"ในชีวิตของคนเราจะมีสักกี่ครั้งที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตนรัก เมื่อโอกาสนั้นมาถึงจงรีบคว้าไว้อย่าให้หลุดมือไป เพราะสุดท้ายเราจะมานั่งเสียใจในภายหลัง"
หนึ่งวันหลังจากที่ฉันไม่ผ่านการสัมภาษณ์งานที่บริษัทเดอะวัน ฉันก็เตรียมเก็บข้าวของเพื่อที่จะกลับเชียงใหม่ไปอยู่กับแม่ (กริ๊งงงงง...สายเรียกเข้าจากเพื่อนรักหมายเลข1) "ฮัลโหล! นี่แกอยู่ที่ไหน อยู่บ้านใช่ไหมเดี๋ยวฉันรีบไปหานะ รอฉันก่อนนะอย่าเพิ่งรีบหนีไปไหนล่ะ" ฉันกดรับสายก็จริงอยู่แต่ฉันยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไรสักคำเพื่อนรักของฉันคนนี้ก็รีบวางสายทันทีที่พูดจบ ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมฉันพิมพ์ชื่อเพื่อนคนนี้ว่าเพื่อนรักหมายเลข1 จริงๆแล้วฉันไม่ได้พิมพ์เองหรอกนะ เพื่อนของฉันเขาเป็นคนพิมพ์น่ะ เธอมีชื่อว่าจิน หรือจินตนา อาชีพคือนักข่าว เพราะชอบเผือกเรื่องของชาวบ้านเลยรักในอาชีพนี้ ครอบครัวจินเป็นหมอกันทั้งบ้านรวมถึง เจ็ท หรือเจตริน น้องชายฝาแฝดของจิน 2คนนี้คือเพื่อนรักของฉัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครคือเพื่อนรักหมายเลข2 จินกับเจ็ทถึงจะเป็นฝาแฝดกันแต่นิสัยต่างกันสุดขั้ว จินจะเป็นคนอารมณ์ร้อนชอบใช้กำลังในการแก้ปัญหา ส่วนเจ็ทจะเป็นคนใจเย็นทำอะไรมีสติอยู่เสมอ และที่สำคัญคอยห้ามและเก็บกวาดเรื่องที่จินทำด้วย แต่มีอยู่สองสิ่งที่สองคนนี้เหมือนกันนั่นคือ ความฉลาดรอบรู้และหน้าตาดีทั้งคู่ ถึงแม้เรื่องอื่นเจ็ทจะเป็นฝ่ายยอมจินมาตลอด แต่กับเรื่องความเก่งและฉลาดสองคนนี้ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ หลังจากที่จินวางสายไปได้ไม่ถึง1นาที (กริ๊งงงงงสายเรียกเข้าจากเพื่อนรักหมายเลข2) "ฮัลโหล! จริงหรือเปล่าที่แกจะต้องกลับเชียงใหม่น่ะ ตอนนี้ฉันออกเวรแล้วเดี๋ยวจะรีบไปหาแกนะ" พอพูดจบเจ็ทก็กดวางสาย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันรับสายแล้วยังไม่ทันได้พูดสักคำ บางทีฉันก็สงสัยนะว่าสองพี่น้องนี้ทำไมไม่มาพร้อมกันแล้วโทรหาฉันทีเดียว จะผลัดกันโทรมาเพื่อ??? แต่ฉันก็ดีใจนะที่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่ามีคนคอยเป็นห่วงฉันอยู่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เวลาผ่านไป5นาทีทั้งสองคนก็มาถึงพร้อมกับของกินเต็มไม้เต็มมือ เรา3คนนั่งทานอาหารด้วยกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรสักคำต่างคนต่างกินไปพลางมองหน้ากันไปพลาง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วจู่ๆเรา3คนก็สะดุ้งเพราะได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของฉัน ("กริ๊งงงงงสายเรียกเข้าจากเบอร์ไม่รู้จัก) ฉันจึงรีบรับสายทันทีเพราะในใจยังหวังว่าต้องเป็นบริษัทใดบริษัทหนึ่งใน30บริษัทที่ฉันไปสมัครงานไว้แล้วเขาโทรมาตามให้ฉันให้ไปทำงานแน่ "ฮัลโหลสวัสดีค่ะ" เสียงปลายสายที่ตอบกลับมานั้นเป็นเสียงของผู้ชายที่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและสุภาพ "สวัสดีครับ คุณมาริสาใช่ไหมครับ ผมโทรจากบริษัทเดอะวันนะครับ ผมเป็นเลขาของประธานศรันย์ ชื่อกวินครับ พอดีว่าท่านประธานอยากจะพบคุณเป็นการส่วนตัวน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณมาริสาสะดวกเข้ามาที่บริษัทวันนี้หรือไม่ครับ" ฉันที่กำลังอึ้งกับคนปลายสายจนลืมตอบกลับจนจินต้องสะกิดเรียกสติของฉัน "คะ? ท่านประธานเรียกฉันไปทำไมคะ ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ ทำไมต้องเรียกฉันไปพบด้วย" เสียงปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพว่า "เอาไว้คุณมาถึงก็จะรู้เองครับ ไม่ทราบว่าคุณจะมาหรือไม่ครับ ผมจะได้เตรียมรถไปรับคุณครับ" ฉันรีบตอบกลับในทันที "ไม่ต้องค่ะ! เดี๋ยวฉันเดินทางไปเองค่ะ" จากนั้นฉันก็กดวางสายไป เพื่อนทั้งสองคนของฉันจ้องหน้าฉันด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบใจจดใจจ่อแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามฉันตรงๆฉันจึงเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง และแน่นอนว่าจินหัวเสียอย่างมาก แต่ที่ทำเอาฉันกับจินแปลกใจนั่นคือ สีหน้าที่โมโหแบบสุดๆของเจ็ทในตอนนี้ เพราะปกติเจ็ทจะเป็นคนนิ่งๆและเก็บอาการได้ดีเสมอ แต่ครั้งนี้เจ็ทถึงกับเดือดมากและชวนฉันบุกไปเดอะวันเพื่อที่จะไปเอาเรื่องประทานบริษัท เมื่อมาถึงบริษัทเดอะวัน เจ็ทก็ตรงดิ่งเข้าไปในบริษัททันทีด้วยท่าทีที่โกรธจนควันออกหู ฉันกับจินจึงต้องรีบวิ่งเข้าไปห้ามเจ็ทเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น "ฉันเข้าใจที่แกโกรธ แต่ตอนนี้แกช่วยใจเย็นๆก่อนได้ไหม ทำอะไรวู่วามไปเดี๋ยวก็เป็นเรื่องใหญ่โตหรอก ในฐานะที่ฉันเป็นพี่สาวแสนดีฉันขอสั่งแกว่าให้แกไปนั่งรอที่ล็อบบี้ตรงนั้นกับฉันเดี๋ยวนี้!" จินพูดกับเจ็ทและถึงแม้เจ็ทจะโกรธมากเพียงใดแต่คำสั่งของจินคือเด็ดขาด เพราะถ้าเจ็ทไม่ทำตามล่ะก็เจ็ทเองนั่นแหละที่จะเจ็บตัว หลังจากที่จินพาเจ็ทไปนั่งสงบสติอารมณ์ จู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินตรงมาที่ฉัน ชายคนนั้นท่าทางสุภาพเรียบร้อย หน้าตาก็ดีกิริยาท่าทางก็ดีผิดกับอีตาประธานนั่นสุดๆ "คุณมาริสาใช่มั้ยครับ ผมกวิน เลขาท่านประธานครับ เชิญคุณมาริสาตามผมมาทางนี้ครับ" พูดจบชายคนนั้นก็ผายมือไปทางลิฟท์ "นี่เราจะไปหาท่านประธานกันใช่ไหมคะ แล้วทำไมถึงให้ฉันไปคนเดียวหล่ะคะ ฉันพาเพื่อนไปด้วยไม่ได้หรือคะ?" เมื่อฉันพูดจบเขารีบตอบแบบทันควัน "ไม่ได้หรอกครับ ท่านประธานชอบความเป็นส่วนตัวน่ะครับ หากคุณพาเพื่อนๆไปด้วย ผมเกรงว่าท่านจะไม่พอใจเอานะครับ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแล้วหันมายิ้มให้กับฉันเพื่อให้ฉันรู้สึกไม่ประหม่า เมื่อลิฟท์มาจอดอยู่ที่ชั้น20 เขาก็หันมาพูดกับฉันว่า "ถึงแล้วครับ เดี๋ยวคุณเดินตรงไปเรื่อยๆนะครับแล้วคุณจะพบกับห้องท่านประธานครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ" เมื่อเขาพูดจบก็หันมายิ้มให้กับฉันเหมือนสื่อความหมายว่าขอให้โชคดีอะไรทำนองนั้น ฉันเดินตรงมาตามที่คุณเลขานั่นบอกก็พบกับห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่งฉันมั่นใจว่าน่าจะใช่ห้องประธานแน่ๆ เพราะทั้งชั้นนี้มีแค่ห้องนี้ห้องเดียวเท่านั้น ฉันเดินไปเคาะประตูเพื่อส่งสัญญานว่าฉันมาแล้วและฉันก็เปิดประตูนั้นเข้าไปด้วยความกล้าๆกลัวๆ ชายคนนั้นนั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน ใบหน้านั้นทำเอาฉันกลัวจนบอกไม่ถูก เสียงที่เย็นยะเยือกเอ่ยขึ้น "นั่งก่อนสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ" ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าเขาด้วยความสั่นกลัวแล้วเค้าก็ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งมาให้ฉันพร้อมกับพูดว่า "นี่เป็นเอกสารสัญญาการว่าจ้าง อย่าเพิ่งดีใจไปฉันไม่ได้ให้เธอมาเป็นพนักงานที่นี่หรอกนะ แต่ฉันจะให้เธอทำงานพิเศษให้ฉัน ลองอ่านข้อเสนอของฉันดูแล้วค่อยให้คำตอบฉันวันพรุ่งนี้ก็ได้" ฉันนั่งอ่านเอกสารด้วยความตื่นเต้น เพราะถ้าหากฉันมีงานทำฉันก็จะมีเงินมาใช้หนี้ของพ่อ และแม่ก็จะได้ไม่ต้องลำบาก ในขณะที่ฉันกำลังตั้งใจอ่านเอกสารอยู่นั้นฉันก็ต้องตกใจกับรายละเอียดในสัญญาฉบับนั้น รายละเอียดคือหากฉันตกลงรับงานนี้ ฉันจะได้เงินเดือนละ300,000บาท ไม่รวมโบนัสพิเศษและจะชดใช้หนี้ทั้งหมดให้ สัญญาจ้างนี้มีอายุสัญญา3เดือน จากนั้นทุกอย่างจะถือว่ายุติลง แต่งานที่ฉันต้องทำคือ "แต่งงาน!! นี่คุณจะบ้าหรือเปล่า! จะให้ฉันแต่งงานกับคุณได้ยังไงในเมื่อคุณกับฉันเราไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกันขนาดนั้น และเราก็ไม่ได้รักกันด้วย อีกอย่างนะคะฉันอยากทำงานก็จริง แต่ต้องเป็นงานที่ฉันสมัครสิ ไม่ใช่งานแบบนี้ เพราะฉันไม่ได้มาขายตัวแลกเงิน ถึงแม้ว่าฉันอยากได้เงินมาใช้หนี้ให้พ่อก็จริงแต่เรื่องแต่งงานนี่มันคนละเรื่องกันค่ะ ถ้าหมดธุระแล้วฉันขอตัวนะคะ" ยอมรับว่าในตอนนั้นฉันโกรธมากและคิดว่าหากฉันอยู่นานกว่านี้ฉันคงเผลอต่อยปากผู้ชายคนนี้เป็นแน่ "นี่เธอ อย่าเข้าใจฉันผิดสิ ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวเธอเลยสักนิด แต่ฉันอยากให้เธอได้รู้ไว้อย่างนะว่าการที่ฉันจ้างเธอให้มาแกล้งแต่งงานกับฉันนั้น เพียงเพราะฉันแค่อยากได้มรดกของปู่และฉันยังช่วยปลดหนี้ให้ครอบครัวเธออีกด้วย เธอควรจะขอบใจฉันสิ ไม่ใช่ทำตัวจองหองกับฉันแบบนี้ และอีกอย่างเมื่อครบ3เดือนทุกอย่างก็ถือว่ายุติลง และในเวลา3เดือนที่เราแต่งงานกันนั้นฉันก็ระบุไว้ชัดเจนว่าต่างคนต่างอยู่จะไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน แต่จะแสดงเป็นคู่รักกันต่อหน้าคุณปู่ของฉันเท่านั้น เธอเป็นคนพูดเองนี่ว่าอยากทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ พิสูจน์มาสิว่าฉันนั้นมองเธอผิดไป เธอน่ะไม่ได้เป็นแบบที่ฉันคิด ลองกลับไปคิดดูให้ดีนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะรอฟังคำตอบ" เมื่อเขาพูดจบฉันก็รีบเดินออกจากห้องนั้นทันทีและรีบตรงไปหาเพื่อนๆของฉันแต่ฉันไม่ได้เล่าอะไรให้พวกเขาฟังเลยแม้แต่น้อยเพราะกลัวว่าเพื่อนๆจะเป็นห่วง ฉันโกหกไปว่าเขาเรียกไปให้เงินปลอบขวัญที่เมื่อวานเขาขับรถจะชนฉัน ฉันคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายครั้งจนในที่สุดฉันก็ตัดสินใจได้ว่า... ...โปรดติดตามตอนต่อไป...หลังจากที่อีตาประธานนั่นยื่นสัญญาฉบับนั้นให้ฉันดู ฉันก็ได้แต่คิดวกไปวนมาเกี่ยวกับเงื่อนไขในสัญญานั้น ในสมองของฉันมันแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกฉันว่าอย่าทำเพราะคนเราจะแต่งงานกันได้มันต้องเกิดจากความรัก อีกฝ่ายหนึ่งบอกฉันว่าถ้าฉันตกลงหนี้ของพ่อทั้งหมดก็จะถูกชดใช้จนหมดและแม่ก็ไม่ต้องลำบากหาเงินเพียงคนเดียวเพื่อใช้หนี้ที่พ่อก่อขึ้น และอีกอย่างเราไม่ได้แต่งงานกันจริงๆเสียหน่อยเป็นแค่การแสดงเท่านั้นและอายุสัญญาก็แค่3เดือนเองหลังจากนั้นต่างคนต่างไป ในสมองของฉันตีกันจนวุ่นวายไปหมดจนฉันต้องตัดสินใจอะไรสักอย่างและฉันก็ตัดสินใจว่าฉันจะรับข้อเสนอนั้นโดยฉันจะเพิ่มเงื่อนไขลงไปใหม่เพื่อให้เกิดความเสมอภาคกันทั้งสองฝ่าย ฉันใช้เวลาในการร่างเงื่อนไขสัญญาอยู่พักใหญ่จากนั้นฉันจึงกดเบอร์โทรหาเลขาอีตาประธานนั่นเพื่อขอเจรจา "สวัสดีค่ะ ฉันมาริสาค่ะ ฉันจะขอเพิ่มเงื่อนไขในสัญญาสักหน่อยเพื่อให้เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย หากไม่ขัดข้องอีกสักครู่ฉันจะเอาสัญญาเข้าไปให้ค่ะ" เมื่อฉันพูดจบเสียงปลายสายก็ตอบกลับมาว่า "ท่านประธานกำลังรอคุณมาริสาอยู่เลยครับ ท่านบอกว่าไม่ขัดข้องอะไรที่จะเพิ่มเงื่อนไขในสัญญาครับ ท่านยังบอกอีกว
หลังจากที่เราได้เซ็นตกลงสัญญากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็ได้เวลาเปิดม่านแสดงละครฉากใหญ่โดยที่อีตาประธานนั่นเป็นคนเขียนบทละครนี้และฉันมีหน้าที่ต้องแสดงให้ดีที่สุด ฉันตัดสินใจเล่าให้จินกับเจ็ทฟังเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น แน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นโกรธมากแต่พวกเขาก็เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของฉัน ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่สองคนนี้คงมองว่าฉันเห็นแก่เงิน ไม่มีศักดิ์ศรียอมเอาตัวเองไปแลกเพื่อที่จะให้ได้เงินมา แต่เพราะเป็นสองคนนี้ที่เข้าใจและรู้ถึงเจตนาของฉันเป็นอย่างดี ฉันจึงอุ่นใจที่มีสองคนนี้เป็นเพื่อน เพราะไม่ว่ายังไงสองคนนี้ก็จะอยู่เคียงข้างฉันเสมอ หนึ่งวันหลังจากเซ็นสัญญาอีตานั่นก็ซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับเชียงใหม่ทันทีและลากฉันไปด้วยเพื่อที่จะไปคุยกับแม่และยายของฉัน เมื่อมาถึงเชียงใหม่เราสองคนก็ตรงไปยังบ้านฉันทันทีในระหว่างที่เดินทางนั้นฉันได้แต่คิดในใจว่าจะบอกแม่กับยายยังไงดีไม่ให้ท่านทั้งสองตกใจ เพราะฉันไม่เคยบอกเรื่องแฟนกับพวกท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียวแต่จู่ๆก็พาผู้ชายมาบ้านแถมยังมาบอกเรื่องแต่งงานอีกท่านทั้งสองไม่ช็อคก็ให้มันรู้ไป เราใช้เวลาเดินทางไม่นานนักจากสนามบินมาที่บ
หลังจากที่ทานอาหารกับแม่และยายเสร็จแล้วเราก็ต้องรีบกลับทันที ถึงแม้ว่ายายฉันจะขอร้องให้อยู่ต่ออีกนิดแต่อีตาบ้านั่นก็ปฏิเสธเสียงแข็งในทันที ในขณะที่ฉันกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถก็มีเสียงตะโกนเรียกมาจากที่ไกลๆ "ริสาเดี๋ยวก่อน! รอพี่ก่อน!" ฉันจึงหันไปมองตามเสียงเรียกนั้น จู่ๆก็มีร่างของผู้ชายคนหนึ่งกระโจนเข้ามากอดฉัน อ้อมกอดที่อบอุ่นและอ่อนโยนแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่หมอก รักแรกและรักเดียวของฉันแต่ฉันก็รู้ว่าเขาคิดกับฉันเป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น เขาจึงอยู่ในฐานะพี่ชายที่แสนดีของฉัน "พี่นึกว่าจะไม่ใช่ริสาแล้วเสียอีก นึกว่าทักคนผิด เพราะริสาของพี่โตขึ้นมากและก็สวยมากด้วย" พอพี่หมากพูดจบประโยคก็มีมือมากระชากแขนฉันจนถอยห่างจากพี่หมอก มือนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอีตาประธานนั่น "ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครและกล้าดียังมากอดว่าที่ภรรยาของชาวบ้านเขากันน่ะครับ" โอ้พระเจ้า! น้ำเสียงที่เย็นชาและเชือดเฉือนอารมณ์นี่มันอะไรกัน ถ้าหากว่าเราเป็นคนรักกันจริงๆฉันคงคิดว่าเขาคงจะหึงฉันเป็นแน่ แต่เพราะนี่คือการแสดงฉันเลยไม่รู้สึกอะไร "ต้องขอโทษด้วยครับ ผมเป็นพี่ชายของริสานะครับชื่อเมฆา แต่จะเรียกหมอก
เมื่อพิธีการและงานเลี้ยงจบลงก็ได้เวลาที่ต้องส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ถึงจะถือว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ ในห้องมีผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายที่มาร่วมเป็นสักขีพยานและอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว ฉันเพิ่งสังเกตเห็นหน้าคุณปู่ของหมอนั่น ใบหน้าท่านดูยิ้มแย้มและใจดี ท่านดูดีอกดีใจและพูดคุยกับคุณยายฉันอย่างเป็นกันเอง เมื่อคุณปู่และคุณยายอวยพรเสร็จก็ถึงทีแม่ของฉันที่ต้องมาอวยพร แม่เอื้อมมือมาจับมือเราทั้งสองแล้วพูดว่า “แม่ไม่มีพรใดจะให้แก่ลูกทั้งสอง แต่แม่อยากให้ลูกทั้งสองรักและเข้าใจกันให้มากๆ ดูแลซึ่งกันและกัน เชื่อใจกันและกัน มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆอย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหานะลูก” แม่พูดด้วยเสียงสั่นคลอพร้อมกับน้ำตาคลอๆทำให้ฉันจะร้องไห้ตาม เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายกลับกันไปหมดแล้วก็เหลือแค่ฉันกับหมอนั่นสองคน บรรยากาศในห้องช่างอึดอัดและเงียบสงัด ท่ามกลางความเงียบนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เธอจะถอดชุดก่อนไหม ฉันเห็นแล้วอึดอัดแทน” ฉันรีบตอบกลับแบบทันควันด้วยความตกใจ “ไอ้ลามก! อยู่ๆจะมาให้ฉันถอดเสื้อผ้าทำไม นี่คุณอย่าลืมสิว่าเราแต่งงานกันแบบหลอกๆนะคุณจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” เขาหันมามองฉันและค่อยๆคลานขึ้นมาบน
"คนเราไม่อาจรู้ชะตาชีวิตล่วงหน้าได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เราทำได้แค่ยอมรับมันเท่านั้น" ตัวฉันเองก็เช่นกัน ในเมื่อตัดสินใจแล้วฉันก็จะทำให้เต็มที่!(เสียงโฆษณาในทีวี) “บริษัทของเราเป็นที่1 ทางด้านเทคโนโลยี เราจะไม่หยุดพัฒนาศักยภาพ เพื่อที่ผู้ใช้งานจะต้องได้ใช้งานเทคโนโลยีที่ดีที่สุด” (โฆษณาบริษัท เดอะวัน คอปอเรชั่น จำกัด) บริษัทแนวหน้าของไทยที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสุดๆ และนั่นคือบริษัทที่ 30 ที่ฉันไปสมัครงานวันนี้ ฉันค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนี้มาค่อนข้างดีและมีสิ่งหนึ่งที่ฉันสนใจ นั่นคือ ข่าวลือที่ว่า ประธานบริษัทนี้นั้น เป็นคนเย็นชา ปากร้าย เจ้าระเบียบ และเป็นคนเลือดเย็นสุดๆ ว่ากันว่า เขาไล่พนักงานออกเพียงเพราะพนักงานคนนั้นไม่ติดบัตรพนักงาน แต่นั่นมันก็แค่ข่าวลือ ฉันเป็นพวกที่ไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นและเจอกับตัวเอง ฉันขึ้นรถโดยสารประจำทางเพื่อที่จะไปสมัครงานที่บริษัทนั้นแต่ระหว่างทางเกิดมีอุบัติเหตุขึ้น ทำให้การจราจรติดขัดรถไม่สามารถเดินหน้าได้ ฉันจึงตัดสินใจวิ่งลงจากรถเพื่อที่จะวิ่งไปบริษัทเดอะวัน ในขณะที่ฉันกำลังวิ่งข้ามถนนอยู่นั้น จู่ๆก็มีรถเก๋งสีดำดูหรูหราและราคาแพงพุ่งตรงมาทางฉ
มีคำกล่าวที่ว่า..."โชคชะตามักจะเล่นตลกกับเราเสมอ"ฉันคิดว่าคำกล่าวนี้คือเรื่องจริง สิ่งที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้คือเรื่องของความซวยล้วนๆ ของผู้หญิงที่ชื่อมาริสา คนนี้ สถานการณ์ในตอนนี้คือ มีไอ้บ้าที่หน้าตาดีมากๆขับรถมาเกือบจะชนฉันแล้วยังจะมาไล่ให้ฉันไปตายอีก! คุณพระคุณเจ้าเกิดมาฉันเพิ่งจะเคยพบเคยเจอผู้ชายที่ปากร้ายขัดกับหน้าตาสุดๆ วินาทีนั้นทำเอาฉันอึ้งไปเลย พอได้สติฉันก็รีบลุกขึ้นมาด่าผู้ชายคนนั้นทัน "นี่คุณ! คุณขับรถเกือบจะชนคนแล้วนะคะ แทนที่จะพูดขอโทษแต่คุณกลับมาไล่ให้ฉันไปตาย ถามจริงเหอะคุณ ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทบ้างหรือคะ ทำผิดก็ควรจะขอโทษสิคะ" ชายคนนั้นหันมาพร้อมกับใบหน้าที่เย็นชาพร้อมกับถ้อยคำที่เย็นชาไม่แพ้กัน "ถ้าอยากได้เงิน ไม่เห็นต้องโวยวายแบบนี้เลย เธออยากได้เท่าไร ฉันจะให้เธอเอง ได้เงินแล้วก็รีบไสหัวไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีก" พอพูดจบชายคนนั้นก็หยิบเงินจากในกระเป๋าสตางค์ออกมาเป็นแบงค์พันจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วขว้างมาใส่หน้าฉัน ในตอนนั้นเอง สติของฉันที่มีก็หลุดหายไปอีกครั้งพร้อมกับคำด่ามากมายนับไม่ถ้วนที่พ่นออกไปราวกับพ่นไฟ แต่ชายคนนั้นก็ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ยังค
“ทุกคนย่อมมีสิ่งที่ตนเองนั้นกลัวอยู่ในใจ แต่ถ้าวันใดเรากล้าเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น เราก็จะสามารถข้ามผ่านมันไปได้”ทันทีที่ประตูห้องประชุมเปิดขึ้น สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้ทำให้ร่างกายของฉันนั้นชาไปทุกส่วน เม็ดเหงื่อเป็นล้านๆเม็ดผุดขึ้นทั่วร่างกาย สายตาที่เย็นชาและดุดันจ้องมองมาที่ฉันพร้อมกับใบหน้าที่แสยะยิ้มชวนสยอง ทำให้ฉันขนหัวลุกราวกับเจอผี วินาทีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวไปในพริบตา หากนี่คือหนังเรื่องหนึ่ง ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้คือหนังสยองขวัญที่แท้จริง เสียงในใจของฉันมันได้แต่ร้องตะโกนว่า “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!!! ทำไมไอ้บ้านั่นมาอยู่ที่นี่ได้แล้วแถมยังเป็นประธานบริษัทนี้อีก” ท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องนั้นจู่ๆก็มีสียงที่ฟังแล้วชวนขนลุกพูดขึ้นมาว่า “นี่เธอน่ะ! ตามฉันมาถึงที่นี่เลยหรือ สงสัยเงินที่ฉันให้ไปคงไม่พอสินะ ถึงได้อวดดีปาใส่หน้าฉัน แล้วที่ตามฉันมาถึงที่นี่คงเพราะอยากจะได้เงินเพิ่มล่ะสิ คราวนี้อยากได้เท่าไหร่ล่ะบอกฉันมาฉันจะเขียนเช็คให้ พอได้แล้วก็รีบไสหัวไปให้ไกลๆหน้าฉันซะ อย่าให้ฉันต้องพูดอีกเป็นครั้งที่ 3” คำพูดนั้นทำเอาฉันอึ้งไปชั่วขณะ ในตอนนี้ในสมองอั
"ทุกเรื่องราวย่อมมีจุดเริ่มต้น และเมื่อเรื่องราวนั้นได้เริ่มขึ้น ก็ย่อมมีจุดจบเสมอ เพื่อที่จะเริ่มเรื่องราวบทใหม่ หรือจบเรื่องไว้เพียงเท่านั้น"ผมชื่อ ศรันย์ วิวัฒนพันธ์ อายุ 35 ปี เป็นประธารบริษัท เดอะวัน คอปอเรชั่น จำกัด รุ่นที่ 3 บริษัทนี้ถูกก่อตั้งโดยประธานรุ่นที่1 นั่นคือปู่ของผมเอง ปู่ตั้งใจว่าจะยกบริษัทนี้ให้กับพ่อของผม แต่ว่าดันเกิดปัญหาขึ้นเสียก่อน มันเป็นปัญหาที่เริ่มมาจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจริงๆแล้วผมต้องเรียกเธอว่า “แม่” แต่ทว่า เธอนั้นไม่เคยเห็นผมเป็นลูกของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอเห็นผมเป็นเพียงเครื่องมือที่จะใช้ต่อรองกับพ่อและปู่เท่านั้น เพราะผมคือลูกชายและหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูล วิวัฒนพันธ์ คุณปู่ของผมจึงทำข้อตกลงกับเธอด้วยการที่ขายผมให้กับตระกูลนี้ และเธอก็ต้องหายไปจากชีวิตของผมและพ่อตลอดไป เธอรับข้อเสนอนั้นพร้อมเงินก้อนใหญ่แล้วจากผมไป ก่อน ที่เธอจะหันหลังเดินจากไปเธอพูดกับผมว่า “ฉันไม่เสียใจที่ทิ้งแกให้อยู่กับคนพวกนี้เลยสักนิด เพราะแกเป็นตัวทำเงินให้กับฉัน จากนี้ไปแกก็ใช้ชีวิตให้ดีๆล่ะ” พูดจบเธอก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองผมเลย ไม่สนว่าผมจะร้องไห้ฟูมฟายขนาดไห
เมื่อพิธีการและงานเลี้ยงจบลงก็ได้เวลาที่ต้องส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ถึงจะถือว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ ในห้องมีผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายที่มาร่วมเป็นสักขีพยานและอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว ฉันเพิ่งสังเกตเห็นหน้าคุณปู่ของหมอนั่น ใบหน้าท่านดูยิ้มแย้มและใจดี ท่านดูดีอกดีใจและพูดคุยกับคุณยายฉันอย่างเป็นกันเอง เมื่อคุณปู่และคุณยายอวยพรเสร็จก็ถึงทีแม่ของฉันที่ต้องมาอวยพร แม่เอื้อมมือมาจับมือเราทั้งสองแล้วพูดว่า “แม่ไม่มีพรใดจะให้แก่ลูกทั้งสอง แต่แม่อยากให้ลูกทั้งสองรักและเข้าใจกันให้มากๆ ดูแลซึ่งกันและกัน เชื่อใจกันและกัน มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆอย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหานะลูก” แม่พูดด้วยเสียงสั่นคลอพร้อมกับน้ำตาคลอๆทำให้ฉันจะร้องไห้ตาม เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายกลับกันไปหมดแล้วก็เหลือแค่ฉันกับหมอนั่นสองคน บรรยากาศในห้องช่างอึดอัดและเงียบสงัด ท่ามกลางความเงียบนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เธอจะถอดชุดก่อนไหม ฉันเห็นแล้วอึดอัดแทน” ฉันรีบตอบกลับแบบทันควันด้วยความตกใจ “ไอ้ลามก! อยู่ๆจะมาให้ฉันถอดเสื้อผ้าทำไม นี่คุณอย่าลืมสิว่าเราแต่งงานกันแบบหลอกๆนะคุณจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” เขาหันมามองฉันและค่อยๆคลานขึ้นมาบน
หลังจากที่ทานอาหารกับแม่และยายเสร็จแล้วเราก็ต้องรีบกลับทันที ถึงแม้ว่ายายฉันจะขอร้องให้อยู่ต่ออีกนิดแต่อีตาบ้านั่นก็ปฏิเสธเสียงแข็งในทันที ในขณะที่ฉันกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถก็มีเสียงตะโกนเรียกมาจากที่ไกลๆ "ริสาเดี๋ยวก่อน! รอพี่ก่อน!" ฉันจึงหันไปมองตามเสียงเรียกนั้น จู่ๆก็มีร่างของผู้ชายคนหนึ่งกระโจนเข้ามากอดฉัน อ้อมกอดที่อบอุ่นและอ่อนโยนแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่หมอก รักแรกและรักเดียวของฉันแต่ฉันก็รู้ว่าเขาคิดกับฉันเป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น เขาจึงอยู่ในฐานะพี่ชายที่แสนดีของฉัน "พี่นึกว่าจะไม่ใช่ริสาแล้วเสียอีก นึกว่าทักคนผิด เพราะริสาของพี่โตขึ้นมากและก็สวยมากด้วย" พอพี่หมากพูดจบประโยคก็มีมือมากระชากแขนฉันจนถอยห่างจากพี่หมอก มือนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอีตาประธานนั่น "ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครและกล้าดียังมากอดว่าที่ภรรยาของชาวบ้านเขากันน่ะครับ" โอ้พระเจ้า! น้ำเสียงที่เย็นชาและเชือดเฉือนอารมณ์นี่มันอะไรกัน ถ้าหากว่าเราเป็นคนรักกันจริงๆฉันคงคิดว่าเขาคงจะหึงฉันเป็นแน่ แต่เพราะนี่คือการแสดงฉันเลยไม่รู้สึกอะไร "ต้องขอโทษด้วยครับ ผมเป็นพี่ชายของริสานะครับชื่อเมฆา แต่จะเรียกหมอก
หลังจากที่เราได้เซ็นตกลงสัญญากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็ได้เวลาเปิดม่านแสดงละครฉากใหญ่โดยที่อีตาประธานนั่นเป็นคนเขียนบทละครนี้และฉันมีหน้าที่ต้องแสดงให้ดีที่สุด ฉันตัดสินใจเล่าให้จินกับเจ็ทฟังเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น แน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นโกรธมากแต่พวกเขาก็เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของฉัน ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่สองคนนี้คงมองว่าฉันเห็นแก่เงิน ไม่มีศักดิ์ศรียอมเอาตัวเองไปแลกเพื่อที่จะให้ได้เงินมา แต่เพราะเป็นสองคนนี้ที่เข้าใจและรู้ถึงเจตนาของฉันเป็นอย่างดี ฉันจึงอุ่นใจที่มีสองคนนี้เป็นเพื่อน เพราะไม่ว่ายังไงสองคนนี้ก็จะอยู่เคียงข้างฉันเสมอ หนึ่งวันหลังจากเซ็นสัญญาอีตานั่นก็ซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับเชียงใหม่ทันทีและลากฉันไปด้วยเพื่อที่จะไปคุยกับแม่และยายของฉัน เมื่อมาถึงเชียงใหม่เราสองคนก็ตรงไปยังบ้านฉันทันทีในระหว่างที่เดินทางนั้นฉันได้แต่คิดในใจว่าจะบอกแม่กับยายยังไงดีไม่ให้ท่านทั้งสองตกใจ เพราะฉันไม่เคยบอกเรื่องแฟนกับพวกท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียวแต่จู่ๆก็พาผู้ชายมาบ้านแถมยังมาบอกเรื่องแต่งงานอีกท่านทั้งสองไม่ช็อคก็ให้มันรู้ไป เราใช้เวลาเดินทางไม่นานนักจากสนามบินมาที่บ
หลังจากที่อีตาประธานนั่นยื่นสัญญาฉบับนั้นให้ฉันดู ฉันก็ได้แต่คิดวกไปวนมาเกี่ยวกับเงื่อนไขในสัญญานั้น ในสมองของฉันมันแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกฉันว่าอย่าทำเพราะคนเราจะแต่งงานกันได้มันต้องเกิดจากความรัก อีกฝ่ายหนึ่งบอกฉันว่าถ้าฉันตกลงหนี้ของพ่อทั้งหมดก็จะถูกชดใช้จนหมดและแม่ก็ไม่ต้องลำบากหาเงินเพียงคนเดียวเพื่อใช้หนี้ที่พ่อก่อขึ้น และอีกอย่างเราไม่ได้แต่งงานกันจริงๆเสียหน่อยเป็นแค่การแสดงเท่านั้นและอายุสัญญาก็แค่3เดือนเองหลังจากนั้นต่างคนต่างไป ในสมองของฉันตีกันจนวุ่นวายไปหมดจนฉันต้องตัดสินใจอะไรสักอย่างและฉันก็ตัดสินใจว่าฉันจะรับข้อเสนอนั้นโดยฉันจะเพิ่มเงื่อนไขลงไปใหม่เพื่อให้เกิดความเสมอภาคกันทั้งสองฝ่าย ฉันใช้เวลาในการร่างเงื่อนไขสัญญาอยู่พักใหญ่จากนั้นฉันจึงกดเบอร์โทรหาเลขาอีตาประธานนั่นเพื่อขอเจรจา "สวัสดีค่ะ ฉันมาริสาค่ะ ฉันจะขอเพิ่มเงื่อนไขในสัญญาสักหน่อยเพื่อให้เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย หากไม่ขัดข้องอีกสักครู่ฉันจะเอาสัญญาเข้าไปให้ค่ะ" เมื่อฉันพูดจบเสียงปลายสายก็ตอบกลับมาว่า "ท่านประธานกำลังรอคุณมาริสาอยู่เลยครับ ท่านบอกว่าไม่ขัดข้องอะไรที่จะเพิ่มเงื่อนไขในสัญญาครับ ท่านยังบอกอีกว
"ในชีวิตของคนเราจะมีสักกี่ครั้งที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตนรัก เมื่อโอกาสนั้นมาถึงจงรีบคว้าไว้อย่าให้หลุดมือไป เพราะสุดท้ายเราจะมานั่งเสียใจในภายหลัง"หนึ่งวันหลังจากที่ฉันไม่ผ่านการสัมภาษณ์งานที่บริษัทเดอะวัน ฉันก็เตรียมเก็บข้าวของเพื่อที่จะกลับเชียงใหม่ไปอยู่กับแม่ (กริ๊งงงงง...สายเรียกเข้าจากเพื่อนรักหมายเลข1) "ฮัลโหล! นี่แกอยู่ที่ไหน อยู่บ้านใช่ไหมเดี๋ยวฉันรีบไปหานะ รอฉันก่อนนะอย่าเพิ่งรีบหนีไปไหนล่ะ" ฉันกดรับสายก็จริงอยู่แต่ฉันยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไรสักคำเพื่อนรักของฉันคนนี้ก็รีบวางสายทันทีที่พูดจบ ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมฉันพิมพ์ชื่อเพื่อนคนนี้ว่าเพื่อนรักหมายเลข1 จริงๆแล้วฉันไม่ได้พิมพ์เองหรอกนะ เพื่อนของฉันเขาเป็นคนพิมพ์น่ะ เธอมีชื่อว่าจิน หรือจินตนา อาชีพคือนักข่าว เพราะชอบเผือกเรื่องของชาวบ้านเลยรักในอาชีพนี้ ครอบครัวจินเป็นหมอกันทั้งบ้านรวมถึง เจ็ท หรือเจตริน น้องชายฝาแฝดของจิน 2คนนี้คือเพื่อนรักของฉัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครคือเพื่อนรักหมายเลข2 จินกับเจ็ทถึงจะเป็นฝาแฝดกันแต่นิสัยต่างกันสุดขั้ว จินจะเป็นคนอารมณ์ร้อนชอบใช้กำลังในการแก้ปัญหา ส่วนเจ็ทจะเป็นคนใจเย็นทำอะไรมีสติอยู่เสม
"ทุกเรื่องราวย่อมมีจุดเริ่มต้น และเมื่อเรื่องราวนั้นได้เริ่มขึ้น ก็ย่อมมีจุดจบเสมอ เพื่อที่จะเริ่มเรื่องราวบทใหม่ หรือจบเรื่องไว้เพียงเท่านั้น"ผมชื่อ ศรันย์ วิวัฒนพันธ์ อายุ 35 ปี เป็นประธารบริษัท เดอะวัน คอปอเรชั่น จำกัด รุ่นที่ 3 บริษัทนี้ถูกก่อตั้งโดยประธานรุ่นที่1 นั่นคือปู่ของผมเอง ปู่ตั้งใจว่าจะยกบริษัทนี้ให้กับพ่อของผม แต่ว่าดันเกิดปัญหาขึ้นเสียก่อน มันเป็นปัญหาที่เริ่มมาจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจริงๆแล้วผมต้องเรียกเธอว่า “แม่” แต่ทว่า เธอนั้นไม่เคยเห็นผมเป็นลูกของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอเห็นผมเป็นเพียงเครื่องมือที่จะใช้ต่อรองกับพ่อและปู่เท่านั้น เพราะผมคือลูกชายและหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูล วิวัฒนพันธ์ คุณปู่ของผมจึงทำข้อตกลงกับเธอด้วยการที่ขายผมให้กับตระกูลนี้ และเธอก็ต้องหายไปจากชีวิตของผมและพ่อตลอดไป เธอรับข้อเสนอนั้นพร้อมเงินก้อนใหญ่แล้วจากผมไป ก่อน ที่เธอจะหันหลังเดินจากไปเธอพูดกับผมว่า “ฉันไม่เสียใจที่ทิ้งแกให้อยู่กับคนพวกนี้เลยสักนิด เพราะแกเป็นตัวทำเงินให้กับฉัน จากนี้ไปแกก็ใช้ชีวิตให้ดีๆล่ะ” พูดจบเธอก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองผมเลย ไม่สนว่าผมจะร้องไห้ฟูมฟายขนาดไห
“ทุกคนย่อมมีสิ่งที่ตนเองนั้นกลัวอยู่ในใจ แต่ถ้าวันใดเรากล้าเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น เราก็จะสามารถข้ามผ่านมันไปได้”ทันทีที่ประตูห้องประชุมเปิดขึ้น สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้ทำให้ร่างกายของฉันนั้นชาไปทุกส่วน เม็ดเหงื่อเป็นล้านๆเม็ดผุดขึ้นทั่วร่างกาย สายตาที่เย็นชาและดุดันจ้องมองมาที่ฉันพร้อมกับใบหน้าที่แสยะยิ้มชวนสยอง ทำให้ฉันขนหัวลุกราวกับเจอผี วินาทีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวไปในพริบตา หากนี่คือหนังเรื่องหนึ่ง ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้คือหนังสยองขวัญที่แท้จริง เสียงในใจของฉันมันได้แต่ร้องตะโกนว่า “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!!! ทำไมไอ้บ้านั่นมาอยู่ที่นี่ได้แล้วแถมยังเป็นประธานบริษัทนี้อีก” ท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องนั้นจู่ๆก็มีสียงที่ฟังแล้วชวนขนลุกพูดขึ้นมาว่า “นี่เธอน่ะ! ตามฉันมาถึงที่นี่เลยหรือ สงสัยเงินที่ฉันให้ไปคงไม่พอสินะ ถึงได้อวดดีปาใส่หน้าฉัน แล้วที่ตามฉันมาถึงที่นี่คงเพราะอยากจะได้เงินเพิ่มล่ะสิ คราวนี้อยากได้เท่าไหร่ล่ะบอกฉันมาฉันจะเขียนเช็คให้ พอได้แล้วก็รีบไสหัวไปให้ไกลๆหน้าฉันซะ อย่าให้ฉันต้องพูดอีกเป็นครั้งที่ 3” คำพูดนั้นทำเอาฉันอึ้งไปชั่วขณะ ในตอนนี้ในสมองอั
มีคำกล่าวที่ว่า..."โชคชะตามักจะเล่นตลกกับเราเสมอ"ฉันคิดว่าคำกล่าวนี้คือเรื่องจริง สิ่งที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้คือเรื่องของความซวยล้วนๆ ของผู้หญิงที่ชื่อมาริสา คนนี้ สถานการณ์ในตอนนี้คือ มีไอ้บ้าที่หน้าตาดีมากๆขับรถมาเกือบจะชนฉันแล้วยังจะมาไล่ให้ฉันไปตายอีก! คุณพระคุณเจ้าเกิดมาฉันเพิ่งจะเคยพบเคยเจอผู้ชายที่ปากร้ายขัดกับหน้าตาสุดๆ วินาทีนั้นทำเอาฉันอึ้งไปเลย พอได้สติฉันก็รีบลุกขึ้นมาด่าผู้ชายคนนั้นทัน "นี่คุณ! คุณขับรถเกือบจะชนคนแล้วนะคะ แทนที่จะพูดขอโทษแต่คุณกลับมาไล่ให้ฉันไปตาย ถามจริงเหอะคุณ ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทบ้างหรือคะ ทำผิดก็ควรจะขอโทษสิคะ" ชายคนนั้นหันมาพร้อมกับใบหน้าที่เย็นชาพร้อมกับถ้อยคำที่เย็นชาไม่แพ้กัน "ถ้าอยากได้เงิน ไม่เห็นต้องโวยวายแบบนี้เลย เธออยากได้เท่าไร ฉันจะให้เธอเอง ได้เงินแล้วก็รีบไสหัวไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีก" พอพูดจบชายคนนั้นก็หยิบเงินจากในกระเป๋าสตางค์ออกมาเป็นแบงค์พันจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วขว้างมาใส่หน้าฉัน ในตอนนั้นเอง สติของฉันที่มีก็หลุดหายไปอีกครั้งพร้อมกับคำด่ามากมายนับไม่ถ้วนที่พ่นออกไปราวกับพ่นไฟ แต่ชายคนนั้นก็ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ยังค
"คนเราไม่อาจรู้ชะตาชีวิตล่วงหน้าได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เราทำได้แค่ยอมรับมันเท่านั้น" ตัวฉันเองก็เช่นกัน ในเมื่อตัดสินใจแล้วฉันก็จะทำให้เต็มที่!(เสียงโฆษณาในทีวี) “บริษัทของเราเป็นที่1 ทางด้านเทคโนโลยี เราจะไม่หยุดพัฒนาศักยภาพ เพื่อที่ผู้ใช้งานจะต้องได้ใช้งานเทคโนโลยีที่ดีที่สุด” (โฆษณาบริษัท เดอะวัน คอปอเรชั่น จำกัด) บริษัทแนวหน้าของไทยที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสุดๆ และนั่นคือบริษัทที่ 30 ที่ฉันไปสมัครงานวันนี้ ฉันค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนี้มาค่อนข้างดีและมีสิ่งหนึ่งที่ฉันสนใจ นั่นคือ ข่าวลือที่ว่า ประธานบริษัทนี้นั้น เป็นคนเย็นชา ปากร้าย เจ้าระเบียบ และเป็นคนเลือดเย็นสุดๆ ว่ากันว่า เขาไล่พนักงานออกเพียงเพราะพนักงานคนนั้นไม่ติดบัตรพนักงาน แต่นั่นมันก็แค่ข่าวลือ ฉันเป็นพวกที่ไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นและเจอกับตัวเอง ฉันขึ้นรถโดยสารประจำทางเพื่อที่จะไปสมัครงานที่บริษัทนั้นแต่ระหว่างทางเกิดมีอุบัติเหตุขึ้น ทำให้การจราจรติดขัดรถไม่สามารถเดินหน้าได้ ฉันจึงตัดสินใจวิ่งลงจากรถเพื่อที่จะวิ่งไปบริษัทเดอะวัน ในขณะที่ฉันกำลังวิ่งข้ามถนนอยู่นั้น จู่ๆก็มีรถเก๋งสีดำดูหรูหราและราคาแพงพุ่งตรงมาทางฉ