จ้าวหลินอีเรียนบริหารคนเดียวส่วนคนอื่นเรียนต่างสาขาเวลาเจอกันคือเวลานอน ในช่วงวันหยุดถ้าจะออกจากมหาวิทยาลัยต้องมีคนเซ็นรับ และจ้าวหลินอีต้องการออกไปติดต่อหาคนซื้อแบบเสื้อผ้าทำให้ต้องหาคนมาเซ็นชื่อให้ ซึ่งคนที่สามารถทำเรื่องออกจากมหาลัยได้เป็นพี่ชายของเย่ซินหราน “พี่ชายทางนี้ค่ะ” เย่ซินหรานส่งเสียงเรียกพร้อมโบกไม้โบกมือให้พี่ชายอย่างร่าเริง จ้าวชิงหรานมองตามสายตาเพื่อนสาวจึงได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งใบหน้าหล่อเข้มรูปร่างสูงใหญ่ดูมีสง่าราศีเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่คมมองเธออย่างสำรวจจ้าวหลินอีก้มหน้าหลบสายตาอย่างเก้อเขินใบหน้าแดงระเรื่อราวกับสาวน้อยริเริ่มมีความรัก “พี่ชายนี่สหายคนสนิทฉันชื่อจ้าวหลินอี หลินอีนี่พี่ชายฉันชื่อเย่คุนข่ายพี่เขาเป็นทหาร” “สวัสดีค่ะพี่ใหญ่เย่” จ้าวหลินอีทักทายอย่างมีมารยาท เธอยิ้มอ่อนหวานอย่างเขินอาย ดวงตาคู่คมมองเธอราวกับกำลังจ้องจับผิดยิ่งทำให้เธอรู้สึกประหม่ามากขึ้น ไม่ใช่ว่าเธอแสดงไม่เหมือนสาวน้อยเหมือนสหายหรอกนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาได้พบกันคงไม่คิดว่าแปลกประหลาดไปจากสหายรุ่นเดียวกันหรอกกระมัง แต่ทำอย่างไรได้ชาติก่อนเธอตายตอนอายุสามสิบเก้าปี ช่
จ้าวหลินอีไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีคนอิจฉาเธออยู่เบื้องหลัง เธอนั่งรถมาด้วยความตื่นเต้นนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเธอที่ได้นั่งรถยนต์แบบนี้ แม้จะพยายามระงับอาการแต่ดวงตาก็พอประกายสดใสทำให้เย่คุนข่ายรู้สึกว่าเธอเหมือนสาวน้อยวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ทั้งสามคนนั่งรถมาครึ่งชั่วโมงก็มาย่านการค้าขนาดใหญ่“นั่นร้านแม่ฉัน แม่ฉันไม่ชอบเป็นคุณนายทหารอบยู่บ้านเฉย ๆ เหมือนผู้หญิงคนอื่นจึงได้มาเปิดร้านเป็นของตัวเอง” เมื่อจอดรถที่หน้าร้าน เย่ซินหรานก็ได้ชี้นิ้วแนะนำเพื่อนสาวอย่างภาคภูมิใจ มารดาของเธอทั้งสวยและเก่งไม่ยอมนั่งเล่นไพ่เดินช้อปปิ้งเหมือนคุณนายบ้านอื่น“แม่เธอเก่งมาก” จ้าวหลินอีกล่าวชมจากใจจริง เธอมองดูร้านขายเสื้อขนาดใหญ่แล้วรู้สึกอยากเปิดร้านแบบนี้บ้าง ไว้ให้เธอเก็บเงินสักระยะก่อน หลังเรียนจบค่อยออกมาทำตามความฝัน ระหว่างนี้ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปก่อน“เข้าไปเถอะ” เย่คุนข่ายบอกทั้งคู่ก่อนจะก้าวนำเข้าไปในร้านอย่างคุ้นเคย พนักงานในร้านต่างมองไปที่ลูกชายเจ้านายอย่างเขินอาย และมองหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ
“ได้สิ” โจวซินหยู่เรียกเด็กในร้านให้นำอุปกรณ์มาวางไว้ที่โต๊ะให้ จ้าวหลินอีหยิบดินสอพร้อมร่างภาพในหัวออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะชาติก่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านกับการจากไปของลูกสาว เธอจึงได้ฝึกวาดจนชำนาญหลังย้อนเวลากลับมาเธอก็ฝึกวาดอยู่เป็นประจำทำให้เพียงครึ่งชั่วโมงเธอก็ได้รูปกี่เพ้าที่ทันสมัยและลวดลายหงส์ร่อนมังกรอย่างรวดเร็ว“หลินอีหนูมีพรสวรรค์มาก”“ว้าว สหายรักเธอเก่งมาก ๆ เลย”ทั้งคู่เอ่ยชมด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่เคยเห็นใครวาดรูปได้รวดเร็วขนาดนี้และยังสมบูรณ์แบบมาก จ้าวหลินอียื่นรูปให้ทั้งสองดู ความจริงชาติก่อนเธอออกแบบได้มากกว่านี้ เพียงแต่เธอไม่มีเส้นสายและยังถูกกู้เหวินเฟยกับตู่จื่อหย่าขัดขวางทางเดินจนแทบไม่มีที่ให้เธอไป ทำให้เธอไม่มีโอกาสฟื้นกลับมาแก้แค้นให้ลูกสาวได้“ชุดนี้ฉันให้หนึ่งร้อยหยวน และชุดที่วาดเมื่อครู่ฉันให้หนึ่งร้อยห้าสิบหยวนหนูคิดว่าไง” โจวซินหยู่เอ่ยถามอย่างระวัง การค้าขายต้องมีความเสี่ยงแต่เห็นว่าหล่อนมีความตั้งใจอีกทั้งบุตรสาวบุตรชายเป็นคนพา
แต่เรื่องความรักไม่อาจบังคับกันได้จริง ๆ อีกอย่างชาติก่อนเธอเจ็บมามากจคงทำให้เธอหวาดระแวงและระมัดระวังเรื่องความรักมากขึ้น แต่จะระวังแค่ไหนก็หนีไม่พ้นพรหมลิขิตและธรรมชาติที่ควรจะเป็นหลังทานอาหารเสร็จ จ้าวหลินอีก็ได้ไปเปิดบัญชีธนาคารเอาไว้และเก็บเงินไว้กับตัวเองเท่าพอใช้จ่ายประจำวันเท่านั้น เพราะที่ห้องอยู่ด้วยกันสี่คนแม้จะเป็นสหายกันแต่ก็ยังไม่สามารถไว้ใจใครได้ จึงต้องระมัดระวังตลอดและอาจเป็นเพราะชาติก่อนประสบการณ์สอนเธอมาเยอะทำให้เธอทำอะไรจึงได้คิดและไตร่ตรองอย่างรอบคอบหลังจากวันนั้นที่ขายแบบเสื้อผ้าเธอก็ได้ส่งแบบไปให้ที่ร้านของคุณป้าโจวสัปดาห์ละชุด ทำให้เธอเริ่มมีชื่อเสียงในวงการเสื้อผ้ามากขึ้น ขณะเดียวกันเธอก็ตั้งใจเรียนการบริหารและการจัดการอย่างตั้งใจ ทุก ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์จ้าวหลินอีจะตามเย่ซินหรานออกจากมหาวิทยาลัยทีแรกเธอตั้งใจไปเช่าห้องเพื่อแยกกันอยู่ เธออยากซื้อจักรเย็บผ้าและตัดเย็บเองบ้าง แต่เมื่อคุณป้าทราบข่าวจึงได้ให้เธอมาพักอยู่กับเย่ซินหรานที่เรียนด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อสืบทอดกิจการของมารดา“ถึ
ตู่จื่อหย่าหน้าแดงอย่างอับอาย ก่อนจะลากคู่หมั้นตัวเองจากไปด้วยความโมโห พร้อมข่มขู่เขาหากเขายังไปยุ่งวุ่นวายกับจ้าวหลินอีอีก หล่อนจะไม่ส่งเขาเรียนและยกเลิกการหมั้น ทว่าเพียงโดนคำพูดหวานและออดอ้อนของกู้เหวินเฟยก็พากันกอดแขนคุยกันกระหนุงหนิงจากไป ก่อนจะทันเห็นจ้าวหลินอีขึ้นรถยนต์ไป“นั่นหล่อนยอมเป็นเมียน้อยคนรวยหรือ น่ารังเกียจจริง ๆ” ตู่จื่อหย่าเห็นว่าจ้าวหลินอีขึ้นรถยนต์ไปก็พูดขึ้นด้วยความเกลียดชัง หากหล่อนไม่มายั่วกู้เหวินเฟยมีหรือเขาจะสนใจผู้หญิงแบบนั้น ทำตัวไร้ค่าจริง ๆ บ้านยากจนไม่มีเงินเรียนแล้วยังอยากมาเรียน สุดท้ายก็มาขายตัว หากหล่อนนำเรื่องนี้ไปพูดยัยนั่นคงไม่มีหน้ากลับบ้านแน่ ๆ เมื่อคิดมาถึงเรื่องนี้ก็เหยียดยิ้มอย่างสมใจกู้เหวินเฟยมองตามร่างคนรักเก่าด้วยความเจ็บใจ หากรู้ว่าหล่อนสำส่อนขนาดนี้เขาน่าจะเป็นคนแรกของหล่อน คิดว่าเป็นหญิงสาวเรียบร้อยอ่อนหวาน กลับเป็นผู้หญิงร่านๆ แบบนี้แล้วมาทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว แววตาเข้มขึ้นอย่างเคียดแค้นเขารู้สึกว่าตนเองโดนหักหลัง“อย่าไปสนใจหล่อนเลย เราไปกินข้าวกันเถอะครับ ผมเห็นร้านอาหารดี
“นั่นสิ แม่ฉันอยากได้เธอมาเป็นสะ...แค่ก ๆ มาเป็นลูกสาวอีกคน เธอก็เรียกท่านว่าแม่เถอะ” เย่ซินหรานเอ่ยสนับสนุนเพื่อนสาวก่อนจะเผลอหลุดเรียกหล่อนว่าสะใภ้ แต่เมื่อเห็นสายตาพี่ชายมองมาทำให้เธอกลับคำพูดแทบไม่ทัน ก่อนจะถลึงตามองกลับพี่ชาย ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าพี่ชายก็ชอบสหายของเธอ มาทำเป็นวางตัวดี สักวันเถอะสหายเธอจะถูกผู้ชายคนอื่นคาบไปกิน ตอนนั้นเธอจะสมน้ำหน้าเข้า“คุณแม่” เมื่อเห็นทุกคนจ้องมองเธอราวกับต้องการคำตอบ ทำให้จ้าวหลินอีรู้สึกกดดันไม่น้อยก่อนจะเรียกโจวซินหยู่ว่าแม่เสียงเบาอย่างเขินอาย เธอจะไม่เข้าใจความหมายได้อย่างไร“เด็กดี กินเยอะ ๆ จะได้มีน้ำมีนวลหนูเรียนหนักไปใช่ไหม” ว่าแล้วก็ตักอาหารให้ว่าที่ลูกสะใภ้ในใจอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นสายตาลูกสาวมองก็รีบตักให้บ้างเดี๋ยวหล่อนจะน้อยใจไปบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างมีความสุข เสียงพูดคุยกันพร้อมเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่พบเจอให้คนในบ้านฟัง เย่คุนข่ายเองก็เป็นผู้ฟังที่ดีและตอบรับเป็นบางครั้ง แม้จะเป็นครอบครัวทหารแต่ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร
“บะหมี่อายุยืนครับ กินให้หมดอย่ากัดขาดนะครับ” จ้าวหลินอีมองชามบะหมี่ตรงหน้าแล้วน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่ได้กินบะหมี่อายุยืนนานมากแล้วและไม่เคยมีใครใส่ใจเธอมากขนาดนี้มาก่อน “หมี่ซั่วชามนี้พี่ชายฉันเป็นคนลงมือทำเองเลยนะ” เย่ซินหรานรีบเอ่ยบอกความดีงามของพี่ชาย เธอมองสหายด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ซึ่งทำให้จ้าวหลินอีหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินมากขึ้น จะบอกไม่รู้สึกอะไรก็คงไม่ได้เธอเป็นคนที่มีเลือดเนื้อและหัวใจ เมื่อมีคนทำดีกับเธอขนาดนี้จะไม่ให้เธอหวั่นไหวได้อย่างไร “ขอบคุณมากนะคะพี่คุนข่าย” “ผมเต็มใจทำครับ สุขสันต์วันเกิดครับ” เย่คุนข่ายยื่นกล่องเล็ก ๆ ที่เขาไปเอามาจากในห้องมาให้เธอแทน เพราะเขาหาของขวัญวันเกิดไม่ทัน แต่สร้อยเส้นนี้เขาเห็นแล้วคิดว่ามันเหมาะกับจ้าวหลินอีมากจึงได้ซื้อเอาไว้ เพียงแต่ไม่มีโอกาสเหมาะสมเท่านั้น จ้าวหลินอีรับกล่องที่ไม่ได้ห่ออะไรออกมาดู มันเป็นสร้อยเงินห้อยด้วยดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว แม้จะดูเรียบธรรมดาแต่เธอรู้ว่ามันราคาแพงมาก เธอเงยหน้าสบตากับเขาพยายามค้นหาความจริงในแววตาคู่นั้น “ผมเห็นเหมาะกับคุณ ความจริงตั้งใจซื้อมาให้นานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส” เย่คุนข่ายที่ปก
“วันนี้พี่ไม่กลับค่ายหรือคะ” เมื่อเห็นแววตาที่มองอย่างลุ่มหลงทำให้จ้าวหลินอีรู้สึกทำตัวไม่ถูก ใบหน้าแดงระเรื่อจนลามไปถึงใบหู จึงได้เอ่ยถามอย่างแก้เขิน “ช่วงที่เราอยู่ที่นี่พี่จะมานอนที่บ้านครับ” เย่คุนข่ายบอกด้วยรอยยิ้มมีความหมาย เพราะเธอกับเขาอายุห่างกันหลายปีจึงไม่อยากทำให้เธอตกใจ อีกทั้งเธอพักอยู่หอนักศึกษาหากไม่ใช่วันหยุดก็จะไม่ได้พบเธอเลย ในเมื่อมีโอกาสเขาจึงอยากสร้างความสัมพันธ์กับเธอ แต่ก็ไม่กล้าที่จะบอกรักกลัวว่าเธอจะตกใจไปเสียก่อน จึงค่อย ๆ ต้มกบในน้ำอุ่นหวังว่าเธอจะรู้ว่าชอบเขาก็ไม่สามารถหันหลังกลับไปได้แล้ว “เรียนเป็นไงบ้างครับ ยากหรือเปล่า” เย่คุนข่ายเอ่ยถามเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาเกินไป “ก็ดีค่ะ ไม่ได้ยากอย่างที่คิดค่ะ” จ้าวหลินอีนึกถึงเรื่องเรียนแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม อาจเป็นวิชาที่ชอบด้วยเลยทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ได้ยากเกินไป และยังรู้สึกสนุกด้วยชาติก่อนเธอไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้เธอซึมซับบรรยากาศและความทรงจำเก็บไว้ภายในเป็นอย่างดี เธอมีอาจารย์ที่ดี มีสหายร่วมชั้นที่ดีและยังได้รูมเมทที่ดีมาก ๆ ซึ่งเธอคิดว่าชาตินี้เธอโชคดีมากจริง ๆ “แล้วมีคนมาจีบหรือเปล่า” คำถามข
“เดี๋ยวลูกไปเล่นที่หลังร้านก่อนนะ เดี๋ยวบ่ายๆ เรากลับบ้านกันจะได้ไปเตรียมอาหารเย็น”“ได้ค่ะ” เด็กหญิงตอบรับก่อนจะลากน้องชายไปด้วย ครั้งนี้เธอยอมเล่นฟันดาบกับเขา ทำให้ใบหน้าบูดบึ้งของน้องชายยิ้มออกมาได้ ยิ่งรู้ว่าตอนเย็นมีของชอบด้วยยิ่งทำให้สองฝาแฝดเล่นกันอย่างสนุกสนานจ้าวหลินอีรีบตัดเย็บชุดครอบครัวอย่างรวดเร็วเธอไม่ได้ให้ลูกจ้างคนอื่นช่วยเพราะอยากทำด้วยตนเอง ตอนนี้ร้านค้าทั้งสามสาขาของเธอกิจการดีมากและยังได้ผลกำไลเยอะขึ้นทุกปีและได้การตอบรับจากลูกค้ามากยิ่งขึ้น ยิ่งได้ดาราดังมาช่วยเป็นนางแบบทำให้ร้านลี่หรงถังโด่งดังทั่วปักกิ่งเลยทีเดียว และเธอเคยส่งงานเข้าร่วมประกวดจนได้รางวัลการออกแบบดีเด่นมาประดับร้านอีกด้วยหลังจากตัดเย็บจนได้เวลาทำอาหารจ้าวหลินอีจึงได้เดินทางกลับบ้าน ส่วนวัตถุดิบเธอให้เด็กที่ร้านออกไปซื้อเตรียมไว้ให้แล้ว ซึ่งเธอก็ได้มอบทิปน้ำใจให้เป็นการตอบแทนด้วย และการกระทำแบบนี้ทำให้ลูกจ้างที่ร้านลี่หรงถังต่างชอบนายจ้างแบบเธอมากและไม่มีใครลาออกจากงานสักคนเดียว งานดี เงินดีและยังมีเจ้านายที่แสนดีพวกหล่อนจึงกอดขาทองคำไ
ฉึก!!กู้เหวินเฟยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาก้มมองภรรยาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แต่กลับมองเห็นแววตาแห่งความบ้าคลั่งของตู่จื่อเฟยถึงกลับทำให้เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เมื่อก้มมองตรงอกข้างซ้ายของตัวเองที่มีมีดปลายแหลมคมปักอยู่ ซึ่งเป็นมีดที่ตู่จื่อหย่าพกติดตัวตลอดตั้งแต่ถูกกู้เฉินฮุ่ยลวนลามเมื่อครั้งก่อน เธอเอาไว้ป้องกันตัวไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้ใช้มันกับคนที่เธอรักมากปึก!กรี๊ดดดด ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นลั่นบ้าน จากนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นแต่น่าเสียดายที่ยุคสมัยนี้ยังไม่พัฒนาเรื่องการแพทย์และไม่มีรถส่วนตัวที่จะหามส่งโรงพยาบาลได้ทัน เวลาต่อมากู้เหวินเฟยจึงได้เสียชีวิตลง เรื่องนี้ทำให้ชาวบ้านที่มาพบเห็นเหตุการณ์ต่างตื่นตระหนกหลังจากที่มีเหตุการณ์ฆ่ากันตายตู่จื่อหย่าไม่ได้หนีความผิด เธอเดินกลับเข้าห้องไปอย่างสงบและสุดท้ายก็จบชีวิตลูกน้อยด้วยน้ำตา ดวงตาที่มีแต่ความแค้นและความเกลียดชังมองไปยังบ้านกู้ก่อนจะจุดไฟเผาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็จบชีวิตตัวเองตามไปด้วย เพราะรู้ดีว่าหากเธอไม่ตายก็ต้องติดคุ
แต่ชาตินี้เธอท้องกลับมีคนดูแลแทบจะไม่ได้เดินเองเลย ร้านค้าก็มีคนช่วยดูแลและนำเอกสารการเงินมาให้ดูถึงบ้าน และมาเล่ารายงานให้ฟังสองสามวันต่อครั้ง ความแตกต่างกันนี้ทำให้เธอรู้สึกอยากขอบคุณสวรรค์ที่ให้ย้อนเวลากลับมาเธอจะใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่ากับการที่ได้มาเลยทีเดียวขณะที่จ้าวหลินอีถูกประคบประหงมราวกับไข่ในหิน ทางด้านตู่จื่อหย่าถูกคนบ้านตระกูลกู้จิกหัวใช้ราวกับทาส คลอดลูกออกมาก็เป็นลูกสาวยิ่งทำให้แม่สามีชิงชังมากกว่าเดิมทุกวันนี้ร่างกายเธอผอมแห้งดวงตามีแต่ความเครียดแค้นชิงชัง ไม่รู้ว่าทำไมชีวิตที่ดีของเธอต้องมาลงเอ่ยแบบนี้ พ่อที่เคยตามใจและหนุนหลังกลับติดคุก แม่ที่เคยตามใจเธอกลับหนีตามผู้ชายคนใหม่พี่ชายก็ไม่รู้หนีหายไปไหนสุดท้ายเธอจึงเหลือตัวคนเดียวทำให้คนบ้านกู้ต่างดูถูกต่าง ๆ นา ๆ อีกทั้งยังมีผู้ชายสารเลวอย่างกู้เฉินฮุ่ยที่คอยแอบเข้าหาและลวนลามเธอเวลาไม่มีคนอยู่ ทำให้เธอน้ำท่วมปากไม่สามารถป่าวตะโกนออกไปได้ส่วนสามีที่เธอคิดฝากฝังชีวิตกลับไม่ได้มาที่บ้านตั้งแต่รู้ว่าเธอคลอดลูกสาวแล้ว เมื่อก่อนเป็นเธอและครอบครัวที่ส่งเสียเ
ทว่าเวลาต่อมาจ้าวหลินอีจึงได้รู้ซึ้งแล้วว่า มาเก๊าเป็นสถานที่กินคนอย่างแท้จริง พวกคนงานถูกใช้งานยิ่งทาส ค่าครองชีพก็สูงเป็นอย่างมาก อีกทั้งผู้หญิงที่มาที่นี่ก็ถูกจับเข้าซ่องโสเภณีเสียส่วนใหญ่ หากไม่มีคนหนุนหลัง แม้กระทั่งคู่รักที่รักปานจะกลืนกินเมื่อมาที่มาเก๊าความรักก็จางหายมีแต่ความเห็นแก่ตัวให้เห็นเท่านั้น เพราะพวกเขาแม้กระทั่งขายผู้หญิงที่ตัวเองบอกว่ารักมากให้กับชายอื่นเพื่อเงินเพื่อมีชีวิตต่อไปสิ่งที่เห็นในมาเก๊าทำให้จ้าวหลินอีรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก อยู่ปักกิ่งดีที่สุดแล้ว เมืองใหญ่ที่การแข่งขันสูงแต่ก็หาเงินได้คล่องและไม่ได้เบียดเบียนชีวิตใครแต่ถึงมาเก๊าจะมีสิ่งไม่ดีให้เห็นแต่ก็มีสิ่งสวยงามที่เย้ายวนให้ผู้คนเดินทางมามากมาย ที่นี่เหมือนไม่มีเวลากลางคืน มีแสงสว่างตลอดเวลาและมีความครึกครื่นเป็นอย่างมากโดยเฉพาะคาสิโนที่มีนักพนันมากมายมาเสี่ยงดวงที่นี่ บางคนเล่นหนักถึงกับเสียมือเสียเท้าไปเลยทีเดียวแต่นั่นเป็นความละโมบของพวกเขา จ้าวหลินอีเริ่มมองผู้คนด้วยความสงบนิ่งมากขึ้นไม่ได้มีแววตาตื่นตระหนกเหมือนวันแรกที่มาเยือน อีกทั้งข้างกายมีสามีอย่างเย่คุนข่
หลังจากแต่งงานได้สามวัน จ้าวหลินอีจึงได้กลับปักกิ่งอีกครั้งเพราะเธอยังเป็นห่วงร้านลี่หรงถัง และยังมีงานแต่งงานเมืองหลวงอีกรอบ พ่อกับแม่ของสามีอยากประกาศให้คนที่นี่รู้ว่าเธอเป็นลูกสะใภ้ ซึ่งได้จองโรงแรมไว้อย่างยิ่งใหญ่ คนที่มาร่วมงานก็เป็นเหล่าทหารในค่ายทหารและเหล่าแม่บ้านเพื่อให้จ้าวหลินอีได้รู้จักภรรยาของทหารกล้าทั้งหลายด้วยซึ่งการกระทำแบบนี้ค่อนข้างสิ้นเปลือง แต่จ้าวหลินอีกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากเพราะนั่นเป็นการให้เกียรติเธอ อีกทั้งตอนนี้เธอไม่ใช่แค่เด็กบ้านนอกทีไร้การศึกษาและยากจนอีกต่อไป แม้ฐานะเธอจะสู้ข้าราชการไม่ได้แต่เธอก็ภูมิใจในงานของตัวเองเป็นอย่างมากงานแต่งงานที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แม้จะมีคนมาก่อความวุ่นวายเพราะความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ผ่านมาได้อย่างดี ซึ่งคนที่ก่อกวนไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นครอบครัวตระกูลจินที่อ้างว่ามีสัญญาหมั้นหมายไว้เมื่อครั้งก่อนที่จ้าวหลินได้เจอ แต่สุดท้ายลูกสาวของพวกเขากลับตั้งครรภ์โดยไม่มีพ่อ พวกเขาจึงอยากให้เย่คุนข่ายรับเป็นพ่อของเด็กในท้องจึงได้วางแผนเรื่องนี้ขึ้นมา“ยินดีด้วยนะคะลูกสะใภ้สวยมากเลยค่
เย่คุนข่ายได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มออกมาเบา ๆ ก่อนจะเข้าไปสวมกอดเจ้าสาวของเขาอย่างเบามือ เมื่อนัยน์ตาสบประสาน ทั้งสองก็เคลื่อนใบหน้าเข้าหากันอย่างเนิบช้า ริมฝีปากสัมผัสแผ่วเบาเข้าที่อวัยวะเดียวกัน จากความอ่อนโยนจนอุ่นซ่านไปทั้งใจ ก็เริ่มขบเม้มไล้เลียเข้าหากันไปมาอย่างเร่าร้อนชุดที่สวมใส่ถูกถอดออกอย่างไม่รู้ตัว เพราะความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่รสจูบร้อนแรง ลิ้นชื้นสอดแทรกสำรวจไปตามโพรงปากอย่างหิวโหย เสียงแลกเปลี่ยนน้ำลายดังขึ้นอย่างลามก ในตอนที่ใบหน้าหล่อเหลาผละออกก็มีน้ำใสสีเงินเชื่อมที่มุมปาก เป็นภาพที่ชวนให้ทั้งสองใบหน้าขึ้นสีระเรื่อได้อย่างง่ายดายพร้อมกับหัวใจที่เต้นถี่รัวกว่าทุกทีเขาดันภรรยาให้นอนราบลงบนเตียง ตามด้วยคร่อมกายหนาลงไปอย่างไม่รีรอ ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ไปตามลำคอระหง กลิ่นหอมเฉพาะตัวทำเอาเขาอดใจไม่ไหวไล้จมูกสูดดมจนเสียงดังฟอด กระตุ้นให้จ้าวหลินอีหายใจติดขัดด้วยความรู้สึกวาบหวาม ก่อนจะสะดุ้งเกร็งเมื่อถูกปลายลิ้นลากผ่านสัมผัสเข้าที่ปลายยอดถัน สัมผัสแผ่วเบาทว่าสั่นสะท้านไปทั้งกาย เส้นความอดทนขาดผึงลงอย่างง่ายดายร่างหนาลุกยืนเต็มความสูงก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนทิ้งไปอย่างไม่
“ได้ยังไง ของบริจาคก็ต้องมาแจกให้หมดสิ จะมากลับคำได้ยังไง” เจิ้งฮวาเท้าสะเอวตอบโต้อย่างไม่พอใจ บรรดาลูกๆ และลูกสะใภ้ต่างก็ดึงหมวกมาปิดหน้าเอาไว้ด้วยความอับอาย “ของพวกเราอยากจะแจกใครก็ได้ครับ” เย่คุนข่ายที่เห็นว่าหล่อนสร้างปัญหาไม่เลิกก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ ดวงตาคมกริบกวาดสายตามองไปยังชาวบ้านรอบๆ ซึ่งทำให้พวกหล่อนหดคอด้วยความกลัว จากนั้นก็มีคนลากเจิ้งฮวาออกไปเพราะกลัวว่าคุณนายจะโมโหจนเลิกแจกสิ่งของ “พวกแกทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ทำมันจะไปเอาไม่ได้ของเยอะขนาดนั้นจะหวงทำไม!” เสียงกรีดร้องโวยวายของเจิ้งฮวาไม่มีใครสนใจอีก เมื่อนำตัวปัญหาสร้างเรื่องออกไปการแจกของจึงกลับมาสงบอีกครั้ง คนที่ได้รับก็ยิ้มด้วยความดีใจ เพราะสิ่งของเป็นถุงใหญ่ซึ่งพวกเขาได้ทั้ง ผ้าห่ม เสื้อผ้า ข้าวสารอาหารแห้งและยังมีน้ำมันที่หายากด้วย ซึ่งทุกคนที่ได้รับก็ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะของเหล่านี้มีค่าพวกเขายากจนจึงไม่ได้ซื้อบ่อยนัก อย่างเช่นผ้าผืนใหญ่ที่สามารถนำมาตัดชุดได้อีกหลายตัว การแจกสิ่งของจบลงตอนเย็น ซึ่งสร้างความยินดีให้กับผู้รับ ทุกคนต่างยิ้มอย่างมีความสุขและยังพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างครึกครื้น ทุกคนต่างพูดชื่นชมจ้าว
“นั่นสิไปกันเถอะ” ก่อนจะเดินไปพวกเขาต่างมองบ้านตระกูลกู้ด้วยสายตาดูแคลน คนตระกูลกู้ไม่มีใครดีสักคนไม่รู้ว่าทำตู่จื่อหย่าถึงได้ตาบอดมาชอบผู้ชายแมงดาอย่างกู้เหวินเฟยไปได้ เจิ้งฮวามองตามกลุ่มคนไปอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันกลับไปลากสะใภ้ที่บ้านไปรับของแจกด้วย หล่อนก็เป็นคนในหมู่บ้านย่อมต้องมีสิทธิ์รับของแจกได้เหมือนกัน “แม่ ฉันไม่ไป!” ตู่จื่อหย่าร้องเสียงหลง เธอพึ่งแต่งงานมาเป็นสะใภ้เต็มตัว แต่กลับถูกใช้งานเยี่ยงทาส อีกอย่างทำไมคนอย่างเธอต้องไปรับของเหลือเดนจากจ้าวหลินอีด้วย! “ไม่ไปไม่ได้ หล่อนก็มีสิทธิ์ได้ของเหมือนกัน สะใภ้ใหญ่หล่อนก็ไปเอาถุงใบใหญ่ไปด้วยเราจะไปกันทั้งบ้านนี่แหละ” เจิ้งฮวาจัดแจงอย่างไม่สนใจใคร บ้านนี้หล่อนเป็นใหญ่ทุกคนต้องเชื่อฟังหล่อนคนเดียวเท่านั้น “แม่ฉันอายคนอื่นทำไมบ้านเราต้องไปเอาของบริจาคเหมือนขอทานด้วย” กู้จินเย่พูดขึ้นอย่างไม่ใจ หล่อนดูถูกเหยียดหยามจ้าวหลินอีมาโดยตลอด ทำไมต้องไปของบริจาคจากคนที่หล่อนด้อยค่าแบบนั้นด้วย “ไม่ได้ ของในเมืองหลวงมีแต่ดีๆ ทั้งนั้นเราจะเสียโอกาสไม่ได้” เจิ้งฮวาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของลูกสาวก่อนจะลากทุกคนในบ้านไปรับของบริจาคด้วยก
“มันเยอะเกินไป พวกเรารับไม่ได้หรอกพวกเราไม่ได้ขายลูกกินแค่อยากให้เธอแต่งงานกับคนที่รักและดูแลเธออย่างดีก็พอแล้ว”“มากมายอะไรกัน อย่าไปคิดมากสิค่ะคุณน้อง ตอนนี้คุนข่ายได้เลื่อนขั้นเป็นนายพลแล้วอีกอย่างฉันเองก็รักหลินอีเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ต้องจัดงานแต่งงานให้เธออย่างสมเกียรติค่ะ”“ใช่ครับ อย่าทำให้พวกเราเสียความตั้งใจเลยครับ” ท่านนายพลเย่เต๋อหมิงที่พูดไม่ค่อยเก่งยังต้องพูดรองรับเหตุผลเพิ่มอีกหนึ่งคน เมื่อเห็นสองคนผัวเมียเต็มใจยกสินสอดมากมายให้ลูกสาวแบบนี้อินเยว่เจียถึงกลับน้ำตาซึมด้วยซึ้งใจ เพราะนั่นหมายถึงลูกสาวแต่งงานออกไปจะไม่มีวันที่จะถูกรังแกจากพ่อแม่สามีอย่างครอบครัวอื่นแน่นอน“คุณพ่อกับคุณแม่รับไว้เถอะครับ ผมสัญญาว่าจะรักและดูแลจ้าวหลินอีคนเดียวตลอดไปครับ” เย่คุนข่ายออกปากยืนยันความตั้งใจด้วยความหนักแน่นมั่นคง ดวงตาคู่คมมองคนรักที่ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอายอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาลึกซึ้ง“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง เดี๋ยวพวกเราค่อยมาปรึกษาฤกษ์แต่งงานกันอีกที” พ่อจ้าวที่นั่งฟังมานานออกปากพูดขึ้น“ฉันได้นำชื่อของทั้งคู่ไปดูฤกษ์ยามแล้ว ซึ่งก็อีกสองเดือนข้างหน้า หากพวกคุณไม่รังเกียจสามารถใช้ฤก