“รู้สึกว่าสุรายาที่ข้ามอบให้จะทำให้เจ้าแข็งแรงขึ้นจริงๆ”
ซุนเจ้าเฟิงอดหยอกสหายไม่ได้ ความจริงเรื่องระหว่างหานหรงเหยากับหลิวเข่อซิงนั้น องครักษ์ที่เขาทิ้งไว้ให้นั้นส่งข่าวมารายงานเป็นระยะๆ แม้ใจอยากเห็นกับตาแต่ก็ต้องทนอดกลั้นไว้ เพราะเกรงว่าสหายจะหน้าบางไม่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้คุ้มค่า
“เจ้านี่นะ” หานหรงเหยาส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มไม่ได้
“ความจริงข้าตั้งใจไปเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่เห็นสีหน้าเจ้าในเวลานี้คงไม่มีอะไรให้กังวล เรื่องเจ้ากับหลัวซู่เหมยคงกลายเป็นอดีตไปแล้วสินะ”
“ข้ากับนางจบไปนานแล้ว ยามนี้นางคือพี่สะใภ้ข้าและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป”
“ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ อยู่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ อยากกลับชายแดน จะกลับไปทำแผนที่หุบเขาจื่อเซ่อให้สำเร็จ”
“เจ้าจะกลับชายแดนรึ” หานหรงเหยาเบิกตากว้าง
“อืม แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยากให้ข้าอภิเษก แต่ข้ายังไม่เจอสตรีถูกใจ”
‘สตรีที่เลือกให้ แค่เห็นก็ทำให้ปวดหัว คนอย่างซุนเจ้าเฟิงจะหาสตรีถูกใจไม่ได้เชียวรึ’
“เจ้าจะกลับเมื่อใดกัน”
“นี่ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะตามข้ากลับไปด้วย” ซุนเจ้าเฟิงรินสุราให้สหาย
“ทำไมเล่า ข้าก็ต้องการทำแผนที่สำหรับเดินทัพเช่นเดียวกับเจ้า”
ซุนเจ้าเฟิงชะโงกหน้าข้ามโต๊ะที่เต็มไปด้วยกับแกล้ม “เจ้าจะให้ข้าพูดจริงๆ รึ?”
“คงอยากให้ข้าตายที่บ้านสินะ” หานหรงเหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เขาอยู่กับความรู้สึกของคนที่พร้อมจะตายจากไปได้ทุกเวลา จนกลายเป็นความชินชาที่เอ่ยเรื่องความตาย มิได้รู้สึกว่าตนเองพูดเรื่องอัปมงคลแต่อย่างใด
จะว่าไป การที่ได้อยู่ในสนามรบทำให้ปลงใจและปล่อยวางได้มากกว่า ยามศึกสงคราม ทหารล้มตายไม่น้อย แต่ละคนล้วนแข็งแรงแต่ก็ยังหนีความตายไม่พ้น ส่วนตัวเขาเล่า คนที่ใครต่อใครบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน กลับยังคงหายใจมองความตายของผู้อื่น
“หรงเหยา” ซุนเจ้าเฟิงถอนหายใจ “ข้าย่อมยินดีที่เจ้าไปช่วยงานข้าที่ชายแดน แต่เจ้าก็รู้สภาพร่างกายของตนเองดี อย่างไรเสีย เจ้าใช้เวลานี้ตอบแทนบุญคุณบิดามารดาไม่ดีกว่าหรือ?”
“เจ้าพูดมาก็ถูก” หานหรงเหยายกจอกสุราขึ้นดื่ม
“อย่าทำหน้าเศร้าหมองเช่นนั้นสิ อย่างไรเจ้าก็มีเข่อซิงอยู่ด้วย คงไม่เหงานักหรอก นี่คงไปเที่ยวกันทั่วเมืองแล้วกระมัง”
“ข้ายังไม่ได้พานางไปที่ใดเลย”
“หา!”ซุนเจ้าเฟิงถึงกับสำลักสุรา “ข้านึกว่า...เอ่อ...หรือว่าเจ้ากลัวผู้อื่นจะรู้ว่ามาจากหอนางโลม ถ้าเป็นเรื่องนี้ ข้ารับรองได้ว่าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผู้ใด”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น” หานหรงเหยาถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง
“คนฉลาดอย่างเจ้าก็โง่งมได้เหมือนกัน” ซุนเจ้าเฟิงโคลงศีรษะไปมา สหายของเขาช่วยวางแผนการรบและจัดการเรื่องในค่ายทหารได้อย่างดีเยี่ยม กลับโง่งมเรื่องของตนเองเช่นนี้ ช่างน่าสงสารยิ่ง “เช่นนั้นเจ้าอย่ามาเสียเวลากับข้าเลย กลับไปดูแลเขอซิงเถิด นางอ่อนโลกถึงเพียงนั้น ต่อให้ไม่พอใจอะไรก็คงไม่มีวันปริปากตำหนิเจ้าเป็นแน่”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
“ไปๆ เจ้ากลับไปเถิด ข้าไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว อีกสองสามวันข้าจะไปเยี่ยมที่จวน”
“เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
ซุนเจ้าเฟิงโบกมือไล่อย่างไม่ใส่ใจ เขามองสหายเดินออกไปแล้วรินสุราให้ตนเอง ปากตำหนิผู้อื่นว่าโง่งม แต่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด หากจะเดินทางกลับชายแดนต้องแต่งชายาเสียก่อน และต้องพาชายาไปด้วย หากเขาไม่ใช่องค์ชายสาม จะมีสตรีนางใดกล้าแต่งงานและติดตามเขาไปอยู่ที่กันดารเช่นนั้น ชายหนุ่มยกจอกสุราขึ้นดื่ม พลันสายตาเห็นเงาร่างคุ้นเคยที่นอกหน้าต่าง เขาตกใจจนทำจอกสุราหลุดมือ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้พุงไปที่หน้าต่าง แม้เห็นเพียงแผ่นหลังแต่เขากลับมั่นใจว่าคนที่เห็นคือ...
“จะเป็นไปได้อย่างไร” ซุนเจ้าเฟิงส่ายหน้าไปมา “ผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวง...”
หานหรงเหยาลงจากรถม้า ประคองกล่องขนมที่ซื้อมาฝากหลิวเข่อซิง แต่เดินเข้ามาพ้นประตูบ้าน พ่อบ้านก็มารายงานว่าหานลี่จูต้องการพบ ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ฝากกล่องขนมให้พ่อบ้านถือกลับที่เรือนของเขาก่อน ส่วนตัวเขาเดินมาที่ห้องตำราตามคำสั่ง
“นั่งสิ”
“ขอรับพี่ใหญ่”
“พี่น้องกันไยต้องพูดจาห่างเหินนัก” หานลี่จูหัวเราะในลำคอ รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเสร็จ ก็โบกมือไล่ให้ออกไป
หานหรงเหยายกน้ำชาขึ้นจิบ รสละมุนอบอวลในปาก “ชาขาวดอกโบตั๋น”
“เจ้ายังจำได้” หานลี่จูยิ้ม “กลับมานี่ยังไม่ได้คุยกันตามประสาพี่น้องเลย”
“ข้าก็ไม่คิดว่าจะวุ่นวายขนาดนี้” หานหรงเหยาหัวเราะเบาๆ “ไม่คิดว่าจะมีแม่สื่อมามากขนาดนี้”
“ก็เจ้าเป็นคุณชายรองสกุลหาน ใครก็อยากแต่งเข้าสกุลเก่าแก่ของเรา”
“แต่สุขภาพข้า...” หากเขาแข็งแรงดี คงได้แต่งงานครองครู่กับหลัวซู่เหมย แต่ทุกอย่างมันก็ผ่านมาแล้ว ฐานะของนางตอนนี้คือพี่สะใภ้ของเขาที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ข้าก็อยากพูดกับเจ้าเรื่องนี้ ข้าจะเชิญหมอหลวงมาตรวจสุขภาพของเจ้าเสียหน่อย กลับมาอยู่บ้านหลายวันแล้ว ข้าไม่เห็นเจ้ากินยาเหมือนแต่ก่อน”
“เรื่องนั้น...” ตั้งแต่พบกับหลิวเข่อซิง เขาก็ไม่ได้กินยาอะไรอีก แต่ร่างกายก็ดูปกติดีทุกอย่าง “เรื่องนั้นก็เพราะว่า ข้าไม่อยากให้สิ้นเปลืองโดยเปล่าโยชน์ สมุนไพรเหล่านั้นล้วนเป็นของดีและหายาก แต่อย่างไรก็ไม่สามารถยื้อความตายของข้าได้ ข้าจึง...”
“ช่างเถอะ พูดเรื่องนี้กับเจ้าตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว” หานลี่จูโบกมือไปมา “กลับมาครั้งนี้แล้วก็อย่ากลับไปชายแดนอีกเลย เจ้าก็เห็นว่าท่านแม่อ่อนแอลงไปมาก แต่พอเจ้ากลับมาก็กินข้าวได้มาก ลุกเดินในสวนดอกไม้ได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจเรื่องซู่เหมย แต่เจ้าทำแบบนี้ก็ไม่ถูก”
“เรื่องซู่เหมยนั้นพี่ใหญ่คิดมากเกินไปแล้ว” เขาคลี่ยิ้มออกมา ไม่กล้าบอกพี่ใหญ่ว่าตนเองคิดจะกลับชายแดน หากพูดไปตอนนี้คงไม่ดีนัก คอยดูแลให้ท่านแม่สบายใจก่อนค่อยพูดเรื่องนั้นจะดีกว่า
“นั้นสินะ ดูข้าจะคิดมากเกินไปจริงๆ” คนเป็นพี่ยิ้ม “ตอนนี้เจ้ามีคนที่ชอบแล้วสินะ”
“คนที่ชอบ...” หานหราเหยายกน้ำชาขึ้นกลบเกลือนรอยเก้อเขินบนใบหน้า แต่กระนั้นหานลี่จูก็ยังสังเกตเห็น ทำให้เขาเบาใจลง
“พี่ใหญ่ ข้าขอเสียมารยาทถามเรื่องที่ท่าน...เอ่อ...จะรับอนุ”
หานลี่จูถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แม้การแต่งงานระหว่างข้ากับซู่เหมยเป็นเรื่องที่บิดามารดาจัดการตามความเหมาะสม แต่ข้าก็ไม่คิดมีสตรีอื่น ตั้งใจมีเพียงนางผู้เดียว นางเองก็ดูแลเรื่องในจวนแทนมารดาได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย บ่าวไพร่ก็รักเทิดทูน แต่เรื่องที่นางยังไม่ให้กำเนิดบุตรนั้นทำให้มารดาทุกข์ใจไม่น้อย”
“พี่ใหญ่เคยเชิญท่านหมอมาตรวจพี่สะใภ้แล้วหรือ?” “อืม ก็ให้นางกินยาบำรุงร่างกาย ข้าคิดว่าถ้าเชิญหมอหลวงมาตรวจสุขภาพเจ้าก็จะให้ดูซู่เหมยไปพร้อมกัน” “เป็นเช่นนั้นก็ดี” หานหรงเหยาพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่า เจ้าอย่าพูดเรื่องกลับชายแดนให้ท่านแม่ได้ยินก็พอ” พี่ใหญ่ดักคอไว้อย่างรู้ทัน “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีงานการให้ช่วยแบ่งเบาภาระ กิจการของสกุลหานมีมากมาย ข้าเองก็วุ่นวายจนปลีกตัวไม่ได้ เจ้าหลี่เจี๋ยก็ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต จนป่านนี้ยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันจนท่านพ่ออยากให้เขาไปอยู่ค่ายทหารเผื่อฝึกฝนให้มีความรับผิดชอบ” “ได้ ข้ากลับมาแล้วจะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพี่ใหญ่” “ดีแล้ว” เขาพยักหน้ารับ “เจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนเถิด มีอะไรข้าจะให้คนไปตาม” “ขอรับพี่ใหญ่” หานหรงเหยาลุกขึ้นแล้วเดินออกมาเงียบๆ มีเรื่องมากมายที่เขาต้องวางลำดับความสำคัญและจัดการให้ลุล่วง เห็นที่ว่าเขาคงไม่ได้กลับชายแดนง่ายๆ เป็นแน่ ทว่าเมื่อเดินมาถึงเรือนของตนกลับได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านใน หัวคิ้วขมวดยุ่งแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปทั
แต่ละวันนางถูกเรียกใช้งานจนหัวหมุนแต่กระนั้นนางก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ แม้บางมื้ออาหารของนางจะมีเพียงข้าวกับผัดผัก หรือแค่หมั่นโถว แต่นางก็ยังคงแย้มยิ้มอยู่เสมอ ปัญหาเดียวของนางคือกลางวันจะง่วงนอนมาก นางต้องแอบหยิกตัวเองให้ตื่นตลอดเวลา และกลางคืนนางไม่สามารถกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปอุ่นเตียงให้หานหรงเหยา หลิวเข่อซิงตากผ้าเรียบร้อยแล้วก็ก้มมองฝ่ามือขาวซีดของตนเอง เมื่อครั้งที่อยู่หุบเขาจื่อเซ่อนางก็ทำงานเหล่านี้ แลกกับเศษพลังชีวิตที่บรรดาศิษย์พี่มอบให้ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่จวน หานหรงเหยาไม่มีเวลาอยู่กับนางนัก นางไม่คิดน้อยใจอันใด เพราะเขาเป็นคนเก่งมากความสามารถย่อมมีเรื่องต้องทำมาก ทว่าหลังจากเรื่องในคืนนั้น นางยังไม่ได้พบหน้าเขาเลย แต่ได้ยินว่า มารดาของเขาไม่ค่อยสบาย หานหรงเหยาต้องดูแลอย่างใกล้ชิด นางเข้าใจและไม่คิดเรียกร้องเอาสิ่งใด นางตากผ้าเสร็จแล้ว แดดเจิดจ้าเช่นนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเสื้อผ้าก็คงแห้งสนิท ไม่เหมือนที่หุบเขาจื่อเซ่อที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดเวลา นางอ้าปากหาวคำโต แอบมองรอบกายไม่มีผู้อื่นอยู่บริเวณนี้ นางจึงหาที่นั่งเพิ
แม้ได้เพียงเศษพลังชีวิตเล็กน้อยจากหลิวชิงเซียง แต่เข่อซิงก็สดชื่นขึ้นมาก เอาล่ะ! เพื่อให้หานหรงเหยาไม่ต้องเป็นกังวลเพราะนาง นางจะทำหน้าที่สาวใช้ให้ดีที่สุด! นางเดินไปกระโดดไปหวังจะไปช่วยงานบ่าวรับใช้ผู้อื่นอีก ทว่ากลิ่นซาลาเปาไส้เนื้อหอมเย้ายวนชักจูงให้นางเดินไปตามกลิ่น จนมาหยุดตรงหน้าเจ้าซาลาเปาลูกโต นางจ้องเจ้าก้อนขาวๆ พลางแลบลิ้นริมฝีปาก แต่ไม่กล้ายื่นมือไปจับ ดวงตาดลมโตค่อยๆ ช้อนขึ้นมองคนที่ถือซาลาเปาในมือ “คุณชายหานหลี่เจี๋ย” หลิวเข่อซิงยืดตัวขึ้นจ้องมองหานหลี่เจี๋ยที่ยืนยิ้มมองนางอยู่ก่อนแล้ว “เจ้าต้องเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ของข้าเลยหรือ” เขาหัวเราะกับท่าทางไร้เดียงสาของนาง ในมือประคองซาลาเปาสองลูก ยังดีที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อมาไม่อย่างนั้นมือของเขาต้องแดงแน่ๆ “คุณชายสาม...” นางเปลี่ยนคำเรียกใหม่ “ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะ” “มี” เขาพูดหนักแน่น “ยื่นมือมารับซาลาเปาไปเร็วๆ มันร้อน” “เอ๋?” “เร็ว!” “เจ้าค่ะ!” นางยื่นสองมือไปรับซาลาเปา มันยังอุ่นร้อนอยู่จริงๆ นางเอียงคอมองอีกฝ่ายอย
หานหรงเหยาขยับตัวออกห่างเล็กน้อย กวาดตามองทั่วร่างนาง“เจ้าไม่กินพลังชีวิตจากข้ามาหลายวัน เหตุใดเจ้าไม่ดูอ่อนแอเลยสักนิด หรือว่า...” “นั้นเพราะศิษย์พี่แบ่งพลังชีวิตให้ข้ากินเล็กน้อย ข้าจึงฟื้นฟูกำลังตนเองไม่กลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไปเสียก่อน” “ศิษย์พี่? ผู้ดูแลหลิวมาที่นี่หรือ?” หลิวเข่อซิงพยักหน้ารับ “นางบอกว่าท่านแม่เป็นห่วงข้าจึงให้ศิษย์พี่มาดู” หานหรงเหยาผ่อนลมหายใจ เขาคลายมือที่ตรึงข้อมือนางไว้กับบานประตู ทว่าเขาสัมผัสได้ว่า นิ้วมือของนางเปลี่ยนไป ปลายนิ้วลอกและขาวซีด “เหตุใดเจ้าเป็นเช่นนี้” เขาลูบนิ้วมือนางอย่างเป็นกังวล “ข้าจะเชิญหมอมาตรวจดู” “ซักผ้าก็เป็นเช่นนี้แหละ” นางพยายามดึงมือกลับแต่เขาไม่ยอมปล่อย “ตอนอยู่หุบเขาจื่อเซ่อข้าก็ทำงานเหล่านี้ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป” “ทำไมเจ้าต้องไปทำงานซักผ้า ก็ท่านแม่กับซูเหม่ยรับปากว่าจะให้ความเป็นอยู่ที่ดีกับเจ้า” เขาเพิ่งสังเกตว่านางสวมเสื้อผ้ามอซอราวกับขอทาน “พวกเขารังแกเจ้าถึงเพียงนี้ ทำไมไม่มาหาข้า ” หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา “ไม่มี
หลิวเข่อซิงส่ายหน้าไปมา นางไม่อาจรับความเสียดเสียวนี้ได้อีก ร่างกายสั่นระริกและหอบหายใจจนตัวโยน เสียงหายทางปากเป็นเสียงครางปนสะอื้น หานหรงเหยายื่นมือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าแล้วยิ้มอ่อนโยน“อดทนหน่อยนะ ภรรยาตัวน้อยของข้า”หลิวเข่อซิงยังหูอื้อตาพร่า เห็นเพียงปากเขาขยับแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร มือใหญ่จับเรียวขาขึ้นพาดบ่าแล้วเริ่มขยับเอวสอบนำพาความเสียวซ่านมาอีกครั้ง เข่อซิงสะบัดหน้าไปมา คงเพราะอัดอั้นมานานทำให้ชายหนุ่มใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง แก่นกายของเขายังแข็งแกร่งและดุดัน เข่อซิงร้องครางจนเสียงแหบแห้งอย่างน่าสงสาร แต่เขาก็ยังโยกเอวถี่กระชั้น ร่างกายหญิงสาวร้อนเร่ายิ่งกว่าเดิมหลั่งน้ำหวานอาบไล้แก่นกายของเขาจนฉ่ำเยิ้มเปื้อนเปรอะต้นขา กลิ่นหอมหวานเย้ายวน ความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่างรวมถึงปลายนิ้วเท้า ช่องทางอ่อนนุ่มรัดแน่นส่งให้ชายหนุ่มไม่อาจอดทนได้อีก เขาส่งแก่นกายเข้าไปจนสุดรัดเอวนางไว้แนบแน่นและปลดปล่อยน้ำรักขาวขุ่นออกมาในที่สุดเสียงคำรามครางสุขสมและน้ำรักอุ่นร้อนของหานหรงเหยาทำให้นางรู้ว่าเขาถึงปลายทางแล้ว ชายหนุ่มมองคนใต้ร่างที่หอบหายใจแรง ดวงตากลมโตมีคราบน้ำตาฉ่ำวาว เขาโน้มหน้
เมื่อถึงถนนเส้นหลัก หลิวชิงเซียงก็ลงมาเดินเหมือนคนปกติทั่วไป ในหัวครุ่นคิดเรื่องหลิวเข่อซิงจนไม่รู้ว่ามีบุรุษยืนขวางทางเดินอยู่ นางหงุดหงิดใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตวัดสายตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ทว่าคนที่ถูกสายตาพุ่งเข้าใส่ราวกับลูกธนูกลับคลี่ยิ้มอย่างพอใจ ใบหน้างามยามขึงตาใส่กลับยิ่งชวนให้ลุ่มหลงเสียจริง “ไม่คิดว่าจะได้พบกับผู้ดูแลหลิวที่เมืองหลวง” ซุนเจ้าเฟิงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางกะพริบตาแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวานแต่รอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา ย่อกายคารวะบุรุษตรงหน้า “คารวะองค์ชายสามเพคะ” แม่ทัพใหญ่อดกวาดตามองหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวใบไผ่ นางไม่ได้แต่งกายสีสันฉูดฉาดแต่กลับขับเน้นให้นางดูสูงส่งทั้งที่นางมาจากหอนางโลม“ไม่เอาน่า อย่าทำเป็นคนอื่นเลย เจ้ากับข้าก็คุ้นเคยกันตั้งแต่อยู่ชายแดน” เขาโบกมือไปมาแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “หรือว่าผู้ดูแลหลิวมาเมืองหลวงเพราะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” “หรืออาจเป็นเพราะองค์ชายที่มีใจถวิลหาหม่อมฉัน จนมาพบกันกลางถนนเช่นนี้” แม้นางจะแสดงท่าทีอ่อนน้อมแต่แววตากลับตรงข้าม
บิดามารดาลอบสบตากันแล้วถอนหายใจ บุตรชายคนรองนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับหญิงสาวที่บุตรชายประกาศว่าจะแต่งเป็นภรรยา ที่ผ่านมาสองภรรยาหวังใจให้ลูกชายได้แต่งงานมีครอบครัวเฉกเช่นผู้อื่น แต่เพราะหัวใจที่อ่อนแอแต่กำเนิด คอยประคับประคองชีวิตให้ผ่านแต่ละวันได้ก็แสนยากเข็น ที่สำคัญ พวกเขาก็เคยทำร้ายจิตใจหานหรงเหยามาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งที่รู้ว่าหานหรงเหยามั่นรักกับหลัวซู่เหมย แต่สองตระกูลก็ลงความเห็นว่า ควรให้นางเข้าสกุลหานด้วยการแต่งงานกับหานลี่จู ครั้งนั้นหานหรงเหยาถึงกับไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีก แม้ปากเอ่ยแสดงความยินดีแต่ในใจย่อมเจ็บปวด ประจวบกับองค์ชายสามเปรยว่าต้องการกุนซือช่วยวางแผนการรบที่ชายแดน หานหรงเหยาฝืนคำห้ามปรามของบิดาเดินทางเข้ากองทัพในฐานะที่ปรึกษา แรกทีเดียวคิดว่าหานหรงเหยาจะอยู่เพียงไม่กี่เดือน แต่กลายเป็นสามปีไม่กลับบ้าน มีเพียงจดหมายโต้ตอบและคอยส่งยาให้ต้มดื่มเป็นประจำ คนเป็นพ่อแม่ย่อมดีใจที่รู้ว่าลูกชายจะแต่งงาน ทว่าหากหญิงสาวที่ลูกเลือกสมฐานะกันสักหน่อยคงไม่มีปัญหาอันใด แต่หญิงสาวที่หานหรงเหยาต้องการให้เป็นภรรยา เป็นหญิงกำพร้าที่ไม่รู้หัว
“นั้นสินะ ตอนนั้นหลี่เจี๋ยยังอ้อนวอนขอขี่คอลี่จูเพื่อไปเก็บว่าวที่ติดอยู่บนกิ่งไม้อยู่เลย” มารดาหัวเราะออกมา “วันนี้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว” “เสียดายก็แต่ซู่เหมย แต่งมาสามปียังไม่มีบุตร แต่นางก็ไม่เคยบกพร่องเรื่องใดเลย ข้าเองก็เห็นใจนางที่ต้องหาอนุให้ลี่จู” “หรงเหยาสุขภาพดีวันดีคืน ให้เขากลับมาช่วยดูแลเรื่องในจวน ลี่จูจะได้มีเวลาเอาใจซู่เหมย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็คงต้องครรภ์” “นั้นสินะ”“เจ้าก็ต้องรักษาตัวให้แข็งแรง จะได้มีแรงอุ้มหลาน”สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างมีความหวัง คนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากเห็นลูกๆ มีความสุข และจะดียิ่งถ้าได้มีชีวิตอยู่เลี้ยงดูหลานๆหลัวซู่เหมยชักมือกลับจากมือสามีที่เกาะกุมอย่างหลวมๆ นางยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามีธุระเล็กน้อย จะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมขอพรเรื่องมีลูกเจ้าค่ะ”“เจ้าไปเถิด” เขายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบผมของนางอย่างรักใคร่พลางก้มหน้ากระซิบได้ยินเพียงสองคน “คงปวดใจมากสินะที่เห็นหรงเหยาแต่งงาน”“ท่าน!” หลัวซูเหมยขึงตาใส่ หานลี่จูยังคงยิ้มอ่อนโยนแต่ดวงตามีแววเยาะเย้ย“ลำบากเจ้าแล้ว”หานหรงเหยาและเข่อซิงที่เดินตามออก