"บนโลกใบนี้...มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรายังไม่เข้าใจและเรามีหน้าที่ต้องค้นหาคำตอบ เช่นเดียวกันกับทุกๆปัญหาย่อมมีทางแก้ไขเสมอแต่อาจต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหานั้นๆ..." ฉันคิดแบบนั้นมาตลอดทุกครั้งที่ฉันเจอกับเรื่องแย่ๆหรือปัญหาที่คิดว่าไม่มีทางแก้ไข ฉันจะลองคิดหาทางออกทุกทางเพื่อให้หลุดพ้นจากปัญหานั้นๆ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วฉันไม่อาจหาทางออกของปัญหานั้นได้ สิ่งที่ฉันจะทำก็คือ..."การปล่อยวาง แล้วก้าวต่อไป" สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมาริสา สิริสุวรรณ อายุ 27 ปี จบจากมหาวิทยาลัยหนึ่งจากภาคเหนือด้วยเกียรตินิยมอันดับ1 สาขาบริหารธุรกิจ แต่ทำไม๊ทำไมฉันถึงไม่มีงานทำกับเขาเสียที ฉันไปสมัครงานมาทั้งหมด29ที่ ได้เข้าไปในรอบสัมภาษณ์ทุกทีแต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้งานสักที่ แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้! ฉันจะต้องลุกขึ้นก้าวต่อไป! และบริษัทที่30 ที่ฉันกำลังจะไปสมัครนี้จะเป็นอย่างไร? จะได้ทำงานหรือไม่? เอาใจช่วยฉันกันด้วยนะคะ
View Moreเมื่อผมได้รับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการที่มีนาหายตัวไป ผมยอมรับว่าผมเสียใจเป็นอย่างมากมันเหมือนโลกที่พังทลายไปแล้วพังซ้ำอีกจนไม่เหลืออะไรเลย ขาสองข้างไร้เรี่ยวแรงที่จะยืน ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจมาหลายปีก็ระเบิดออก นานแล้วที่ผมไม่ได้ร้องไห้จนเหมือนคนเสียสติขนาดนี้ ผมร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สนใจใคร แต่เพราะมีอ้อมแขนที่อบอุ่นมาโอบกอดผมไว้จึงทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ และเพราะคำพูดสั้นๆที่บอกให้ผมร้องไห้ออกมามันทำให้ผมกล้าที่จะปลดปล่อยความทุกข์ ความเศร้า ความเจ็บปวดและทรมานออกมาจนหมด ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้เธอคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ชอบเธอเลยด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นเพราะจริงๆแล้วในตอนนั้นผมแค่โกรธคนอีกคนและพาลมาลงที่เธอเพียงเพราะเธอเหมือนใครคนนั้น เธอชวนผมให้ไปหามีนาที่เชียงใหม่ ตอนแรกผมก็ทำใจลำบากเพราะรู้ว่ามีนาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ผมจำเป็นต้องไปเพื่อขอโทษเธอด้วยตัวเอง ขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไปและโกรธแค้นเธอทั้งที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย เมื่อมาถึงที่เชียงใหม่เราก็ไปพักค้างคืนที่บ้านของมาริสา ในระหว่างที่เธอเอาของไปเก็บผมก็เดินเล่นรอบๆบ้านแ
หลังจากที่ฉันพาเขามาเจอพี่มีนาและคืนของทุกอย่างให้กับเขา เราก็จะเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯแต่ยายของฉันท่านขอร้องให้เราอยู่กันต่ออีกหนึ่งวันเพราะท่านคิดถึงฉันมากและฉันเองก็อยากอยู่ต่อด้วย ฉันจึงบอกให้เขากลับไปก่อนแล้วฉันจะตามกลับไปทีหลังแต่เขาไม่ยอมกลับคนเดียวเราจึงต้องอยู่ที่นี่กันต่ออีกหนึ่งวัน วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสไร้เมฆหมอกจึงทำให้เหมาะแก่การเที่ยวถ่ายรูปเป็นอย่างมาก ฉันจึงชวนเขาออกไปเที่ยวถ่ายรูปด้วยกันเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ทีแรกเขาก็ไม่ยอมไปแต่ฉันคะยั้นคะยอจนเขายอมไปด้วย ที่ๆเราจะไปเป็นภูเขาที่มีธารน้ำจากน้ำตกไหลผ่านและถ้าเดินขึ้นไปบนยอดน้ำตกก็จะมองเห็นวิวที่สวยงามมาก ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยวจึงร่าเริงเป็นพิเศษ เมื่อมาถึงที่หมายฉันก็กระโดดโลดเต้นและซุกซนเหมือนเด็กๆ ฉันหันไปมองเขาที่เดินตามหลังมา เขาแอบยิ้มเล็กน้อยที่เห็นท่าทีของฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขายิ้มออกมา ในที่สุดความเศร้าและความเจ็บปวดที่มีในใจเขามันก็ได้บรรเทาลง แม้มันจะเล็กน้อย ฉันวิ่งไปทั่วป่าเพื่อที่จะถ่ายรูปต้นไม้ ดอกไม้ ธารน้ำและสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในป่า ในขณะที่ฉันถ่ายรูปอยู่เพลินๆและฉัน
"ปีศาจ คำที่ใช้เรียกสิ่งท่าเกลียดน่ากลัว สิ่งที่ดูชั่วร้าย คำๆนี้มีใครหลายคนที่ใช้เรียกแทนผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เย็นชา ดุร้าย และดูน่ากลัว แต่ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าฉันเขากลับไม่เป็นอย่างที่ใครต่อใครเขาเรียกกันอีกต่อไป..." หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเขาก็ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นและมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและทรมาน เขาร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สนว่าฉันยืนอยู่ตรงนั้น แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ฉันจะปลอบใจเขาอย่างไรถึงจะคลายความเจ็บปวดนั้นได้ ความเจ็บปวดที่อัดอั้นมาตลอดหลายปีวันนี้มันถึงเวลาที่ได้ปลดปล่อยออกมาเสียที ฉันนั่งลงตรงหน้าเขาและโอบกอดเขาอย่างแผ่วเบา ฉันใช้มือคู่นี้ของฉันลูบหลังของเขาและบอกกับเขาว่า "ร้องออกมาค่ะ ร้องออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันจะอยู่ตรงนี้ข้างๆคุณเองค่ะ" เมื่อฉันพูดจบเขาก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เริ่มหยุดร้องไห้และบอกกับฉันว่า "ขอบใจนะ ขอบใจที่เธอเล่าให้ฉันฟัง ฉันโทษผู้หญิงคนนั้นมาตลอดว่าทิ้งฉันไปทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ และถึงแม้ว่าการที่ได้รู้ว่าเธอไม่อยู่บนโลกนี้มันจะทำให้ฉันยิ่งเจ็บปวดก็ตาม แต่ฉันก็ดีใจที่ได้รู้เรื่องราวของเธอคนนั
“คุณใจเย็นๆก่อนนะคะ ฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ความจริงที่ว่าทำไมเธอถึงไปจากคุณ” เมื่อฉันพูดแบบนั้นเขาก็ดูสงบลง และฉันก็เริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง เรื่องมันเริ่มจาก เมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นฉันเรียนอยู่มหาวิทยาลัยและเป็นช่วงที่พ่อฉันสร้างหนี้สินไว้มากมายและท่านก็ฆ่าตัวตายจากไปทิ้งให้ฉันกับแม่อยู่กันเพียงลำพัง แม่ต้องหาทำงานทุกอย่างเพื่อใช้หนี้ให้กับพ่อ หาค่ารักษายาย และหาค่าเทอมของฉัน ฉันจึงช่วยแบ่งเบาภาระแม่ด้วยการรับจ้างเป็นคนคอยช่วยเหลือคนไข้ที่โรงพยาบาล เพราะยายฉันก็รักษาตัวอยู่ที่นั่น ยายเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตต่ำ ท่านมักจะเป็นลมอยู่บ่อยๆ จึงต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อคอยดูอาการ และฉันก็ได้พบกับพี่มีนาที่นั่น ฉันพบเธอครั้งแรกที่ดาดฟ้าโรงพยาบาล เธอนั่งร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดและพยายามจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ฉันจึงวิ่งเข้าไปคว้าตัวเธอไว้ แต่เธอก็ไม่พูดอะไรสักคำเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ฉันจึงนั่งข้างเธอและกอดเธอเพื่อให้เธอคลายเศร้า เมื่อเธอสงบลงเธอจึงเอ่ยปากขอบคุณฉันและเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟัง เธอเล่าว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของเธอกับคนรัก แต่ว่าเธอดันอาการก
หลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นจากคุณเลขา มันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกต่างๆมากมาย ทั้งเจ็บปวด ทั้งเศร้า และสงสาร มันทำให้ฉันรู้ว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดีอะไรแค่เป็นเพราะบาดแผลในใจทำให้เขาต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเอง เพื่อกีดกันคนที่จะเข้ามาและผลักไสคนใกล้ตัวให้ห่างออกไป เพราะกลัวว่าจะเชื่อใจคนๆนั้นแล้วโดนหลอกสุดท้ายเขาก็กลัวที่จะเจ็บซ้ำๆ หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวของเขามันทำให้ฉันได้คิดว่า ถ้าฉันทำดีกับเขามันอาจจะช่วยให้เขาบรรเทาความเจ็บปวดที่อยู่ในใจของเขาได้บ้าง เช้าวันต่อมาฉันตื่นแต่เช้าเพื่อมาเตรียมอาหารให้เขา ฉันก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งนักหรอกฉันจึงเริ่มจากการปิ้งขนมปัง ไข่ดาวและไส้กรอก พร้อมด้วยกาแฟร้อนๆ1แก้ว เตรียมไว้ให้เขา เมื่อเขาลงมาที่โต๊ะอาหาร “นี่เธอทำอะไรของเธอ เธอทำแบบนี้ต้องการอะไร เธอคิดว่าฉันจะกินของพวกนี้หรือไง ไร้สาระ รีบเตรียมตัวไปบริษัทได้แล้ว” เขาไม่กินอาหารที่ฉันทำไว้ให้เขาไม่พอเขายังเทอาหารทั้งหมดลงถังขยะอีก ฉันได้บอกตัวเองในใจว่าอดทนไว้ และเมื่อถึงบริษัทเขาก็ใช้งานฉันสารพัดแต่ฉันก็ไม่โกรธเพราะฉันคิดว่าฉันเข้าใจเขา ฉันแอบถามข้อมูลจากคุณเลขามาว่าเข
"เรื่องมีอยู่ว่า...ผู้หญิงที่ชื่อมีนาเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับทุนการศึกษาจากครอบครัวของท่านประธาน เธอเข้าเรียนมัธยมปลายที่เดียวกันกับท่านประธานและท่านประธานก็ตกหลุมรักเธอ เธอคือรักแรกของท่านประธานเพราะเธอท่านจึงมีรอยยิ้ม เพราะเธอท่านจึงได้พบกับความสุขที่แท้จริง เธอเป็นคนสดใสร่าเริง เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่ง เป็นคนมีเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนให้หลงรักเธอ ทั้งสองคนเริ่มคบหากันก่อนจะจบม.ปลายและทั้งคู่ก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันและวางแผนกันว่าถ้าเรียนจบแล้วจะแต่งงานกัน แต่การที่ทั้งคู่รักกันนี้ท่านประธานใหญ่หรือคุณปู่ของท่านประธานนั้นท่านคัดค้านหัวชนฝาและกีดกันความรักของทั้งสองมาตลอดเพราะท่านคิดว่าคุณมีนาจะมาฉุดให้ท่านประธานตกต่ำลง แต่ทั้งสองก็ไม่สนใจและหลังจากเรียนจบได้2ปี ทั้งคู่ก็เริ่มวางแผนงานแต่งงานกัน ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จนเมื่อถึงวันแต่งงาน พิธีการได้เริ่มขึ้นจนถึงนาทีที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวให้เจ้าบ่าวแต่ว่าเจ้าสาวหายตัวไป ทิ้งไว้เพียงแค่กระดาษใบเดียวที่เขียนคำว่าขอโทษเอาไว้ ทำให้ท่าประธานล้มทั้งยืนและวิ่งวุ่นอย่างกับคนบ้า ท่านวิ่งตามหาตัวเจ้าสาวทั้งงาน และ
ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้เหมือนฉากหนังที่โรแมนติก พระเอกแกล้งนางเอกด้วยการยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหูพร้อมกับทำสายตาเซ็กซี่ยั่วยวนชวนให้นางเอกต้องเคลิ้มตาม แต่นี่มันไม่ใช่ฉากโรแมนติกในหนังแต่มันเหมือนฉากการฆ่าตกรรมมากกว่า ในตอนที่เขาโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูฉันว่า "งั้นคืนนี้เรามาร่วมหอกันจริงๆดีไหม" ฉันได้แต่หลับตาปี๋เพราะความกลัว ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น "ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่เธอคิดว่าฉันพิศวาสในตัวเธอมากขนาดนั้นเลยหรือไงห๊ะ! ทำตัวอย่างกับว่าเป็นลูกแมวน้อยใสซื่อ เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอห๊ะ ยัยโง่เอ๊ย" เขาหัวเราะด้วยความสะใจที่แกล้งฉันได้ ด้วยความโกรธที่โดนแกล้งฉันจึงรีบลุกไปอาบน้ำทันที พออาบน้ำเสร็จฉันกำลังจะบอกให้เขามาอาบน้ำฉันก็เห็นว่าเขานอนหลับอยู่บนโซฟา ภาพตอนเวลาเขาหลับเขาดูดีมากเลยทีเดียวฉันไม่อยากให้เขาตื่นมาเลยจริงๆ ฉันเห็นว่าเขาหลับสนิทเลยไม่อยากปลุกฉันจึงเอาผ้าห่มมาห่มให้เพราะกลัวว่าเขาจะหนาวและฉันก็ได้ยินเขาละเมอขึ้นมาว่า "มีนา! เธออยู่ไหน! อย่าทิ้งฉันไป มีนา!!" จากนนั้นเขาก็จับมือฉันแน่นไม่ยอมปล่อยฉันจึงไม่มีทางเลือกจึงนั่งลงอยู่ข้างๆเขาและเผลอหลับไป เช้
เมื่อพิธีการและงานเลี้ยงจบลงก็ได้เวลาที่ต้องส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ถึงจะถือว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ ในห้องมีผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายที่มาร่วมเป็นสักขีพยานและอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว ฉันเพิ่งสังเกตเห็นหน้าคุณปู่ของหมอนั่น ใบหน้าท่านดูยิ้มแย้มและใจดี ท่านดูดีอกดีใจและพูดคุยกับคุณยายฉันอย่างเป็นกันเอง เมื่อคุณปู่และคุณยายอวยพรเสร็จก็ถึงทีแม่ของฉันที่ต้องมาอวยพร แม่เอื้อมมือมาจับมือเราทั้งสองแล้วพูดว่า “แม่ไม่มีพรใดจะให้แก่ลูกทั้งสอง แต่แม่อยากให้ลูกทั้งสองรักและเข้าใจกันให้มากๆ ดูแลซึ่งกันและกัน เชื่อใจกันและกัน มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆอย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหานะลูก” แม่พูดด้วยเสียงสั่นคลอพร้อมกับน้ำตาคลอๆทำให้ฉันจะร้องไห้ตาม เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายกลับกันไปหมดแล้วก็เหลือแค่ฉันกับหมอนั่นสองคน บรรยากาศในห้องช่างอึดอัดและเงียบสงัด ท่ามกลางความเงียบนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เธอจะถอดชุดก่อนไหม ฉันเห็นแล้วอึดอัดแทน” ฉันรีบตอบกลับแบบทันควันด้วยความตกใจ “ไอ้ลามก! อยู่ๆจะมาให้ฉันถอดเสื้อผ้าทำไม นี่คุณอย่าลืมสิว่าเราแต่งงานกันแบบหลอกๆนะคุณจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” เขาหันมามองฉันและค่อยๆคลานขึ้นมาบน
หลังจากที่ทานอาหารกับแม่และยายเสร็จแล้วเราก็ต้องรีบกลับทันที ถึงแม้ว่ายายฉันจะขอร้องให้อยู่ต่ออีกนิดแต่อีตาบ้านั่นก็ปฏิเสธเสียงแข็งในทันที ในขณะที่ฉันกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถก็มีเสียงตะโกนเรียกมาจากที่ไกลๆ "ริสาเดี๋ยวก่อน! รอพี่ก่อน!" ฉันจึงหันไปมองตามเสียงเรียกนั้น จู่ๆก็มีร่างของผู้ชายคนหนึ่งกระโจนเข้ามากอดฉัน อ้อมกอดที่อบอุ่นและอ่อนโยนแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่หมอก รักแรกและรักเดียวของฉันแต่ฉันก็รู้ว่าเขาคิดกับฉันเป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น เขาจึงอยู่ในฐานะพี่ชายที่แสนดีของฉัน "พี่นึกว่าจะไม่ใช่ริสาแล้วเสียอีก นึกว่าทักคนผิด เพราะริสาของพี่โตขึ้นมากและก็สวยมากด้วย" พอพี่หมากพูดจบประโยคก็มีมือมากระชากแขนฉันจนถอยห่างจากพี่หมอก มือนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอีตาประธานนั่น "ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครและกล้าดียังมากอดว่าที่ภรรยาของชาวบ้านเขากันน่ะครับ" โอ้พระเจ้า! น้ำเสียงที่เย็นชาและเชือดเฉือนอารมณ์นี่มันอะไรกัน ถ้าหากว่าเราเป็นคนรักกันจริงๆฉันคงคิดว่าเขาคงจะหึงฉันเป็นแน่ แต่เพราะนี่คือการแสดงฉันเลยไม่รู้สึกอะไร "ต้องขอโทษด้วยครับ ผมเป็นพี่ชายของริสานะครับชื่อเมฆา แต่จะเรียกหมอก
"คนเราไม่อาจรู้ชะตาชีวิตล่วงหน้าได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เราทำได้แค่ยอมรับมันเท่านั้น" ตัวฉันเองก็เช่นกัน ในเมื่อตัดสินใจแล้วฉันก็จะทำให้เต็มที่!(เสียงโฆษณาในทีวี) “บริษัทของเราเป็นที่1 ทางด้านเทคโนโลยี เราจะไม่หยุดพัฒนาศักยภาพ เพื่อที่ผู้ใช้งานจะต้องได้ใช้งานเทคโนโลยีที่ดีที่สุด” (โฆษณาบริษัท เดอะวัน คอปอเรชั่น จำกัด) บริษัทแนวหน้าของไทยที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสุดๆ และนั่นคือบริษัทที่ 30 ที่ฉันไปสมัครงานวันนี้ ฉันค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนี้มาค่อนข้างดีและมีสิ่งหนึ่งที่ฉันสนใจ นั่นคือ ข่าวลือที่ว่า ประธานบริษัทนี้นั้น เป็นคนเย็นชา ปากร้าย เจ้าระเบียบ และเป็นคนเลือดเย็นสุดๆ ว่ากันว่า เขาไล่พนักงานออกเพียงเพราะพนักงานคนนั้นไม่ติดบัตรพนักงาน แต่นั่นมันก็แค่ข่าวลือ ฉันเป็นพวกที่ไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นและเจอกับตัวเอง ฉันขึ้นรถโดยสารประจำทางเพื่อที่จะไปสมัครงานที่บริษัทนั้นแต่ระหว่างทางเกิดมีอุบัติเหตุขึ้น ทำให้การจราจรติดขัดรถไม่สามารถเดินหน้าได้ ฉันจึงตัดสินใจวิ่งลงจากรถเพื่อที่จะวิ่งไปบริษัทเดอะวัน ในขณะที่ฉันกำลังวิ่งข้ามถนนอยู่นั้น จู่ๆก็มีรถเก๋งสีดำดูหรูหราและราคาแพงพุ่งตรงมาทางฉ...
Comments