“เข่อซิง” เขาพยายามบังคับสายตาให้หันไปทางอื่น แต่พบว่าไม่อาจละสายตาจากใบหน้างามที่ระบายยิ้ม รวมถึงผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส และบัวคู่งามที่ปริ่มน้ำ
“ข้าอยากแช่น้ำกับท่าน” นางรีบร้อนกลัวเขาหนีไปก่อนจึงกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงเพื่อลดเวลาเปลื้องเสื้อผ้า แต่นางลืมไปว่าเมื่อนางคืนร่างมนุษย์ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า
“เข่อซิง” นางจะรู้หรือไม่ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดไม่ให้ตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรทำ “หากเข้าเมืองหลวงแล้ว อย่าทำเช่นนี้อีก ผู้อื่นจะมองเจ้าไม่ดี”
“ไม่ดีอย่างไร ท่านเป็นนายของข้า ข้าต้องปรนนิบัติดูแลท่าน อ๊ะ!” นางร้องอย่างนึกได้
“มีเรื่องใด”
“รอประเดี๋ยวนะ” นางว่ายน้ำกลับไปที่กองเสื้อผ้า หยิบขวดสุรายาที่ซุนเจ้าเฟิงให้ไว้แล้วกลับมาหาเขา
เห็นขวดก็รู้ว่าเป็นสุรา แต่นางไปได้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเอามาจากหอชมบุหลันเหมือนยาบำรุงเลือดลมอะไรนั้นอีก นั้นทำให้หานหรงเหยาผงะหนี แต่เข่อซิงกลับคิดว่าเขาคงกลัวกินยาเช่นที่ผ่านมา นางจึงรีบยกสุราขึ้นจิบหมายใช้ปากป้อนสุราให้หานหรงเหยา แต่เพราะรสสุราแผดร้อนทำเอานางกลั้นไม่อยู่เผลอกลืนลงคอไปทันที
“อ๊า! ร้อนจัง”
“เจ้าดื่มอะไรลงไป” คราวนี้ชายหนุ่มรีบเข้ามาประคองโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะไร้อาภรณ์ปกปิดร่างกาย
“สุรา...สุรายา” นางไอออกมาอีกหลายที แต่รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่าง “เจ้าคนนิสัยไม่ดีให้ข้าไว้ บอกให้ท่านดื่มเพื่อบำรุงหัวใจ ข้า...ข้าจะใช้ปากป้อนให้ท่านแต่เผลอกลืนไปเสียก่อน”
หานหรงเหยาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เจ้าคนนิสัยไม่ดีนั้นคือซุนเจ้าเฟิงสินะ นี่คงหมายใจให้นางมอมสุราเขาสินะ เขาส่ายหน้าไปมาแล้วยื่นมือไปหมายจะลูบหลังให้นาง แต่หลิวเข่อซิงยื่นมือมาคล้องคอเขาไว้ จ้องมองด้วยแววตาหวานเชื่อม
“เข่อซิง” กินไปอึกเดียวจะเมาแล้วหรือ? ท่าทางสุรารสแรงจริง ซุนเจ้าเฟิงคิดอะไรกันถึงให้สุรานี้
“ข้าจะปรนนิบัติท่านเอง” นางกรอกสุราใส่ปากตนอีกอึก คราวนี้มุ่งมั่นไม่เผลอกลืนลงคออีก ขวดสุราตกลงในบ่อน้ำพร้อมกับมือเรียวที่ยกขึ้นประคองใบหน้าเขาไว้ ดวงตาชายหนุ่มเบิกกว้างเมื่อนางประกบริมฝีปากแล้วเป็นฝ่ายป้อนสุรารสหวานละมุนมันแต่ซ่านไปทั่วลิ้น
นี่มัน...
“เข่อซิง” เขาดันร่างนางออก ปลายนิ้วที่สัมผัสเรือนร่างรับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่กระจายไปทั่วร่าง นางจุมพิตเขาเพื่อกลืนกินพลังชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าแต่ละครั้งนางทำให้เขาแทบยั้งใจไม่อยู่ ความปรารถนาจะครอบครองมีมากขึ้นทุกครั้ง แต่ความไร้เดียงสาของนางทำให้ไม่กล้าทำสิ่งใดไปมากกว่านี้
“เจ้าเมาแล้ว”
“เมาได้อย่างไร ข้าไม่ได้ดื่มสุรา..” กลิ่นกายของเขาทำให้นางใช้จมูกสูดดมซอกคอ อยากใกล้ชิดมากจนเป็นฝ่ายนั่งคร่อมตัก ร่างอิ่มเอิบบดเบียดแผงอกกำยำ
“เข่อซิง” ทรวงอกขาวผ่องทำให้เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เลือดในกายเดือดพล่านยากจะควบคุม
ไม่สิ
ไม่ถูกต้อง
เขาเป็นคนควบคุมความต้องการของตนเองได้อย่างดีเยี่ยมมาตลอด ทำไมครั้งนี้เขาถึงไม่อาจต้านทานความต้องการนี้ได้
หรือว่า สุรานั้น....
“เข่อซิง...เจ้าต้อง...”
“ข้าชอบ...” นางครางเสียงหวานขณะที่ขยับร่างเสียดสีกับกายแกร่ง
“เจ้าชอบ...ชอบอะไร” เขาแทบไม่กล้ามองนางกำลังแทะเล็มผิวกายของเขา
“ชอบที่ได้แนบชิดเช่นนี้” นางพูดเสียงหวานฟังคล้ายเป็นเสียงคราง “ท่านน่ากินมาก อยากกินไปทั้งตัว”
“เข่อซิง เจ้าถูกมอมยาแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่มีสติ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาที่จ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว “ข้าอยากสัมผัสท่าน แต่ข้ากลัว..”
“กลัว...กลัวสิ่งใด”
“ข้ากินพลังชีวิตท่านก็เท่ากับชีวิตท่านเหลือพลังลดน้อยลง หากข้า...ข้าทำมากกว่านี้...กลืนกินพลังหยางของท่าน ท่านก็จะยิ่ง...ยิ่งชีวิตสั้นลง... แต่ข้าอยากให้ท่านอยู่...อยู่กับข้านานๆ”
“เจ้ากลัวข้าจะจากไปเร็วอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ ... ข้าไม่รู้ว่าถ้าไม่มีท่านอยู่แล้ว ข้าจะใช้ชีวิตอย่างไร” นางเงยหน้าขึ้นมองเขา “หากข้าไม่กินพลังชีวิตของท่าน ข้าก็ต้องกินพลังชีวิตของผู้อื่น แต่ข้า...ข้าไม่ชอบ ไม่อยากสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวผู้ใด ข้าสับสนไม่รู้จะทำเช่นไรดี ศิษย์พี่บอกว่า เราเป็นปีศาจห้ามมีความรู้สึกผูกพันกับมนุษย์ แต่ข้า...ข้า...”
ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ ริมฝีปากก็ถูกประกบอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา เขาขบเม้มริมฝีปากนางหยอกเย้าจนเผลอขึ้นให้เขาแทรกลิ้นร้อนเข้าไปกวาดชิมความหอมหวาน ร่างบางอ่อนระทวยสองมือคล้องคอไว้แต่ฝ่ามือกร้านลูบไล้แผ่นหลังอย่างอ่อนโยน ทว่าปลุกให้รุ่มร้อน เข่อซิงรู้สึกหัวสมองขาวโพลงไปหมด ทุกครั้งที่นางจูบเขาเพื่อกินพลังชีวิต เขาไม่เคยโต้ตอบนาง ปล่อยให้นางกลืนกินจนหนำใจแล้วผละออก แต่ครั้งนี้ จุมพิตของเขาร้ายกาจเหลือเกิน เกี่ยวกระหวัดพันลิ้นจนหอบครางอย่างไม่รู้ตัว ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังเลื่อนไปยังบั้นเอวและบางสิ่งแข็งขันดุนดัน เมื่อครั้งอยู่หุบเขาจื่อเซ่อและหอชมบุหลัน นางเรียนรู้เรื่องระหว่างชายหญิง กระทั้งเคยแอบดูบรรดาศิษย์พี่เสพสังวาสกับบุรุษเพื่อกินพลังหยาง แต่นางหวาดกลัวเกินไป นั้นทำให้นางได้แต่ร้องขอกินเศษพลังชีวิตจากบรรดาศิษย์พี่โดยทำงานรับใช้แลกเปลี่ยน
แต่นางกลับไม่เคยกลัวหรือรังเกียจหานหรงเหยา นางรู้ว่าเขาต้องอดทนกับความสมองทึบของนาง กว่าจะสั่งสอนให้ทำอะไรได้แต่ละอย่างนั้นแสนยากเย็น และเขายังคอยดูแลนางอย่างดี ไม่เคยรังเกียจแม้นางอยู่ในร่างจิ้งจอกแดง นางรู้ว่าร่างกายของเขาค่อนข้างเย็นกว่าคนทั่วไป ยามค่ำคืนจึงคืนร่างเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อย แล้วแอบย่องขึ้นเตียงให้ขนนุ่มเพิ่มความอบอุ่นให้เขา นางชอบเสียงหัวเราะของเขา ยอมเป็นทำตัวโง่งมให้เขาได้หัวเราะ นางรู้ วันคืนของเขาลดน้อยลงทุกที แต่นางกลับปรารถนาให้เขาอยู่ต่อไป อีกวัน อีกวันและอีกวัน นางไม่อยากกินพลังชีวิตของเขาอีก แต่ก็ไม่อาจห้ามใจให้ไปจากเขาได้ ความรู้สึกเหล่านี้มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
“เข่อซิง”
เสียงแหบพร่าของเขาเรียกสตินาง นั้น...นั้นเสียงของเขาหรือ? เขาเรียกชื่อนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อย แต่นั้นก็ทำให้นางตาพร่าไปชั่วขณะ “ข้าต้องการเจ้า” “แต่...” เขารวบนางมากอดไว้ นานเหลือเกินที่หัวใจเขาไม่เคยเปิดรับใคร เขาโกรธหลัวซู่เหมยไม่ได้ สภาพร่างกายเขาไม่ว่าหมอกี่คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี หากนางแต่งงานกับเขาก็กลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เป็นเขาที่ชิงชังตนเองในสภาพนี้ กระทั้งวันนั้นที่สะพานข้ามคลอง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนวิ่งมาสวมกอดจากด้านหลัง ไออุ่นของนางขับไล่ความหมองหม่นในใจ แววตาสุกใสราวกับฉุดเขาขึ้นจากบ่อน้ำลึกที่พยายามปีนป่ายขึ้นมาหลายปี แม้รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ นางไม่เหมือนปีศาจอย่างที่เคยได้ยินหรืออ่านจากหนังสือทั่วไป นางใสซื่อและไร้เดียงสา เขาไม่เคยรู้เลยว่าการมีชีวิตแต่ละวันจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อมานางเข้ามา ชีวิตที่มีนางอยู่ใกล้ มันช่างดีเหลือเกิน “หรือเจ้า...ไม่ต้องการข้า..” “ข้าต้องการท่าน!” นางส่ายหน้าไปมา “มีเพียงท่าน...ที่ข้าต้องการ...” ริมฝีปาก
องครักษ์ที่ซุนเจ้าเฟิงให้อารักขารถม้าของหานรถเหยานำหน้ามาก่อน ทหารสองนายลงจากหลังม้าประสานมือคารวะหานกั๋วกงแล้วตามด้วยคุณชายทั้งสอง แล้วหันกลับไปรอรถม้าที่เคลื่อนมาอย่างช้าๆ จนหยุดที่ประตูจวนสกุลหานชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้าลง ใบหน้าอ่อนโยนคลี่ยิ้มละมุนแล้วคารวะบิดา“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ น้องเล็ก”“พี่รอง!” หานหลี่เจี๋ยปราดเข้าไปรับพี่ชาย “ในที่สุดพี่รองก็กลับมาเสียที”“ท่านแม่เล่า” หานหรงเหยาอดถามถึงมารดาไม่ได้“ท่านแม่ไม่ค่อยสบาย รอเจ้าอยู่ด้านใน” หานลี่จูยื่นมือไปตบไหล่น้องชาย พลันรู้สึกว่าแขนของหานหรงเหยาเต็มไปด้วยความเนื้อจนอดบีบแรงๆไม่ได้“พี่ใหญ่” หานหรงเหยาประหลาดใจที่หานลี่จูบีบต้นแขนตน แต่เพียงครู่เดียวมือข้างนั้นก็ปล่อยออกแล้วเปลี่ยนมาจับชีพจรของเขาแทน“มีอะไรรึพี่ใหญ่” หานหลี่เจี๋ยรู้ดีว่าพี่รองสุขภาพไม่ดีนักแต่เห็นพี่ใหญ่จับชีพจรหน้าบ้านเช่นนี้ก็อดเป็นกังวลไม่ได้“ไม่มีอะไร” หานลี่จูยิ้มกว้าง “อยู่ชายแดนคงลำบากไม่น้อย”“ไม่เลย หากไม่นับเรื่องการศึกแล้ว นับว่าเงียบสงบและงดงามไม่น้อย”“รู้อย่างนี้ข้าตามพี่รองไปด้วยก็ดี” หานหลี่เจี๋ยยิ้มทะเล้น“พอแล้วๆ เข้าไปคุยในบ้านเถิด แม่เ
มารดาเห็นสายตาของลูกชายและลูกสะใภ้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าพาใครมาด้วยรึ”“ท่านแม่ นางคือ...”“ข้าหลัวเข่อซิง เป็นสาวใช้ของนายท่านเจ้าค่ะ ข้ามาจากชายแดน หากทำกิริยาไม่เหมาะสมขอได้โปรดลงโทษเบาๆ นะเจ้าคะ ข้าเป็นคนเรียนรู้ไว้ จะพยายามไม่ทำผิดเป็นครั้งที่สองสามสี่ห้า”นางพูดรวดเร็วเกรงว่าหานหรงเหยาจะแย่งนางพูดอีก นางจะทำตัวเป็นภาระไม่ได้ แต่ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา“นางตลกดี” หานหลี่เจี๋ยหัวเราะเสียงดัง“หลี่เจี๋ยอย่าเสียมารยาท อย่างไรนางก็เป็นคนของหรงเหยา” หานลี่จูเอ่ยปรามน้องเล็ก แต่สายตายังคงมองที่ภรรยา ราวกับประโยคนี้เขาพูดกับนางมารดาแปลกใจที่เห็นบุตรชายคนรองพาสตรีเข้าบ้าน แม้ปากพูดว่าเป็นหญิงรับใช้ กิริยามารยาทไร้ความเรียบร้อย แต่รูปร่างอรชรและใบหน้างดงามยิ่งนัก ซ้ำยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ไหมสีแดงสวยสดไม่ใช่ชุดของสาวใช้เลยสักนิด เอาเถิด ถ้าปรนนิบัติดูแลลูกชายของนางได้ดี นางก็ไม่คิดก้าวก่าย“เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด สักประเดี๋ยวมากินข้าวด้วยกัน” คนเป็นพ่อพูดขึ้น เขาเป็นบุรุษการเห็นบุตรชายมีสตรีข้างกายก็ไม่นับว่าแปลกอันใด บ้านไหนก็มีสตรีอุ่นเตียงกัน
แค่คิดว่าข้างกายไร้เงาซุกซน หัวใจก็เจ็บแปลบอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ็บปวดมากกว่าครั้งที่เขาสูญเสียหลัวซู่เหมยไปเสียอีก เขาต้องหาทางพูดกับบิดามารดาเรื่องฐานะของหลิวเข่อซิง เพราะไม่ต้องการให้นางเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายอีกแล้ว หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานใบหน้าระบายยิ้มดูงดงามราวเทพธิดาเดินตามแผ่นหลังของคุณชายรองสกุลหาน บ่าวไพร่ต่างลอบมองด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดเรื่องนี้ หานหลี่เจี๋ยเห็นหลิวเข่อซิงเดินตามหลังพี่รองด้วยสายตาตื่นตะลึง แม้เขาไม่ใช่บุรุษเสเพล แต่พบหญิงงามมาไม่น้อย แอบย่องเข้าหอนางโลมก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยพบหญิงงามอย่างหลิวเข่อซิงมาก่อน เขารู้สึกโง่เขลาที่ไม่อาจบรรยายความงามนี้ได้ นางดูไร้เดียงสาและเย้ายวน แม้นางเอ่ยย้ำฐานะว่าเป็น ‘สาวใช้’ แต่เขาเชื่อว่าฐานะของนางในใจพี่รองต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน “สำรวมหน่อยหลี่เจี๋ย” หานลี่จูส่ายหน้าไปมาแล้วพยักหน้าให้หานหรงเหยา “ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเช่นนี้นานมากแล้วจริงๆ” “อืม” หานหรงเหยาขานรับเบาๆ สามปีแล้วที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัว
“รู้สึกว่าสุรายาที่ข้ามอบให้จะทำให้เจ้าแข็งแรงขึ้นจริงๆ”ซุนเจ้าเฟิงอดหยอกสหายไม่ได้ ความจริงเรื่องระหว่างหานหรงเหยากับหลิวเข่อซิงนั้น องครักษ์ที่เขาทิ้งไว้ให้นั้นส่งข่าวมารายงานเป็นระยะๆ แม้ใจอยากเห็นกับตาแต่ก็ต้องทนอดกลั้นไว้ เพราะเกรงว่าสหายจะหน้าบางไม่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้คุ้มค่า “เจ้านี่นะ” หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ “ความจริงข้าตั้งใจไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่เห็นสีหน้าเจ้าในเวลานี้คงไม่มีอะไรให้กังวล เรื่องเจ้ากับหลัวซู่เหมยคงกลายเป็นอดีตไปแล้วสินะ” “ข้ากับนางจบไปนานแล้ว ยามนี้นางคือพี่สะใภ้ข้าและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป” “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ อยู่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ อยากกลับชายแดน จะกลับไปทำแผนที่หุบเขาจื่อเซ่อให้สำเร็จ” “เจ้าจะกลับชายแดนรึ” หานหรงเหยาเบิกตากว้าง “อืม แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยากให้ข้าอภิเษก แต่ข้ายังไม่เจอสตรีถูกใจ”‘สตรีที่เลือกให้ แค่เห็นก็ทำให้ปวดหัว คนอย่างซุนเจ้าเฟิงจะหาสตรีถูกใจไม่ได้เชียวรึ’ “เจ้าจะกลับเมื่อใดกัน” “นี่ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิ
“พี่ใหญ่เคยเชิญท่านหมอมาตรวจพี่สะใภ้แล้วหรือ?” “อืม ก็ให้นางกินยาบำรุงร่างกาย ข้าคิดว่าถ้าเชิญหมอหลวงมาตรวจสุขภาพเจ้าก็จะให้ดูซู่เหมยไปพร้อมกัน” “เป็นเช่นนั้นก็ดี” หานหรงเหยาพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่า เจ้าอย่าพูดเรื่องกลับชายแดนให้ท่านแม่ได้ยินก็พอ” พี่ใหญ่ดักคอไว้อย่างรู้ทัน “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีงานการให้ช่วยแบ่งเบาภาระ กิจการของสกุลหานมีมากมาย ข้าเองก็วุ่นวายจนปลีกตัวไม่ได้ เจ้าหลี่เจี๋ยก็ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต จนป่านนี้ยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันจนท่านพ่ออยากให้เขาไปอยู่ค่ายทหารเผื่อฝึกฝนให้มีความรับผิดชอบ” “ได้ ข้ากลับมาแล้วจะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพี่ใหญ่” “ดีแล้ว” เขาพยักหน้ารับ “เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนเถิด มีอะไรข้าจะให้คนไปตาม” “ขอรับพี่ใหญ่” หานหรงเหยาลุกขึ้นแล้วเดินออกมาเงียบๆ มีเรื่องมากมายที่เขาต้องวางลำดับความสำคัญและจัดการให้ลุล่วง เห็นที่ว่าเขาคงไม่ได้กลับชายแดนง่ายๆ เป็นแน่ ทว่าเมื่อเดินมาถึงเรือนของตนกลับได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านใน หัวคิ้วขมวดยุ่งแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปทั
แต่ละวันนางถูกเรียกใช้งานจนหัวหมุนแต่กระนั้นนางก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ แม้บางมื้ออาหารของนางจะมีเพียงข้าวกับผัดผัก หรือแค่หมั่นโถว แต่นางก็ยังคงแย้มยิ้มอยู่เสมอ ปัญหาเดียวของนางคือกลางวันจะง่วงนอนมาก นางต้องแอบหยิกตัวเองให้ตื่นตลอดเวลา และกลางคืนนางไม่สามารถกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปอุ่นเตียงให้หานหรงเหยา หลิวเข่อซิงตากผ้าเรียบร้อยแล้วก็ก้มมองฝ่ามือขาวซีดของตนเอง เมื่อครั้งที่อยู่หุบเขาจื่อเซ่อนางก็ทำงานเหล่านี้ แลกกับเศษพลังชีวิตที่บรรดาศิษย์พี่มอบให้ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่จวน หานหรงเหยาไม่มีเวลาอยู่กับนางนัก นางไม่คิดน้อยใจอันใด เพราะเขาเป็นคนเก่งมากความสามารถย่อมมีเรื่องต้องทำมาก ทว่าหลังจากเรื่องในคืนนั้น นางยังไม่ได้พบหน้าเขาเลย แต่ได้ยินว่า มารดาของเขาไม่ค่อยสบาย หานหรงเหยาต้องดูแลอย่างใกล้ชิด นางเข้าใจและไม่คิดเรียกร้องเอาสิ่งใด นางตากผ้าเสร็จแล้ว แดดเจิดจ้าเช่นนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเสื้อผ้าก็คงแห้งสนิท ไม่เหมือนที่หุบเขาจื่อเซ่อที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดเวลา นางอ้าปากหาวคำโต แอบมองรอบกายไม่มีผู้อื่นอยู่บริเวณนี้ นางจึงหาที่นั่งเพิ
แม้ได้เพียงเศษพลังชีวิตเล็กน้อยจากหลิวชิงเซียง แต่เข่อซิงก็สดชื่นขึ้นมาก เอาล่ะ! เพื่อให้หานหรงเหยาไม่ต้องเป็นกังวลเพราะนาง นางจะทำหน้าที่สาวใช้ให้ดีที่สุด! นางเดินไปกระโดดไปหวังจะไปช่วยงานบ่าวรับใช้ผู้อื่นอีก ทว่ากลิ่นซาลาเปาไส้เนื้อหอมเย้ายวนชักจูงให้นางเดินไปตามกลิ่น จนมาหยุดตรงหน้าเจ้าซาลาเปาลูกโต นางจ้องเจ้าก้อนขาวๆ พลางแลบลิ้นริมฝีปาก แต่ไม่กล้ายื่นมือไปจับ ดวงตาดลมโตค่อยๆ ช้อนขึ้นมองคนที่ถือซาลาเปาในมือ “คุณชายหานหลี่เจี๋ย” หลิวเข่อซิงยืดตัวขึ้นจ้องมองหานหลี่เจี๋ยที่ยืนยิ้มมองนางอยู่ก่อนแล้ว “เจ้าต้องเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ของข้าเลยหรือ” เขาหัวเราะกับท่าทางไร้เดียงสาของนาง ในมือประคองซาลาเปาสองลูก ยังดีที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อมาไม่อย่างนั้นมือของเขาต้องแดงแน่ๆ “คุณชายสาม...” นางเปลี่ยนคำเรียกใหม่ “ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะ” “มี” เขาพูดหนักแน่น “ยื่นมือมารับซาลาเปาไปเร็วๆ มันร้อน” “เอ๋?” “เร็ว!” “เจ้าค่ะ!” นางยื่นสองมือไปรับซาลาเปา มันยังอุ่นร้อนอยู่จริงๆ นางเอียงคอมองอีกฝ่ายอย