่เย่” จ้าวหลินอีทักทายอย่างมีมารยาท เธอยิ้มอ่อนหวานอย่างเขินอาย ดวงตาคู่คมมองเธอราวกับกำลังจ้องจับผิดยิ่งทำให้เธอรู้สึกประหม่ามากขึ้น ไม่ใช่ว่าเธอแสดงไม่เหมือนสาวน้อยเหมือนสหายหรอกนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาได้พบกันคงไม่คิดว่าแปลกประหลาดไปจากสหายรุ่นเดียวกันหรอกกระมัง แต่ทำอย่างไรได้ชาติก่อนเธอตายตอนอายุสามสิบเก้าปี ช่
จ้าวหลินอีไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีคนอิจฉาเธออยู่เบื้องหลัง เธอนั่งรถมาด้วยความตื่นเต้นนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเธอที่ได้นั่งรถยนต์แบบนี้ แม้จะพยายามระงับอาการแต่ดวงตาก็พอประกายสดใสทำให้เย่คุนข่ายรู้สึกว่าเธอเหมือนสาวน้อยวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ทั้งสามคนนั่งรถมาครึ่งชั่วโมงก็มาย่านการค้าขนาดใหญ่“นั่นร้านแม่ฉัน แม่ฉันไม่ชอบเป็นคุณนายทหารอบยู่บ้านเฉย ๆ เหมือนผู้หญิงคนอื่นจึงได้มาเปิดร้านเป็นของตัวเอง” เมื่อจอดรถที่หน้าร้าน เย่ซินหรานก็ได้ชี้นิ้วแนะนำเพื่อนสาวอย่างภาคภูมิใจ มารดาของเธอทั้งสวยและเก่งไม่ยอมนั่งเล่นไพ่เดินช้อปปิ้งเหมือนคุณนายบ้านอื่น“แม่เธอเก่งมาก” จ้าวหลินอีกล่าวชมจากใจจริง เธอมองดูร้านขายเสื้อขนาดใหญ่แล้วรู้สึกอยากเปิดร้านแบบนี้บ้าง ไว้ให้เธอเก็บเงินสักระยะก่อน หลังเรียนจบค่อยออกมาทำตามความฝัน ระหว่างนี้ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปก่อน“เข้าไปเถอะ” เย่คุนข่ายบอกทั้งคู่ก่อนจะก้าวนำเข้าไปในร้านอย่างคุ้นเคย พนักงานในร้านต่างมองไปที่ลูกชายเจ้านายอย่างเขินอาย และมองหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ
“ได้สิ” โจวซินหยู่เรียกเด็กในร้านให้นำอุปกรณ์มาวางไว้ที่โต๊ะให้ จ้าวหลินอีหยิบดินสอพร้อมร่างภาพในหัวออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะชาติก่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านกับการจากไปของลูกสาว เธอจึงได้ฝึกวาดจนชำนาญหลังย้อนเวลากลับมาเธอก็ฝึกวาดอยู่เป็นประจำทำให้เพียงครึ่งชั่วโมงเธอก็ได้รูปกี่เพ้าที่ทันสมัยและลวดลายหงส์ร่อนมังกรอย่างรวดเร็ว“หลินอีหนูมีพรสวรรค์มาก”“ว้าว สหายรักเธอเก่งมาก ๆ เลย”ทั้งคู่เอ่ยชมด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่เคยเห็นใครวาดรูปได้รวดเร็วขนาดนี้และยังสมบูรณ์แบบมาก จ้าวหลินอียื่นรูปให้ทั้งสองดู ความจริงชาติก่อนเธอออกแบบได้มากกว่านี้ เพียงแต่เธอไม่มีเส้นสายและยังถูกกู้เหวินเฟยกับตู่จื่อหย่าขัดขวางทางเดินจนแทบไม่มีที่ให้เธอไป ทำให้เธอไม่มีโอกาสฟื้นกลับมาแก้แค้นให้ลูกสาวได้“ชุดนี้ฉันให้หนึ่งร้อยหยวน และชุดที่วาดเมื่อครู่ฉันให้หนึ่งร้อยห้าสิบหยวนหนูคิดว่าไง” โจวซินหยู่เอ่ยถามอย่างระวัง การค้าขายต้องมีความเสี่ยงแต่เห็นว่าหล่อนมีความตั้งใจอีกทั้งบุตรสาวบุตรชายเป็นคนพา
แต่เรื่องความรักไม่อาจบังคับกันได้จริง ๆ อีกอย่างชาติก่อนเธอเจ็บมามากจคงทำให้เธอหวาดระแวงและระมัดระวังเรื่องความรักมากขึ้น แต่จะระวังแค่ไหนก็หนีไม่พ้นพรหมลิขิตและธรรมชาติที่ควรจะเป็นหลังทานอาหารเสร็จ จ้าวหลินอีก็ได้ไปเปิดบัญชีธนาคารเอาไว้และเก็บเงินไว้กับตัวเองเท่าพอใช้จ่ายประจำวันเท่านั้น เพราะที่ห้องอยู่ด้วยกันสี่คนแม้จะเป็นสหายกันแต่ก็ยังไม่สามารถไว้ใจใครได้ จึงต้องระมัดระวังตลอดและอาจเป็นเพราะชาติก่อนประสบการณ์สอนเธอมาเยอะทำให้เธอทำอะไรจึงได้คิดและไตร่ตรองอย่างรอบคอบหลังจากวันนั้นที่ขายแบบเสื้อผ้าเธอก็ได้ส่งแบบไปให้ที่ร้านของคุณป้าโจวสัปดาห์ละชุด ทำให้เธอเริ่มมีชื่อเสียงในวงการเสื้อผ้ามากขึ้น ขณะเดียวกันเธอก็ตั้งใจเรียนการบริหารและการจัดการอย่างตั้งใจ ทุก ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์จ้าวหลินอีจะตามเย่ซินหรานออกจากมหาวิทยาลัยทีแรกเธอตั้งใจไปเช่าห้องเพื่อแยกกันอยู่ เธออยากซื้อจักรเย็บผ้าและตัดเย็บเองบ้าง แต่เมื่อคุณป้าทราบข่าวจึงได้ให้เธอมาพักอยู่กับเย่ซินหรานที่เรียนด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อสืบทอดกิจการของมารดา“ถึ
ตู่จื่อหย่าหน้าแดงอย่างอับอาย ก่อนจะลากคู่หมั้นตัวเองจากไปด้วยความโมโห พร้อมข่มขู่เขาหากเขายังไปยุ่งวุ่นวายกับจ้าวหลินอีอีก หล่อนจะไม่ส่งเขาเรียนและยกเลิกการหมั้น ทว่าเพียงโดนคำพูดหวานและออดอ้อนของกู้เหวินเฟยก็พากันกอดแขนคุยกันกระหนุงหนิงจากไป ก่อนจะทันเห็นจ้าวหลินอีขึ้นรถยนต์ไป“นั่นหล่อนยอมเป็นเมียน้อยคนรวยหรือ น่ารังเกียจจริง ๆ” ตู่จื่อหย่าเห็นว่าจ้าวหลินอีขึ้นรถยนต์ไปก็พูดขึ้นด้วยความเกลียดชัง หากหล่อนไม่มายั่วกู้เหวินเฟยมีหรือเขาจะสนใจผู้หญิงแบบนั้น ทำตัวไร้ค่าจริง ๆ บ้านยากจนไม่มีเงินเรียนแล้วยังอยากมาเรียน สุดท้ายก็มาขายตัว หากหล่อนนำเรื่องนี้ไปพูดยัยนั่นคงไม่มีหน้ากลับบ้านแน่ ๆ เมื่อคิดมาถึงเรื่องนี้ก็เหยียดยิ้มอย่างสมใจกู้เหวินเฟยมองตามร่างคนรักเก่าด้วยความเจ็บใจ หากรู้ว่าหล่อนสำส่อนขนาดนี้เขาน่าจะเป็นคนแรกของหล่อน คิดว่าเป็นหญิงสาวเรียบร้อยอ่อนหวาน กลับเป็นผู้หญิงร่านๆ แบบนี้แล้วมาทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว แววตาเข้มขึ้นอย่างเคียดแค้นเขารู้สึกว่าตนเองโดนหักหลัง“อย่าไปสนใจหล่อนเลย เราไปกินข้าวกันเถอะครับ ผมเห็นร้านอาหารดี
“นั่นสิ แม่ฉันอยากได้เธอมาเป็นสะ...แค่ก ๆ มาเป็นลูกสาวอีกคน เธอก็เรียกท่านว่าแม่เถอะ” เย่ซินหรานเอ่ยสนับสนุนเพื่อนสาวก่อนจะเผลอหลุดเรียกหล่อนว่าสะใภ้ แต่เมื่อเห็นสายตาพี่ชายมองมาทำให้เธอกลับคำพูดแทบไม่ทัน ก่อนจะถลึงตามองกลับพี่ชาย ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าพี่ชายก็ชอบสหายของเธอ มาทำเป็นวางตัวดี สักวันเถอะสหายเธอจะถูกผู้ชายคนอื่นคาบไปกิน ตอนนั้นเธอจะสมน้ำหน้าเข้า“คุณแม่” เมื่อเห็นทุกคนจ้องมองเธอราวกับต้องการคำตอบ ทำให้จ้าวหลินอีรู้สึกกดดันไม่น้อยก่อนจะเรียกโจวซินหยู่ว่าแม่เสียงเบาอย่างเขินอาย เธอจะไม่เข้าใจความหมายได้อย่างไร“เด็กดี กินเยอะ ๆ จะได้มีน้ำมีนวลหนูเรียนหนักไปใช่ไหม” ว่าแล้วก็ตักอาหารให้ว่าที่ลูกสะใภ้ในใจอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นสายตาลูกสาวมองก็รีบตักให้บ้างเดี๋ยวหล่อนจะน้อยใจไปบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างมีความสุข เสียงพูดคุยกันพร้อมเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่พบเจอให้คนในบ้านฟัง เย่คุนข่ายเองก็เป็นผู้ฟังที่ดีและตอบรับเป็นบางครั้ง แม้จะเป็นครอบครัวทหารแต่ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร
“เธอเป็นพนักงานตำแหน่งเล็ก ๆ ในอำเภอ เป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อกับแม่”จ้าวเทียนอี้บอกเล่าเรื่องคนรักให้คนในครอบครัวฟังอย่างเก้อเขิน เพราะตอนนี้เขาพยายามเก็บเงินเพื่อไปสู่ขอเธออยู่ และรอเวลาที่เหมาะสมด้วย“เช่นนั้นก็ดีเลยค่ะ พี่ชายให้เธอออกจากงานมาเลี้ยงดูพ่อกับแม่ได้ไหมคะ ฉันจะจ่ายเงินเดือนให้พี่สะใภ้เอง เดือนละห้าสิบหยวน”“เดี๋ยวพี่ขอปรึกษากับเสี่ยวเหยาอีกที” จ้าวเทียนอี้แบ่งรักแบ่งสู้ เพราะเขาเองก็อยากให้ว่าที่ภรรยามาช่วยดูแลพ่อกับแม่ ส่วนเขาจะทำงานเลี้ยงครอบครัวเอง“จะให้พ่อกับแม่ไปสู่ขอหล่อนเลยไหม”แม่จ้าวถามอย่างใส่ใจ หล่อนหาเด็กสาวในหมู่บ้านแล้ว แต่พวกหล่อนหัวสูงเรียกค่าสินสอดหลายร้อยหยวน อีกอย่างนิสัยใจคอก็รู้สึกว่าไม่อาจเข้ากับลูกชายจอมซื่อบื้อของเธอได้“ไว้เราสร้างบ้านเสร็จก่อนก็ได้ครับ ระหว่างนี้ผมจะได้คุยกับเธอด้วย” จ้าวเทียนอี้เอ่ยตอบอย่างเคอะเขิน เขาต้องพูดคุยเรื่องนี้กับคนรักก่อนกลัวว่าจู่ ๆ ไปหาเลยจะทำให้เธอตกใจจนปฏิเสธงานแต่งงาน“แบบนั้นก็ดี”&
และที่เธอยังไม่ได้เริ่มลงมือแก้แค้นเพราะกำลังรอช่วงเวลาจากนี้ต่างหาก ให้พวกเขาแต่งงานและแยกจากกันไม่ออก พวกเขาอยู่บ้านเดียวกันและมีผู้ชายคนนั้นอยู่บ้านด้วย ดูสิว่าสะใภ้คนนี้จะทนความเหงาไปได้สักกี่น้ำ เธอมีแผนอยู่ภายในใจโดยไม่ต้องลงมือเอง แค่กระตุ้น ๆ ให้ได้ผลลับออกมาเท่านั้น ถึงจะช้าหน่อยแต่พวกเขาต้องพบจุดจบไม่ดีเหมือนที่เธอเคยพบเจอมาอย่างแน่นอน“พ่อ แม่ ฉันกลับมาแล้วค่ะ” เมื่อเห็นพ่อกับแม่มารออยู่หน้าบ้านจ้าวหลินอีก็เลิกคิดเรื่องของสองผัวเมียนั่น เธอลงจากรถไปกอดพวกท่านให้หายคิดถึง“พ่อคะแม่คะฉันเรียนจบแล้วค่ะ” จ้าวหลินอีกอดพวกท่านทั้งน้ำตาเธอร้องไห้ออกมาอย่างอดกลั้นไม่อยู่ ตอนนี้เธอเรียนจบมีการศึกษาแล้ว ไม่ต้องโดนครอบครัวตระกูลกู้ดูถูกเหมือนชาติก่อนอีกแล้ว อีกทั้งชาตินี้เธอจะมีชีวิตที่ดีให้พวกเขาอิจฉาจนกระอักเลือดตายไปเลย“ดี ๆ ๆ เดินทางมาเหนื่อยๆ เข้าบ้านก่อนเถอะ” แม่จ้าวกอดลูกสาวด้วยความปราบปลื้มดีใจ พ่อจ้าวก็ตบไหล่ลูกสาวอย่างภาคภูมิใจ เธอไม่ได้ทำให้ครอบครัวผิดหวังจริงๆ ตอนนี้ชีวิตของพวกเขาดีมากๆ เพียงแต่ไม่ได้ป่าวประกาศให้
“พี่ใหญ่! ทางนี้ค่ะ”เมื่อลงมาจากรถไฟจ้าวหลินอีก็มองเห็นพี่ใหญ่มารับทันที เธอส่งยิ้มพร้อมโบกมือเรียกด้วยน้ำเสียงร่าเริง ตั้งแต่เธอมีร้านและมีเงินมากพอที่จะส่งตัวเองเรียนและส่งให้ครอบครัวพี่ใหญ่ก็ไม่ได้ทำงานหนักอีก เขาออกมาทำการค้าที่อำเภอแทนซึ่งพี่ใหญ่ชอบของเก่าจึงเปิดร้านของเก่าหรือของโบราณทำให้เขามีหน้ามีและรู้จักผู้ใหญ่หลายคน และเธอก็ทราบภายหลังว่าเย่คุนข่ายใช้เครือข่ายตัวเองช่วยพี่ชายอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเธอได้ขอบคุณเขาไปแล้วเพราะรู้ดีว่างานพวกนี้หากไม่มีเส้นมีสายจะอยู่ยากแต่เป็นความชอบของพี่ชายเธอจึงไม่ห้ามและช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่พี่ชายเหมือนมีพรสวรรค์ทางด้านนี้เขาสามารถมองออกได้ว่าวัตถุชิ้นไหนมีค่าและไม่มีค่า พวกเธอสองพี่น้องช่วยกันทำงานทำให้ฐานะทางบ้านร่ำรวยขึ้นมาก แต่พวกเขายังอยู่บ้านหลังเก่าอยู่จึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีฐานะร่ำรวยขึ้น“ไม่ได้กลับบ้านมาเกือบปีเธอผอมลงหรือเปล่า”“เปล่านี่ค่ะ นี่เรียกว่ากำลังหุ่นดีค่ะ อ้วนก็เป็นโรคง่ายผอมเกินก็ไม่ดีตอนนี้หุ่นฉันดีมากฉันออกกำลังกายเป็นประจำ&r
“พวกหล่อนจะไม่ให้ฉันนั่งส่องหนุ่มๆ บ้างหรือไง” ซุนหานลี่เอ่ยถามอย่างขัดใจ เขาเองก็อยากจะส่องหนุ่มๆ ก่อนอำลาเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าจบไปแล้วชีวิตตัวเองเป็นอย่างไร หรือต้องเทียวไปดูตัวตามญาติผู้ใหญ่ ช่างน่าหนักใจจริงๆ มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เขาได้มีอิสระความคิดและเที่ยวเล่นตามเหล่าสหายรู้ใจพวกนี้“ไม่ได้ๆ อย่าแสดงออกสีหน้ามันไม่งาม” สหายในกลุ่มต่างพูดหยอกล้อกันก่อนจะหัวเราะอย่างสนุก ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้โกรธอะไร วันนี้ชุดสีขาวสูทสีขาวของเจ้าตัวก็เป็นฝีมือตัดเย็บของจ้าวหลินอีเช่นกัน“เหอะ คอยดูเถอะ ถ้าแม่ฉันอยากได้สะใภ้ฉันจะลากพวกหล่อนไปแต่งงานด้วย”“กรี๊ดดดด ไม่ได้ผู้ชายของฉันต้องเป็นสุภาพบุรุษที่แข็งแกร่งกว่าฉัน” หลิวตานหยอกล้อสหายชายคนเดียวอย่างสนุกทำให้คนหัวเราะอย่างขบขัน ตอนนี้พวกเธอยังคงหัวเราะร่าเริงได้ แต่จากนี้ไปชีวิตของซุนหานลี่จะไม่ง่ายเลย เขาเกิดผิดยุคผิดสมัยไปหน่อยเพราะคนสมัยนี้ไม่ยอมรับผู้ชายที่รักผู้ชายพวกเธอได้แต่ส่งกำลังใจให้เท่านั้น“หลินอีเธอได้ยินข่าวหลีหว่านหนิงไหม
“น่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ ฝีมือคุณจ้าวอร่อยจนอยากให้เปิดร้านค่ะ”“ฮ่าๆ พี่เหม่ยหลิงก็พูดไป ฉันเปิดแค่ร้านเสื้อก็พอค่ะ ช่วงนี้พี่มองหาคนเพิ่มให้ฉันหน่อยนะคะ เดี๋ยวเรียนจบฉันตั้งใจจะเปิดเพิ่มอีกสาขาค่ะ”“จริงหรือคะ ยินดีด้วยค่ะกิจการของคุณจ้าวต้องเจริญก้าวหน้าอย่างแน่นอนค่ะ”“พี่ขอเป็นหุ้นส่วนด้วยนะ” เย่คุนข่ายที่เดินมาเอาน้ำในห้องครัวได้ยินคนรักพูดเรื่องเปิดสาขาใหม่จึงเอ่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม“แน่นอนค่ะ เพราะพี่จะเป็นหุ้นส่วนชีวิตฉันด้วยนี่ค่ะ”คำตอบของจ้าวหลินอีทำให้คนฟังต่างหน้าแดงด้วยความเขิน ภายในห้องจึงอบอวลไปด้วยความรักจนผู้ช่วยอย่างมู่เหม่ยหลิงเหมือนเป็นส่วนเกิน แต่เธอก็ยินดีกับเจ้านายจริงๆ ที่เจอผู้ชายดีๆ แบบนี้ ซึ่งต่างจากเธอที่ชีวิตการแต่งงานล้มเหลวเพราะเธอเป็นเพียงผู้หญิงไร้ค่าคลอดได้แต่ลูกสาว และแล้ววันที่จ้าวหลินอีก็เรียบจบปริญญาตามที่หวังก็มาถึง ในค่ำคืนนี้มีงานเลี้ยงอำลาซึ่งชุดที่เธอกับสหายล้วนมาจากร้านลี่หรงถัง ชุดราตรีสีแดงสด สีขาว สีน้ำเงินและสีชมพู
“ก็นึกว่าใคร คนขี้แพ้นี่เอง ฉันกับกู้เหวินเรียนจบก็จะได้แต่งงานกันแล้ว เธอควรแสดงความยินดีกับพวกฉันนะ” ทันทีที่เห็นหน้าศัตรูหัวใจ ตู่จื่อหย่าจึงพูดด้วยรอยยิ้มสะใจ เธอกอดแขนคู่หมั้นอวดความรักหวานชื้นตัวเองเพื่อให้หล่อนอิจฉา จ้าวหลินอีเป็นผู้หญิงที่ถูกกู้เหวินเฟยทอดทิ้ง แต่ตอนนี้หล่อนทั้งสวยและเรียนเก่งทำให้เธอรู้สึกหวาดระแวงจึงรีบมาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ“อ่อ งั้นก็ขอให้รักกันนานๆ แล้วกัน” จ้าวหลินอีตอบกลับหน้าตาย ผู้ชายสารเลวแบบนี้ให้ฟรียังไม่เอาเลย เธอไม่กลับไปโง่เขลาเหมือนชาติก่อนอย่างแน่นอน และเธออยากรู้จริงๆ ว่าหากตู่จื่อหย่ารู้ว่าผู้ชายสารเลวคนนี้พร้อมจะไปอยู่กับคนที่รวยกว่าจะรู้สึกยังไง และหากกู้เหวินเฟยรู้ว่าภรรยาของตนเองไม่ได้มีแค่ตัวเอง เรื่องจะจบแบบไหน มันคงน่าสนุกน่าดูเธอแทบอดใจรอชมไม่ไหวเชียวล่ะ“คิกๆๆ” เสียงหัวเราะรอบข้างทำให้ตู่จื่อหย่ารู้สึกหน้าเสียเป็นอย่างมาก เธอถลึงตาใส่กลุ่มของสหายของจ้าวหลินอีอย่างไม่พอใจก่อนจะด่ากลับอย่างโมโห“หัวเราะไปเถอะ อย่างหล่อนก็แค่ของเล่นผู้ชายเท่านั้นแหละ”เม
“กลับกันเถอะ เดี๋ยวดึกกว่านี้เธอไปเรียนไม่ไหว” หลังจากเดินย่อยมาสักพักแล้วจึงได้เอ่ยชวนคนรักสาวที่คล้ายจะง่วงนอนแล้ว เขารู้ว่าช่วงนี้ตัดเย็บชุดราตรีทำให้อดหลับอดนานมาหลายวันแล้ว“ได้ค่ะพี่ ฉันก็เริ่มง่วงแล้ว” จ้าวหลินอียิ้มรับก่อนจะเดินจูงมือกันกลับไปที่รถยนต์ที่จอดที่ลานจอด เธอนั่งรถกลับมาและเผลอหลับไม่รู้ตัว จนกระทั่งกลับมาถึงร้านที่ถูกปลุกให้ตื่นไปนอนที่ร้านดีๆ และวิธีการปลุกคนให้ตื่นของเย่คุนข่ายทำให้ริมฝีปากของเธอแดงซ้ำไปเลยทีเดียว“ฝันดีนะคะ” จ้าวหลินอีเอ่ยบอกใบหน้าแดงก่ำอย่างเขินอายก่อนจะรีบเข้าร้านและปิดประตูอย่างเรียบร้อย ไม่รอให้เย่คุนข่ายกลับเหมือนทุกครั้ง ดวงตาคู่คมมองแผ่นหลังอรชรด้วยรอยยิ้ม มือลูบปากตัวเองแผ่วเบาหวานจริงๆ ผลไม้ที่เขาเลี้ยงดูใกล้จะสุกเต็มที่แล้ว...เย่คุนข่ายมองตามอยู่สักพักจนกระทั่งไฟในร้านปิดหมดทุกดวงเขาจึงได้ขับรถออกไป ตอนนี้ตีหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้เช้ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการ ว่าที่ภรรยาขยันขนาดนั้นเขาจะต้องขยันให้มากกว่าเธอเป็นสองเท่าจ้าวหลินอีแอบมองต
“ใครปล่อยข่าว” สหายคนอื่นๆ ถามอย่างสงสัย จ้าวหลินอีมองพวกเขาแล้วเอ่ยตอบเบาๆ เพราะเธอก็ไม่คิดว่าจะเป็นรุ่นน้องที่ชอบมาปรึกษาเรื่องการเรียนกับเธอ ต่อหน้าหล่อนพูดดีมีมารยาททว่าลับหลังกลับไส้ร้ายป้ายสีเธอแบบนี้ ปานนี้หล่อนคงยังไม่รู้ตัวว่าเธอรู้ว่าหล่อนเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกเธอหรือสงสารยังช่วยทำรายงานสำคัญส่งอาจารย์ด้วย โชคดีจริงๆ ที่เธอยังไม่ได้คืนรายงานฉบับนี้ให้หล่อน เธอจะดูสิว่าถูกตลบหลังจะยังตีหน้าซื่อตาใสได้อีกหรือเปล่า“หลีหว่านหนิง”“ฉันว่าแล้วยัยนั่นมันแม่ดอกบัวขาว” คำพูดของหลิวตานทำให้จ้าวหลินอีหัวเราะเบาๆ เธอเองก็มองออกเพียงแต่เห็นหล่อนแล้วทำให้เธอคิดถึงลูกสาวจากชาติก่อน เธอจึงทำดีด้วยแต่เมื่อบทสรุปออกมาแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดจากที่คาดเดาไปได้ เธอจึงไม่ได้นึกเสียใจอะไรส่วนข่าวลือเดี๋ยวความจริงก็ถูกเปิดเผยเอง“หลี่หว่านหนิง ทำไมฉันรู้สึกคุ้นแซ่จังเลย จริงสิ! ไม่ใช่ยัยนี่เป็นลูกสาวของนายพลแซ่หลีที่เป็นคู่อริพ่อฉันเหรอ” เย่ซินหรานทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะสะดุดชื่
หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จจ้าวหลินอีก็ได้กลับไปที่ร้านเพราะยังมีชุดที่ต้องรอออกแบบอีกหลายชุด เธอวุ่นวายอยู่กับคนเดียวตลอดบ่าย ไหนจะต้องเลือกผ้าไหม สีผ้าที่เข้ากับผิวแต่ละคนและยังซื้อเครื่องประดับเพิ่มอีก อย่างพวกไข่มุกสีต่าง ๆ เพื่อมาตกแต่งชุดงานเลี้ยงของพวกสหายอีกสามคน ชุดราตรีต้องโดดเด่นเพราะมันจะเป็นการเปิดตัวร้านของเธอและคนจะได้รู้จักมากขึ้นอีกด้วย เธอทำงานอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งลูกน้องในร้านถึงเวลาเลิกงานหมดแล้ว เธอไม่ได้ให้พวกเขาทำงานล่วงเวลาเพราะพวกเขายังมีครอบครัวต้องรับผิดชอบ“ยังไม่เสร็จงานเหรอครับ”จ้าวหลินอีหันหน้าไปมองตามเสียงก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครมาหา เธอวางงานในมือลงแล้วเดินเข้าไปหา หลายวันมานี้เธองานยุ่งไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกันเลย โชคดีที่เย่คุนข่ายเป็นผู้ใหญ่และเป็นทหารที่มีเหตุผล เขาไม่เคยทำให้เธอรู้สึกลำบากใจแม้แต่ครั้งเดียว“ใกล้แล้วค่ะ ที่มหาลัยจะมีงานเลี้ยงค่ะสหายทั้งหลายเลยมาช่วยให้ทำชุดราตรีให้ค่ะ พี่ทานข้าวเย็นยังคะ”“ยังเลยพี่ว่าจะมารับเราไปเดินตลาดกลางคืนด