Share

Chapter 27. โง่งมเรื่องของตนเอง

            “รู้สึกว่าสุรายาที่ข้ามอบให้จะทำให้เจ้าแข็งแรงขึ้นจริงๆ”

ซุนเจ้าเฟิงอดหยอกสหายไม่ได้  ความจริงเรื่องระหว่างหานหรงเหยากับหลิวเข่อซิงนั้น องครักษ์ที่เขาทิ้งไว้ให้นั้นส่งข่าวมารายงานเป็นระยะๆ แม้ใจอยากเห็นกับตาแต่ก็ต้องทนอดกลั้นไว้ เพราะเกรงว่าสหายจะหน้าบางไม่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้คุ้มค่า

            “เจ้านี่นะ” หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มไม่ได้

            “ความจริงข้าตั้งใจไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่เห็นสีหน้าเจ้าในเวลานี้คงไม่มีอะไรให้กังวล เรื่องเจ้ากับหลัวซู่เหมยคงกลายเป็นอดีตไปแล้วสินะ”

            “ข้ากับนางจบไปนานแล้ว ยามนี้นางคือพี่สะใภ้ข้าและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป”

            “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ อยู่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ อยากกลับชายแดน จะกลับไปทำแผนที่หุบเขาจื่อเซ่อให้สำเร็จ”

            “เจ้าจะกลับชายแดนรึ”  หานหรงเหยาเบิกตากว้าง

            “อืม แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยากให้ข้าอภิเษก แต่ข้ายังไม่เจอสตรีถูกใจ”

‘สตรีที่เลือกให้ แค่เห็นก็ทำให้ปวดหัว คนอย่างซุนเจ้าเฟิงจะหาสตรีถูกใจไม่ได้เชียวรึ’

            “เจ้าจะกลับเมื่อใดกัน”

            “นี่ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะตามข้ากลับไปด้วย” ซุนเจ้าเฟิงรินสุราให้สหาย

            “ทำไมเล่า ข้าก็ต้องการทำแผนที่สำหรับเดินทัพเช่นเดียวกับเจ้า”

            ซุนเจ้าเฟิงชะโงกหน้าข้ามโต๊ะที่เต็มไปด้วยกับแกล้ม “เจ้าจะให้ข้าพูดจริงๆ รึ?”

            “คงอยากให้ข้าตายที่บ้านสินะ” หานหรงเหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เขาอยู่กับความรู้สึกของคนที่พร้อมจะตายจากไปได้ทุกเวลา  จนกลายเป็นความชินชาที่เอ่ยเรื่องความตาย  มิได้รู้สึกว่าตนเองพูดเรื่องอัปมงคลแต่อย่างใด

            จะว่าไป การที่ได้อยู่ในสนามรบทำให้ปลงใจและปล่อยวางได้มากกว่า   ยามศึกสงคราม ทหารล้มตายไม่น้อย แต่ละคนล้วนแข็งแรงแต่ก็ยังหนีความตายไม่พ้น ส่วนตัวเขาเล่า คนที่ใครต่อใครบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน  กลับยังคงหายใจมองความตายของผู้อื่น

            “หรงเหยา”  ซุนเจ้าเฟิงถอนหายใจ “ข้าย่อมยินดีที่เจ้าไปช่วยงานข้าที่ชายแดน แต่เจ้าก็รู้สภาพร่างกายของตนเองดี อย่างไรเสีย เจ้าใช้เวลานี้ตอบแทนบุญคุณบิดามารดาไม่ดีกว่าหรือ?”

            “เจ้าพูดมาก็ถูก”  หานหรงเหยายกจอกสุราขึ้นดื่ม

            “อย่าทำหน้าเศร้าหมองเช่นนั้นสิ อย่างไรเจ้าก็มีเข่อซิงอยู่ด้วย  คงไม่เหงานักหรอก นี่คงไปเที่ยวกันทั่วเมืองแล้วกระมัง”

            “ข้ายังไม่ได้พานางไปที่ใดเลย”

            “หา!”ซุนเจ้าเฟิงถึงกับสำลักสุรา “ข้านึกว่า...เอ่อ...หรือว่าเจ้ากลัวผู้อื่นจะรู้ว่ามาจากหอนางโลม ถ้าเป็นเรื่องนี้ ข้ารับรองได้ว่าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผู้ใด”

            “ไม่ใช่เรื่องนั้น” หานหรงเหยาถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง

            “คนฉลาดอย่างเจ้าก็โง่งมได้เหมือนกัน”  ซุนเจ้าเฟิงโคลงศีรษะไปมา สหายของเขาช่วยวางแผนการรบและจัดการเรื่องในค่ายทหารได้อย่างดีเยี่ยม กลับโง่งมเรื่องของตนเองเช่นนี้ ช่างน่าสงสารยิ่ง “เช่นนั้นเจ้าอย่ามาเสียเวลากับข้าเลย กลับไปดูแลเขอซิงเถิด นางอ่อนโลกถึงเพียงนั้น ต่อให้ไม่พอใจอะไรก็คงไม่มีวันปริปากตำหนิเจ้าเป็นแน่”

            “ข้าก็คิดเช่นนั้น”

            “ไปๆ เจ้ากลับไปเถิด ข้าไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว อีกสองสามวันข้าจะไปเยี่ยมที่จวน”

            “เช่นนั้นข้าขอตัวลา”

            ซุนเจ้าเฟิงโบกมือไล่อย่างไม่ใส่ใจ เขามองสหายเดินออกไปแล้วรินสุราให้ตนเอง ปากตำหนิผู้อื่นว่าโง่งม แต่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด  หากจะเดินทางกลับชายแดนต้องแต่งชายาเสียก่อน  และต้องพาชายาไปด้วย   หากเขาไม่ใช่องค์ชายสาม จะมีสตรีนางใดกล้าแต่งงานและติดตามเขาไปอยู่ที่กันดารเช่นนั้น  ชายหนุ่มยกจอกสุราขึ้นดื่ม พลันสายตาเห็นเงาร่างคุ้นเคยที่นอกหน้าต่าง เขาตกใจจนทำจอกสุราหลุดมือ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้พุงไปที่หน้าต่าง แม้เห็นเพียงแผ่นหลังแต่เขากลับมั่นใจว่าคนที่เห็นคือ...

            “จะเป็นไปได้อย่างไร” ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา “ผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวง...”

            หานหรงเหยาลงจากรถม้า ประคองกล่องขนมที่ซื้อมาฝากหลิวเข่อซิง แต่เดินเข้ามาพ้นประตูบ้าน พ่อบ้านก็มารายงานว่าหานลี่จูต้องการพบ ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ฝากกล่องขนมให้พ่อบ้านถือกลับที่เรือนของเขาก่อน ส่วนตัวเขาเดินมาที่ห้องตำราตามคำสั่ง

            “นั่งสิ”

            “ขอรับพี่ใหญ่”

            “พี่น้องกันไยต้องพูดจาห่างเหินนัก” หานลี่จูหัวเราะในลำคอ รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเสร็จ ก็โบกมือไล่ให้ออกไป

            หานหรงเหยายกน้ำชาขึ้นจิบ รสละมุนอบอวลในปาก “ชาขาวดอกโบตั๋น”

            “เจ้ายังจำได้”  หานลี่จูยิ้ม “กลับมานี่ยังไม่ได้คุยกันตามประสาพี่น้องเลย”

            “ข้าก็ไม่คิดว่าจะวุ่นวายขนาดนี้” หานหรงเหยาหัวเราะเบาๆ “ไม่คิดว่าจะมีแม่สื่อมามากขนาดนี้”

            “ก็เจ้าเป็นคุณชายรองสกุลหาน ใครก็อยากแต่งเข้าสกุลเก่าแก่ของเรา”

            “แต่สุขภาพข้า...”  หากเขาแข็งแรงดี คงได้แต่งงานครองครู่กับหลัวซู่เหมย  แต่ทุกอย่างมันก็ผ่านมาแล้ว ฐานะของนางตอนนี้คือพี่สะใภ้ของเขาที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            “ข้าก็อยากพูดกับเจ้าเรื่องนี้ ข้าจะเชิญหมอหลวงมาตรวจสุขภาพของเจ้าเสียหน่อย กลับมาอยู่บ้านหลายวันแล้ว   ข้าไม่เห็นเจ้ากินยาเหมือนแต่ก่อน”

            “เรื่องนั้น...”  ตั้งแต่พบกับหลิวเข่อซิง เขาก็ไม่ได้กินยาอะไรอีก  แต่ร่างกายก็ดูปกติดีทุกอย่าง “เรื่องนั้นก็เพราะว่า ข้าไม่อยากให้สิ้นเปลืองโดยเปล่าโยชน์ สมุนไพรเหล่านั้นล้วนเป็นของดีและหายาก แต่อย่างไรก็ไม่สามารถยื้อความตายของข้าได้ ข้าจึง...”

            “ช่างเถอะ พูดเรื่องนี้กับเจ้าตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว” หานลี่จูโบกมือไปมา “กลับมาครั้งนี้แล้วก็อย่ากลับไปชายแดนอีกเลย เจ้าก็เห็นว่าท่านแม่อ่อนแอลงไปมาก แต่พอเจ้ากลับมาก็กินข้าวได้มาก  ลุกเดินในสวนดอกไม้ได้แล้ว  ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจเรื่องซู่เหมย แต่เจ้าทำแบบนี้ก็ไม่ถูก”

            “เรื่องซู่เหมยนั้นพี่ใหญ่คิดมากเกินไปแล้ว”  เขาคลี่ยิ้มออกมา  ไม่กล้าบอกพี่ใหญ่ว่าตนเองคิดจะกลับชายแดน หากพูดไปตอนนี้คงไม่ดีนัก  คอยดูแลให้ท่านแม่สบายใจก่อนค่อยพูดเรื่องนั้นจะดีกว่า

            “นั้นสินะ ดูข้าจะคิดมากเกินไปจริงๆ”  คนเป็นพี่ยิ้ม “ตอนนี้เจ้ามีคนที่ชอบแล้วสินะ”

            “คนที่ชอบ...”  หานหราเหยายกน้ำชาขึ้นกลบเกลือนรอยเก้อเขินบนใบหน้า แต่กระนั้นหานลี่จูก็ยังสังเกตเห็น  ทำให้เขาเบาใจลง

            “พี่ใหญ่ ข้าขอเสียมารยาทถามเรื่องที่ท่าน...เอ่อ...จะรับอนุ”

            หานลี่จูถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แม้การแต่งงานระหว่างข้ากับซู่เหมยเป็นเรื่องที่บิดามารดาจัดการตามความเหมาะสม แต่ข้าก็ไม่คิดมีสตรีอื่น ตั้งใจมีเพียงนางผู้เดียว นางเองก็ดูแลเรื่องในจวนแทนมารดาได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย บ่าวไพร่ก็รักเทิดทูน แต่เรื่องที่นางยังไม่ให้กำเนิดบุตรนั้นทำให้มารดาทุกข์ใจไม่น้อย”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status