หลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ วันเวลาผ่านไปได้สองเดือนครึ่งแล้วหลังจากที่เราแต่งงานกัน เหลือเวลาอีก15วันเท่านั้น สัญญาของเราสองคนก็จะจบลง
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันตื่นมาตามปกติ แต่ที่แปลกไปจากเดิมก็คือ ฉันลืมตามมาเจอเขานอนอยู่ข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้และพูดทักทายฉันว่า "อรุณสวัสดิ์ ตื่นเสียทีนะยัยขี้เซา ฉันมานอนอยู่ข้างๆตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวอีก ถ้าเกิดว่ามีใครทำมิดีมิร้ายกับเธอจะทำยังไง" มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน แล้วทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ข้างๆฉันได้หล่ะ? พอคิดได้อย่างนั้นฉันเลยถามออกไป "แล้วคุณเข้ามาห้องฉันได้ยังไงคะ แถมยังมานอนข้างๆฉันอีก นี่คุณคิดจะทำอะไรฉันคะ ไม่ได้นะคุณ! ถึงเราจะเป็นสามีภรรยากันก็จริง แต่มันก็แค่ในนาม คุณไม่มีสิทธิทำอะไรฉันนะคะ" พอฉันพูดจบเขาก็หัวเราะลั่นและพูดว่า "นี่เธอ! เพี้ยนหรือเปล่า? นี่บ้านฉัน ฉันก็ต้องมีกุญแจไขเข้ามาอยู่แล้ว ที่ฉันเข้ามาเพราะฉันเคาะประตูเรียกเธอตั้งนานแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรเลยรีบเข้ามาดู แต่เห็นเธอยังนอนกรนอยู่แถมละเมอด้วย และฉันขอบอกตรงนี้เลยว่าฉันไม่คิดที่จะทำอะไรเธอเลยแม้แต่น้อย ที่ฉันมานอนข้างๆก็เพราะเธอละเมอกระชากแขนฉันลงไปกอดเป็นหมอนข้างต่างหาก ไหนๆก็ไหนแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวซะ เรามีที่ที่ต้องไป" เขาพูดจบและทำหน้าตาบึ้งตึงเดินออกไปทันที ฉันนั่งงงอยู่สักพักจึงลุกไปอาบน้ำแต่งตัว เมื่อฉันแต่งตัวเสร็จจึงเดินลงมาข้างล่างเพื่อที่จะมาทานอาหารเช้าที่แม่บ้านเตรียมไว้ ในขณะที่ฉันเดินลงบันไดมาก็มีเสียงทักทายจากป้าแม่บ้านว่า "อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณผู้หญิง" ฉันยิ้มตอบและถามถึงเมนูวันนี้ "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ป้าคะวันนี้มีอะไรทานบ้างคะ กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกลเลย" ป้าแม่บ้านยิ้มและตอบกลับฉันว่า "ป้าก็ไม่ทราบค่ะ เพราะวันนี้คุณผู้ชายท่านลงครัวเองเลยนะคะ พวกป้าไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ" ฉันอึ้งไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหาร เมื่อมาถึงโต๊ะอาหาร ฉันก็ต้องตะลึงกับอาหารที่อยู่บนโต๊ะนั่น มีทั้งสเต๊กเนื้อชั้นเลิศ พาสต้า สลัด และไวน์ราคาแพง อย่างกับว่าอยู่ในภัตตาคารระดับห้าดาวเลย สีสันชวนรับประทานมาก ในขณะที่ฉันกำลังยืนอึ้งอยู่กับอาหารเหล่านี้เขาก็พูดขึ้นมาว่า "รีบนั่งเถอะ อาหารจะเย็นหมดแล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกปากไหม เพราะฉันไม่ค่อยได้ทำสักเท่าไหร่" ด้วยความที่อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงทำอะไรแบบนี้ให้ฉันกัน "วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมคุณถึงได้ทำอาหารเองเลยหล่ะคะ" เขายิ้มและตอบกลับมาว่า "เดี๋ยวเธอก็รู้เองแหละ กินๆไปเถอน่า พูดมากอยู่นั้นแหละ" เมื่อเขาพูดมาแบบนี้ฉันจึงเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อนและตั้งหน้าตั้งกินอาหารที่เขาทำอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จเขาก็ลากฉันขึ้นรถโดยที่ไม่บอกอะไรฉันสักคำ พอฉันถามเขาก็ได้แต่ยิ้มและไม่ตอบ เขาขับรถออกจากตัวเมืองมุ่งหน้าไปทางชลบุรี ฉันก็คิดว่าเขาคงจะมีงานด่วนเลยไม่ได้ถามอะไรมากมาย และฉันก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกทีฉันก็ได้ยินเสียงคลื่นซัดกับโขดหิน ฉันจึงลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ริมชายหาดแห่งหนึ่ง แต่แปลก! ที่นี่ไม่มีผู้คน เป็นที่ที่เงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนอย่างมาก ฉันรู้สึกผ่อนคลายทันทีที่อยู่ที่นี่ "ตื่นแล้วหรือ เธอนี่หลับเก่งจริงๆ ขนาดฉันพาล่องเรือข้ามทะเลมายังไม่รู้สึกตัวตื่นเลย ฮ่าฮ่าฮ่า" เมื่อกี้นี้ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม เขาว่าพาฉันล่องเรือมางั้นหรอ เมื่อได้สติฉันจึงถามออกไป "เมื่อกี้นี้คุณว่าอะไรนะคะ พาล่องเรือ? คุณจะบอกว่าคุณพาล่องเรือข้ามทะเลมาเพื่อมาที่นี่หรอคะ แล้วที่นี่มันที่ไหนคะ ไม่เห็นมีผู้คนอยู่เลยสักคน" เขาหัวเราะและตอบกลับมาว่า "ใช่ฉันพาเธอล่องเรือมาเกาะส่วนตัวของฉัน ไม่แปลกหรอกที่จะไม่มีผู้คน เพราะที่นี่มีแต่ฉัน เธอ และคนดูแลเท่านั้น ส่วนคนขับเรือที่มาส่งเราเขาจะมาอีกทีก็พรุ่งนี้บ่าย เพราะฉะนั้นเธอก็พักผ่อนให้เต็มที่นะ นี่ก็เย็นมากแล้ว เธอไปอาบน้ำแต่งตัวและมาเจอฉันที่ชายหาดด้านนู้นนะ" เขาชี้มือไปอีกด้านนึงของชายหาด ซึ่งฉันก็ยังงงๆอยู่ดีว่าเขาพาฉันมาที่นี่ทำไม เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ฉันได้แต่คิดคนเดียวในใจ เมื่อฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินมาตามที่เขาบอก พอมาถึงก็เห็นมีซุ้มดอกไม้และโต๊ะตั้งอยู่ บนโต๊ะมีเทียนจุดอยู่เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ ฉันเดินเข้าไปใกล้โต๊ะนั้นเรื่อยๆ จนเมื่อมาถึง จู่ๆก็มีแสงจากหลอดไฟเล็กๆบนพื้นทรายที่ทำเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า H.B.D. มันสว่างระยิบระยับสวยงาม แต่เอ๊ะ? วันนี้วันเกิดใครกัน ในขณะที่ฉันยืนคิดอยู่นั้นก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลังว่า "แฮปปี้เบิร์ด เดย์ ทู ยู🎶" ฉันจึงหันหลังกลับไปมองและพบว่า เขาเดินถือเค้กพร้อมกับร้องเพลงวันเกิด เดินตรงมาทางฉัน จากนั้นเขาก็ยื่นเค้กมาให้ฉันและบอกกับฉันว่า "สุขสันต์วันเกิดนะมาริสา รีบเป่าเค้กสิ ก่อนจะเป่าอธิฐานก่อนนะ" จริงสิ! วันนี้วันเกิดฉันเองนี่นา ทำไมฉันถึงลืมวันเกิดตัวเองได้หล่ะเนี่ย ปกติวันเกิดทุกๆปีที่ผ่านมาฉันจะฉลองกับเพื่อนรักทั้งสองคนของฉัน แต่ปีนี้มันต่างออกไป เพราะอะไรกันนะ? หรือเพราะมีเขาอยู่ข้างๆฉันเลยรู้สึกต่างออกไป ในตอนนี้ถ้าฉันจะมีความโลภจะผิดไหมนะ? ฉันอยากจะมีเขาอยู่ข้างๆแบบนี้ตลอดไป ถ้าฉันขอแบบนี้จะได้หรือเปล่านะ?... ...โปรดติดตามตอนต่อไป..."คนเราไม่อาจรู้ชะตาชีวิตล่วงหน้าได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เราทำได้แค่ยอมรับมันเท่านั้น" ตัวฉันเองก็เช่นกัน ในเมื่อตัดสินใจแล้วฉันก็จะทำให้เต็มที่!(เสียงโฆษณาในทีวี) “บริษัทของเราเป็นที่1 ทางด้านเทคโนโลยี เราจะไม่หยุดพัฒนาศักยภาพ เพื่อที่ผู้ใช้งานจะต้องได้ใช้งานเทคโนโลยีที่ดีที่สุด” (โฆษณาบริษัท เดอะวัน คอปอเรชั่น จำกัด) บริษัทแนวหน้าของไทยที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสุดๆ และนั่นคือบริษัทที่ 30 ที่ฉันไปสมัครงานวันนี้ ฉันค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนี้มาค่อนข้างดีและมีสิ่งหนึ่งที่ฉันสนใจ นั่นคือ ข่าวลือที่ว่า ประธานบริษัทนี้นั้น เป็นคนเย็นชา ปากร้าย เจ้าระเบียบ และเป็นคนเลือดเย็นสุดๆ ว่ากันว่า เขาไล่พนักงานออกเพียงเพราะพนักงานคนนั้นไม่ติดบัตรพนักงาน แต่นั่นมันก็แค่ข่าวลือ ฉันเป็นพวกที่ไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นและเจอกับตัวเอง ฉันขึ้นรถโดยสารประจำทางเพื่อที่จะไปสมัครงานที่บริษัทนั้นแต่ระหว่างทางเกิดมีอุบัติเหตุขึ้น ทำให้การจราจรติดขัดรถไม่สามารถเดินหน้าได้ ฉันจึงตัดสินใจวิ่งลงจากรถเพื่อที่จะวิ่งไปบริษัทเดอะวัน ในขณะที่ฉันกำลังวิ่งข้ามถนนอยู่นั้น จู่ๆก็มีรถเก๋งสีดำดูหรูหราและราคาแพงพุ่งตรงมาทางฉ
มีคำกล่าวที่ว่า..."โชคชะตามักจะเล่นตลกกับเราเสมอ"ฉันคิดว่าคำกล่าวนี้คือเรื่องจริง สิ่งที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้คือเรื่องของความซวยล้วนๆ ของผู้หญิงที่ชื่อมาริสา คนนี้ สถานการณ์ในตอนนี้คือ มีไอ้บ้าที่หน้าตาดีมากๆขับรถมาเกือบจะชนฉันแล้วยังจะมาไล่ให้ฉันไปตายอีก! คุณพระคุณเจ้าเกิดมาฉันเพิ่งจะเคยพบเคยเจอผู้ชายที่ปากร้ายขัดกับหน้าตาสุดๆ วินาทีนั้นทำเอาฉันอึ้งไปเลย พอได้สติฉันก็รีบลุกขึ้นมาด่าผู้ชายคนนั้นทัน "นี่คุณ! คุณขับรถเกือบจะชนคนแล้วนะคะ แทนที่จะพูดขอโทษแต่คุณกลับมาไล่ให้ฉันไปตาย ถามจริงเหอะคุณ ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทบ้างหรือคะ ทำผิดก็ควรจะขอโทษสิคะ" ชายคนนั้นหันมาพร้อมกับใบหน้าที่เย็นชาพร้อมกับถ้อยคำที่เย็นชาไม่แพ้กัน "ถ้าอยากได้เงิน ไม่เห็นต้องโวยวายแบบนี้เลย เธออยากได้เท่าไร ฉันจะให้เธอเอง ได้เงินแล้วก็รีบไสหัวไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีก" พอพูดจบชายคนนั้นก็หยิบเงินจากในกระเป๋าสตางค์ออกมาเป็นแบงค์พันจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วขว้างมาใส่หน้าฉัน ในตอนนั้นเอง สติของฉันที่มีก็หลุดหายไปอีกครั้งพร้อมกับคำด่ามากมายนับไม่ถ้วนที่พ่นออกไปราวกับพ่นไฟ แต่ชายคนนั้นก็ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ยังค
“ทุกคนย่อมมีสิ่งที่ตนเองนั้นกลัวอยู่ในใจ แต่ถ้าวันใดเรากล้าเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น เราก็จะสามารถข้ามผ่านมันไปได้”ทันทีที่ประตูห้องประชุมเปิดขึ้น สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้ทำให้ร่างกายของฉันนั้นชาไปทุกส่วน เม็ดเหงื่อเป็นล้านๆเม็ดผุดขึ้นทั่วร่างกาย สายตาที่เย็นชาและดุดันจ้องมองมาที่ฉันพร้อมกับใบหน้าที่แสยะยิ้มชวนสยอง ทำให้ฉันขนหัวลุกราวกับเจอผี วินาทีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวไปในพริบตา หากนี่คือหนังเรื่องหนึ่ง ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้คือหนังสยองขวัญที่แท้จริง เสียงในใจของฉันมันได้แต่ร้องตะโกนว่า “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!!! ทำไมไอ้บ้านั่นมาอยู่ที่นี่ได้แล้วแถมยังเป็นประธานบริษัทนี้อีก” ท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องนั้นจู่ๆก็มีสียงที่ฟังแล้วชวนขนลุกพูดขึ้นมาว่า “นี่เธอน่ะ! ตามฉันมาถึงที่นี่เลยหรือ สงสัยเงินที่ฉันให้ไปคงไม่พอสินะ ถึงได้อวดดีปาใส่หน้าฉัน แล้วที่ตามฉันมาถึงที่นี่คงเพราะอยากจะได้เงินเพิ่มล่ะสิ คราวนี้อยากได้เท่าไหร่ล่ะบอกฉันมาฉันจะเขียนเช็คให้ พอได้แล้วก็รีบไสหัวไปให้ไกลๆหน้าฉันซะ อย่าให้ฉันต้องพูดอีกเป็นครั้งที่ 3” คำพูดนั้นทำเอาฉันอึ้งไปชั่วขณะ ในตอนนี้ในสมองอั
"ทุกเรื่องราวย่อมมีจุดเริ่มต้น และเมื่อเรื่องราวนั้นได้เริ่มขึ้น ก็ย่อมมีจุดจบเสมอ เพื่อที่จะเริ่มเรื่องราวบทใหม่ หรือจบเรื่องไว้เพียงเท่านั้น"ผมชื่อ ศรันย์ วิวัฒนพันธ์ อายุ 35 ปี เป็นประธารบริษัท เดอะวัน คอปอเรชั่น จำกัด รุ่นที่ 3 บริษัทนี้ถูกก่อตั้งโดยประธานรุ่นที่1 นั่นคือปู่ของผมเอง ปู่ตั้งใจว่าจะยกบริษัทนี้ให้กับพ่อของผม แต่ว่าดันเกิดปัญหาขึ้นเสียก่อน มันเป็นปัญหาที่เริ่มมาจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจริงๆแล้วผมต้องเรียกเธอว่า “แม่” แต่ทว่า เธอนั้นไม่เคยเห็นผมเป็นลูกของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอเห็นผมเป็นเพียงเครื่องมือที่จะใช้ต่อรองกับพ่อและปู่เท่านั้น เพราะผมคือลูกชายและหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูล วิวัฒนพันธ์ คุณปู่ของผมจึงทำข้อตกลงกับเธอด้วยการที่ขายผมให้กับตระกูลนี้ และเธอก็ต้องหายไปจากชีวิตของผมและพ่อตลอดไป เธอรับข้อเสนอนั้นพร้อมเงินก้อนใหญ่แล้วจากผมไป ก่อน ที่เธอจะหันหลังเดินจากไปเธอพูดกับผมว่า “ฉันไม่เสียใจที่ทิ้งแกให้อยู่กับคนพวกนี้เลยสักนิด เพราะแกเป็นตัวทำเงินให้กับฉัน จากนี้ไปแกก็ใช้ชีวิตให้ดีๆล่ะ” พูดจบเธอก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองผมเลย ไม่สนว่าผมจะร้องไห้ฟูมฟายขนาดไห
"ในชีวิตของคนเราจะมีสักกี่ครั้งที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตนรัก เมื่อโอกาสนั้นมาถึงจงรีบคว้าไว้อย่าให้หลุดมือไป เพราะสุดท้ายเราจะมานั่งเสียใจในภายหลัง"หนึ่งวันหลังจากที่ฉันไม่ผ่านการสัมภาษณ์งานที่บริษัทเดอะวัน ฉันก็เตรียมเก็บข้าวของเพื่อที่จะกลับเชียงใหม่ไปอยู่กับแม่ (กริ๊งงงงง...สายเรียกเข้าจากเพื่อนรักหมายเลข1) "ฮัลโหล! นี่แกอยู่ที่ไหน อยู่บ้านใช่ไหมเดี๋ยวฉันรีบไปหานะ รอฉันก่อนนะอย่าเพิ่งรีบหนีไปไหนล่ะ" ฉันกดรับสายก็จริงอยู่แต่ฉันยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไรสักคำเพื่อนรักของฉันคนนี้ก็รีบวางสายทันทีที่พูดจบ ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมฉันพิมพ์ชื่อเพื่อนคนนี้ว่าเพื่อนรักหมายเลข1 จริงๆแล้วฉันไม่ได้พิมพ์เองหรอกนะ เพื่อนของฉันเขาเป็นคนพิมพ์น่ะ เธอมีชื่อว่าจิน หรือจินตนา อาชีพคือนักข่าว เพราะชอบเผือกเรื่องของชาวบ้านเลยรักในอาชีพนี้ ครอบครัวจินเป็นหมอกันทั้งบ้านรวมถึง เจ็ท หรือเจตริน น้องชายฝาแฝดของจิน 2คนนี้คือเพื่อนรักของฉัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครคือเพื่อนรักหมายเลข2 จินกับเจ็ทถึงจะเป็นฝาแฝดกันแต่นิสัยต่างกันสุดขั้ว จินจะเป็นคนอารมณ์ร้อนชอบใช้กำลังในการแก้ปัญหา ส่วนเจ็ทจะเป็นคนใจเย็นทำอะไรมีสติอยู่เสม
หลังจากที่อีตาประธานนั่นยื่นสัญญาฉบับนั้นให้ฉันดู ฉันก็ได้แต่คิดวกไปวนมาเกี่ยวกับเงื่อนไขในสัญญานั้น ในสมองของฉันมันแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกฉันว่าอย่าทำเพราะคนเราจะแต่งงานกันได้มันต้องเกิดจากความรัก อีกฝ่ายหนึ่งบอกฉันว่าถ้าฉันตกลงหนี้ของพ่อทั้งหมดก็จะถูกชดใช้จนหมดและแม่ก็ไม่ต้องลำบากหาเงินเพียงคนเดียวเพื่อใช้หนี้ที่พ่อก่อขึ้น และอีกอย่างเราไม่ได้แต่งงานกันจริงๆเสียหน่อยเป็นแค่การแสดงเท่านั้นและอายุสัญญาก็แค่3เดือนเองหลังจากนั้นต่างคนต่างไป ในสมองของฉันตีกันจนวุ่นวายไปหมดจนฉันต้องตัดสินใจอะไรสักอย่างและฉันก็ตัดสินใจว่าฉันจะรับข้อเสนอนั้นโดยฉันจะเพิ่มเงื่อนไขลงไปใหม่เพื่อให้เกิดความเสมอภาคกันทั้งสองฝ่าย ฉันใช้เวลาในการร่างเงื่อนไขสัญญาอยู่พักใหญ่จากนั้นฉันจึงกดเบอร์โทรหาเลขาอีตาประธานนั่นเพื่อขอเจรจา "สวัสดีค่ะ ฉันมาริสาค่ะ ฉันจะขอเพิ่มเงื่อนไขในสัญญาสักหน่อยเพื่อให้เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย หากไม่ขัดข้องอีกสักครู่ฉันจะเอาสัญญาเข้าไปให้ค่ะ" เมื่อฉันพูดจบเสียงปลายสายก็ตอบกลับมาว่า "ท่านประธานกำลังรอคุณมาริสาอยู่เลยครับ ท่านบอกว่าไม่ขัดข้องอะไรที่จะเพิ่มเงื่อนไขในสัญญาครับ ท่านยังบอกอีกว
หลังจากที่เราได้เซ็นตกลงสัญญากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็ได้เวลาเปิดม่านแสดงละครฉากใหญ่โดยที่อีตาประธานนั่นเป็นคนเขียนบทละครนี้และฉันมีหน้าที่ต้องแสดงให้ดีที่สุด ฉันตัดสินใจเล่าให้จินกับเจ็ทฟังเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น แน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นโกรธมากแต่พวกเขาก็เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของฉัน ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่สองคนนี้คงมองว่าฉันเห็นแก่เงิน ไม่มีศักดิ์ศรียอมเอาตัวเองไปแลกเพื่อที่จะให้ได้เงินมา แต่เพราะเป็นสองคนนี้ที่เข้าใจและรู้ถึงเจตนาของฉันเป็นอย่างดี ฉันจึงอุ่นใจที่มีสองคนนี้เป็นเพื่อน เพราะไม่ว่ายังไงสองคนนี้ก็จะอยู่เคียงข้างฉันเสมอ หนึ่งวันหลังจากเซ็นสัญญาอีตานั่นก็ซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับเชียงใหม่ทันทีและลากฉันไปด้วยเพื่อที่จะไปคุยกับแม่และยายของฉัน เมื่อมาถึงเชียงใหม่เราสองคนก็ตรงไปยังบ้านฉันทันทีในระหว่างที่เดินทางนั้นฉันได้แต่คิดในใจว่าจะบอกแม่กับยายยังไงดีไม่ให้ท่านทั้งสองตกใจ เพราะฉันไม่เคยบอกเรื่องแฟนกับพวกท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียวแต่จู่ๆก็พาผู้ชายมาบ้านแถมยังมาบอกเรื่องแต่งงานอีกท่านทั้งสองไม่ช็อคก็ให้มันรู้ไป เราใช้เวลาเดินทางไม่นานนักจากสนามบินมาที่บ
หลังจากที่ทานอาหารกับแม่และยายเสร็จแล้วเราก็ต้องรีบกลับทันที ถึงแม้ว่ายายฉันจะขอร้องให้อยู่ต่ออีกนิดแต่อีตาบ้านั่นก็ปฏิเสธเสียงแข็งในทันที ในขณะที่ฉันกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถก็มีเสียงตะโกนเรียกมาจากที่ไกลๆ "ริสาเดี๋ยวก่อน! รอพี่ก่อน!" ฉันจึงหันไปมองตามเสียงเรียกนั้น จู่ๆก็มีร่างของผู้ชายคนหนึ่งกระโจนเข้ามากอดฉัน อ้อมกอดที่อบอุ่นและอ่อนโยนแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่หมอก รักแรกและรักเดียวของฉันแต่ฉันก็รู้ว่าเขาคิดกับฉันเป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น เขาจึงอยู่ในฐานะพี่ชายที่แสนดีของฉัน "พี่นึกว่าจะไม่ใช่ริสาแล้วเสียอีก นึกว่าทักคนผิด เพราะริสาของพี่โตขึ้นมากและก็สวยมากด้วย" พอพี่หมากพูดจบประโยคก็มีมือมากระชากแขนฉันจนถอยห่างจากพี่หมอก มือนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอีตาประธานนั่น "ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครและกล้าดียังมากอดว่าที่ภรรยาของชาวบ้านเขากันน่ะครับ" โอ้พระเจ้า! น้ำเสียงที่เย็นชาและเชือดเฉือนอารมณ์นี่มันอะไรกัน ถ้าหากว่าเราเป็นคนรักกันจริงๆฉันคงคิดว่าเขาคงจะหึงฉันเป็นแน่ แต่เพราะนี่คือการแสดงฉันเลยไม่รู้สึกอะไร "ต้องขอโทษด้วยครับ ผมเป็นพี่ชายของริสานะครับชื่อเมฆา แต่จะเรียกหมอก
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ วันเวลาผ่านไปได้สองเดือนครึ่งแล้วหลังจากที่เราแต่งงานกัน เหลือเวลาอีก15วันเท่านั้น สัญญาของเราสองคนก็จะจบลงวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันตื่นมาตามปกติ แต่ที่แปลกไปจากเดิมก็คือ ฉันลืมตามมาเจอเขานอนอยู่ข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้และพูดทักทายฉันว่า "อรุณสวัสดิ์ ตื่นเสียทีนะยัยขี้เซา ฉันมานอนอยู่ข้างๆตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวอีก ถ้าเกิดว่ามีใครทำมิดีมิร้ายกับเธอจะทำยังไง" มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน แล้วทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ข้างๆฉันได้หล่ะ? พอคิดได้อย่างนั้นฉันเลยถามออกไป "แล้วคุณเข้ามาห้องฉันได้ยังไงคะ แถมยังมานอนข้างๆฉันอีก นี่คุณคิดจะทำอะไรฉันคะ ไม่ได้นะคุณ! ถึงเราจะเป็นสามีภรรยากันก็จริง แต่มันก็แค่ในนาม คุณไม่มีสิทธิทำอะไรฉันนะคะ" พอฉันพูดจบเขาก็หัวเราะลั่นและพูดว่า "นี่เธอ! เพี้ยนหรือเปล่า? นี่บ้านฉัน ฉันก็ต้องมีกุญแจไขเข้ามาอยู่แล้ว ที่ฉันเข้ามาเพราะฉันเคาะประตูเรียกเธอตั้งนานแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรเลยรีบเข้ามาดู แต่เห็นเธอยังนอนกรนอยู่แถมละเมอด้วย และฉันขอบอกตรงนี้เล
เมื่อเราสองคนได้ของขวัญและชุดที่จะใส่ไปออกงานแล้ว เราก็เดินทางไปสถานที่จัดงานทันที เราเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่ง ที่เหมือนกับคฤหาสน์ที่ดูหรูหราเหมือนกับในละคร ทางเข้าสองข้างทางมีดอกไม้หลากสียาวไปจนถึงตัวคฤหาสน์ ข้างหน้าก่อนเข้าไปในตัวอาคารมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ทุกอย่างมันเหมือนกับเราอยู่ในฉากละครฉากหนึ่ง ที่เป็นฉากของพวกไฮโซมางานเลี้ยงกัน ทุกคนแต่งตัวจัดเต็มไม่มีใครยอมใคร ทั้งหญิงและชายแต่งตัวดูดีกันทุกคน เมื่อเราสองคนเดินเข้าไปในงาน สิ่งที่ฉันเห็นคือ ความสวยงามอลังการงานสร้าง ยิ่งกว่าอยู่ในละครเสียอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ของแพงๆ จะหยิบจะจับอะไรทีต้องระวังอย่างมาก เพราะกลัวว่าถ้าทำพังจะไม่มีปัญญาจ่าย ในขณะที่ฉันกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น เขาก็จับมือฉันและพูดว่า "อย่ายืนอึ้งนาน ถึงเธอจะทำอะไรพังก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันชดใช้ให้ เราไปหาคุณปู่กันเถอะ" เขาพูดพร้อมยิ้มเยาะฉัน และเราก็เดินไปหาคุณปู่เพื่อมอบของขวัญให้ "คุณปู่สวัสดีค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณปู่ ริสาขอให้คุณปู่มีอายุยืนนานอยู่กับหลานๆไปนานๆนะคะ" ฉันกล่าวสวัสสดีพร้อมอวยพรท่าน และท่านก็หัวเราะชอบใจและ
ตอนเป็นเด็ก ฉันเคยฝันอยากเป็นเจ้าหญิงที่ได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงามและครองรักกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน แต่พอฉันเติบโตขึ้น จึงทำให้ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ในชีวิตจริงการที่เราได้พบเจอคนดีๆสักคน คนที่เขารักเราจริงไม่ทิ้งเราไปไหนไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ถ้าฉันได้เจอกับคนๆนั้นฉันจะรักษาเขาไว้ให้ดีที่สุดในขณะที่ฉันกำลังฝันถึงเจ้าชายรูปงามที่กำลังจะได้จุมพิตกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝัน "กริ๊งงงงงงงงง" มันเป็นเสียงโทรศัพท์นั่นเอง แล้วฉันก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ใกล้ๆฉัน ฉันจึงลืมตาขึ้นดู แล้วฉันก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของใครสักคน ฉันจึงนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ ฉันจึงได้รู้ว่าอ้อมแขนนี้เป็นของใครและนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ฉันจึงค่อยๆขยับตัวลุกออกมาจากตรงนั้น แต่ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "ตื่นแล้วหรือ หลับสบายไหมยัยขี้เซา" ครั้งนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วละลาย ทำให้ฉันเคลิ้มไปอยู่ครู่หนึ่ง "ขอโทษนะคะ ที่ฉันมานอนตรงนี้ คุณคงจะอึดอันน่าดู ฉันจะรีบกลับห้องตัวเองเด
จากคำพูดที่เขาพูดมาเมื่อกี้นี้ทำให้ฉันรู้สึกสับสนไปหมด ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกมากันนะ ในใจฉันได้แต่สงสัย แต่ฉันก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อนเพราะตอนนี้เรามีคนเมาสองคนที่ต้องดูแลฉันให้เจ็ทช่วยพยุงเขาขึ้นไปบนห้อง เจ็ทก็แบกไปบ่นไป "โอ๊ย! คนอะไรตัวหนักเป็นบ้า กินอะไรเข้าไปเนี่ยพ่อคุณ นี่ฉันเป็นหมอนะไม่ใช่กรรมกรแบกหาม ทำไมฉันต้องมาแบกคนเมาถึงสองคนเลยเนี่ย" ฉันจึงหันไปบอกกับเจ็ทว่า "หรือแกจะให้ฉันแบกเขาขึ้นมาคนเดียวห๊ะ! แกดูตัวฉันและดูตัวเขา ขืนฉันแบกคนเดียวก็ได้โดนเขาทับแบนกันพอดี" ฉันพูดสวนกลับเจ็ทจึงเงียบไป ฉันกับเจ็ทพาเขามานอนที่เตียงจากนั้นก็ลงไปดูยัยจินต่อ สภาพยัยจินดูไม่เป็นท่าเจ็ทเลยพายัยจินกลับก่อนเพราะกลัวว่ายัยจินจะลุกขึ้นมาโวยวายอีกเมื่อเจ็ทกับจินกลับกันไปแล้วฉันจึงขึ้นไปดูคุณศรันย์ เมื่อฉันเดินขึ้นมาถึงห้อง ภาพที่ฉันเห็นคือเขานอนขดตัวเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ฉันจึงเผลอยิ้มออกมาด้วยความน่ารักของเขา ฉันไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเห็นภาพแบบนี้มาก่อน เพราะอย่างที่รู้กัน เขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ท่าทางน่ากลัวน่าเกรงขาม ใครจะคิดว่าคนแบบนี้พอเมาแล้วจะน่ารักขนาดนี้ ฉันเดินไปหย
เมื่อเราได้ร่ำลาพี่มีนาเสร็จแล้วเราสองคนก็เดินทางกลับกรุงเทพฯทันที เมื่อมาถึงเราก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนเมื่อฉันเปิดประตูห้องได้ก็รีบทิ้งตัวลงบนที่นอนทันที ราวกับคนที่เหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงและไม่อยากขยับตัวทำอะไรทั้งนั้น ฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กริ๊งงงงงงงง!!!! สายเรียกเข้านั้นเป็นของเพื่อนรักหมายเลข1ฉันจึงรีบกดรับสายทันที "ฮัลโหล ฉันรู้ว่าแกกลับมาจากเชียงใหม่แล้ว ฉันกับเจ็ทกำลังไปหาแก ตอนที่แกไม่อยู่เจ็ทมันบ่นคิดถึงแกมากจนฉันรำคาญเลยต้องพามันมาหาแก อีก10นาทีเจอกันฉันใกล้จะถึงบ้านแกแล้ว" แล้วนางก็กดวางสายไปโดยที่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเหมือนเคย 10นาทีผ่านไปจินกับเจ็ทก็มาถึง เมื่อทั้งสองเห็นฉันจึงรีบวิ่งเข้ามากอดทันที ในขณะที่เราสามคนกำลังกอดกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงตะโกนมาจากข้างบนชั้นสองว่า "ทำอะไรกันหน่ะ! เอะอะโวยวายเสียงดังน่ารำคาญ แล้วนี่อะไร มายืนกอดกันอย่างกับไม่เจอกันเป็น10ปี แล้วนายหน่ะกล้าดียังไงมากอดภรรยาของคนอื่นเค้าห๊ะ!" เสียงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณเจ้าของบ้าน เมื่อเขาพูดจบก็รีบวิ่งลงมาแล้วผลักเจ็ทกระเด็นออกไปทันที แล้
หลังจากที่ผมได้เจอกับมีนาอีกครั้งผมตั้งใจว่าวันนี้จะลาเธอครั้งสุดท้ายแล้วกลับกรุงเทพฯ แต่ว่าคุณยายของมาริสาท่านขอให้เราอยู่ต่อและผมคิดว่าผมควรจะให้เธออยู่ต่อเพื่อเป็นการขอบคุณเธอที่พาผมมาที่นี่ ตอนแรกเธอจะให้ผมกลับไปก่อนแล้วเธอจะตามไปทีหลังแต่เพราะว่ามีบางอย่างกวนใจผมอยู่ผมจึงไม่อยากให้เธออยู่ที่คนเดียว บางอย่างที่ว่าก็คือพี่ชายข้างบ้านที่ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆเธอจนผมรู้สึกรำคาญวันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส เธอจึงชวนผมไปเที่ยวถ่ายรูปด้วยกัน ผมก็ไม่ได้อยากไปสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่อยากให้เธอต้องไปเพียงลำพังจึงยอมไปเป็นเพื่อนเธอ เมื่อมาถึงที่หมายเธอก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ เหมือนเด็กน้อยที่พ่อพามาเที่ยวไม่มีผิด ผมเห็นท่าทีของเธอแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไมผมจึงหุบยิ้มไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เธอหันมา นี่เป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายปีของผมมันจึงทำให้รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน ผมเฝ้ามองเธออยู่ไม่ไกล เธอวิ่งเล่นไปมาจนเริ่มหมดแรง เธอจึงชวนผมหาที่นั่งพักทานอาหารกลางวันกัน เราเดินไปเจอที่ๆหนึ่งใกล้ธารน้ำจึงตัดสินใจนั่งพักกันที่นั่น เธอถามผมว่าจะทานอะไร ผมจึงบอกไปว่าขอกาแฟแก้วเดียวก็พอแต่
เมื่อผมได้รับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการที่มีนาหายตัวไป ผมยอมรับว่าผมเสียใจเป็นอย่างมากมันเหมือนโลกที่พังทลายไปแล้วพังซ้ำอีกจนไม่เหลืออะไรเลย ขาสองข้างไร้เรี่ยวแรงที่จะยืน ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจมาหลายปีก็ระเบิดออก นานแล้วที่ผมไม่ได้ร้องไห้จนเหมือนคนเสียสติขนาดนี้ ผมร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สนใจใคร แต่เพราะมีอ้อมแขนที่อบอุ่นมาโอบกอดผมไว้จึงทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ และเพราะคำพูดสั้นๆที่บอกให้ผมร้องไห้ออกมามันทำให้ผมกล้าที่จะปลดปล่อยความทุกข์ ความเศร้า ความเจ็บปวดและทรมานออกมาจนหมด ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้เธอคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ชอบเธอเลยด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นเพราะจริงๆแล้วในตอนนั้นผมแค่โกรธคนอีกคนและพาลมาลงที่เธอเพียงเพราะเธอเหมือนใครคนนั้น เธอชวนผมให้ไปหามีนาที่เชียงใหม่ ตอนแรกผมก็ทำใจลำบากเพราะรู้ว่ามีนาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ผมจำเป็นต้องไปเพื่อขอโทษเธอด้วยตัวเอง ขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไปและโกรธแค้นเธอทั้งที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย เมื่อมาถึงที่เชียงใหม่เราก็ไปพักค้างคืนที่บ้านของมาริสา ในระหว่างที่เธอเอาของไปเก็บผมก็เดินเล่นรอบๆบ้านแ
หลังจากที่ฉันพาเขามาเจอพี่มีนาและคืนของทุกอย่างให้กับเขา เราก็จะเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯแต่ยายของฉันท่านขอร้องให้เราอยู่กันต่ออีกหนึ่งวันเพราะท่านคิดถึงฉันมากและฉันเองก็อยากอยู่ต่อด้วย ฉันจึงบอกให้เขากลับไปก่อนแล้วฉันจะตามกลับไปทีหลังแต่เขาไม่ยอมกลับคนเดียวเราจึงต้องอยู่ที่นี่กันต่ออีกหนึ่งวัน วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสไร้เมฆหมอกจึงทำให้เหมาะแก่การเที่ยวถ่ายรูปเป็นอย่างมาก ฉันจึงชวนเขาออกไปเที่ยวถ่ายรูปด้วยกันเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ทีแรกเขาก็ไม่ยอมไปแต่ฉันคะยั้นคะยอจนเขายอมไปด้วย ที่ๆเราจะไปเป็นภูเขาที่มีธารน้ำจากน้ำตกไหลผ่านและถ้าเดินขึ้นไปบนยอดน้ำตกก็จะมองเห็นวิวที่สวยงามมาก ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยวจึงร่าเริงเป็นพิเศษ เมื่อมาถึงที่หมายฉันก็กระโดดโลดเต้นและซุกซนเหมือนเด็กๆ ฉันหันไปมองเขาที่เดินตามหลังมา เขาแอบยิ้มเล็กน้อยที่เห็นท่าทีของฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขายิ้มออกมา ในที่สุดความเศร้าและความเจ็บปวดที่มีในใจเขามันก็ได้บรรเทาลง แม้มันจะเล็กน้อย ฉันวิ่งไปทั่วป่าเพื่อที่จะถ่ายรูปต้นไม้ ดอกไม้ ธารน้ำและสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในป่า ในขณะที่ฉันถ่ายรูปอยู่เพลินๆและฉัน
"ปีศาจ คำที่ใช้เรียกสิ่งท่าเกลียดน่ากลัว สิ่งที่ดูชั่วร้าย คำๆนี้มีใครหลายคนที่ใช้เรียกแทนผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เย็นชา ดุร้าย และดูน่ากลัว แต่ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าฉันเขากลับไม่เป็นอย่างที่ใครต่อใครเขาเรียกกันอีกต่อไป..." หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเขาก็ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นและมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและทรมาน เขาร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สนว่าฉันยืนอยู่ตรงนั้น แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ฉันจะปลอบใจเขาอย่างไรถึงจะคลายความเจ็บปวดนั้นได้ ความเจ็บปวดที่อัดอั้นมาตลอดหลายปีวันนี้มันถึงเวลาที่ได้ปลดปล่อยออกมาเสียที ฉันนั่งลงตรงหน้าเขาและโอบกอดเขาอย่างแผ่วเบา ฉันใช้มือคู่นี้ของฉันลูบหลังของเขาและบอกกับเขาว่า "ร้องออกมาค่ะ ร้องออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันจะอยู่ตรงนี้ข้างๆคุณเองค่ะ" เมื่อฉันพูดจบเขาก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เริ่มหยุดร้องไห้และบอกกับฉันว่า "ขอบใจนะ ขอบใจที่เธอเล่าให้ฉันฟัง ฉันโทษผู้หญิงคนนั้นมาตลอดว่าทิ้งฉันไปทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ และถึงแม้ว่าการที่ได้รู้ว่าเธอไม่อยู่บนโลกนี้มันจะทำให้ฉันยิ่งเจ็บปวดก็ตาม แต่ฉันก็ดีใจที่ได้รู้เรื่องราวของเธอคนนั