“ค่ะ ทุกคนไปนอนเถอะค่ะฉันไม่เป็นไร” จ้าวหลินอีบอกทุกคนด้วยรอยยิ้มหวังให้พวกเขาสบายใจ ทุกคนมองเธออย่างเป็นห่วงก่อนจะแยกย้ายกันไป โดยเฉพาะพี่ชายก่อนจากยังขยี้ผมเธออย่างห่วงใย เธอเงยหน้ามองพี่ชายด้วยรอยยิ้ม ปกติเธอจะหนีออกจากฝ่ามือเขาเพราะกลัวผมจะยุ่ง แต่ความอบอุ่นนี้ทำให้เธอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เป็นเธอเองที่หันหลังให้ครอบครัวที่ดีของเธอแบบนี้
“ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกพี่ได้” “ค่ะ พี่ไปนอนเถอะดึกแล้วพรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานอีก” จ้าวหลินอีบอกพี่ชายอย่างเป็นห่วง เพราะเขาต้องทำงานหนักเลี้ยงครอบครัวและยังต้องส่งเธอเรียน ชาติก่อนเธอทำให้พวกเขาผิดหวังจริง ๆ เมื่อเห็นเขาเดินกลับห้องตัวเองเธอจึงปิดประตูใส่กลอนอีกครั้ง จ้าวหลินอีเดินไปจดสมุดโน๊ตที่เคยจดไว้ แล้วยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง ความจริงคืนนี้เธอต้องไปตามนัดของกู้เหวินเฟยผู้ชายหน้าตัวเมียคนนั้น โชคดีที่เธอย้อนกลับตอนอายุ17ปีและเป็นวัยที่กำลังสดใส อีกทั้งเธอสอบติดมหาลัยชื่อดังได้ ซึ่งเป็นช่วงกู้เหวินเฟยจะมาขอเธอไม่ให้เรียนต่อและให้ส่งเขาเรียนแทนเป็นช่วงชีวิตที่ถูกทำลาย ชาตินี้เธอจะไม่ยอมเด็ดขาด ชาตินี้เธอจะเรียนมหาลัยให้จบและใช้ชีวิตที่ดีจนคนบ้านตระกูลต้องมองครอบครัวตระกูลจ้าวด้วยความอิจฉา ส่วนลูกสาวที่ตายจากชาติที่แล้ว ชาตินี้เธอจะหาพ่อที่ดีให้หล่อนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง พ่อชั่วๆ อย่างนั้นอย่าได้มีมันเลย เวลานี้หากเป็นชาติก่อนเธอคงไปพบกับกู้เหวินเฟยและยอมให้เขาหว่านล้อมจนส่งเขาเรียนแทน ชาตินี้ฝันเถอะว่าเธอจะเดินตามรอยเดิม พวกตระกูลกู้ไม่ใช่คนดีอะไรชาตินี้อย่าหวังว่าเธอจะยอมเป็นทาสรับใช้พวกเขา ไว้มีโอกาสเธอจะไม่ปล่อยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตสุขสบาย แต่ตอนนี้ไม่ต้องรีบเร่ง เธออยากให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่สูงและผลัดตกมาบ้างจะได้รู้ว่าการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างนั้นรสชาติเจ็บปวดแค่ไหน ตอนนี้เธอปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างที่มันควรจะเป็นก่อน ส่วนตัวเธอจะตั้งใจเรียนและทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ชาติก่อนเธอเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ทำให้เธอชื่นชอบงานนี้มากเธอหวังว่าการเรียนจบของเธอจะทำให้เธอมีธุรกิจเป็นของตัวเอง และทำให้ครอบครัวอยู่อย่างสุขสบาย เพราะครอบครัวจ้าวไม่ได้เป็นครอบครัวใหญ่มีเพียงพ่อแม่ พี่ชายที่เป็นพนักงานในโรงงานจึงสามารถส่งเธอเรียนได้ หากเรียบจบแล้วเธอจะทำให้พี่ใหญ่มีเงินทองและความสุข อีกทั้งชาตินี้เธอมีความรู้จากชาติก่อนติดตัวมาทำให้ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเพื่อแบ่งเบาครอบครัวได้ เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนและวางแผนชีวิตใหม่เรียบร้อยแล้ว จ้าวหลินอีจึงกลับนอนบนเตียงและห่มผ้าอีกครั้ง ในใจเฝ้าแต่มีความหวังว่าว่าเธอจะต้องแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดได้ เธอครุ่นคิดเรื่องราวมากมายจนกระทั่งหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน... ขณะเดียวกันทางด้านกู้เหวินเฟยที่รอตามนัดหลายชั่วโมงร้อนรนใจเป็นอย่างมาก เพราะจ้าวหลินอีไม่มาตามนัดอีกทั้งระยะเวลาตอบรับจดหมายเหลือไม่มาก พอเช้าวันใหม่เขาจึงเร่งเดินเท้าจากตำบลมาหาจ้าวหลินอีที่บ้านทันที เขากลัวว่ามาช้ากว่านี้เขาอาจจะไม่ได้เรียนต่อ จ้าวหลินอีรักเขามากขนาดนั้นหากเขาหว่านล้อมให้ดีหล่อนต้องยินยอมแน่ ๆ เมื่อมาถึงที่บ้านของจ้าวหลินอี ซึ่งเห็นเธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ไม้หน้าบ้านก็เร่งเดินเข้าไปหาทันที “หลินอีทำไมเมื่อคืนไม่ไปตามนัด รู้ไหมฉันเสียใจแค่ไหน” จ้าวหลินอีเงยหน้าจากหนังสือที่อ่านมองไปยังเจ้าของเสียงที่กำลังเร่งเดินเข้ามา ใบหน้าในความทรงจำและอ่อนเยาว์ลงหลายปีทว่าไม่ได้ทำให้ความเกลียดชังในใจเธอลดลงแม้แต่น้อย “ทำไมฉันต้องไปด้วย ดึกดื่นค่ำคืนแบบนั้นอันตรายจะตาย ว่าแต่นายมาทำไม” เมื่อเห็นดวงตาที่มองสบมาทำให้กู้เหวินเฟยชะงักไป ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าแววตาคู่นั้นเหมือนจะฆ่าเขาได้ “ทำไมพูดอย่างนั้น ฉันคิดถึงเธออีกอย่างเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอจะส่งฉันเรียนต่อ” กู้เหวินเฟยเอ่ยบอกด้วยความร้อนใจ เขาเคยเกริ่นให้เธอฟังไปรอบหนึ่งแล้วและนัดหมายเธอเมื่อคืนนี้ก็หวังจะทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกจนเธอยอมส่งเขาเรียนแทน แต่เธอกลับไม่ไปตามนัดทำให้แผนการของเขาผิดพลาดไปหมด“ฉันไม่ได้ตกลงเสียหน่อย อีกอย่างทำไมฉันต้องเอาอนาคตสดใสของตัวเองไปทิ้งด้วย” คำพูดเย็นชาทำให้กู้เหวินเฟยชะงักไป คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเขาไปทำให้หล่อนไม่พอใจตอนไหน
“หลินอีเราตกลงกันแล้วว่าเราจะแต่งงานกันแล้วระหว่างนี้เธอก็จะส่งฉันเรียนจนจบ ฉันสัญญาว่าเรียนจบแล้วเธอจะต้องได้ดีเป็นภรรยาของฉันอย่างสมเกียรติอย่างแน่นอน” จ้าวหลินอีวางหนังสือไว้บนโต๊ะนั่งแล้วขยับหนีมือที่ยื่นมาหมายจะจับมือเธอ ชาติก่อนเขาก็พูดอย่างนี้ไม่ใช่หรือ แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร อย่าคิดว่าเธอจะโง่งมในความรักเหมือนชาติก่อนอีก “ฉันไปตกลงกับนายตอนไหน อีกอย่างฉันจะไปเรียนต่อ ส่วนนายก็ให้พ่อกับแม่นายส่งเองซิ” จ้าวหลินอีปฏิเสธเสียงแข็งไม่ว่าอย่างไรเธอจะไม่เป็นคนหัวอ่อนให้คนชักจูงจมูกเหมือนชาติก่อนแน่ ๆ ประสบการณ์ชีวิตสอนเธอมาตั้งหนึ่งชาติภพแล้ว หากยังโง่งมหลงเชื่อคนอย่างกู้เหวินเฟยอีก เอาหัวโขกกำแพงตายไปเลยไม่ดีกว่าหรือ“หลินอี เธอก็รู้ว่าพ่อแม่ฉันไม่มีเงิน หากเธอเสียสละให้ฉันฉันจะรักและดูแลเธอตลอดไป เธอคิดดูสิฉันเรียนเก่งหากเรียนจบมาต้องได้งานที่ดีเป็นหน้าเป็นตาให้เธออย่างแน่นอน” “ฉันเรียนเอง จบเองได้ไม่ต้องให้นายมาเป็นหน้าเป็นตาให้ฉัน” “หลินอีเธอเป็นอะไร เธอถูกแม่กับพ่อเธอบังคับใช่ไหม ฉันจะไปบอกพวกเขาให้ว่าเรารักกันจะแต่งงานกัน” กู้เหวินเฟยพยายามจับตัวจ้าวหลินอีและพยายามหว่านล้
ระหว่างรอเดินทางไปมหาวิทยาลัยที่จะเปิดอีกสามเดือนข้างหน้า จ้าวหลินอีเปลี่ยนแปลงตนเองให้สวยกว่าเดิมเพราะประสบการณ์จากชาติก่อนทำให้เธอรู้ว่าคนหน้าตาดีจะสามารถทำให้คนรักและเอ็นดูได้มาก ชาติก่อนเธอทำงานตรากตรำจนตัวดำไม่เคยได้บำรุงใบหน้าหรือร่างกายเลย สุดท้ายก็ถูกต่อว่าไม่เหมาะสมกับกู้เหวินเฟย และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาครอบครัวกู้เหวินเฟยต่างก็มาที่บ้านของเธอพร้อมตัดเพ้อต้องการให้เธอส่งเขาเรียน จนทำให้ชาวบ้านต่างรู้กันเกือบทุกบ้านแล้วว่าคนบ้านกู้ต้องการให้เธอเสียสละตัวเอง บ้างก็เห็นดีด้วยเพราะผู้หญิงเรียนสูงไปก็ไร้ประโยชน์ บางคนก็ไม่เห็นด้วยเพราะไม่ใช่ญาติพี่น้องกันเสียหน่อยทำไมต้องส่งเสียลูกชายบ้านอื่นเรียนด้วย และตลอดเวลาจ้าวหลินอีหลบหน้าหลบตากู้เหวินเฟยตลอด เพราะกลัวว่าจะอดใจไม่ไหววิ่งเอามีดไปแทงอีกฝ่ายตายด้วยความแค้น ชาติที่แล้วเพราะอีกฝ่ายอยู่ตำแหน่งที่สูง ผู้คนรุมล้อมทำให้ไม่มีโอกาสแม้จะเข้าใกล้ แต่เวลานี้เขาเป็นเพียงชายหนุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์อะไร และไม่ได้มีอำนาจอะไร เธอกลัวจะเผลอไปทำร้ายเขาจนตัวเองถูกโทษประหาร เวลาไม่เห็นเขาทำให้จ้าวหลินอีใจเย็นมากขึ้น และช่วงหลังมานี้เขาไม่ได
“เข้าบ้านกันเถอะ” จ้าวเผิงเฉิงบอกภรรยากับลูกสาว หน้าบ้านของพวกเขาตอนนี้ต่างก็มีชาวบ้านมามุงดูและแทะเมล็ดแตงโมชมเรื่องสนุกกัน เขาเข้าใจว่ายุคสมัยนี้ด้อยค่าผู้หญิงและเพราะแบบนี้เขาถึงอยากให้ลูกสาวเรียนจบให้สูงมีการงานทำที่ดี ไม่ใช่เป็นเพียงชาวไร่ชาวนาหาเช้ากินค่ำเหมือนตนเอง “หนูจะตั้งใจเรียนและไม่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังค่ะ” จ้าวหลินอีกอดแขนพ่อกับแม่เข้าบ้านพร้อมเอ่ยบอกให้พวกเขามั่นใจว่าจะไม่เสียใจแน่นอนที่สงลูกสาวอย่างเธอเรียนให้จบ ตอนนี้พี่ชายทำงานในเมืองวันหยุดถึงจะกลับมาเธอจะไม่ทำให้พวกเขาต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายฟรี ๆ “เด็กดี” อินเยว่เจียลูบศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู เธอเลี้ยงลูกสาวมาอย่างถนุถนอมแล้วบ้านตระกูลกู้คิดว่าตนเองเป็นใครถึงคิดจะเหยียบย่ำลูกสาวของเธอแบบนี้ จ้าวหลินอีมองพ่อกับแม่ด้วยหัวใจอบอุ่น ชาติที่แล้วเพราะความโง่งมถึงมองไม่เห็นความรักและความห่วงใยของพวกท่าน แต่ไม่เป็นไรเธอได้ย้อนกลับมาแล้ว เธอจะทำให้พ่อกับแม่มีความสุขและมีชีวิตที่สุขสบาย... หลังจากที่วันนั้นครอบครัวบ้านตระกูลกู้ไม่ได้มารังคราญครอบครัวจ้าวหลินอีอีก ซึ่งทำให้ชีวิตเธอสุขสงบขึ้นมาก เวลาที่พ่อกับแม่ไปไร
“เดี๋ยวพี่จะทำงานเพิ่ม ไว้มีเงินแล้วพี่จะซื้อโทรศัพท์ให้” “ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่ดูแลสุขภาพตัวเองอย่าหักโหมมากเกินไปค่ะ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นไว้ฉันจะใช้โทรศัพท์สาธารณะแทนได้ค่ะ” จ้าวหลินอีเอ่ยบอกอย่างหนักแน่น ราคาโทรศัพท์ในยุคสมัยนี้แพงมากเงินหนึ่งพันหยวนสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปี อีกอย่างเธอไม่อยากทำให้เขาทำงานหนักจนอวัยวะภายในเสื่อมโทรมเหมือนเธอชาติที่แล้ว ก่อนจะตายมันทรมานมากการไอออกมาเป็นเลือดมันเจ็บไปทั้งตัวจนแทบขยับตัวแทบไม่ไหว เธอจึงไม่อยากให้เขาเป็นอย่างเธอชาติก่อน อีกอย่างเธอวาดรูปเสื้อผ้าไว้หลายแบบหากหาคนที่น่าเชื่อถือได้น่าจะขายได้เงินสำหรับเล่าเรียนได้ ปู๊นนนน~~~ “รถไฟมาแล้ว พี่ดูแลตัวเองแล้วก็ดูแลพ่อกับแม่ด้วยนะคะ” จ้าวหลินอีบอกพี่ชายพร้อมเดินขึ้นรถไฟด้วยความหวัง ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเธอทำให้จ้าวเทียนอี้รู้สึกวางใจ หลายเดือนมานี้จ้าวหลินอีเปลี่ยนไปมาก และเปลี่ยนไปในทางที่ดี บางครั้งเขายังรู้สึกว่าหล่อนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขาเสียอีก ร่างบอบบางหันกลับมามองพร้อมโบกมือลาก่อนจะหายลับไปกับรถไฟที่เขาใช้เงินเกือบทั้งหมดที่มีจองแบบตั๋วนอนให้น้องสาว หวังว่าเธอจะได้ไม่ต้
จ้าวหลินอีเรียนบริหารคนเดียวส่วนคนอื่นเรียนต่างสาขาเวลาเจอกันคือเวลานอน ในช่วงวันหยุดถ้าจะออกจากมหาวิทยาลัยต้องมีคนเซ็นรับ และจ้าวหลินอีต้องการออกไปติดต่อหาคนซื้อแบบเสื้อผ้าทำให้ต้องหาคนมาเซ็นชื่อให้ ซึ่งคนที่สามารถทำเรื่องออกจากมหาลัยได้เป็นพี่ชายของเย่ซินหราน “พี่ชายทางนี้ค่ะ” เย่ซินหรานส่งเสียงเรียกพร้อมโบกไม้โบกมือให้พี่ชายอย่างร่าเริง จ้าวชิงหรานมองตามสายตาเพื่อนสาวจึงได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งใบหน้าหล่อเข้มรูปร่างสูงใหญ่ดูมีสง่าราศีเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่คมมองเธออย่างสำรวจจ้าวหลินอีก้มหน้าหลบสายตาอย่างเก้อเขินใบหน้าแดงระเรื่อราวกับสาวน้อยริเริ่มมีความรัก “พี่ชายนี่สหายคนสนิทฉันชื่อจ้าวหลินอี หลินอีนี่พี่ชายฉันชื่อเย่คุนข่ายพี่เขาเป็นทหาร” “สวัสดีค่ะพี่ใหญ่เย่” จ้าวหลินอีทักทายอย่างมีมารยาท เธอยิ้มอ่อนหวานอย่างเขินอาย ดวงตาคู่คมมองเธอราวกับกำลังจ้องจับผิดยิ่งทำให้เธอรู้สึกประหม่ามากขึ้น ไม่ใช่ว่าเธอแสดงไม่เหมือนสาวน้อยเหมือนสหายหรอกนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาได้พบกันคงไม่คิดว่าแปลกประหลาดไปจากสหายรุ่นเดียวกันหรอกกระมัง แต่ทำอย่างไรได้ชาติก่อนเธอตายตอนอายุสามสิบเก้าปี ช่
จ้าวหลินอีไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีคนอิจฉาเธออยู่เบื้องหลัง เธอนั่งรถมาด้วยความตื่นเต้นนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเธอที่ได้นั่งรถยนต์แบบนี้ แม้จะพยายามระงับอาการแต่ดวงตาก็พอประกายสดใสทำให้เย่คุนข่ายรู้สึกว่าเธอเหมือนสาวน้อยวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ทั้งสามคนนั่งรถมาครึ่งชั่วโมงก็มาย่านการค้าขนาดใหญ่“นั่นร้านแม่ฉัน แม่ฉันไม่ชอบเป็นคุณนายทหารอบยู่บ้านเฉย ๆ เหมือนผู้หญิงคนอื่นจึงได้มาเปิดร้านเป็นของตัวเอง” เมื่อจอดรถที่หน้าร้าน เย่ซินหรานก็ได้ชี้นิ้วแนะนำเพื่อนสาวอย่างภาคภูมิใจ มารดาของเธอทั้งสวยและเก่งไม่ยอมนั่งเล่นไพ่เดินช้อปปิ้งเหมือนคุณนายบ้านอื่น“แม่เธอเก่งมาก” จ้าวหลินอีกล่าวชมจากใจจริง เธอมองดูร้านขายเสื้อขนาดใหญ่แล้วรู้สึกอยากเปิดร้านแบบนี้บ้าง ไว้ให้เธอเก็บเงินสักระยะก่อน หลังเรียนจบค่อยออกมาทำตามความฝัน ระหว่างนี้ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปก่อน“เข้าไปเถอะ” เย่คุนข่ายบอกทั้งคู่ก่อนจะก้าวนำเข้าไปในร้านอย่างคุ้นเคย พนักงานในร้านต่างมองไปที่ลูกชายเจ้านายอย่างเขินอาย และมองหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ
“ได้สิ” โจวซินหยู่เรียกเด็กในร้านให้นำอุปกรณ์มาวางไว้ที่โต๊ะให้ จ้าวหลินอีหยิบดินสอพร้อมร่างภาพในหัวออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะชาติก่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านกับการจากไปของลูกสาว เธอจึงได้ฝึกวาดจนชำนาญหลังย้อนเวลากลับมาเธอก็ฝึกวาดอยู่เป็นประจำทำให้เพียงครึ่งชั่วโมงเธอก็ได้รูปกี่เพ้าที่ทันสมัยและลวดลายหงส์ร่อนมังกรอย่างรวดเร็ว“หลินอีหนูมีพรสวรรค์มาก”“ว้าว สหายรักเธอเก่งมาก ๆ เลย”ทั้งคู่เอ่ยชมด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่เคยเห็นใครวาดรูปได้รวดเร็วขนาดนี้และยังสมบูรณ์แบบมาก จ้าวหลินอียื่นรูปให้ทั้งสองดู ความจริงชาติก่อนเธอออกแบบได้มากกว่านี้ เพียงแต่เธอไม่มีเส้นสายและยังถูกกู้เหวินเฟยกับตู่จื่อหย่าขัดขวางทางเดินจนแทบไม่มีที่ให้เธอไป ทำให้เธอไม่มีโอกาสฟื้นกลับมาแก้แค้นให้ลูกสาวได้“ชุดนี้ฉันให้หนึ่งร้อยหยวน และชุดที่วาดเมื่อครู่ฉันให้หนึ่งร้อยห้าสิบหยวนหนูคิดว่าไง” โจวซินหยู่เอ่ยถามอย่างระวัง การค้าขายต้องมีความเสี่ยงแต่เห็นว่าหล่อนมีความตั้งใจอีกทั้งบุตรสาวบุตรชายเป็นคนพา
แต่เรื่องความรักไม่อาจบังคับกันได้จริง ๆ อีกอย่างชาติก่อนเธอเจ็บมามากจคงทำให้เธอหวาดระแวงและระมัดระวังเรื่องความรักมากขึ้น แต่จะระวังแค่ไหนก็หนีไม่พ้นพรหมลิขิตและธรรมชาติที่ควรจะเป็นหลังทานอาหารเสร็จ จ้าวหลินอีก็ได้ไปเปิดบัญชีธนาคารเอาไว้และเก็บเงินไว้กับตัวเองเท่าพอใช้จ่ายประจำวันเท่านั้น เพราะที่ห้องอยู่ด้วยกันสี่คนแม้จะเป็นสหายกันแต่ก็ยังไม่สามารถไว้ใจใครได้ จึงต้องระมัดระวังตลอดและอาจเป็นเพราะชาติก่อนประสบการณ์สอนเธอมาเยอะทำให้เธอทำอะไรจึงได้คิดและไตร่ตรองอย่างรอบคอบหลังจากวันนั้นที่ขายแบบเสื้อผ้าเธอก็ได้ส่งแบบไปให้ที่ร้านของคุณป้าโจวสัปดาห์ละชุด ทำให้เธอเริ่มมีชื่อเสียงในวงการเสื้อผ้ามากขึ้น ขณะเดียวกันเธอก็ตั้งใจเรียนการบริหารและการจัดการอย่างตั้งใจ ทุก ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์จ้าวหลินอีจะตามเย่ซินหรานออกจากมหาวิทยาลัยทีแรกเธอตั้งใจไปเช่าห้องเพื่อแยกกันอยู่ เธออยากซื้อจักรเย็บผ้าและตัดเย็บเองบ้าง แต่เมื่อคุณป้าทราบข่าวจึงได้ให้เธอมาพักอยู่กับเย่ซินหรานที่เรียนด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อสืบทอดกิจการของมารดา“ถึ
“เดี๋ยวลูกไปเล่นที่หลังร้านก่อนนะ เดี๋ยวบ่ายๆ เรากลับบ้านกันจะได้ไปเตรียมอาหารเย็น”“ได้ค่ะ” เด็กหญิงตอบรับก่อนจะลากน้องชายไปด้วย ครั้งนี้เธอยอมเล่นฟันดาบกับเขา ทำให้ใบหน้าบูดบึ้งของน้องชายยิ้มออกมาได้ ยิ่งรู้ว่าตอนเย็นมีของชอบด้วยยิ่งทำให้สองฝาแฝดเล่นกันอย่างสนุกสนานจ้าวหลินอีรีบตัดเย็บชุดครอบครัวอย่างรวดเร็วเธอไม่ได้ให้ลูกจ้างคนอื่นช่วยเพราะอยากทำด้วยตนเอง ตอนนี้ร้านค้าทั้งสามสาขาของเธอกิจการดีมากและยังได้ผลกำไลเยอะขึ้นทุกปีและได้การตอบรับจากลูกค้ามากยิ่งขึ้น ยิ่งได้ดาราดังมาช่วยเป็นนางแบบทำให้ร้านลี่หรงถังโด่งดังทั่วปักกิ่งเลยทีเดียว และเธอเคยส่งงานเข้าร่วมประกวดจนได้รางวัลการออกแบบดีเด่นมาประดับร้านอีกด้วยหลังจากตัดเย็บจนได้เวลาทำอาหารจ้าวหลินอีจึงได้เดินทางกลับบ้าน ส่วนวัตถุดิบเธอให้เด็กที่ร้านออกไปซื้อเตรียมไว้ให้แล้ว ซึ่งเธอก็ได้มอบทิปน้ำใจให้เป็นการตอบแทนด้วย และการกระทำแบบนี้ทำให้ลูกจ้างที่ร้านลี่หรงถังต่างชอบนายจ้างแบบเธอมากและไม่มีใครลาออกจากงานสักคนเดียว งานดี เงินดีและยังมีเจ้านายที่แสนดีพวกหล่อนจึงกอดขาทองคำไ
ฉึก!!กู้เหวินเฟยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาก้มมองภรรยาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แต่กลับมองเห็นแววตาแห่งความบ้าคลั่งของตู่จื่อเฟยถึงกลับทำให้เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เมื่อก้มมองตรงอกข้างซ้ายของตัวเองที่มีมีดปลายแหลมคมปักอยู่ ซึ่งเป็นมีดที่ตู่จื่อหย่าพกติดตัวตลอดตั้งแต่ถูกกู้เฉินฮุ่ยลวนลามเมื่อครั้งก่อน เธอเอาไว้ป้องกันตัวไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้ใช้มันกับคนที่เธอรักมากปึก!กรี๊ดดดด ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นลั่นบ้าน จากนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นแต่น่าเสียดายที่ยุคสมัยนี้ยังไม่พัฒนาเรื่องการแพทย์และไม่มีรถส่วนตัวที่จะหามส่งโรงพยาบาลได้ทัน เวลาต่อมากู้เหวินเฟยจึงได้เสียชีวิตลง เรื่องนี้ทำให้ชาวบ้านที่มาพบเห็นเหตุการณ์ต่างตื่นตระหนกหลังจากที่มีเหตุการณ์ฆ่ากันตายตู่จื่อหย่าไม่ได้หนีความผิด เธอเดินกลับเข้าห้องไปอย่างสงบและสุดท้ายก็จบชีวิตลูกน้อยด้วยน้ำตา ดวงตาที่มีแต่ความแค้นและความเกลียดชังมองไปยังบ้านกู้ก่อนจะจุดไฟเผาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็จบชีวิตตัวเองตามไปด้วย เพราะรู้ดีว่าหากเธอไม่ตายก็ต้องติดคุ
แต่ชาตินี้เธอท้องกลับมีคนดูแลแทบจะไม่ได้เดินเองเลย ร้านค้าก็มีคนช่วยดูแลและนำเอกสารการเงินมาให้ดูถึงบ้าน และมาเล่ารายงานให้ฟังสองสามวันต่อครั้ง ความแตกต่างกันนี้ทำให้เธอรู้สึกอยากขอบคุณสวรรค์ที่ให้ย้อนเวลากลับมาเธอจะใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่ากับการที่ได้มาเลยทีเดียวขณะที่จ้าวหลินอีถูกประคบประหงมราวกับไข่ในหิน ทางด้านตู่จื่อหย่าถูกคนบ้านตระกูลกู้จิกหัวใช้ราวกับทาส คลอดลูกออกมาก็เป็นลูกสาวยิ่งทำให้แม่สามีชิงชังมากกว่าเดิมทุกวันนี้ร่างกายเธอผอมแห้งดวงตามีแต่ความเครียดแค้นชิงชัง ไม่รู้ว่าทำไมชีวิตที่ดีของเธอต้องมาลงเอ่ยแบบนี้ พ่อที่เคยตามใจและหนุนหลังกลับติดคุก แม่ที่เคยตามใจเธอกลับหนีตามผู้ชายคนใหม่พี่ชายก็ไม่รู้หนีหายไปไหนสุดท้ายเธอจึงเหลือตัวคนเดียวทำให้คนบ้านกู้ต่างดูถูกต่าง ๆ นา ๆ อีกทั้งยังมีผู้ชายสารเลวอย่างกู้เฉินฮุ่ยที่คอยแอบเข้าหาและลวนลามเธอเวลาไม่มีคนอยู่ ทำให้เธอน้ำท่วมปากไม่สามารถป่าวตะโกนออกไปได้ส่วนสามีที่เธอคิดฝากฝังชีวิตกลับไม่ได้มาที่บ้านตั้งแต่รู้ว่าเธอคลอดลูกสาวแล้ว เมื่อก่อนเป็นเธอและครอบครัวที่ส่งเสียเ
ทว่าเวลาต่อมาจ้าวหลินอีจึงได้รู้ซึ้งแล้วว่า มาเก๊าเป็นสถานที่กินคนอย่างแท้จริง พวกคนงานถูกใช้งานยิ่งทาส ค่าครองชีพก็สูงเป็นอย่างมาก อีกทั้งผู้หญิงที่มาที่นี่ก็ถูกจับเข้าซ่องโสเภณีเสียส่วนใหญ่ หากไม่มีคนหนุนหลัง แม้กระทั่งคู่รักที่รักปานจะกลืนกินเมื่อมาที่มาเก๊าความรักก็จางหายมีแต่ความเห็นแก่ตัวให้เห็นเท่านั้น เพราะพวกเขาแม้กระทั่งขายผู้หญิงที่ตัวเองบอกว่ารักมากให้กับชายอื่นเพื่อเงินเพื่อมีชีวิตต่อไปสิ่งที่เห็นในมาเก๊าทำให้จ้าวหลินอีรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก อยู่ปักกิ่งดีที่สุดแล้ว เมืองใหญ่ที่การแข่งขันสูงแต่ก็หาเงินได้คล่องและไม่ได้เบียดเบียนชีวิตใครแต่ถึงมาเก๊าจะมีสิ่งไม่ดีให้เห็นแต่ก็มีสิ่งสวยงามที่เย้ายวนให้ผู้คนเดินทางมามากมาย ที่นี่เหมือนไม่มีเวลากลางคืน มีแสงสว่างตลอดเวลาและมีความครึกครื่นเป็นอย่างมากโดยเฉพาะคาสิโนที่มีนักพนันมากมายมาเสี่ยงดวงที่นี่ บางคนเล่นหนักถึงกับเสียมือเสียเท้าไปเลยทีเดียวแต่นั่นเป็นความละโมบของพวกเขา จ้าวหลินอีเริ่มมองผู้คนด้วยความสงบนิ่งมากขึ้นไม่ได้มีแววตาตื่นตระหนกเหมือนวันแรกที่มาเยือน อีกทั้งข้างกายมีสามีอย่างเย่คุนข่
หลังจากแต่งงานได้สามวัน จ้าวหลินอีจึงได้กลับปักกิ่งอีกครั้งเพราะเธอยังเป็นห่วงร้านลี่หรงถัง และยังมีงานแต่งงานเมืองหลวงอีกรอบ พ่อกับแม่ของสามีอยากประกาศให้คนที่นี่รู้ว่าเธอเป็นลูกสะใภ้ ซึ่งได้จองโรงแรมไว้อย่างยิ่งใหญ่ คนที่มาร่วมงานก็เป็นเหล่าทหารในค่ายทหารและเหล่าแม่บ้านเพื่อให้จ้าวหลินอีได้รู้จักภรรยาของทหารกล้าทั้งหลายด้วยซึ่งการกระทำแบบนี้ค่อนข้างสิ้นเปลือง แต่จ้าวหลินอีกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากเพราะนั่นเป็นการให้เกียรติเธอ อีกทั้งตอนนี้เธอไม่ใช่แค่เด็กบ้านนอกทีไร้การศึกษาและยากจนอีกต่อไป แม้ฐานะเธอจะสู้ข้าราชการไม่ได้แต่เธอก็ภูมิใจในงานของตัวเองเป็นอย่างมากงานแต่งงานที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แม้จะมีคนมาก่อความวุ่นวายเพราะความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ผ่านมาได้อย่างดี ซึ่งคนที่ก่อกวนไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นครอบครัวตระกูลจินที่อ้างว่ามีสัญญาหมั้นหมายไว้เมื่อครั้งก่อนที่จ้าวหลินได้เจอ แต่สุดท้ายลูกสาวของพวกเขากลับตั้งครรภ์โดยไม่มีพ่อ พวกเขาจึงอยากให้เย่คุนข่ายรับเป็นพ่อของเด็กในท้องจึงได้วางแผนเรื่องนี้ขึ้นมา“ยินดีด้วยนะคะลูกสะใภ้สวยมากเลยค่
เย่คุนข่ายได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มออกมาเบา ๆ ก่อนจะเข้าไปสวมกอดเจ้าสาวของเขาอย่างเบามือ เมื่อนัยน์ตาสบประสาน ทั้งสองก็เคลื่อนใบหน้าเข้าหากันอย่างเนิบช้า ริมฝีปากสัมผัสแผ่วเบาเข้าที่อวัยวะเดียวกัน จากความอ่อนโยนจนอุ่นซ่านไปทั้งใจ ก็เริ่มขบเม้มไล้เลียเข้าหากันไปมาอย่างเร่าร้อนชุดที่สวมใส่ถูกถอดออกอย่างไม่รู้ตัว เพราะความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่รสจูบร้อนแรง ลิ้นชื้นสอดแทรกสำรวจไปตามโพรงปากอย่างหิวโหย เสียงแลกเปลี่ยนน้ำลายดังขึ้นอย่างลามก ในตอนที่ใบหน้าหล่อเหลาผละออกก็มีน้ำใสสีเงินเชื่อมที่มุมปาก เป็นภาพที่ชวนให้ทั้งสองใบหน้าขึ้นสีระเรื่อได้อย่างง่ายดายพร้อมกับหัวใจที่เต้นถี่รัวกว่าทุกทีเขาดันภรรยาให้นอนราบลงบนเตียง ตามด้วยคร่อมกายหนาลงไปอย่างไม่รีรอ ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ไปตามลำคอระหง กลิ่นหอมเฉพาะตัวทำเอาเขาอดใจไม่ไหวไล้จมูกสูดดมจนเสียงดังฟอด กระตุ้นให้จ้าวหลินอีหายใจติดขัดด้วยความรู้สึกวาบหวาม ก่อนจะสะดุ้งเกร็งเมื่อถูกปลายลิ้นลากผ่านสัมผัสเข้าที่ปลายยอดถัน สัมผัสแผ่วเบาทว่าสั่นสะท้านไปทั้งกาย เส้นความอดทนขาดผึงลงอย่างง่ายดายร่างหนาลุกยืนเต็มความสูงก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนทิ้งไปอย่างไม่
“ได้ยังไง ของบริจาคก็ต้องมาแจกให้หมดสิ จะมากลับคำได้ยังไง” เจิ้งฮวาเท้าสะเอวตอบโต้อย่างไม่พอใจ บรรดาลูกๆ และลูกสะใภ้ต่างก็ดึงหมวกมาปิดหน้าเอาไว้ด้วยความอับอาย “ของพวกเราอยากจะแจกใครก็ได้ครับ” เย่คุนข่ายที่เห็นว่าหล่อนสร้างปัญหาไม่เลิกก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ ดวงตาคมกริบกวาดสายตามองไปยังชาวบ้านรอบๆ ซึ่งทำให้พวกหล่อนหดคอด้วยความกลัว จากนั้นก็มีคนลากเจิ้งฮวาออกไปเพราะกลัวว่าคุณนายจะโมโหจนเลิกแจกสิ่งของ “พวกแกทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ทำมันจะไปเอาไม่ได้ของเยอะขนาดนั้นจะหวงทำไม!” เสียงกรีดร้องโวยวายของเจิ้งฮวาไม่มีใครสนใจอีก เมื่อนำตัวปัญหาสร้างเรื่องออกไปการแจกของจึงกลับมาสงบอีกครั้ง คนที่ได้รับก็ยิ้มด้วยความดีใจ เพราะสิ่งของเป็นถุงใหญ่ซึ่งพวกเขาได้ทั้ง ผ้าห่ม เสื้อผ้า ข้าวสารอาหารแห้งและยังมีน้ำมันที่หายากด้วย ซึ่งทุกคนที่ได้รับก็ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะของเหล่านี้มีค่าพวกเขายากจนจึงไม่ได้ซื้อบ่อยนัก อย่างเช่นผ้าผืนใหญ่ที่สามารถนำมาตัดชุดได้อีกหลายตัว การแจกสิ่งของจบลงตอนเย็น ซึ่งสร้างความยินดีให้กับผู้รับ ทุกคนต่างยิ้มอย่างมีความสุขและยังพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างครึกครื้น ทุกคนต่างพูดชื่นชมจ้าว
“นั่นสิไปกันเถอะ” ก่อนจะเดินไปพวกเขาต่างมองบ้านตระกูลกู้ด้วยสายตาดูแคลน คนตระกูลกู้ไม่มีใครดีสักคนไม่รู้ว่าทำตู่จื่อหย่าถึงได้ตาบอดมาชอบผู้ชายแมงดาอย่างกู้เหวินเฟยไปได้ เจิ้งฮวามองตามกลุ่มคนไปอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันกลับไปลากสะใภ้ที่บ้านไปรับของแจกด้วย หล่อนก็เป็นคนในหมู่บ้านย่อมต้องมีสิทธิ์รับของแจกได้เหมือนกัน “แม่ ฉันไม่ไป!” ตู่จื่อหย่าร้องเสียงหลง เธอพึ่งแต่งงานมาเป็นสะใภ้เต็มตัว แต่กลับถูกใช้งานเยี่ยงทาส อีกอย่างทำไมคนอย่างเธอต้องไปรับของเหลือเดนจากจ้าวหลินอีด้วย! “ไม่ไปไม่ได้ หล่อนก็มีสิทธิ์ได้ของเหมือนกัน สะใภ้ใหญ่หล่อนก็ไปเอาถุงใบใหญ่ไปด้วยเราจะไปกันทั้งบ้านนี่แหละ” เจิ้งฮวาจัดแจงอย่างไม่สนใจใคร บ้านนี้หล่อนเป็นใหญ่ทุกคนต้องเชื่อฟังหล่อนคนเดียวเท่านั้น “แม่ฉันอายคนอื่นทำไมบ้านเราต้องไปเอาของบริจาคเหมือนขอทานด้วย” กู้จินเย่พูดขึ้นอย่างไม่ใจ หล่อนดูถูกเหยียดหยามจ้าวหลินอีมาโดยตลอด ทำไมต้องไปของบริจาคจากคนที่หล่อนด้อยค่าแบบนั้นด้วย “ไม่ได้ ของในเมืองหลวงมีแต่ดีๆ ทั้งนั้นเราจะเสียโอกาสไม่ได้” เจิ้งฮวาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของลูกสาวก่อนจะลากทุกคนในบ้านไปรับของบริจาคด้วยก
“มันเยอะเกินไป พวกเรารับไม่ได้หรอกพวกเราไม่ได้ขายลูกกินแค่อยากให้เธอแต่งงานกับคนที่รักและดูแลเธออย่างดีก็พอแล้ว”“มากมายอะไรกัน อย่าไปคิดมากสิค่ะคุณน้อง ตอนนี้คุนข่ายได้เลื่อนขั้นเป็นนายพลแล้วอีกอย่างฉันเองก็รักหลินอีเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ต้องจัดงานแต่งงานให้เธออย่างสมเกียรติค่ะ”“ใช่ครับ อย่าทำให้พวกเราเสียความตั้งใจเลยครับ” ท่านนายพลเย่เต๋อหมิงที่พูดไม่ค่อยเก่งยังต้องพูดรองรับเหตุผลเพิ่มอีกหนึ่งคน เมื่อเห็นสองคนผัวเมียเต็มใจยกสินสอดมากมายให้ลูกสาวแบบนี้อินเยว่เจียถึงกลับน้ำตาซึมด้วยซึ้งใจ เพราะนั่นหมายถึงลูกสาวแต่งงานออกไปจะไม่มีวันที่จะถูกรังแกจากพ่อแม่สามีอย่างครอบครัวอื่นแน่นอน“คุณพ่อกับคุณแม่รับไว้เถอะครับ ผมสัญญาว่าจะรักและดูแลจ้าวหลินอีคนเดียวตลอดไปครับ” เย่คุนข่ายออกปากยืนยันความตั้งใจด้วยความหนักแน่นมั่นคง ดวงตาคู่คมมองคนรักที่ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอายอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาลึกซึ้ง“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง เดี๋ยวพวกเราค่อยมาปรึกษาฤกษ์แต่งงานกันอีกที” พ่อจ้าวที่นั่งฟังมานานออกปากพูดขึ้น“ฉันได้นำชื่อของทั้งคู่ไปดูฤกษ์ยามแล้ว ซึ่งก็อีกสองเดือนข้างหน้า หากพวกคุณไม่รังเกียจสามารถใช้ฤก