"ในชีวิตของคนเราจะมีสักกี่ครั้งที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตนรัก เมื่อโอกาสนั้นมาถึงจงรีบคว้าไว้อย่าให้หลุดมือไป เพราะสุดท้ายเราจะมานั่งเสียใจในภายหลัง"
หนึ่งวันหลังจากที่ฉันไม่ผ่านการสัมภาษณ์งานที่บริษัทเดอะวัน ฉันก็เตรียมเก็บข้าวของเพื่อที่จะกลับเชียงใหม่ไปอยู่กับแม่ (กริ๊งงงงง...สายเรียกเข้าจากเพื่อนรักหมายเลข1) "ฮัลโหล! นี่แกอยู่ที่ไหน อยู่บ้านใช่ไหมเดี๋ยวฉันรีบไปหานะ รอฉันก่อนนะอย่าเพิ่งรีบหนีไปไหนล่ะ" ฉันกดรับสายก็จริงอยู่แต่ฉันยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไรสักคำเพื่อนรักของฉันคนนี้ก็รีบวางสายทันทีที่พูดจบ ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมฉันพิมพ์ชื่อเพื่อนคนนี้ว่าเพื่อนรักหมายเลข1 จริงๆแล้วฉันไม่ได้พิมพ์เองหรอกนะ เพื่อนของฉันเขาเป็นคนพิมพ์น่ะ เธอมีชื่อว่าจิน หรือจินตนา อาชีพคือนักข่าว เพราะชอบเผือกเรื่องของชาวบ้านเลยรักในอาชีพนี้ ครอบครัวจินเป็นหมอกันทั้งบ้านรวมถึง เจ็ท หรือเจตริน น้องชายฝาแฝดของจิน 2คนนี้คือเพื่อนรักของฉัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครคือเพื่อนรักหมายเลข2 จินกับเจ็ทถึงจะเป็นฝาแฝดกันแต่นิสัยต่างกันสุดขั้ว จินจะเป็นคนอารมณ์ร้อนชอบใช้กำลังในการแก้ปัญหา ส่วนเจ็ทจะเป็นคนใจเย็นทำอะไรมีสติอยู่เสมอ และที่สำคัญคอยห้ามและเก็บกวาดเรื่องที่จินทำด้วย แต่มีอยู่สองสิ่งที่สองคนนี้เหมือนกันนั่นคือ ความฉลาดรอบรู้และหน้าตาดีทั้งคู่ ถึงแม้เรื่องอื่นเจ็ทจะเป็นฝ่ายยอมจินมาตลอด แต่กับเรื่องความเก่งและฉลาดสองคนนี้ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ หลังจากที่จินวางสายไปได้ไม่ถึง1นาที (กริ๊งงงงงสายเรียกเข้าจากเพื่อนรักหมายเลข2) "ฮัลโหล! จริงหรือเปล่าที่แกจะต้องกลับเชียงใหม่น่ะ ตอนนี้ฉันออกเวรแล้วเดี๋ยวจะรีบไปหาแกนะ" พอพูดจบเจ็ทก็กดวางสาย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันรับสายแล้วยังไม่ทันได้พูดสักคำ บางทีฉันก็สงสัยนะว่าสองพี่น้องนี้ทำไมไม่มาพร้อมกันแล้วโทรหาฉันทีเดียว จะผลัดกันโทรมาเพื่อ??? แต่ฉันก็ดีใจนะที่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่ามีคนคอยเป็นห่วงฉันอยู่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เวลาผ่านไป5นาทีทั้งสองคนก็มาถึงพร้อมกับของกินเต็มไม้เต็มมือ เรา3คนนั่งทานอาหารด้วยกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรสักคำต่างคนต่างกินไปพลางมองหน้ากันไปพลาง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วจู่ๆเรา3คนก็สะดุ้งเพราะได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของฉัน ("กริ๊งงงงงสายเรียกเข้าจากเบอร์ไม่รู้จัก) ฉันจึงรีบรับสายทันทีเพราะในใจยังหวังว่าต้องเป็นบริษัทใดบริษัทหนึ่งใน30บริษัทที่ฉันไปสมัครงานไว้แล้วเขาโทรมาตามให้ฉันให้ไปทำงานแน่ "ฮัลโหลสวัสดีค่ะ" เสียงปลายสายที่ตอบกลับมานั้นเป็นเสียงของผู้ชายที่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและสุภาพ "สวัสดีครับ คุณมาริสาใช่ไหมครับ ผมโทรจากบริษัทเดอะวันนะครับ ผมเป็นเลขาของประธานศรันย์ ชื่อกวินครับ พอดีว่าท่านประธานอยากจะพบคุณเป็นการส่วนตัวน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณมาริสาสะดวกเข้ามาที่บริษัทวันนี้หรือไม่ครับ" ฉันที่กำลังอึ้งกับคนปลายสายจนลืมตอบกลับจนจินต้องสะกิดเรียกสติของฉัน "คะ? ท่านประธานเรียกฉันไปทำไมคะ ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ ทำไมต้องเรียกฉันไปพบด้วย" เสียงปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพว่า "เอาไว้คุณมาถึงก็จะรู้เองครับ ไม่ทราบว่าคุณจะมาหรือไม่ครับ ผมจะได้เตรียมรถไปรับคุณครับ" ฉันรีบตอบกลับในทันที "ไม่ต้องค่ะ! เดี๋ยวฉันเดินทางไปเองค่ะ" จากนั้นฉันก็กดวางสายไป เพื่อนทั้งสองคนของฉันจ้องหน้าฉันด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบใจจดใจจ่อแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามฉันตรงๆฉันจึงเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง และแน่นอนว่าจินหัวเสียอย่างมาก แต่ที่ทำเอาฉันกับจินแปลกใจนั่นคือ สีหน้าที่โมโหแบบสุดๆของเจ็ทในตอนนี้ เพราะปกติเจ็ทจะเป็นคนนิ่งๆและเก็บอาการได้ดีเสมอ แต่ครั้งนี้เจ็ทถึงกับเดือดมากและชวนฉันบุกไปเดอะวันเพื่อที่จะไปเอาเรื่องประทานบริษัท เมื่อมาถึงบริษัทเดอะวัน เจ็ทก็ตรงดิ่งเข้าไปในบริษัททันทีด้วยท่าทีที่โกรธจนควันออกหู ฉันกับจินจึงต้องรีบวิ่งเข้าไปห้ามเจ็ทเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น "ฉันเข้าใจที่แกโกรธ แต่ตอนนี้แกช่วยใจเย็นๆก่อนได้ไหม ทำอะไรวู่วามไปเดี๋ยวก็เป็นเรื่องใหญ่โตหรอก ในฐานะที่ฉันเป็นพี่สาวแสนดีฉันขอสั่งแกว่าให้แกไปนั่งรอที่ล็อบบี้ตรงนั้นกับฉันเดี๋ยวนี้!" จินพูดกับเจ็ทและถึงแม้เจ็ทจะโกรธมากเพียงใดแต่คำสั่งของจินคือเด็ดขาด เพราะถ้าเจ็ทไม่ทำตามล่ะก็เจ็ทเองนั่นแหละที่จะเจ็บตัว หลังจากที่จินพาเจ็ทไปนั่งสงบสติอารมณ์ จู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินตรงมาที่ฉัน ชายคนนั้นท่าทางสุภาพเรียบร้อย หน้าตาก็ดีกิริยาท่าทางก็ดีผิดกับอีตาประธานนั่นสุดๆ "คุณมาริสาใช่มั้ยครับ ผมกวิน เลขาท่านประธานครับ เชิญคุณมาริสาตามผมมาทางนี้ครับ" พูดจบชายคนนั้นก็ผายมือไปทางลิฟท์ "นี่เราจะไปหาท่านประธานกันใช่ไหมคะ แล้วทำไมถึงให้ฉันไปคนเดียวหล่ะคะ ฉันพาเพื่อนไปด้วยไม่ได้หรือคะ?" เมื่อฉันพูดจบเขารีบตอบแบบทันควัน "ไม่ได้หรอกครับ ท่านประธานชอบความเป็นส่วนตัวน่ะครับ หากคุณพาเพื่อนๆไปด้วย ผมเกรงว่าท่านจะไม่พอใจเอานะครับ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแล้วหันมายิ้มให้กับฉันเพื่อให้ฉันรู้สึกไม่ประหม่า เมื่อลิฟท์มาจอดอยู่ที่ชั้น20 เขาก็หันมาพูดกับฉันว่า "ถึงแล้วครับ เดี๋ยวคุณเดินตรงไปเรื่อยๆนะครับแล้วคุณจะพบกับห้องท่านประธานครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ" เมื่อเขาพูดจบก็หันมายิ้มให้กับฉันเหมือนสื่อความหมายว่าขอให้โชคดีอะไรทำนองนั้น ฉันเดินตรงมาตามที่คุณเลขานั่นบอกก็พบกับห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่งฉันมั่นใจว่าน่าจะใช่ห้องประธานแน่ๆ เพราะทั้งชั้นนี้มีแค่ห้องนี้ห้องเดียวเท่านั้น ฉันเดินไปเคาะประตูเพื่อส่งสัญญานว่าฉันมาแล้วและฉันก็เปิดประตูนั้นเข้าไปด้วยความกล้าๆกลัวๆ ชายคนนั้นนั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน ใบหน้านั้นทำเอาฉันกลัวจนบอกไม่ถูก เสียงที่เย็นยะเยือกเอ่ยขึ้น "นั่งก่อนสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ" ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าเขาด้วยความสั่นกลัวแล้วเค้าก็ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งมาให้ฉันพร้อมกับพูดว่า "นี่เป็นเอกสารสัญญาการว่าจ้าง อย่าเพิ่งดีใจไปฉันไม่ได้ให้เธอมาเป็นพนักงานที่นี่หรอกนะ แต่ฉันจะให้เธอทำงานพิเศษให้ฉัน ลองอ่านข้อเสนอของฉันดูแล้วค่อยให้คำตอบฉันวันพรุ่งนี้ก็ได้" ฉันนั่งอ่านเอกสารด้วยความตื่นเต้น เพราะถ้าหากฉันมีงานทำฉันก็จะมีเงินมาใช้หนี้ของพ่อ และแม่ก็จะได้ไม่ต้องลำบาก ในขณะที่ฉันกำลังตั้งใจอ่านเอกสารอยู่นั้นฉันก็ต้องตกใจกับรายละเอียดในสัญญาฉบับนั้น รายละเอียดคือหากฉันตกลงรับงานนี้ ฉันจะได้เงินเดือนละ300,000บาท ไม่รวมโบนัสพิเศษและจะชดใช้หนี้ทั้งหมดให้ สัญญาจ้างนี้มีอายุสัญญา3เดือน จากนั้นทุกอย่างจะถือว่ายุติลง แต่งานที่ฉันต้องทำคือ "แต่งงาน!! นี่คุณจะบ้าหรือเปล่า! จะให้ฉันแต่งงานกับคุณได้ยังไงในเมื่อคุณกับฉันเราไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกันขนาดนั้น และเราก็ไม่ได้รักกันด้วย อีกอย่างนะคะฉันอยากทำงานก็จริง แต่ต้องเป็นงานที่ฉันสมัครสิ ไม่ใช่งานแบบนี้ เพราะฉันไม่ได้มาขายตัวแลกเงิน ถึงแม้ว่าฉันอยากได้เงินมาใช้หนี้ให้พ่อก็จริงแต่เรื่องแต่งงานนี่มันคนละเรื่องกันค่ะ ถ้าหมดธุระแล้วฉันขอตัวนะคะ" ยอมรับว่าในตอนนั้นฉันโกรธมากและคิดว่าหากฉันอยู่นานกว่านี้ฉันคงเผลอต่อยปากผู้ชายคนนี้เป็นแน่ "นี่เธอ อย่าเข้าใจฉันผิดสิ ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวเธอเลยสักนิด แต่ฉันอยากให้เธอได้รู้ไว้อย่างนะว่าการที่ฉันจ้างเธอให้มาแกล้งแต่งงานกับฉันนั้น เพียงเพราะฉันแค่อยากได้มรดกของปู่และฉันยังช่วยปลดหนี้ให้ครอบครัวเธออีกด้วย เธอควรจะขอบใจฉันสิ ไม่ใช่ทำตัวจองหองกับฉันแบบนี้ และอีกอย่างเมื่อครบ3เดือนทุกอย่างก็ถือว่ายุติลง และในเวลา3เดือนที่เราแต่งงานกันนั้นฉันก็ระบุไว้ชัดเจนว่าต่างคนต่างอยู่จะไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน แต่จะแสดงเป็นคู่รักกันต่อหน้าคุณปู่ของฉันเท่านั้น เธอเป็นคนพูดเองนี่ว่าอยากทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ พิสูจน์มาสิว่าฉันนั้นมองเธอผิดไป เธอน่ะไม่ได้เป็นแบบที่ฉันคิด ลองกลับไปคิดดูให้ดีนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะรอฟังคำตอบ" เมื่อเขาพูดจบฉันก็รีบเดินออกจากห้องนั้นทันทีและรีบตรงไปหาเพื่อนๆของฉันแต่ฉันไม่ได้เล่าอะไรให้พวกเขาฟังเลยแม้แต่น้อยเพราะกลัวว่าเพื่อนๆจะเป็นห่วง ฉันโกหกไปว่าเขาเรียกไปให้เงินปลอบขวัญที่เมื่อวานเขาขับรถจะชนฉัน ฉันคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายครั้งจนในที่สุดฉันก็ตัดสินใจได้ว่า... ...โปรดติดตามตอนต่อไป...หลังจากที่อีตาประธานนั่นยื่นสัญญาฉบับนั้นให้ฉันดู ฉันก็ได้แต่คิดวกไปวนมาเกี่ยวกับเงื่อนไขในสัญญานั้น ในสมองของฉันมันแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกฉันว่าอย่าทำเพราะคนเราจะแต่งงานกันได้มันต้องเกิดจากความรัก อีกฝ่ายหนึ่งบอกฉันว่าถ้าฉันตกลงหนี้ของพ่อทั้งหมดก็จะถูกชดใช้จนหมดและแม่ก็ไม่ต้องลำบากหาเงินเพียงคนเดียวเพื่อใช้หนี้ที่พ่อก่อขึ้น และอีกอย่างเราไม่ได้แต่งงานกันจริงๆเสียหน่อยเป็นแค่การแสดงเท่านั้นและอายุสัญญาก็แค่3เดือนเองหลังจากนั้นต่างคนต่างไป ในสมองของฉันตีกันจนวุ่นวายไปหมดจนฉันต้องตัดสินใจอะไรสักอย่างและฉันก็ตัดสินใจว่าฉันจะรับข้อเสนอนั้นโดยฉันจะเพิ่มเงื่อนไขลงไปใหม่เพื่อให้เกิดความเสมอภาคกันทั้งสองฝ่าย ฉันใช้เวลาในการร่างเงื่อนไขสัญญาอยู่พักใหญ่จากนั้นฉันจึงกดเบอร์โทรหาเลขาอีตาประธานนั่นเพื่อขอเจรจา "สวัสดีค่ะ ฉันมาริสาค่ะ ฉันจะขอเพิ่มเงื่อนไขในสัญญาสักหน่อยเพื่อให้เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย หากไม่ขัดข้องอีกสักครู่ฉันจะเอาสัญญาเข้าไปให้ค่ะ" เมื่อฉันพูดจบเสียงปลายสายก็ตอบกลับมาว่า "ท่านประธานกำลังรอคุณมาริสาอยู่เลยครับ ท่านบอกว่าไม่ขัดข้องอะไรที่จะเพิ่มเงื่อนไขในสัญญาครับ ท่านยังบอกอีกว
หลังจากที่เราได้เซ็นตกลงสัญญากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็ได้เวลาเปิดม่านแสดงละครฉากใหญ่โดยที่อีตาประธานนั่นเป็นคนเขียนบทละครนี้และฉันมีหน้าที่ต้องแสดงให้ดีที่สุด ฉันตัดสินใจเล่าให้จินกับเจ็ทฟังเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น แน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นโกรธมากแต่พวกเขาก็เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของฉัน ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่สองคนนี้คงมองว่าฉันเห็นแก่เงิน ไม่มีศักดิ์ศรียอมเอาตัวเองไปแลกเพื่อที่จะให้ได้เงินมา แต่เพราะเป็นสองคนนี้ที่เข้าใจและรู้ถึงเจตนาของฉันเป็นอย่างดี ฉันจึงอุ่นใจที่มีสองคนนี้เป็นเพื่อน เพราะไม่ว่ายังไงสองคนนี้ก็จะอยู่เคียงข้างฉันเสมอ หนึ่งวันหลังจากเซ็นสัญญาอีตานั่นก็ซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับเชียงใหม่ทันทีและลากฉันไปด้วยเพื่อที่จะไปคุยกับแม่และยายของฉัน เมื่อมาถึงเชียงใหม่เราสองคนก็ตรงไปยังบ้านฉันทันทีในระหว่างที่เดินทางนั้นฉันได้แต่คิดในใจว่าจะบอกแม่กับยายยังไงดีไม่ให้ท่านทั้งสองตกใจ เพราะฉันไม่เคยบอกเรื่องแฟนกับพวกท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียวแต่จู่ๆก็พาผู้ชายมาบ้านแถมยังมาบอกเรื่องแต่งงานอีกท่านทั้งสองไม่ช็อคก็ให้มันรู้ไป เราใช้เวลาเดินทางไม่นานนักจากสนามบินมาที่บ
หลังจากที่ทานอาหารกับแม่และยายเสร็จแล้วเราก็ต้องรีบกลับทันที ถึงแม้ว่ายายฉันจะขอร้องให้อยู่ต่ออีกนิดแต่อีตาบ้านั่นก็ปฏิเสธเสียงแข็งในทันที ในขณะที่ฉันกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถก็มีเสียงตะโกนเรียกมาจากที่ไกลๆ "ริสาเดี๋ยวก่อน! รอพี่ก่อน!" ฉันจึงหันไปมองตามเสียงเรียกนั้น จู่ๆก็มีร่างของผู้ชายคนหนึ่งกระโจนเข้ามากอดฉัน อ้อมกอดที่อบอุ่นและอ่อนโยนแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่หมอก รักแรกและรักเดียวของฉันแต่ฉันก็รู้ว่าเขาคิดกับฉันเป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น เขาจึงอยู่ในฐานะพี่ชายที่แสนดีของฉัน "พี่นึกว่าจะไม่ใช่ริสาแล้วเสียอีก นึกว่าทักคนผิด เพราะริสาของพี่โตขึ้นมากและก็สวยมากด้วย" พอพี่หมากพูดจบประโยคก็มีมือมากระชากแขนฉันจนถอยห่างจากพี่หมอก มือนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอีตาประธานนั่น "ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครและกล้าดียังมากอดว่าที่ภรรยาของชาวบ้านเขากันน่ะครับ" โอ้พระเจ้า! น้ำเสียงที่เย็นชาและเชือดเฉือนอารมณ์นี่มันอะไรกัน ถ้าหากว่าเราเป็นคนรักกันจริงๆฉันคงคิดว่าเขาคงจะหึงฉันเป็นแน่ แต่เพราะนี่คือการแสดงฉันเลยไม่รู้สึกอะไร "ต้องขอโทษด้วยครับ ผมเป็นพี่ชายของริสานะครับชื่อเมฆา แต่จะเรียกหมอก
เมื่อพิธีการและงานเลี้ยงจบลงก็ได้เวลาที่ต้องส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ถึงจะถือว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ ในห้องมีผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายที่มาร่วมเป็นสักขีพยานและอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว ฉันเพิ่งสังเกตเห็นหน้าคุณปู่ของหมอนั่น ใบหน้าท่านดูยิ้มแย้มและใจดี ท่านดูดีอกดีใจและพูดคุยกับคุณยายฉันอย่างเป็นกันเอง เมื่อคุณปู่และคุณยายอวยพรเสร็จก็ถึงทีแม่ของฉันที่ต้องมาอวยพร แม่เอื้อมมือมาจับมือเราทั้งสองแล้วพูดว่า “แม่ไม่มีพรใดจะให้แก่ลูกทั้งสอง แต่แม่อยากให้ลูกทั้งสองรักและเข้าใจกันให้มากๆ ดูแลซึ่งกันและกัน เชื่อใจกันและกัน มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆอย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหานะลูก” แม่พูดด้วยเสียงสั่นคลอพร้อมกับน้ำตาคลอๆทำให้ฉันจะร้องไห้ตาม เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายกลับกันไปหมดแล้วก็เหลือแค่ฉันกับหมอนั่นสองคน บรรยากาศในห้องช่างอึดอัดและเงียบสงัด ท่ามกลางความเงียบนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เธอจะถอดชุดก่อนไหม ฉันเห็นแล้วอึดอัดแทน” ฉันรีบตอบกลับแบบทันควันด้วยความตกใจ “ไอ้ลามก! อยู่ๆจะมาให้ฉันถอดเสื้อผ้าทำไม นี่คุณอย่าลืมสิว่าเราแต่งงานกันแบบหลอกๆนะคุณจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” เขาหันมามองฉันและค่อยๆคลานขึ้นมาบน
ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้เหมือนฉากหนังที่โรแมนติก พระเอกแกล้งนางเอกด้วยการยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหูพร้อมกับทำสายตาเซ็กซี่ยั่วยวนชวนให้นางเอกต้องเคลิ้มตาม แต่นี่มันไม่ใช่ฉากโรแมนติกในหนังแต่มันเหมือนฉากการฆ่าตกรรมมากกว่า ในตอนที่เขาโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูฉันว่า "งั้นคืนนี้เรามาร่วมหอกันจริงๆดีไหม" ฉันได้แต่หลับตาปี๋เพราะความกลัว ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น "ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่เธอคิดว่าฉันพิศวาสในตัวเธอมากขนาดนั้นเลยหรือไงห๊ะ! ทำตัวอย่างกับว่าเป็นลูกแมวน้อยใสซื่อ เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอห๊ะ ยัยโง่เอ๊ย" เขาหัวเราะด้วยความสะใจที่แกล้งฉันได้ ด้วยความโกรธที่โดนแกล้งฉันจึงรีบลุกไปอาบน้ำทันที พออาบน้ำเสร็จฉันกำลังจะบอกให้เขามาอาบน้ำฉันก็เห็นว่าเขานอนหลับอยู่บนโซฟา ภาพตอนเวลาเขาหลับเขาดูดีมากเลยทีเดียวฉันไม่อยากให้เขาตื่นมาเลยจริงๆ ฉันเห็นว่าเขาหลับสนิทเลยไม่อยากปลุกฉันจึงเอาผ้าห่มมาห่มให้เพราะกลัวว่าเขาจะหนาวและฉันก็ได้ยินเขาละเมอขึ้นมาว่า "มีนา! เธออยู่ไหน! อย่าทิ้งฉันไป มีนา!!" จากนนั้นเขาก็จับมือฉันแน่นไม่ยอมปล่อยฉันจึงไม่มีทางเลือกจึงนั่งลงอยู่ข้างๆเขาและเผลอหลับไป เช้
"เรื่องมีอยู่ว่า...ผู้หญิงที่ชื่อมีนาเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับทุนการศึกษาจากครอบครัวของท่านประธาน เธอเข้าเรียนมัธยมปลายที่เดียวกันกับท่านประธานและท่านประธานก็ตกหลุมรักเธอ เธอคือรักแรกของท่านประธานเพราะเธอท่านจึงมีรอยยิ้ม เพราะเธอท่านจึงได้พบกับความสุขที่แท้จริง เธอเป็นคนสดใสร่าเริง เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่ง เป็นคนมีเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนให้หลงรักเธอ ทั้งสองคนเริ่มคบหากันก่อนจะจบม.ปลายและทั้งคู่ก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันและวางแผนกันว่าถ้าเรียนจบแล้วจะแต่งงานกัน แต่การที่ทั้งคู่รักกันนี้ท่านประธานใหญ่หรือคุณปู่ของท่านประธานนั้นท่านคัดค้านหัวชนฝาและกีดกันความรักของทั้งสองมาตลอดเพราะท่านคิดว่าคุณมีนาจะมาฉุดให้ท่านประธานตกต่ำลง แต่ทั้งสองก็ไม่สนใจและหลังจากเรียนจบได้2ปี ทั้งคู่ก็เริ่มวางแผนงานแต่งงานกัน ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จนเมื่อถึงวันแต่งงาน พิธีการได้เริ่มขึ้นจนถึงนาทีที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวให้เจ้าบ่าวแต่ว่าเจ้าสาวหายตัวไป ทิ้งไว้เพียงแค่กระดาษใบเดียวที่เขียนคำว่าขอโทษเอาไว้ ทำให้ท่าประธานล้มทั้งยืนและวิ่งวุ่นอย่างกับคนบ้า ท่านวิ่งตามหาตัวเจ้าสาวทั้งงาน และ
หลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นจากคุณเลขา มันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกต่างๆมากมาย ทั้งเจ็บปวด ทั้งเศร้า และสงสาร มันทำให้ฉันรู้ว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดีอะไรแค่เป็นเพราะบาดแผลในใจทำให้เขาต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเอง เพื่อกีดกันคนที่จะเข้ามาและผลักไสคนใกล้ตัวให้ห่างออกไป เพราะกลัวว่าจะเชื่อใจคนๆนั้นแล้วโดนหลอกสุดท้ายเขาก็กลัวที่จะเจ็บซ้ำๆ หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวของเขามันทำให้ฉันได้คิดว่า ถ้าฉันทำดีกับเขามันอาจจะช่วยให้เขาบรรเทาความเจ็บปวดที่อยู่ในใจของเขาได้บ้าง เช้าวันต่อมาฉันตื่นแต่เช้าเพื่อมาเตรียมอาหารให้เขา ฉันก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งนักหรอกฉันจึงเริ่มจากการปิ้งขนมปัง ไข่ดาวและไส้กรอก พร้อมด้วยกาแฟร้อนๆ1แก้ว เตรียมไว้ให้เขา เมื่อเขาลงมาที่โต๊ะอาหาร “นี่เธอทำอะไรของเธอ เธอทำแบบนี้ต้องการอะไร เธอคิดว่าฉันจะกินของพวกนี้หรือไง ไร้สาระ รีบเตรียมตัวไปบริษัทได้แล้ว” เขาไม่กินอาหารที่ฉันทำไว้ให้เขาไม่พอเขายังเทอาหารทั้งหมดลงถังขยะอีก ฉันได้บอกตัวเองในใจว่าอดทนไว้ และเมื่อถึงบริษัทเขาก็ใช้งานฉันสารพัดแต่ฉันก็ไม่โกรธเพราะฉันคิดว่าฉันเข้าใจเขา ฉันแอบถามข้อมูลจากคุณเลขามาว่าเข
“คุณใจเย็นๆก่อนนะคะ ฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ความจริงที่ว่าทำไมเธอถึงไปจากคุณ” เมื่อฉันพูดแบบนั้นเขาก็ดูสงบลง และฉันก็เริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง เรื่องมันเริ่มจาก เมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นฉันเรียนอยู่มหาวิทยาลัยและเป็นช่วงที่พ่อฉันสร้างหนี้สินไว้มากมายและท่านก็ฆ่าตัวตายจากไปทิ้งให้ฉันกับแม่อยู่กันเพียงลำพัง แม่ต้องหาทำงานทุกอย่างเพื่อใช้หนี้ให้กับพ่อ หาค่ารักษายาย และหาค่าเทอมของฉัน ฉันจึงช่วยแบ่งเบาภาระแม่ด้วยการรับจ้างเป็นคนคอยช่วยเหลือคนไข้ที่โรงพยาบาล เพราะยายฉันก็รักษาตัวอยู่ที่นั่น ยายเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตต่ำ ท่านมักจะเป็นลมอยู่บ่อยๆ จึงต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อคอยดูอาการ และฉันก็ได้พบกับพี่มีนาที่นั่น ฉันพบเธอครั้งแรกที่ดาดฟ้าโรงพยาบาล เธอนั่งร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดและพยายามจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ฉันจึงวิ่งเข้าไปคว้าตัวเธอไว้ แต่เธอก็ไม่พูดอะไรสักคำเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ฉันจึงนั่งข้างเธอและกอดเธอเพื่อให้เธอคลายเศร้า เมื่อเธอสงบลงเธอจึงเอ่ยปากขอบคุณฉันและเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟัง เธอเล่าว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของเธอกับคนรัก แต่ว่าเธอดันอาการก
ในชีวิตฉันเคยหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้ แล้วในวันนั้นฉันคงจะมีความสุขมากๆ แต่ไม่คิดว่าวันนั้นที่ฉันหวังเอาไว้จะมาถึง เพราะเขาคนนี้ทำให้ความหวังของฉันเป็นจริง ความสุขที่คิดไว้ก็เกิดขึ้นจริง และมากกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีกในตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ฉันก็มีความสุขมากกับสิ่งที่เขาทำให้ ไม่ว่าเขาจะทำไปเพื่ออะไรก็ตาม ขอแค่ให้เขาอยู่ข้างฉันแบบนี้ก็พอ คำอธิฐานในวันเกิดปีนี้ที่ฉันอยากจะขอก็คือ ฉันอยากให้เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดกาล และไม่อยากให้สัญญาจอมปลอมนั้นต้องจบลง เพราะตอนนี้ใจของฉันไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้วฉันยืนหลับตาและอธิฐานอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า "นี่เธอ! จะขออะไรหนักหนา เธอขอนานไปแล้วนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงให้เธอไม่ไหวหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า" เสียงนั้นทำเอาฉันต้องรีบลืมตาขึ้นมาทันที เพราะกลัวว่าหากฉันหลับตานานกว่านี้เขาอาจจะพูดแซวฉันอีกก็เป็นได้ "ก็คุณเป็นคนบอกให้ฉันอธิฐานเองนี่คะ ฉันก็เลยขอเยอะหน่อย เผื่อว่าจะสมหวังกับเขาบ้าง" ฉันพูดตอบกลับเขา และเขาก็ถามฉันกลับมาว่า "แล้วเธอขออะไร
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ วันเวลาผ่านไปได้สองเดือนครึ่งแล้วหลังจากที่เราแต่งงานกัน เหลือเวลาอีก15วันเท่านั้น สัญญาของเราสองคนก็จะจบลงวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันตื่นมาตามปกติ แต่ที่แปลกไปจากเดิมก็คือ ฉันลืมตามมาเจอเขานอนอยู่ข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้และพูดทักทายฉันว่า "อรุณสวัสดิ์ ตื่นเสียทีนะยัยขี้เซา ฉันมานอนอยู่ข้างๆตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวอีก ถ้าเกิดว่ามีใครทำมิดีมิร้ายกับเธอจะทำยังไง" มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน แล้วทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ข้างๆฉันได้หล่ะ? พอคิดได้อย่างนั้นฉันเลยถามออกไป "แล้วคุณเข้ามาห้องฉันได้ยังไงคะ แถมยังมานอนข้างๆฉันอีก นี่คุณคิดจะทำอะไรฉันคะ ไม่ได้นะคุณ! ถึงเราจะเป็นสามีภรรยากันก็จริง แต่มันก็แค่ในนาม คุณไม่มีสิทธิทำอะไรฉันนะคะ" พอฉันพูดจบเขาก็หัวเราะลั่นและพูดว่า "นี่เธอ! เพี้ยนหรือเปล่า? นี่บ้านฉัน ฉันก็ต้องมีกุญแจไขเข้ามาอยู่แล้ว ที่ฉันเข้ามาเพราะฉันเคาะประตูเรียกเธอตั้งนานแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรเลยรีบเข้ามาดู แต่เห็นเธอยังนอนกรนอยู่แถมละเมอด้วย และฉันขอบอกตรงนี้เล
เมื่อเราสองคนได้ของขวัญและชุดที่จะใส่ไปออกงานแล้ว เราก็เดินทางไปสถานที่จัดงานทันที เราเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่ง ที่เหมือนกับคฤหาสน์ที่ดูหรูหราเหมือนกับในละคร ทางเข้าสองข้างทางมีดอกไม้หลากสียาวไปจนถึงตัวคฤหาสน์ ข้างหน้าก่อนเข้าไปในตัวอาคารมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ทุกอย่างมันเหมือนกับเราอยู่ในฉากละครฉากหนึ่ง ที่เป็นฉากของพวกไฮโซมางานเลี้ยงกัน ทุกคนแต่งตัวจัดเต็มไม่มีใครยอมใคร ทั้งหญิงและชายแต่งตัวดูดีกันทุกคน เมื่อเราสองคนเดินเข้าไปในงาน สิ่งที่ฉันเห็นคือ ความสวยงามอลังการงานสร้าง ยิ่งกว่าอยู่ในละครเสียอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ของแพงๆ จะหยิบจะจับอะไรทีต้องระวังอย่างมาก เพราะกลัวว่าถ้าทำพังจะไม่มีปัญญาจ่าย ในขณะที่ฉันกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น เขาก็จับมือฉันและพูดว่า "อย่ายืนอึ้งนาน ถึงเธอจะทำอะไรพังก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันชดใช้ให้ เราไปหาคุณปู่กันเถอะ" เขาพูดพร้อมยิ้มเยาะฉัน และเราก็เดินไปหาคุณปู่เพื่อมอบของขวัญให้ "คุณปู่สวัสดีค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณปู่ ริสาขอให้คุณปู่มีอายุยืนนานอยู่กับหลานๆไปนานๆนะคะ" ฉันกล่าวสวัสสดีพร้อมอวยพรท่าน และท่านก็หัวเราะชอบใจและ
ตอนเป็นเด็ก ฉันเคยฝันอยากเป็นเจ้าหญิงที่ได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงามและครองรักกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน แต่พอฉันเติบโตขึ้น จึงทำให้ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ในชีวิตจริงการที่เราได้พบเจอคนดีๆสักคน คนที่เขารักเราจริงไม่ทิ้งเราไปไหนไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ถ้าฉันได้เจอกับคนๆนั้นฉันจะรักษาเขาไว้ให้ดีที่สุดในขณะที่ฉันกำลังฝันถึงเจ้าชายรูปงามที่กำลังจะได้จุมพิตกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝัน "กริ๊งงงงงงงงง" มันเป็นเสียงโทรศัพท์นั่นเอง แล้วฉันก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ใกล้ๆฉัน ฉันจึงลืมตาขึ้นดู แล้วฉันก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของใครสักคน ฉันจึงนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ ฉันจึงได้รู้ว่าอ้อมแขนนี้เป็นของใครและนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ฉันจึงค่อยๆขยับตัวลุกออกมาจากตรงนั้น แต่ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "ตื่นแล้วหรือ หลับสบายไหมยัยขี้เซา" ครั้งนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วละลาย ทำให้ฉันเคลิ้มไปอยู่ครู่หนึ่ง "ขอโทษนะคะ ที่ฉันมานอนตรงนี้ คุณคงจะอึดอันน่าดู ฉันจะรีบกลับห้องตัวเองเด
จากคำพูดที่เขาพูดมาเมื่อกี้นี้ทำให้ฉันรู้สึกสับสนไปหมด ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกมากันนะ ในใจฉันได้แต่สงสัย แต่ฉันก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อนเพราะตอนนี้เรามีคนเมาสองคนที่ต้องดูแลฉันให้เจ็ทช่วยพยุงเขาขึ้นไปบนห้อง เจ็ทก็แบกไปบ่นไป "โอ๊ย! คนอะไรตัวหนักเป็นบ้า กินอะไรเข้าไปเนี่ยพ่อคุณ นี่ฉันเป็นหมอนะไม่ใช่กรรมกรแบกหาม ทำไมฉันต้องมาแบกคนเมาถึงสองคนเลยเนี่ย" ฉันจึงหันไปบอกกับเจ็ทว่า "หรือแกจะให้ฉันแบกเขาขึ้นมาคนเดียวห๊ะ! แกดูตัวฉันและดูตัวเขา ขืนฉันแบกคนเดียวก็ได้โดนเขาทับแบนกันพอดี" ฉันพูดสวนกลับเจ็ทจึงเงียบไป ฉันกับเจ็ทพาเขามานอนที่เตียงจากนั้นก็ลงไปดูยัยจินต่อ สภาพยัยจินดูไม่เป็นท่าเจ็ทเลยพายัยจินกลับก่อนเพราะกลัวว่ายัยจินจะลุกขึ้นมาโวยวายอีกเมื่อเจ็ทกับจินกลับกันไปแล้วฉันจึงขึ้นไปดูคุณศรันย์ เมื่อฉันเดินขึ้นมาถึงห้อง ภาพที่ฉันเห็นคือเขานอนขดตัวเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ฉันจึงเผลอยิ้มออกมาด้วยความน่ารักของเขา ฉันไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเห็นภาพแบบนี้มาก่อน เพราะอย่างที่รู้กัน เขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ท่าทางน่ากลัวน่าเกรงขาม ใครจะคิดว่าคนแบบนี้พอเมาแล้วจะน่ารักขนาดนี้ ฉันเดินไปหย
เมื่อเราได้ร่ำลาพี่มีนาเสร็จแล้วเราสองคนก็เดินทางกลับกรุงเทพฯทันที เมื่อมาถึงเราก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนเมื่อฉันเปิดประตูห้องได้ก็รีบทิ้งตัวลงบนที่นอนทันที ราวกับคนที่เหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงและไม่อยากขยับตัวทำอะไรทั้งนั้น ฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กริ๊งงงงงงงง!!!! สายเรียกเข้านั้นเป็นของเพื่อนรักหมายเลข1ฉันจึงรีบกดรับสายทันที "ฮัลโหล ฉันรู้ว่าแกกลับมาจากเชียงใหม่แล้ว ฉันกับเจ็ทกำลังไปหาแก ตอนที่แกไม่อยู่เจ็ทมันบ่นคิดถึงแกมากจนฉันรำคาญเลยต้องพามันมาหาแก อีก10นาทีเจอกันฉันใกล้จะถึงบ้านแกแล้ว" แล้วนางก็กดวางสายไปโดยที่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเหมือนเคย 10นาทีผ่านไปจินกับเจ็ทก็มาถึง เมื่อทั้งสองเห็นฉันจึงรีบวิ่งเข้ามากอดทันที ในขณะที่เราสามคนกำลังกอดกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงตะโกนมาจากข้างบนชั้นสองว่า "ทำอะไรกันหน่ะ! เอะอะโวยวายเสียงดังน่ารำคาญ แล้วนี่อะไร มายืนกอดกันอย่างกับไม่เจอกันเป็น10ปี แล้วนายหน่ะกล้าดียังไงมากอดภรรยาของคนอื่นเค้าห๊ะ!" เสียงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณเจ้าของบ้าน เมื่อเขาพูดจบก็รีบวิ่งลงมาแล้วผลักเจ็ทกระเด็นออกไปทันที แล้
หลังจากที่ผมได้เจอกับมีนาอีกครั้งผมตั้งใจว่าวันนี้จะลาเธอครั้งสุดท้ายแล้วกลับกรุงเทพฯ แต่ว่าคุณยายของมาริสาท่านขอให้เราอยู่ต่อและผมคิดว่าผมควรจะให้เธออยู่ต่อเพื่อเป็นการขอบคุณเธอที่พาผมมาที่นี่ ตอนแรกเธอจะให้ผมกลับไปก่อนแล้วเธอจะตามไปทีหลังแต่เพราะว่ามีบางอย่างกวนใจผมอยู่ผมจึงไม่อยากให้เธออยู่ที่คนเดียว บางอย่างที่ว่าก็คือพี่ชายข้างบ้านที่ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆเธอจนผมรู้สึกรำคาญวันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส เธอจึงชวนผมไปเที่ยวถ่ายรูปด้วยกัน ผมก็ไม่ได้อยากไปสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่อยากให้เธอต้องไปเพียงลำพังจึงยอมไปเป็นเพื่อนเธอ เมื่อมาถึงที่หมายเธอก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ เหมือนเด็กน้อยที่พ่อพามาเที่ยวไม่มีผิด ผมเห็นท่าทีของเธอแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไมผมจึงหุบยิ้มไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เธอหันมา นี่เป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายปีของผมมันจึงทำให้รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน ผมเฝ้ามองเธออยู่ไม่ไกล เธอวิ่งเล่นไปมาจนเริ่มหมดแรง เธอจึงชวนผมหาที่นั่งพักทานอาหารกลางวันกัน เราเดินไปเจอที่ๆหนึ่งใกล้ธารน้ำจึงตัดสินใจนั่งพักกันที่นั่น เธอถามผมว่าจะทานอะไร ผมจึงบอกไปว่าขอกาแฟแก้วเดียวก็พอแต่
เมื่อผมได้รับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการที่มีนาหายตัวไป ผมยอมรับว่าผมเสียใจเป็นอย่างมากมันเหมือนโลกที่พังทลายไปแล้วพังซ้ำอีกจนไม่เหลืออะไรเลย ขาสองข้างไร้เรี่ยวแรงที่จะยืน ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจมาหลายปีก็ระเบิดออก นานแล้วที่ผมไม่ได้ร้องไห้จนเหมือนคนเสียสติขนาดนี้ ผมร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สนใจใคร แต่เพราะมีอ้อมแขนที่อบอุ่นมาโอบกอดผมไว้จึงทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ และเพราะคำพูดสั้นๆที่บอกให้ผมร้องไห้ออกมามันทำให้ผมกล้าที่จะปลดปล่อยความทุกข์ ความเศร้า ความเจ็บปวดและทรมานออกมาจนหมด ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้เธอคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ชอบเธอเลยด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นเพราะจริงๆแล้วในตอนนั้นผมแค่โกรธคนอีกคนและพาลมาลงที่เธอเพียงเพราะเธอเหมือนใครคนนั้น เธอชวนผมให้ไปหามีนาที่เชียงใหม่ ตอนแรกผมก็ทำใจลำบากเพราะรู้ว่ามีนาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ผมจำเป็นต้องไปเพื่อขอโทษเธอด้วยตัวเอง ขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไปและโกรธแค้นเธอทั้งที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย เมื่อมาถึงที่เชียงใหม่เราก็ไปพักค้างคืนที่บ้านของมาริสา ในระหว่างที่เธอเอาของไปเก็บผมก็เดินเล่นรอบๆบ้านแ
หลังจากที่ฉันพาเขามาเจอพี่มีนาและคืนของทุกอย่างให้กับเขา เราก็จะเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯแต่ยายของฉันท่านขอร้องให้เราอยู่กันต่ออีกหนึ่งวันเพราะท่านคิดถึงฉันมากและฉันเองก็อยากอยู่ต่อด้วย ฉันจึงบอกให้เขากลับไปก่อนแล้วฉันจะตามกลับไปทีหลังแต่เขาไม่ยอมกลับคนเดียวเราจึงต้องอยู่ที่นี่กันต่ออีกหนึ่งวัน วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสไร้เมฆหมอกจึงทำให้เหมาะแก่การเที่ยวถ่ายรูปเป็นอย่างมาก ฉันจึงชวนเขาออกไปเที่ยวถ่ายรูปด้วยกันเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ทีแรกเขาก็ไม่ยอมไปแต่ฉันคะยั้นคะยอจนเขายอมไปด้วย ที่ๆเราจะไปเป็นภูเขาที่มีธารน้ำจากน้ำตกไหลผ่านและถ้าเดินขึ้นไปบนยอดน้ำตกก็จะมองเห็นวิวที่สวยงามมาก ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยวจึงร่าเริงเป็นพิเศษ เมื่อมาถึงที่หมายฉันก็กระโดดโลดเต้นและซุกซนเหมือนเด็กๆ ฉันหันไปมองเขาที่เดินตามหลังมา เขาแอบยิ้มเล็กน้อยที่เห็นท่าทีของฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขายิ้มออกมา ในที่สุดความเศร้าและความเจ็บปวดที่มีในใจเขามันก็ได้บรรเทาลง แม้มันจะเล็กน้อย ฉันวิ่งไปทั่วป่าเพื่อที่จะถ่ายรูปต้นไม้ ดอกไม้ ธารน้ำและสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในป่า ในขณะที่ฉันถ่ายรูปอยู่เพลินๆและฉัน