"เรื่องมีอยู่ว่า...ผู้หญิงที่ชื่อมีนาเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับทุนการศึกษาจากครอบครัวของท่านประธาน เธอเข้าเรียนมัธยมปลายที่เดียวกันกับท่านประธานและท่านประธานก็ตกหลุมรักเธอ เธอคือรักแรกของท่านประธานเพราะเธอท่านจึงมีรอยยิ้ม เพราะเธอท่านจึงได้พบกับความสุขที่แท้จริง เธอเป็นคนสดใสร่าเริง เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่ง เป็นคนมีเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนให้หลงรักเธอ ทั้งสองคนเริ่มคบหากันก่อนจะจบม.ปลายและทั้งคู่ก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันและวางแผนกันว่าถ้าเรียนจบแล้วจะแต่งงานกัน แต่การที่ทั้งคู่รักกันนี้ท่านประธานใหญ่หรือคุณปู่ของท่านประธานนั้นท่านคัดค้านหัวชนฝาและกีดกันความรักของทั้งสองมาตลอดเพราะท่านคิดว่าคุณมีนาจะมาฉุดให้ท่านประธานตกต่ำลง แต่ทั้งสองก็ไม่สนใจและหลังจากเรียนจบได้2ปี ทั้งคู่ก็เริ่มวางแผนงานแต่งงานกัน ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จนเมื่อถึงวันแต่งงาน พิธีการได้เริ่มขึ้นจนถึงนาทีที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวให้เจ้าบ่าวแต่ว่าเจ้าสาวหายตัวไป ทิ้งไว้เพียงแค่กระดาษใบเดียวที่เขียนคำว่าขอโทษเอาไว้ ทำให้ท่าประธานล้มทั้งยืนและวิ่งวุ่นอย่างกับคนบ้า ท่านวิ่งตามหาตัวเจ้าสาวทั้งงาน และเมื่อไม่มีเจ้าสาวงานแต่งก็ล่มลง ท่านประธานยังคงออกตามหาคุณมีนาอยู่ตลอดไม่กินไม่นอนอยู่แบบนี้ตลอดสามเดือน และท่านก็ได้มารู้ความจริงว่าที่คุณมีนาหายตัวไปนั้นเพราะท่านประธานใหญ่ เธอรับเงินก้อนโตจากท่านประธานใหญ่แล้วหายตัวไป เมื่อท่านประธานรู้เช่นนั้นจึงทำให้ท่านทรุดลงไปอีก ท่านขังตัวเองอยู่ในห้องถึงหนึ่งปีจนร่างกายผอมโซและป่วยหนักจนต้องพาตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา ท่านใช้เวลารักษาตัวกว่าจะดีขึ้นอยู่หกเดือนจากนั้นท่านก็เริ่มเข้ามาทำงานที่บริษัทและเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ท่านเงียบขรึม เยือกเย็น ดุดัน และชอบใช้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนอื่น น่ากลัวจนพนักงานหรือใครที่พบเจอเรียกฉายาว่าปีศาจ แม้แต่กับผมเองที่เคยคุยกันทุกเรื่องตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นเขาก็ไม่เคยพูดกับผมอีกเลยถ้าไม่ใช่เรื่องงาน จริงๆเราสนิทกันมากนะครับ เพราะผมก็เป็นเด็กกำพร้าที่ได้ทุนเรียนจากท่านประธานใหญ่และท่านก็จ้างให้ผมคอยอยู่เป็นเพื่อนท่านประธาน เราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กผมถึงรู้เรื่องเขาทุกอย่าง แต่ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าให้ผมเดาตอนนี้ที่ท่านยื่นเงื่อนไขในการแต่งงานครั้งนี้กับคุณมาริสานั้น เพราะคุณมีบางอย่างที่คล้ายกับคุณมีนามากครับ อาจจะทำให้ท่านนึกถึงคุณมีนาขึ้นมาก็ได้นะครับ และที่ผมเล่าให้คุณมาริสาฟังนั่นก็เพราะคุณอาจจะเป็นคนเดียวที่ทำให้ท่านกลับมามีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงอยากจะขอร้องให้คุณมาริสาช่วยอยู่ข้างๆอย่าทิ้งเขาไปไหนเลยนะครับ" ฉันนั่งฟังเรื่องราวจนจบ มันเป็นเรื่องที่เศร้ามากและฉันก็รู้สึกสงสารเขาจับใจ ลองคิดดูว่าหากเป็นฉันการที่เสียคนรักแบบนี้จะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหนนะ? และฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน?
...โปรดติดตามตอนต่อไป...หลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นจากคุณเลขา มันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกต่างๆมากมาย ทั้งเจ็บปวด ทั้งเศร้า และสงสาร มันทำให้ฉันรู้ว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดีอะไรแค่เป็นเพราะบาดแผลในใจทำให้เขาต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเอง เพื่อกีดกันคนที่จะเข้ามาและผลักไสคนใกล้ตัวให้ห่างออกไป เพราะกลัวว่าจะเชื่อใจคนๆนั้นแล้วโดนหลอกสุดท้ายเขาก็กลัวที่จะเจ็บซ้ำๆ หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวของเขามันทำให้ฉันได้คิดว่า ถ้าฉันทำดีกับเขามันอาจจะช่วยให้เขาบรรเทาความเจ็บปวดที่อยู่ในใจของเขาได้บ้าง เช้าวันต่อมาฉันตื่นแต่เช้าเพื่อมาเตรียมอาหารให้เขา ฉันก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งนักหรอกฉันจึงเริ่มจากการปิ้งขนมปัง ไข่ดาวและไส้กรอก พร้อมด้วยกาแฟร้อนๆ1แก้ว เตรียมไว้ให้เขา เมื่อเขาลงมาที่โต๊ะอาหาร “นี่เธอทำอะไรของเธอ เธอทำแบบนี้ต้องการอะไร เธอคิดว่าฉันจะกินของพวกนี้หรือไง ไร้สาระ รีบเตรียมตัวไปบริษัทได้แล้ว” เขาไม่กินอาหารที่ฉันทำไว้ให้เขาไม่พอเขายังเทอาหารทั้งหมดลงถังขยะอีก ฉันได้บอกตัวเองในใจว่าอดทนไว้ และเมื่อถึงบริษัทเขาก็ใช้งานฉันสารพัดแต่ฉันก็ไม่โกรธเพราะฉันคิดว่าฉันเข้าใจเขา ฉันแอบถามข้อมูลจากคุณเลขามาว่าเข
“คุณใจเย็นๆก่อนนะคะ ฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ความจริงที่ว่าทำไมเธอถึงไปจากคุณ” เมื่อฉันพูดแบบนั้นเขาก็ดูสงบลง และฉันก็เริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง เรื่องมันเริ่มจาก เมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นฉันเรียนอยู่มหาวิทยาลัยและเป็นช่วงที่พ่อฉันสร้างหนี้สินไว้มากมายและท่านก็ฆ่าตัวตายจากไปทิ้งให้ฉันกับแม่อยู่กันเพียงลำพัง แม่ต้องหาทำงานทุกอย่างเพื่อใช้หนี้ให้กับพ่อ หาค่ารักษายาย และหาค่าเทอมของฉัน ฉันจึงช่วยแบ่งเบาภาระแม่ด้วยการรับจ้างเป็นคนคอยช่วยเหลือคนไข้ที่โรงพยาบาล เพราะยายฉันก็รักษาตัวอยู่ที่นั่น ยายเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตต่ำ ท่านมักจะเป็นลมอยู่บ่อยๆ จึงต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อคอยดูอาการ และฉันก็ได้พบกับพี่มีนาที่นั่น ฉันพบเธอครั้งแรกที่ดาดฟ้าโรงพยาบาล เธอนั่งร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดและพยายามจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ฉันจึงวิ่งเข้าไปคว้าตัวเธอไว้ แต่เธอก็ไม่พูดอะไรสักคำเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ฉันจึงนั่งข้างเธอและกอดเธอเพื่อให้เธอคลายเศร้า เมื่อเธอสงบลงเธอจึงเอ่ยปากขอบคุณฉันและเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟัง เธอเล่าว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของเธอกับคนรัก แต่ว่าเธอดันอาการก
"ปีศาจ คำที่ใช้เรียกสิ่งท่าเกลียดน่ากลัว สิ่งที่ดูชั่วร้าย คำๆนี้มีใครหลายคนที่ใช้เรียกแทนผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เย็นชา ดุร้าย และดูน่ากลัว แต่ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าฉันเขากลับไม่เป็นอย่างที่ใครต่อใครเขาเรียกกันอีกต่อไป..." หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเขาก็ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นและมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและทรมาน เขาร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สนว่าฉันยืนอยู่ตรงนั้น แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ฉันจะปลอบใจเขาอย่างไรถึงจะคลายความเจ็บปวดนั้นได้ ความเจ็บปวดที่อัดอั้นมาตลอดหลายปีวันนี้มันถึงเวลาที่ได้ปลดปล่อยออกมาเสียที ฉันนั่งลงตรงหน้าเขาและโอบกอดเขาอย่างแผ่วเบา ฉันใช้มือคู่นี้ของฉันลูบหลังของเขาและบอกกับเขาว่า "ร้องออกมาค่ะ ร้องออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันจะอยู่ตรงนี้ข้างๆคุณเองค่ะ" เมื่อฉันพูดจบเขาก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เริ่มหยุดร้องไห้และบอกกับฉันว่า "ขอบใจนะ ขอบใจที่เธอเล่าให้ฉันฟัง ฉันโทษผู้หญิงคนนั้นมาตลอดว่าทิ้งฉันไปทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ และถึงแม้ว่าการที่ได้รู้ว่าเธอไม่อยู่บนโลกนี้มันจะทำให้ฉันยิ่งเจ็บปวดก็ตาม แต่ฉันก็ดีใจที่ได้รู้เรื่องราวของเธอคนนั
หลังจากที่ฉันพาเขามาเจอพี่มีนาและคืนของทุกอย่างให้กับเขา เราก็จะเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯแต่ยายของฉันท่านขอร้องให้เราอยู่กันต่ออีกหนึ่งวันเพราะท่านคิดถึงฉันมากและฉันเองก็อยากอยู่ต่อด้วย ฉันจึงบอกให้เขากลับไปก่อนแล้วฉันจะตามกลับไปทีหลังแต่เขาไม่ยอมกลับคนเดียวเราจึงต้องอยู่ที่นี่กันต่ออีกหนึ่งวัน วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสไร้เมฆหมอกจึงทำให้เหมาะแก่การเที่ยวถ่ายรูปเป็นอย่างมาก ฉันจึงชวนเขาออกไปเที่ยวถ่ายรูปด้วยกันเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ทีแรกเขาก็ไม่ยอมไปแต่ฉันคะยั้นคะยอจนเขายอมไปด้วย ที่ๆเราจะไปเป็นภูเขาที่มีธารน้ำจากน้ำตกไหลผ่านและถ้าเดินขึ้นไปบนยอดน้ำตกก็จะมองเห็นวิวที่สวยงามมาก ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยวจึงร่าเริงเป็นพิเศษ เมื่อมาถึงที่หมายฉันก็กระโดดโลดเต้นและซุกซนเหมือนเด็กๆ ฉันหันไปมองเขาที่เดินตามหลังมา เขาแอบยิ้มเล็กน้อยที่เห็นท่าทีของฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขายิ้มออกมา ในที่สุดความเศร้าและความเจ็บปวดที่มีในใจเขามันก็ได้บรรเทาลง แม้มันจะเล็กน้อย ฉันวิ่งไปทั่วป่าเพื่อที่จะถ่ายรูปต้นไม้ ดอกไม้ ธารน้ำและสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในป่า ในขณะที่ฉันถ่ายรูปอยู่เพลินๆและฉัน
เมื่อผมได้รับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการที่มีนาหายตัวไป ผมยอมรับว่าผมเสียใจเป็นอย่างมากมันเหมือนโลกที่พังทลายไปแล้วพังซ้ำอีกจนไม่เหลืออะไรเลย ขาสองข้างไร้เรี่ยวแรงที่จะยืน ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจมาหลายปีก็ระเบิดออก นานแล้วที่ผมไม่ได้ร้องไห้จนเหมือนคนเสียสติขนาดนี้ ผมร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สนใจใคร แต่เพราะมีอ้อมแขนที่อบอุ่นมาโอบกอดผมไว้จึงทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ และเพราะคำพูดสั้นๆที่บอกให้ผมร้องไห้ออกมามันทำให้ผมกล้าที่จะปลดปล่อยความทุกข์ ความเศร้า ความเจ็บปวดและทรมานออกมาจนหมด ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้เธอคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ชอบเธอเลยด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นเพราะจริงๆแล้วในตอนนั้นผมแค่โกรธคนอีกคนและพาลมาลงที่เธอเพียงเพราะเธอเหมือนใครคนนั้น เธอชวนผมให้ไปหามีนาที่เชียงใหม่ ตอนแรกผมก็ทำใจลำบากเพราะรู้ว่ามีนาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ผมจำเป็นต้องไปเพื่อขอโทษเธอด้วยตัวเอง ขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไปและโกรธแค้นเธอทั้งที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย เมื่อมาถึงที่เชียงใหม่เราก็ไปพักค้างคืนที่บ้านของมาริสา ในระหว่างที่เธอเอาของไปเก็บผมก็เดินเล่นรอบๆบ้านแ
หลังจากที่ผมได้เจอกับมีนาอีกครั้งผมตั้งใจว่าวันนี้จะลาเธอครั้งสุดท้ายแล้วกลับกรุงเทพฯ แต่ว่าคุณยายของมาริสาท่านขอให้เราอยู่ต่อและผมคิดว่าผมควรจะให้เธออยู่ต่อเพื่อเป็นการขอบคุณเธอที่พาผมมาที่นี่ ตอนแรกเธอจะให้ผมกลับไปก่อนแล้วเธอจะตามไปทีหลังแต่เพราะว่ามีบางอย่างกวนใจผมอยู่ผมจึงไม่อยากให้เธออยู่ที่คนเดียว บางอย่างที่ว่าก็คือพี่ชายข้างบ้านที่ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆเธอจนผมรู้สึกรำคาญวันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส เธอจึงชวนผมไปเที่ยวถ่ายรูปด้วยกัน ผมก็ไม่ได้อยากไปสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่อยากให้เธอต้องไปเพียงลำพังจึงยอมไปเป็นเพื่อนเธอ เมื่อมาถึงที่หมายเธอก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ เหมือนเด็กน้อยที่พ่อพามาเที่ยวไม่มีผิด ผมเห็นท่าทีของเธอแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไมผมจึงหุบยิ้มไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เธอหันมา นี่เป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายปีของผมมันจึงทำให้รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน ผมเฝ้ามองเธออยู่ไม่ไกล เธอวิ่งเล่นไปมาจนเริ่มหมดแรง เธอจึงชวนผมหาที่นั่งพักทานอาหารกลางวันกัน เราเดินไปเจอที่ๆหนึ่งใกล้ธารน้ำจึงตัดสินใจนั่งพักกันที่นั่น เธอถามผมว่าจะทานอะไร ผมจึงบอกไปว่าขอกาแฟแก้วเดียวก็พอแต่
เมื่อเราได้ร่ำลาพี่มีนาเสร็จแล้วเราสองคนก็เดินทางกลับกรุงเทพฯทันที เมื่อมาถึงเราก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนเมื่อฉันเปิดประตูห้องได้ก็รีบทิ้งตัวลงบนที่นอนทันที ราวกับคนที่เหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงและไม่อยากขยับตัวทำอะไรทั้งนั้น ฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กริ๊งงงงงงงง!!!! สายเรียกเข้านั้นเป็นของเพื่อนรักหมายเลข1ฉันจึงรีบกดรับสายทันที "ฮัลโหล ฉันรู้ว่าแกกลับมาจากเชียงใหม่แล้ว ฉันกับเจ็ทกำลังไปหาแก ตอนที่แกไม่อยู่เจ็ทมันบ่นคิดถึงแกมากจนฉันรำคาญเลยต้องพามันมาหาแก อีก10นาทีเจอกันฉันใกล้จะถึงบ้านแกแล้ว" แล้วนางก็กดวางสายไปโดยที่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเหมือนเคย 10นาทีผ่านไปจินกับเจ็ทก็มาถึง เมื่อทั้งสองเห็นฉันจึงรีบวิ่งเข้ามากอดทันที ในขณะที่เราสามคนกำลังกอดกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงตะโกนมาจากข้างบนชั้นสองว่า "ทำอะไรกันหน่ะ! เอะอะโวยวายเสียงดังน่ารำคาญ แล้วนี่อะไร มายืนกอดกันอย่างกับไม่เจอกันเป็น10ปี แล้วนายหน่ะกล้าดียังไงมากอดภรรยาของคนอื่นเค้าห๊ะ!" เสียงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณเจ้าของบ้าน เมื่อเขาพูดจบก็รีบวิ่งลงมาแล้วผลักเจ็ทกระเด็นออกไปทันที แล้
จากคำพูดที่เขาพูดมาเมื่อกี้นี้ทำให้ฉันรู้สึกสับสนไปหมด ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกมากันนะ ในใจฉันได้แต่สงสัย แต่ฉันก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อนเพราะตอนนี้เรามีคนเมาสองคนที่ต้องดูแลฉันให้เจ็ทช่วยพยุงเขาขึ้นไปบนห้อง เจ็ทก็แบกไปบ่นไป "โอ๊ย! คนอะไรตัวหนักเป็นบ้า กินอะไรเข้าไปเนี่ยพ่อคุณ นี่ฉันเป็นหมอนะไม่ใช่กรรมกรแบกหาม ทำไมฉันต้องมาแบกคนเมาถึงสองคนเลยเนี่ย" ฉันจึงหันไปบอกกับเจ็ทว่า "หรือแกจะให้ฉันแบกเขาขึ้นมาคนเดียวห๊ะ! แกดูตัวฉันและดูตัวเขา ขืนฉันแบกคนเดียวก็ได้โดนเขาทับแบนกันพอดี" ฉันพูดสวนกลับเจ็ทจึงเงียบไป ฉันกับเจ็ทพาเขามานอนที่เตียงจากนั้นก็ลงไปดูยัยจินต่อ สภาพยัยจินดูไม่เป็นท่าเจ็ทเลยพายัยจินกลับก่อนเพราะกลัวว่ายัยจินจะลุกขึ้นมาโวยวายอีกเมื่อเจ็ทกับจินกลับกันไปแล้วฉันจึงขึ้นไปดูคุณศรันย์ เมื่อฉันเดินขึ้นมาถึงห้อง ภาพที่ฉันเห็นคือเขานอนขดตัวเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ฉันจึงเผลอยิ้มออกมาด้วยความน่ารักของเขา ฉันไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเห็นภาพแบบนี้มาก่อน เพราะอย่างที่รู้กัน เขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ท่าทางน่ากลัวน่าเกรงขาม ใครจะคิดว่าคนแบบนี้พอเมาแล้วจะน่ารักขนาดนี้ ฉันเดินไปหย
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ วันเวลาผ่านไปได้สองเดือนครึ่งแล้วหลังจากที่เราแต่งงานกัน เหลือเวลาอีก15วันเท่านั้น สัญญาของเราสองคนก็จะจบลงวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันตื่นมาตามปกติ แต่ที่แปลกไปจากเดิมก็คือ ฉันลืมตามมาเจอเขานอนอยู่ข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้และพูดทักทายฉันว่า "อรุณสวัสดิ์ ตื่นเสียทีนะยัยขี้เซา ฉันมานอนอยู่ข้างๆตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวอีก ถ้าเกิดว่ามีใครทำมิดีมิร้ายกับเธอจะทำยังไง" มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน แล้วทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ข้างๆฉันได้หล่ะ? พอคิดได้อย่างนั้นฉันเลยถามออกไป "แล้วคุณเข้ามาห้องฉันได้ยังไงคะ แถมยังมานอนข้างๆฉันอีก นี่คุณคิดจะทำอะไรฉันคะ ไม่ได้นะคุณ! ถึงเราจะเป็นสามีภรรยากันก็จริง แต่มันก็แค่ในนาม คุณไม่มีสิทธิทำอะไรฉันนะคะ" พอฉันพูดจบเขาก็หัวเราะลั่นและพูดว่า "นี่เธอ! เพี้ยนหรือเปล่า? นี่บ้านฉัน ฉันก็ต้องมีกุญแจไขเข้ามาอยู่แล้ว ที่ฉันเข้ามาเพราะฉันเคาะประตูเรียกเธอตั้งนานแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรเลยรีบเข้ามาดู แต่เห็นเธอยังนอนกรนอยู่แถมละเมอด้วย และฉันขอบอกตรงนี้เล
เมื่อเราสองคนได้ของขวัญและชุดที่จะใส่ไปออกงานแล้ว เราก็เดินทางไปสถานที่จัดงานทันที เราเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่ง ที่เหมือนกับคฤหาสน์ที่ดูหรูหราเหมือนกับในละคร ทางเข้าสองข้างทางมีดอกไม้หลากสียาวไปจนถึงตัวคฤหาสน์ ข้างหน้าก่อนเข้าไปในตัวอาคารมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ทุกอย่างมันเหมือนกับเราอยู่ในฉากละครฉากหนึ่ง ที่เป็นฉากของพวกไฮโซมางานเลี้ยงกัน ทุกคนแต่งตัวจัดเต็มไม่มีใครยอมใคร ทั้งหญิงและชายแต่งตัวดูดีกันทุกคน เมื่อเราสองคนเดินเข้าไปในงาน สิ่งที่ฉันเห็นคือ ความสวยงามอลังการงานสร้าง ยิ่งกว่าอยู่ในละครเสียอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ของแพงๆ จะหยิบจะจับอะไรทีต้องระวังอย่างมาก เพราะกลัวว่าถ้าทำพังจะไม่มีปัญญาจ่าย ในขณะที่ฉันกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น เขาก็จับมือฉันและพูดว่า "อย่ายืนอึ้งนาน ถึงเธอจะทำอะไรพังก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันชดใช้ให้ เราไปหาคุณปู่กันเถอะ" เขาพูดพร้อมยิ้มเยาะฉัน และเราก็เดินไปหาคุณปู่เพื่อมอบของขวัญให้ "คุณปู่สวัสดีค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณปู่ ริสาขอให้คุณปู่มีอายุยืนนานอยู่กับหลานๆไปนานๆนะคะ" ฉันกล่าวสวัสสดีพร้อมอวยพรท่าน และท่านก็หัวเราะชอบใจและ
ตอนเป็นเด็ก ฉันเคยฝันอยากเป็นเจ้าหญิงที่ได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงามและครองรักกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน แต่พอฉันเติบโตขึ้น จึงทำให้ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ในชีวิตจริงการที่เราได้พบเจอคนดีๆสักคน คนที่เขารักเราจริงไม่ทิ้งเราไปไหนไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ถ้าฉันได้เจอกับคนๆนั้นฉันจะรักษาเขาไว้ให้ดีที่สุดในขณะที่ฉันกำลังฝันถึงเจ้าชายรูปงามที่กำลังจะได้จุมพิตกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝัน "กริ๊งงงงงงงงง" มันเป็นเสียงโทรศัพท์นั่นเอง แล้วฉันก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ใกล้ๆฉัน ฉันจึงลืมตาขึ้นดู แล้วฉันก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของใครสักคน ฉันจึงนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ ฉันจึงได้รู้ว่าอ้อมแขนนี้เป็นของใครและนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ฉันจึงค่อยๆขยับตัวลุกออกมาจากตรงนั้น แต่ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "ตื่นแล้วหรือ หลับสบายไหมยัยขี้เซา" ครั้งนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วละลาย ทำให้ฉันเคลิ้มไปอยู่ครู่หนึ่ง "ขอโทษนะคะ ที่ฉันมานอนตรงนี้ คุณคงจะอึดอันน่าดู ฉันจะรีบกลับห้องตัวเองเด
จากคำพูดที่เขาพูดมาเมื่อกี้นี้ทำให้ฉันรู้สึกสับสนไปหมด ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกมากันนะ ในใจฉันได้แต่สงสัย แต่ฉันก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อนเพราะตอนนี้เรามีคนเมาสองคนที่ต้องดูแลฉันให้เจ็ทช่วยพยุงเขาขึ้นไปบนห้อง เจ็ทก็แบกไปบ่นไป "โอ๊ย! คนอะไรตัวหนักเป็นบ้า กินอะไรเข้าไปเนี่ยพ่อคุณ นี่ฉันเป็นหมอนะไม่ใช่กรรมกรแบกหาม ทำไมฉันต้องมาแบกคนเมาถึงสองคนเลยเนี่ย" ฉันจึงหันไปบอกกับเจ็ทว่า "หรือแกจะให้ฉันแบกเขาขึ้นมาคนเดียวห๊ะ! แกดูตัวฉันและดูตัวเขา ขืนฉันแบกคนเดียวก็ได้โดนเขาทับแบนกันพอดี" ฉันพูดสวนกลับเจ็ทจึงเงียบไป ฉันกับเจ็ทพาเขามานอนที่เตียงจากนั้นก็ลงไปดูยัยจินต่อ สภาพยัยจินดูไม่เป็นท่าเจ็ทเลยพายัยจินกลับก่อนเพราะกลัวว่ายัยจินจะลุกขึ้นมาโวยวายอีกเมื่อเจ็ทกับจินกลับกันไปแล้วฉันจึงขึ้นไปดูคุณศรันย์ เมื่อฉันเดินขึ้นมาถึงห้อง ภาพที่ฉันเห็นคือเขานอนขดตัวเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ฉันจึงเผลอยิ้มออกมาด้วยความน่ารักของเขา ฉันไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเห็นภาพแบบนี้มาก่อน เพราะอย่างที่รู้กัน เขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ท่าทางน่ากลัวน่าเกรงขาม ใครจะคิดว่าคนแบบนี้พอเมาแล้วจะน่ารักขนาดนี้ ฉันเดินไปหย
เมื่อเราได้ร่ำลาพี่มีนาเสร็จแล้วเราสองคนก็เดินทางกลับกรุงเทพฯทันที เมื่อมาถึงเราก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนเมื่อฉันเปิดประตูห้องได้ก็รีบทิ้งตัวลงบนที่นอนทันที ราวกับคนที่เหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงและไม่อยากขยับตัวทำอะไรทั้งนั้น ฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กริ๊งงงงงงงง!!!! สายเรียกเข้านั้นเป็นของเพื่อนรักหมายเลข1ฉันจึงรีบกดรับสายทันที "ฮัลโหล ฉันรู้ว่าแกกลับมาจากเชียงใหม่แล้ว ฉันกับเจ็ทกำลังไปหาแก ตอนที่แกไม่อยู่เจ็ทมันบ่นคิดถึงแกมากจนฉันรำคาญเลยต้องพามันมาหาแก อีก10นาทีเจอกันฉันใกล้จะถึงบ้านแกแล้ว" แล้วนางก็กดวางสายไปโดยที่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเหมือนเคย 10นาทีผ่านไปจินกับเจ็ทก็มาถึง เมื่อทั้งสองเห็นฉันจึงรีบวิ่งเข้ามากอดทันที ในขณะที่เราสามคนกำลังกอดกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงตะโกนมาจากข้างบนชั้นสองว่า "ทำอะไรกันหน่ะ! เอะอะโวยวายเสียงดังน่ารำคาญ แล้วนี่อะไร มายืนกอดกันอย่างกับไม่เจอกันเป็น10ปี แล้วนายหน่ะกล้าดียังไงมากอดภรรยาของคนอื่นเค้าห๊ะ!" เสียงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณเจ้าของบ้าน เมื่อเขาพูดจบก็รีบวิ่งลงมาแล้วผลักเจ็ทกระเด็นออกไปทันที แล้
หลังจากที่ผมได้เจอกับมีนาอีกครั้งผมตั้งใจว่าวันนี้จะลาเธอครั้งสุดท้ายแล้วกลับกรุงเทพฯ แต่ว่าคุณยายของมาริสาท่านขอให้เราอยู่ต่อและผมคิดว่าผมควรจะให้เธออยู่ต่อเพื่อเป็นการขอบคุณเธอที่พาผมมาที่นี่ ตอนแรกเธอจะให้ผมกลับไปก่อนแล้วเธอจะตามไปทีหลังแต่เพราะว่ามีบางอย่างกวนใจผมอยู่ผมจึงไม่อยากให้เธออยู่ที่คนเดียว บางอย่างที่ว่าก็คือพี่ชายข้างบ้านที่ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆเธอจนผมรู้สึกรำคาญวันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส เธอจึงชวนผมไปเที่ยวถ่ายรูปด้วยกัน ผมก็ไม่ได้อยากไปสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่อยากให้เธอต้องไปเพียงลำพังจึงยอมไปเป็นเพื่อนเธอ เมื่อมาถึงที่หมายเธอก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ เหมือนเด็กน้อยที่พ่อพามาเที่ยวไม่มีผิด ผมเห็นท่าทีของเธอแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไมผมจึงหุบยิ้มไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เธอหันมา นี่เป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายปีของผมมันจึงทำให้รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน ผมเฝ้ามองเธออยู่ไม่ไกล เธอวิ่งเล่นไปมาจนเริ่มหมดแรง เธอจึงชวนผมหาที่นั่งพักทานอาหารกลางวันกัน เราเดินไปเจอที่ๆหนึ่งใกล้ธารน้ำจึงตัดสินใจนั่งพักกันที่นั่น เธอถามผมว่าจะทานอะไร ผมจึงบอกไปว่าขอกาแฟแก้วเดียวก็พอแต่
เมื่อผมได้รับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการที่มีนาหายตัวไป ผมยอมรับว่าผมเสียใจเป็นอย่างมากมันเหมือนโลกที่พังทลายไปแล้วพังซ้ำอีกจนไม่เหลืออะไรเลย ขาสองข้างไร้เรี่ยวแรงที่จะยืน ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจมาหลายปีก็ระเบิดออก นานแล้วที่ผมไม่ได้ร้องไห้จนเหมือนคนเสียสติขนาดนี้ ผมร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สนใจใคร แต่เพราะมีอ้อมแขนที่อบอุ่นมาโอบกอดผมไว้จึงทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ และเพราะคำพูดสั้นๆที่บอกให้ผมร้องไห้ออกมามันทำให้ผมกล้าที่จะปลดปล่อยความทุกข์ ความเศร้า ความเจ็บปวดและทรมานออกมาจนหมด ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้เธอคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ชอบเธอเลยด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นเพราะจริงๆแล้วในตอนนั้นผมแค่โกรธคนอีกคนและพาลมาลงที่เธอเพียงเพราะเธอเหมือนใครคนนั้น เธอชวนผมให้ไปหามีนาที่เชียงใหม่ ตอนแรกผมก็ทำใจลำบากเพราะรู้ว่ามีนาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ผมจำเป็นต้องไปเพื่อขอโทษเธอด้วยตัวเอง ขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไปและโกรธแค้นเธอทั้งที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย เมื่อมาถึงที่เชียงใหม่เราก็ไปพักค้างคืนที่บ้านของมาริสา ในระหว่างที่เธอเอาของไปเก็บผมก็เดินเล่นรอบๆบ้านแ
หลังจากที่ฉันพาเขามาเจอพี่มีนาและคืนของทุกอย่างให้กับเขา เราก็จะเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯแต่ยายของฉันท่านขอร้องให้เราอยู่กันต่ออีกหนึ่งวันเพราะท่านคิดถึงฉันมากและฉันเองก็อยากอยู่ต่อด้วย ฉันจึงบอกให้เขากลับไปก่อนแล้วฉันจะตามกลับไปทีหลังแต่เขาไม่ยอมกลับคนเดียวเราจึงต้องอยู่ที่นี่กันต่ออีกหนึ่งวัน วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสไร้เมฆหมอกจึงทำให้เหมาะแก่การเที่ยวถ่ายรูปเป็นอย่างมาก ฉันจึงชวนเขาออกไปเที่ยวถ่ายรูปด้วยกันเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ทีแรกเขาก็ไม่ยอมไปแต่ฉันคะยั้นคะยอจนเขายอมไปด้วย ที่ๆเราจะไปเป็นภูเขาที่มีธารน้ำจากน้ำตกไหลผ่านและถ้าเดินขึ้นไปบนยอดน้ำตกก็จะมองเห็นวิวที่สวยงามมาก ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยวจึงร่าเริงเป็นพิเศษ เมื่อมาถึงที่หมายฉันก็กระโดดโลดเต้นและซุกซนเหมือนเด็กๆ ฉันหันไปมองเขาที่เดินตามหลังมา เขาแอบยิ้มเล็กน้อยที่เห็นท่าทีของฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขายิ้มออกมา ในที่สุดความเศร้าและความเจ็บปวดที่มีในใจเขามันก็ได้บรรเทาลง แม้มันจะเล็กน้อย ฉันวิ่งไปทั่วป่าเพื่อที่จะถ่ายรูปต้นไม้ ดอกไม้ ธารน้ำและสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในป่า ในขณะที่ฉันถ่ายรูปอยู่เพลินๆและฉัน
"ปีศาจ คำที่ใช้เรียกสิ่งท่าเกลียดน่ากลัว สิ่งที่ดูชั่วร้าย คำๆนี้มีใครหลายคนที่ใช้เรียกแทนผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เย็นชา ดุร้าย และดูน่ากลัว แต่ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าฉันเขากลับไม่เป็นอย่างที่ใครต่อใครเขาเรียกกันอีกต่อไป..." หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเขาก็ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นและมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและทรมาน เขาร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สนว่าฉันยืนอยู่ตรงนั้น แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ฉันจะปลอบใจเขาอย่างไรถึงจะคลายความเจ็บปวดนั้นได้ ความเจ็บปวดที่อัดอั้นมาตลอดหลายปีวันนี้มันถึงเวลาที่ได้ปลดปล่อยออกมาเสียที ฉันนั่งลงตรงหน้าเขาและโอบกอดเขาอย่างแผ่วเบา ฉันใช้มือคู่นี้ของฉันลูบหลังของเขาและบอกกับเขาว่า "ร้องออกมาค่ะ ร้องออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันจะอยู่ตรงนี้ข้างๆคุณเองค่ะ" เมื่อฉันพูดจบเขาก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เริ่มหยุดร้องไห้และบอกกับฉันว่า "ขอบใจนะ ขอบใจที่เธอเล่าให้ฉันฟัง ฉันโทษผู้หญิงคนนั้นมาตลอดว่าทิ้งฉันไปทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ และถึงแม้ว่าการที่ได้รู้ว่าเธอไม่อยู่บนโลกนี้มันจะทำให้ฉันยิ่งเจ็บปวดก็ตาม แต่ฉันก็ดีใจที่ได้รู้เรื่องราวของเธอคนนั